ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดแต่รมิดาสนุกกับเรื่องในวันนี้มาก ระหว่างเธอกับเขาไม่เหมือนลูกน้องกับเจ้านาย เมื่อเขาขับรถมาถึงบ้านพักตากอากาศ เขาก็ให้เธอไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน “ไม่ให้ฉันช่วยหรือคะ” “อย่างคุณจะช่วยอะไรผมได้” เขาหัวเราะแล้วผลักศีรษะเธอเบาๆ อย่างหยอกล้อ “ผมโทรบอกให้แม่บ้านทำความสะอาดไว้ก่อนแล้ว ห้องคุณอยู่ทางซ้ายมือ จะหลับสักงีบก็ได้นะ” “ฉันนอนเยอะแล้วค่ะ”“ถ้างั้นคุณช่วยล้างผักก่อนก็แล้วกัน” เขาพยักหน้าไปทางถุงผักที่ซื้อมาเตรียมทำสลัด “แค่ล้างผักคงทำได้นะ”“ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า วางถุงเสื้อผ้าและของใช้แล้วสาวเท้าเข้าไปยืนด้านข้างของเขา แล้วหยิบถุงผักไปแยกออกแล้วใส่ตะกร้าล้างผัก หัสวีร์รู้ดีว่าเลขาของเขาไม่ใช่คนชอบเข้าครัวแต่ท่าทางเธอก็ไม่เลวนัก หยิบจับอะไรก็คล่องแคล่ว คงจะเป็นลูกมือจนชินเสียมากกว่า“บอสจะทำอะไรคะ”“ทำอะไรกินง่ายๆ”“ถ้าจะตอบแบบนี้สู้ไม่ตอบเสียยังดีกว่า”“ว่าอะไรนะ”“เปล่าคะ” เธอส่ายหน้าไปมาหัสวีร์ได้ยินชัดแต่แกล้งเธอไปอย่างนั้น รมิดาล้างผักจัดใส่ตะกร้าส่วนเขาก็เอาเนื้อมาหมักเครื่องเทศ เธอเห็นแบบนี้แล้วค
ระหว่างที่รมิดาทำหน้าที่ล้างจานซึ่งหัสวีร์บอกเธอแล้วให้กองไว้พรุ่งนี้แม่บ้านจะมาทำความสะอาดเอง แต่เธอก็อยากช่วยบ้างตามประสาคนไม่ได้ทำกับข้าวอย่างน้อยก็ต้องล้างจาน “อะไรนะ จะดูเน็ตฟริก” หัสวีร์ทำหน้าไม่เชื่อเมื่อเขาถามรมิดาว่าจะทำอะไรต่อหลัง นี่เพิ่งหัวค่ำปกติก็ยังไม่ถึงเวลานอนและเบียร์ในตู้ยังเหลืออีกหลายกระป๋อง “ค่ะ” รมิดายืนยัน “คุณไม่เคยดูหรือไง” เขาเดินนำไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วจัดการเปิดโทรทัศน์จอใหญ่ขนาด 97 นิ้ว ในห้องปูพื้นด้วยพรมหนานุ่ม ทั้งสองเลือกจะเอกเขนกที่พื้นแทนนั่งบนโซฟา “ลืมไป คุณคงไม่ยอมเสียเงินจ่ายค่าสมาชิกแน่ๆ” “ก็ตามนั้นแหละค่ะ” เธอยักไหล่เก๋ๆ ดวงตากลมจ้องกระป๋องเบียร์ที่เขายื่นให้ “ช่วยผมดื่มหน่อย” “ดื่มไม่หมดก็เอาไว้ในตู้เย็นก็ได้นี่คะ” “ของแบบนี้ใครเขาเหลือไว้กันล่ะ กินให้หมด” “ก็...ได้ค่ะ” เธอยื่นมือไปรับมาจิบ “กลัวผมมอมเหล้าหรือไง” เขาหัวเราะแล้วเอนหยิบหมอนโยนใส่เลขาแล้วหยิบหมอนมาพิงหลังตัวเอง “บอสฉันดื่มเองน
