ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้เพลงมีนาด้วยนะคะ รักค่ะ
หัสวีร์เปิดประตูรถให้เลขาสาวที่วันนี้รับบทเป็นภรรยาหมาดๆของเขา รมิดาก้าวลงจากรถไร้ความประหม่าเพราะซักซ้อมมาอย่างดีราวกับว่าเธอกำลังจะไปสอบสัมภาษณ์งาน ยกเว้นก็แต่รองเท้าส้นสูงที่ใส่อยู่ในเวลานี้ เธอควรชินกับมันเสียทีเพราะเวลาออกงานกับเจ้านาย เธอก็สวมรองเท้าส้นสูงแต่แอบหิ้วเอารองเท้าส้นเตี้ยไปเปลี่ยนเมื่อเสร็จงาน “เป็นไงบ้างคะคุณวีร์” รมิดาฉีกยิ้มประจบเมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองแบบสำรวจ ทั้งที่ก่อนออกจากคอนโด เธอก็แต่งตัวเดินไปให้เขาตรวจสอบก่อนจะออกมาพร้อมกัน “คุณวีร์...” ได้ยินเสียงเรียกสนิทสนมแล้วหัวใจเขาพลันหวั่นไหวอย่างประหลาด แต่กระนั้นก็ยื่นมือไปให้เธอจับเพื่อเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน รมิดาจับมือเขาแล้วก้าวเดินเคียงข้าง ไม่ใช่ตามหลังเช่นทุกครั้ง “ก็ตามที่เราตกลงกันไงคะ” เธอพูดเสียงเบาแล้วก้าวขึ้นบันไดหน้าคฤหาสน์ “หรือจะเรียกพี่วีร์ดีค่ะ เพราะบอสเกิดก่อนตั้งหลายปี พี่วีร์...” ‘พี่วีร์’ น้ำเสียงอ่อนหวานเรียกชื่อเขาทอดเสียงออดอ้อน หัสวีร์ปรายตามองคนด้านข้างพลันคิดไปไกล หากได้ยินเสียงหวานครางเรียก ‘พี่วีร์’
“บอสค่ะ! ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง” รมิดาส่งเสียงถามไม่เกรงใจซ้ำยังบุกถึงห้องนอนของท่านประธานอีกด้วย ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัสวีร์ไว้ใจรมิดาถึงขนาดให้รู้รหัสเปิดประตูห้องชุดสุดหรูนี้ได้ แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้องของเขาแต่ทุกครั้งเพราะเขาเรียกเธอจึงมา แต่ครั้งนี้แตกต่างกัน อาจเพราะSMSแจ้งเงินเข้าบัญชีทำให้เลขาสาวเดือดดาลบุกมาถึงที่เช่นนี้ หัสวีร์ยืนเปลือยแผ่นอกที่มีรอยสักเด่นชัด และนุ่งเพียงผ้าขนหนูกำลังเช็ดเส้นผมสีอ่อนที่เปียกชื้น เขาปรายตามองเธอเล็กน้อยและเห็นสีหน้าโกรธจัดแล้วจึงกลั้นยิ้มหันไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผม “บอส!” “เรื่องอะไร” เขาถามทั้งที่เดาได้ไม่ยาก รมิดายื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้เขาดู ชายหนุ่มก็แค่พยักหน้ารับ “ยอดเงินก็ถูกแล้วนี่ เข้าบัญชีคุณหนึ่งล้านบาท” “แล้วนี่มันค่าอะไรคะ จู่ๆ โอนเงินมาทำไม เห็นบัญชีของฉันเป็นบัญชีม้าเหรอ!” “ก็คุณเรียกค่าจูบ ผมก็โอนให้แล้วไง” ตอนนี้รมิดาไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย เธอพูดเพื่อให้เขาหยุด แต่ดูเหมือนเขาจะเอาจริง “บอส