มือเล็กทุบแผ่นอกอีกฝ่ายหวังให้เขาหยุดก่อนที่เธอจะไม่อาจต้านทานจูบร้อนแรงของเขาได้ แต่เขากลับกดข้อมือสองข้างไว้ข้างตัวไม่อาจขยับได้อีก รมิดายังไม่ลดล่ะความพยายามสองขาขยับดิ้นรนแต่เหมือนว่าจะทำให้สองร่างสัมผัสกันมากยิ่งขึ้น เขาผละริมฝีปากสวยทำให้เธอได้สูดอากาศหายใจ ใบหน้าแดงก่ำ แววตาของเขาร้อนแรงดุจลูกไฟ ในขณะที่ดวงตากลมโตเต็มเป็นด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว หัสวีร์หัวเสีย เขาไม่ต้องการให้เธอมองเขาอย่างนี้ รมิดาเหมือนได้ยินเสียงเขาสบถและปรายตามองไปยังปลายเท้าของเธอ หญิงสาวอ้าปากค้างก่อนเค้นเสียงออกมาอย่างรีบร้อน “ห้ามมองนะ!” เพราะการดิ้นรนของเธอทำให้กระโปรงร่นขึ้นมาจนเห็นกางเกงชั้นในวับแวบ หญิงสาวพยายามขืนแรงที่กดข้อมือเธออยู่เพื่อปัดกระโปรงให้ลงปิดส่วนที่ไม่ควรให้ใครเห็น มือแกร่งคลายการเกาะกุมเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บแต่ยังไม่คืนอิสรภาพให้ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาใกล้ทำให้เธอรีบเบือนหน้าหนีเพราะกลัวจะถูกจูบอีก “หลบทำไม” เสียงแหบพร่าถามที่ริมใบหูที่แดงก่ำ “มันก็แค่เซ็กส์” ถ้อยคำของเขาเรียกสติให้หญิงสาว รมิดา
หัสดินเดินเข้าในบริษัทของครอบครัวด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนมาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า เขายิ้มทักทายพนักงานทุกคนแล้วมาหยุดที่โต๊ะทำงานของรมิดา “มาส่งขนมครับ” รมิดาเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม เธอจำน้ำเสียงของหัสดินได้เป็นอย่างดี จึงไม่ต้องกังวลว่าจะยิ้มให้ผิดคน “วันนี้เค้กลอดช่องครับ ลองชิมดูนะ” “ฝีมือคุณดินอร่อยทุกอย่างอยู่แล้วค่ะ คุณหัสวีร์อยู่ด้านในให้ฉันเรียนท่านประธานก่อนไหมคะ” หัสดินเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่ต้องหรอกครับ ผมเข้าไปเลยดีกว่า” เชฟหนุ่มผู้ถนัดทำขนมหวานเดินไปเคาะประตูห้องท่านประธานสองสามครั้ง เมื่อประตูประตูเข้าไปก็พบพี่ชายนั่งก้มหน้าเซ็นชื่อในเอกสารอยู่ “เพิ่งกลับจากฮันนีมูนไม่ใช่เหรอ ทำไมทำหน้าเครียดจัง” “ฮันนีมูนอะไร” คำพูดของน้องชายเรียกความสนใจจากหัสวีร์ หัสดินขมวดคิ้วแล้วเลื่อนเก้าอี้นั่งลงหน้าพี่ชายต่างมารดา “ไม่ได้เข้าบริษัทสองวัน หายไปกับเรนนี่สองต่อสองไม่ได้ไปฮันนีมูนตามประสาคู่รักเพิ่งจดทะเบียนสมรสหรือไงครับ” “ก็แค่ไปพ
หัสวีร์เปิดประตูรถให้เลขาสาวที่วันนี้รับบทเป็นภรรยาหมาดๆของเขา รมิดาก้าวลงจากรถไร้ความประหม่าเพราะซักซ้อมมาอย่างดีราวกับว่าเธอกำลังจะไปสอบสัมภาษณ์งาน ยกเว้นก็แต่รองเท้าส้นสูงที่ใส่อยู่ในเวลานี้ เธอควรชินกับมันเสียทีเพราะเวลาออกงานกับเจ้านาย เธอก็สวมรองเท้าส้นสูงแต่แอบหิ้วเอารองเท้าส้นเตี้ยไปเปลี่ยนเมื่อเสร็จงาน “เป็นไงบ้างคะคุณวีร์” รมิดาฉีกยิ้มประจบเมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองแบบสำรวจ ทั้งที่ก่อนออกจากคอนโด เธอก็แต่งตัวเดินไปให้เขาตรวจสอบก่อนจะออกมาพร้อมกัน “คุณวีร์...” ได้ยินเสียงเรียกสนิทสนมแล้วหัวใจเขาพลันหวั่นไหวอย่างประหลาด แต่กระนั้นก็ยื่นมือไปให้เธอจับเพื่อเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน รมิดาจับมือเขาแล้วก้าวเดินเคียงข้าง ไม่ใช่ตามหลังเช่นทุกครั้ง “ก็ตามที่เราตกลงกันไงคะ” เธอพูดเสียงเบาแล้วก้าวขึ้นบันไดหน้าคฤหาสน์ “หรือจะเรียกพี่วีร์ดีค่ะ เพราะบอสเกิดก่อนตั้งหลายปี พี่วีร์...” ‘พี่วีร์’ น้ำเสียงอ่อนหวานเรียกชื่อเขาทอดเสียงออดอ้อน หัสวีร์ปรายตามองคนด้านข้างพลันคิดไปไกล หากได้ยินเสียงหวานครางเรียก ‘พี่วีร์’
“บอสค่ะ! ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง” รมิดาส่งเสียงถามไม่เกรงใจซ้ำยังบุกถึงห้องนอนของท่านประธานอีกด้วย ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัสวีร์ไว้ใจรมิดาถึงขนาดให้รู้รหัสเปิดประตูห้องชุดสุดหรูนี้ได้ แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้องของเขาแต่ทุกครั้งเพราะเขาเรียกเธอจึงมา แต่ครั้งนี้แตกต่างกัน อาจเพราะSMSแจ้งเงินเข้าบัญชีทำให้เลขาสาวเดือดดาลบุกมาถึงที่เช่นนี้ หัสวีร์ยืนเปลือยแผ่นอกที่มีรอยสักเด่นชัด และนุ่งเพียงผ้าขนหนูกำลังเช็ดเส้นผมสีอ่อนที่เปียกชื้น เขาปรายตามองเธอเล็กน้อยและเห็นสีหน้าโกรธจัดแล้วจึงกลั้นยิ้มหันไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผม “บอส!” “เรื่องอะไร” เขาถามทั้งที่เดาได้ไม่ยาก รมิดายื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้เขาดู ชายหนุ่มก็แค่พยักหน้ารับ “ยอดเงินก็ถูกแล้วนี่ เข้าบัญชีคุณหนึ่งล้านบาท” “แล้วนี่มันค่าอะไรคะ จู่ๆ โอนเงินมาทำไม เห็นบัญชีของฉันเป็นบัญชีม้าเหรอ!” “ก็คุณเรียกค่าจูบ ผมก็โอนให้แล้วไง” ตอนนี้รมิดาไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย เธอพูดเพื่อให้เขาหยุด แต่ดูเหมือนเขาจะเอาจริง “บอส
ธาตรีนั่งข้างลาวัลย์พร้อมกับยื่นยาดมให้พี่สาวที่ร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำ รมิดาสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปหาด้วยฝีเท้ามั่นคง “อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ” รมิดาดุพี่สาวทำให้น้องชายเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มออกมาได้ “พี่ฝนมาแล้ว” “เวลานี้ไม่ควรร้องไห้ เราต้องเก็บแรงและตั้งสติไว้ก่อน” เธอเป็นลูกคนกลางแต่เหมือนเป็นคนโตที่แบกรับทุกอย่างในครอบครัว รวมทั้งในเวลาแบบนี้ “มันเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ว่างหน้าห้องฉุกเฉิน “โมกข์แข็งแรงดีไม่ใช่เหรอ ยาประจำตัวก็กินครบไปหาหมอไม่ขาด