ธาตรีนั่งข้างลาวัลย์พร้อมกับยื่นยาดมให้พี่สาวที่ร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำ รมิดาสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปหาด้วยฝีเท้ามั่นคง “อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ” รมิดาดุพี่สาวทำให้น้องชายเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มออกมาได้ “พี่ฝนมาแล้ว” “เวลานี้ไม่ควรร้องไห้ เราต้องเก็บแรงและตั้งสติไว้ก่อน” เธอเป็นลูกคนกลางแต่เหมือนเป็นคนโตที่แบกรับทุกอย่างในครอบครัว รวมทั้งในเวลาแบบนี้ “มันเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ว่างหน้าห้องฉุกเฉิน “โมกข์แข็งแรงดีไม่ใช่เหรอ ยาประจำตัวก็กินครบไปหาหมอไม่ขาด แล้วตรวจครั้งล่าสุดหมอก็บอกว่าคือโรค G6PD ไม่ได้น่ากลัวไม่ใช่เหรอ” “ครับ” ธาตรียกหลังมือเช็ดจมูกแล้วสูดน้ำมูกอีกครั้ง “วันนี้เล่นอยู่ในบ้าน อยู่ดีๆ ก็ชัก ตาลอยไม่ได้สติ พวกเรารีบพามาส่งโรงพยาบาล” รมิดาปรายตามองพี่สาวคนโตแล้วก็อ่อนใจ นี่ถ้าธาตรีไม่อยู่บ้าน สงสัยว่าหลานชายจะมาไม่ถึงโรงพยาบาลแน่ ไม่กี่นาทีต่อประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก “ญาติน้องโมกข์ค่ะ” พยาบาลสาวส่งเสียงเรียก “ค่ะ/ครับ” สามพี่น้องรีบสาวเท้
“พรุ่งไม่ต้องมาทำงานก็ได้ ผมให้เรนนี้หยุดงาน” ถ้อยคำของเขาเรียกสติของหญิงสาว รมิดาเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าห้องของตนแล้ว นี่เธอคงเหม่อลอยออกจากโรงพยาบาลจนกลับมาถึงห้องพัก ดวงตาแดงก่ำช้อนตาขึ้นมองเขา เธออ้าปากอยากจะส่งเสียงแต่กลับพูดไม่ออก หัสวีร์ถอนสายตาจากหญิงสาวแล้วเป็นฝ่ายเปิดประตูห้องให้เธอ จากนั้นมือใหญ่ก็ประคองไหล่พาคนใจลอยเข้าไปด้านใน “ผมไม่รู้อาการป่วยของหลานชายคุณ แต่โรงพยาบาลนั้นก็มีแพทย์เฉพาะทางอยู่ ตอนนี้คุณคงต้องรอฟังผลตรวจของคุณหมอให้แน่ชัดก่อนค่อยจัดการขั้นต่อไป” “ค่ะ...ขอบคุณค่ะ” เธอนั่งลงปลายเตียง แล้วถอนหายใจเบาๆ “น้องโมกข์ไม่แข็งแรงมาตั้งแต่กำเนิดคลอดก่อนกำหนดและโรค G6PD ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม กว่าจะผ่านมาแต่ล่ะปีล้วนยากเย็น เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น พี่ลาวัลย์ต้องคอยดูแลใกล้ชิดจึงทำงานได้ไม่เต็มที่ และ...สามีไม่รับผิดชอบชีวิตน้อยๆที่เกิดขึ้น พวกเราสามคนพี่น้องช่วยเลี้ยงน้องโมกข์กันมาค่ะ ปีนี้เห็นแข็งแรงดีขึ้นได้ไปโรงเรียนได้มีเพื่อนเล่น ก็คิดว่าเขาน่าจะมีชีวิตที่เป็นปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ไม่คิ
ดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ถูกยื่นมาขวางการทำงานของรมิดา หญิงสาวหันไปมองอย่างหงุดหงิดแล้วก็ขมวดคิ้วด้วยงุนงงกับคนที่ยื่นให้ “ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่าจำผมไม่” ชายหนุ่มทำเสียงโอดครวญแล้วยิ้มทะเล้น “ผมนาธานไงครับ เราเคยเจอกันแล้วนะ” “ค่ะ ฉันจำคุณได้แต่ทำไมคุณมาพบฉันที่นี่ซึ่งเป็นที่ทำงานของฉัน และฉันมั่นใจว่าไม่ได้บอกคุณเรื่องพวกนี้” “ก็คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ผมก็ต้องตามหาคุณสิ” “วันนั้นฉันก็บอกไปแล้วนี้ว่าฉันไม่ติดใจอะไร แต่การที่คุณทำแบบนี้ทำให้ฉันไม่พอใจมากคุณกำลังก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของฉัน แล้วนี่รปภ.