แล้วตรวจครั้งล่าสุดหมอก็บอกว่าคือโรค G6PD ไม่ได้น่ากลัวไม่ใช่เหรอ” “ครับ” ธาตรียกหลังมือเช็ดจมูกแล้วสูดน้ำมูกอีกครั้ง “วันนี้เล่นอยู่ในบ้าน อยู่ดีๆ ก็ชัก ตาลอยไม่ได้สติ พวกเรารีบพามาส่งโรงพยาบาล” รมิดาปรายตามองพี่สาวคนโตแล้วก็อ่อนใจ นี่ถ้าธาตรีไม่อยู่บ้าน สงสัยว่าหลานชายจะมาไม่ถึงโรงพยาบาลแน่ ไม่กี่นาทีต่อประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก “ญาติน้องโมกข์ค่ะ” พยาบาลสาวส่งเสียงเรียก “ค่ะ/ครับ” สามพี่น้องรีบสาวเท้
“พรุ่งไม่ต้องมาทำงานก็ได้ ผมให้เรนนี้หยุดงาน” ถ้อยคำของเขาเรียกสติของหญิงสาว รมิดาเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าห้องของตนแล้ว นี่เธอคงเหม่อลอยออกจากโรงพยาบาลจนกลับมาถึงห้องพัก ดวงตาแดงก่ำช้อนตาขึ้นมองเขา เธออ้าปากอยากจะส่งเสียงแต่กลับพูดไม่ออก หัสวีร์ถอนสายตาจากหญิงสาวแล้วเป็นฝ่ายเปิดประตูห้องให้เธอ จากนั้นมือใหญ่ก็ประคองไหล่พาคนใจลอยเข้าไปด้านใน “ผมไม่รู้อาการป่วยของหลานชายคุณ แต่โรงพยาบาลนั้นก็มีแพทย์เฉพาะทางอยู่ ตอนนี้คุณคงต้องรอฟังผลตรวจของคุณหมอให้แน่ชัดก่อนค่อยจัดการขั้นต่อไป” “ค่ะ...ขอบคุณค่ะ” เธอนั่งลงปลายเตียง แล้วถอนหายใจเบาๆ “น้องโมกข์ไม่แข็งแรงมาตั้งแต่กำเนิดคลอดก่อนกำหนดและโรค G6PD ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม กว่าจะผ่านมาแต่ล่ะปีล้วนยากเย็น เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น พี่ลาวัลย์ต้องคอยดูแลใกล้ชิดจึงทำงานได้ไม่เต็มที่ และ...สามีไม่รับผิดชอบชีวิตน้อยๆที่เกิดขึ้น พวกเราสามคนพี่น้องช่วยเลี้ยงน้องโมกข์กันมาค่ะ ปีนี้เห็นแข็งแรงดีขึ้นได้ไปโรงเรียนได้มีเพื่อนเล่น ก็คิดว่าเขาน่าจะมีชีวิตที่เป็นปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ไม่คิ
หัสวีร์ประหลาดใจที่หน้าห้องทำงานมีโต๊ะเพิ่มและยังมีคนที่เป็น ‘เลขา’ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุก็พอๆ ก็รมิดา แต่ทำไมเขาเห็นแล้วหงุดหงิดจนพาลโมโหก็ไม่รู้ “ชื่อปอไหมค่ะ เรียกปอก็ได้ค่ะ คุณอาอัศวินให้ปอมาทำหน้าที่เลขาพี่วีร์ค่ะ “คุณ...เข้ามาคุยข้างใน” “ค่ะ” รมิดาจำใจเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเขาล็อกประตู เมื่อเธอหันมาก็เป็นจังหวะที่เขาจับเอวคอดขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานของเขา “พี่วีร์!” ยังดีที่เธอเรียกชื่อเขา ไม่งั้นเขาจะยิ่งโกรธมากกว่านี้ “ผมหรือพ่อเป็นเจ้านายของคุณ” มือแข็งแกร่งเลื่อนจากเอวมาสัมผัสกลีบปากของหญิงสาว รมิดาเอนหลังถอยหนีแต่เขายื่นหน้าตามไปใกล้ “ว่าไง” “พี่วีร์ค่ะ” “รู้แล้วทำไมให้คนอื่นมาวุ่นวายแบบนี้” “นั้นคุณพ่อพี่วีร์นะคะ แล้วก็ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย ถ้าไม่ทำตามก็เกรงว่า...” “แล้วทำไมไม่รายงานผมก่อน” “พี่วีร์ยุ่งอยู่นี่คะ” “ผมยุ่งอะไร ตารางงานของผมค
ข่าวดาราดังเดินทางกลับเมืองไทยกระจายไปทั่วสื่อทุกสื่อ ดาราสาวสวมชุดดำไว้ทุกข์ใบหน้ามีรอยเศร้าแต่ยังระบายยิ้มจางๆ เมื่อถูกสื่อซักถามก็เพียงแค่ยิ้ม ภาพที่ออกสื่อหลายภาพจะเห็นชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง เดาได้ไม่ยากว่าเป็นประธานหนุ่มคนหนึ่งที่เคยมีข่าวคบหากันมาก่อนที่ดาราสาวจะบินไปดูบิดาที่ป่วยหนักอยู่ต่างประเทศ รมิดาชินชากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในแผนก เธอหยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินเข้าห้องท่านประธานด้วยใบหน้าเรียบเฉย หัสวีร์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหรี่ตามองเลขาอย่างจับผิดก่อนเอ่ยถาม “ทำไมแต่งหน้าจัด” “แต่งหน้าผิดระเบียบหรือคะ” เธอเถียงไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่าตัวเองค่อนข้างหน้าซีดไม่อยากให้คนอื่นทักจึงแต่งหน้าเข้มกว่าปกติ ตั้งแต่รู้ว่าตั้งท้องเธอก็ศึกษาหลายเรื่องทั้งเรื่องเครื่องสำอางหรือแม้แต่ครีมบำรุงผิว เพราะกลัวว่าลูกจะได้รับสารที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง แต่ถ้าไม่แต่งเลยก็เกรงว่าสภาพเธอตอนนี้จะเป็นซอมบี้เสียมากกว่า “ช่างเถอะ อย่าให้มันจัดนักก็พอ” อาจเพราะเคยชินกับการที่เธอแต่งหน้าบางๆ ยกเว้นเวลาออกงานข้างกายเขา “
“ไม่ต้องกลัวนะ ตื่นมาก็จะเจอน้าอยู่ตรงนี้” เด็กชายห้าขวบยิ้มตาหยีให้น้าสาวกับน้าชายที่มาส่งก่อนเข้าห้องผ่าตัด ลาวัลย์ลูบแก้มลูกชายเบาๆ แล้วปล่อยให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผ่านไป คนเป็นแม่พนมมือแล้วอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การผ่าตัดครั้งนี้ราบรื่นด้วยดี “พี่ฝน …สีหน้าไม่ดีเลย ไปนั่งพักก่อนดีกว่า” ธาตรีเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พี่สาวเขาแข็งแรงก็จริง ปกติแทบไม่เคยเห็นเจ็บป่วย แต่วันนี้มาส่งน้องโมกข์เข้าห้องผ่าตัด แต่ตัวเองกลับหน้าซีดกว่าคนป่วยเสียอีก “นั้นสิ ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย” ลาวัลย์เข้าไปประคองไหล่น้องสาวแต่ร่างเล็กทรุดฮวบลง น้องชายที่อยู่ใกล้ตาเร็วเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน “ยัยฝน” “คุณพยาบาล ช่วยด้วยครับ” “มะ..ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ” “ไม่เป็นไรได้ไง หน้ามืดเป็นลมอยู่ตำตา” ธาตรีดุพี่สาว เป็นจังหวะที่บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นมาให้ เชาจึงประคองพี่สาวนั่งรถเข็น “มาถึงโรงพยาบาลแล้วก็ตรวจไปเลย” “ไม่ต้องตรวจอะไรหรอกแค่หน้ามืด” “ไม่ได้ พี่ฝนเคยเป็นอะไรแบบนี้เสียทีไหน ทำงานมาก็ร
“ก็บอกให้ไปหาหมอไง ทำไมดื้อแบบนี้นะ” “ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนี่คะ ทำไมดื้อแบบนี้นะ” หัสดินหน้านิ่งไปไม่คิดว่ารมิดาจะยอกย้อนด้วยประโยคเดิมของเขา หลังจากเขาขับรถเข้าเส้นชัย รมิดาก็หน้ามืดเป็นลมไป เจ้าที่ข้างสนามเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นได้สติ แล้วทั้งสองกฌโต้เถียงกันเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมไปโรงพยาบาลตามที่เขาสั่ง “นี่เป็นคำสั่งของผม” “นี่ไม่ใช่เวลางานค่ะ” เธอเชิดหน้าท้าทาย หัสดินได้แต่ยกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนปะทะอารมณ์กันมากไปกว่านี้ “เอาล่ะๆ เอาไว้ไปหาหมอที่หลังก็ได้” “เดี๋ยวนี้!” “ไม่ไปค่ะ” “ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันนอกบ้านแบบนี้สิ มีอะไรก็ไปคุยกันบนเตียง” ถ้อยคำของหัสดินทำเอารมิดาใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมา แต่ก็ทำให้หัสวีร์ระบายลมหายใจเบาๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน้าซีดแบบเมื่อครู่ “จริงๆเลย” ไม่คิดว่าเวลาดื้อจะดื้อได้ขนาดนี้ “ก็ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” เธอเริ่มเสียงเบาลง “เป็นหมอหรือไงวินิจฉัยตัวเองได้” “ก็เพราะใครทำให้นอ
หัสดินถอดผ้ากั้นเปื้อนแล้วเดินออกมาด้านนอก สายตาปะทะกับร่างของเพรียวบางที่คุ้นเคย วันนี้เธอไม่ได้สวมชุดกระโปรงเรียบร้อยตามแบบฉบับเลขาสาวข้างกายพี่ชายของเขา แต่เป็นเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีอ่อน ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าทำให้ดูอ่อนวัยราวเด็กสาววัยรุ่น “เรนนี่” “คุณดิน” รมิดาเดินเข้ามาใกล้ไม่อาจเก็บความร้อนรนไว้ได้ “คุณดินรู้เรื่องคุณหัสวีร์แข่งรถหรือเปล่าคะ” “เอ่อ...” ถูกจู่โจมเข้าอย่างจัง หัสดินได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเชิญให้เธอเดินตามเขาไปนั่งในห้องผู้จัดการร้าน ซึ่งก็เป็นห้องทำงานของเขา แต่เขาชอบการทำอาหารมากกว่าจึงอยู่แต่ในครัวเป็นส่วนใหญ่ “นั่งก่อนครับ” หญิงสาวจำใจนั่งที่เก้าอี้ หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอ่ย “พี่วีร์ไม่ให้ผมบอกเรนนี่” “แต่ฉันต้องรู้เรื่องนี้” มือเล็กกำแน่น “เรนนี่” หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คุณก็รู้ว่าพี่ชายผมขับรถแข่งมาก่อน และที่ผ่านมาเขาไม่ได้เข้าแข่งขันแต่ก็ไม่เคยห่างสนามแข่งเลย” “ฉันเป็นห่วงคุณวีร์ รู้ว่าเขาเก่งก็ยังเป็นห่วง” “เพราะเ
“ทำไมต้องแบบนี้ด้วยค่ะ” เธอถอนหายใจเบาๆ “แล้วไม่รังเกียจเหรอคะ ฉัน...ทำตัวแบบนั้นแลกเงิน” “มันขึ้นอยู่กับว่า คุณทำไปเพื่ออะไรต่างหาก” นาธานยักไหล่ “ให้ผมช่วยคุณนะครับ” รมิดาจำไม่ได้เลยว่าชีวิตเธอเคยมีใครพูดแบบนี้ไหม ความหวั่นไหวเกิดขึ้นในอก เธอไม่ได้หวั่นไหวเพราะเขาแต่เพราะรู้ว่าหัวใจต้องการอะไร เธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการคนเข้าใจ ใส่ใจ ให้กำลังใจ ต่อให้เธอเป็นสาวแกร่งแค่ไหนก็เถอะ “ขอบคุณนะคะ แต่เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้” “ครับ” นาธานยิ้มจากใจจริง “ผมแค่อยากให้คุณฝนรู้ว่าผมคิดยังไงกับคุณฝน แล้วก็...ไม่เคยเห็นคุณฝนเป็นสิ่งของที่ใช้เดิมพันในสนามแข่ง” “คุณพูดเรื่องอะไรคะ เดิมพันอะไร แข่งอะไร” “อ้าว ...นี่หัสวีร์ไม่ได้บอกคุณฝนเหรอครับ เขาท้าแข่งรถกับผม ถ้าผมแพ้ต้องไปจากชีวิตคุณ” “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” เธอรำพึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัสวีร์จะทำแบบนั้น “คุณฝน ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นยังไง ผมอยากบอกคุณว่าผมจริงใจกับคุณ และคุณมีค่ามากกว่าเป็นของเดิมพัน” เสียงสูดลมหายใจลึกดังขึ้
ปกติรมิดาไม่ใช่คนชอบเข้าวัดทำบุญ ผิดกับพี่ลาวัลย์ที่ทำบุญแทบทุกวันพระ ถ้าเธอจะทำบุญเธอก็เลือกที่มันหักลดหย่อนภาษีได้หรือไม่บริจาคเงินที่โรงพยาบาลหรือสถานสงเคราะห์มากกว่าวัด แต่วันนี้ธาตรีโทรมาชวนไปไหว้พระถวายสังฆทานก่อนที่น้องโมกข์จะเข้ารับการผ่าตัด รมิดากลับไม่ปฏิเสธและยังให้น้องชายช่วยเตรียมของสังฆทานให้ด้วย ลาวัลย์แปลกใจที่เห็นน้องสาวมาทำบุญที่วัด แต่ก็ดีใจที่เห็นรมิดามาพร้อมกัน รมิดาไม่อยากให้หลานลำบากจึงเรียกแท็กซี่มารับ และเดินทางไปวัดที่ไม่ไกลบ้านนัก ตลอดการถวายสังฆทาน กรวดน้ำและรับพรจากหลวงพ่อแล้ว สามพี่น้องและหนึ่งหลานตัวน้อยก็ตั้งใจไปปล่อยท่าท่าน้ำของวัด ซึ่งธาตรีไปซื้อปลาหน้าเขียงมาปล่อย “ผมศึกษามาดีแล้ว ปลาหมอไทย ควรปล่อยในลำคลอง หนอง บึง ที่มีน้ำไหลไม่แรงมาก และมีกอหญ้าอยู่ริมตลิ่ง ที่วัดนี้เหมาะกับปลาหมอที่สุด” “ปล่อยปลา โมกข์จะปล่อยปลา” “ตรีพาหลานไปปล่อยปลา ระวังหลานตกน้ำด้วย” “ทราบแล้วครับ” ธาตรีจูงมือหลานไปที่ท่าน้ำแล้วค่อยๆ เทถุงพลาสติกที่มีปลาหมออยู่สิบกว่าตัวลงน้ำ ลาวัลย์มาที่วัดน
“ทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่น ที่แท้ก็จับผู้ชายรวยนั้นแหละ” “อย่าเสียงดังไป ยังไงก็เป็นผู้หญิงของท่านประธาน” “หึหึ” รมิดาได้ยินทุกอย่างแต่ก็ยังทำเป็นไม่ได้ยิน เธอเดินเลี่ยงออกมานั่งพักผ่อนที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่ เธอไม่สูบบุหรี่แต่มุมนี้ไม่ค่อยมีคนนัก ทำให้เธอได้ผ่อนคลายจากการงานเคร่งเครียด เมื่อครั้งที่ทำงานใหม่ๆ เธอก็แอบปาดน้ำตาอยู่บ้าง แต่ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอยืนในตอนนั้นเธอไม่กล้าโต้ตอบ กลัวจะไม่ผ่านโปรฯ กลัวจะไม่ได้ทำงานที่เงินเดือนสูงขนาดนี้ นอกจากไลลาเพื่อนสนิทแล้วเธอก็ไม่เคยเล่าปัญหาสังคมที่ทำงานที่เจออยู่ แต่เพราะต้องกอดตำแหน่งนี้ให้นานที่สุด เธอจึงอดทนและอดทนจนกลายเป็นด้านชากับคำนินทาเหล่านี้ เลขาสาวหยิบถุงกระดาษใบน้อยวางบนตักแล้วเปิดถุงหยิบเอาแซนวิชกับน้ำผลไม้ออกมา มันเป็นของว่างที่เสิร์ฟในห้องประชุม หลังประชุมเสร็จมีของว่างเหลืออยู่หลายชุด และเหมือนเดิม เธอหยิบของเหลือใส่ถุงมานั่งกินคนเดียวแบบนี้ ช่วงนี้หัสวีร์ยุ่งกับเรื่องอะไรไม่รู้ เขาไม่พูดเธอก็ไม่ถาม เธอไม่มีหน้าที่หรือสิทธิ์ที่จะไปคาดคั้นเขา แม้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหม
คนมาชอบนั่งร้านเหล้า วันนี้ต้องมานั่งเฝ้าพี่ชายต่างแม่ที่ดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่า หัสดินเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว แยกแก้วเหล้าออกจากมือพี่ชาย “เป็นอะไรไปเนี้ย” น้องชายบ่นแล้ววางแก้วเหล้าห่างมือพี่ชาย “ไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเรนนี่เหรอ อยู่คอนโดเดียวกันน่าจะมีเวลาคุยกันนี่” ข่าวซุบซิบในบริษัทมีเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง เรื่องระหว่างประธานบริษัทกับเลขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดัง แน่นอนว่ามันกระทบถึงตำแหน่งการงาน ทุกคนจึงได้แต่แสร้งก้มหน้าทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ “อื้ม” หรือเพราะอยู่ใกล้กันมากเกินไป รมิดาเป็นฝ่ายวางตัวได้เย็นชาห่างเหิน เธอทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้น ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติไม่มีบกพร่อง ที่เพิ่มขึ้นก็คือเขากับเธอเดินทางไปกลับพร้อมกัน และความสัมพันธ์ยามค่ำคืน เขารั้งเธอไว้ในอยู่บนเตียงเดียวกันจน แต่ก่อนเขาตื่น เธอก็ลงจากเตียงอย่างเงียบเฉียบกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กลายร่างเป็นเลขาผู้แสนเย็นชาอีกครั้ง “คือ...” หัสดินอึกอักแล้วรู้สึกเขินอายไม่น้อยที่ต้องถามเรื่องพวกนี้ “พี่กับ