ปล่อยให้คุณเข้ามาได้ยังไง” “ก็แค่ยบอกว่ามาเจอเลขาของคุณหัสวีร์ รปภ.ก็ให้เข้ามาแล้วครับ” นาธานยังคงยิ้มไม่สนใจท่าทีเดือดดาลของอีกฝ่ายแล้วยื่นช่อดอกไม้ให้ รมิดาขมวดคิ้วยุ่งเหยิงยังไม่ยื่นมือไปรับ โต๊ะทำงานของเธออยู่หน้าห้องท่านประธาน และสายตาหลายคู่จ้องมองมาทางเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น“ถ้าฉันรับดอกไม้แล้วคุณจะกลับไปไหมคะ”“กลับครับ” เขายิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก“ค่ะ” รมิดาตัดปัญหาด้วยการรับช่อดอกไม้ของเขาหวังจะไล่อีกฝ่ายใ
สีหน้าประธานหนุ่มไม่ค่อยพอใจนัก ทำไมรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นเลขาสาวแต่งหน้าแต่งตาเติมแป้งเติมลิปสติก เธอยังคงรักษาระยะห่างไม่ใกล้เขามากเกินไปและไม่ได้ห่างจนเหมือนห่างเหิน หัสวีร์เดินเอามือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบายๆ เช่นทุกครั้ง เขาก้าวนำเธอไปที่ร้านอาหารที่อยู่ในบัตรเชิญ เพราะเป็นเลขาข้างกายประธานหนุ่มมานานเกือบห้าปี รมิดาที่สมัยเรียนเธอแทบไม่แต่งหน้าแค่ใช้ครีมบำรุงผิวแบบซอง เพราะต้องประหยัดทุกอย่าง เมื่อทำงานเป็นเลขาจะปล่อยให้ตัวเองจืดชืดก็ไม่ได้ ก็ยังดีที่เธอมีไลลาช่วยสอนทั้งเรื่องแต่หน้าทำผมและการแต่งตัว หลังเติมลิปสติกเพิ่มสีสันให้ริมฝีปากและแปรงผมให้เรียบร้อยแล้ว รมิดาสำรวจตัวเองอีกครั้งแล้วก้าวเท้ามาจากห้องน้ำของบริษัท ทิ้งเรื่องซุบซิบนินทาไว้ด้านหลังและเชิดใบหน้าขึ้นเหยียดแผ่นหลังตั้งตรงก้าวเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในแผนก คนอื่นอยากตีสนิทกับเธอก็เพราะผลประโยชน์ เธอคือคนที่ใกล้ชิดหัสวีร์ที่สุด และตอนนี้ทุกคนในแผนกได้ยินเรื่องที่เธอ ‘แต่งงานแล้ว’ ต่างก็อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็น ‘สามี’ ของเธอ “ลงทุนเหมือนกัน
หญิงสาวได้แต่ก้มมองข้อมือตัวเองที่ถูกจับไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เข้ามาในลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นไปชั้นบนและมันเลยชั้นที่เธออยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาห้องเจ้านายแต่ครั้งนี้...รู้สึกได้ถึงกรุ่นไอโทสะ แล้วเขาจะมาโกรธเธอเรื่องอะไรเล่า! “บอสค่ะ” รมิดาเรียกเขาได้แค่นั้น ร่างของเธอก็ถูกเขาเหวี่ยงเข้าไปในห้องทันทีที่ประตูเปิดออก และก่อนที่เธอจะส่งเสียงร้องตกใจบานประตูก็ประแทกปิดเสียงดังและริมฝีปากร้อนทาบทับลงมาจูบกลีบปากสวย มือใหญ่ประคองท้ายทอยบังคับไม่ให้หลบหนีได้พ้น เธอตกใจกับการถูกจู่โจมได้แต่ยกสองมือขึ้นดันไหล่แต่ไม่เป็นผล แรงขบกัดที่ริมฝีปากทำให้รู้ว่ากำลังลงโทษเธอ “อื้อ!” “อ๊ะ! ซี๊ด!” หัสวีร์ไม่คิดว่าเธอจะ ‘กัด’ ปากเขา จึงหลบไม่ทัน แววตาเธอไม่ได้หวาดกลัวแต่ตกใจและ ‘โกรธ’ ไม่แพ้กัน “บอสทำอะไร” รมิดาถามแล้วดันแผ่นออกเขาแต่อีกฝ่ายกลับกอดรัดแน่นขึ้น “ถามแปลก ก็ทำเรื่องที่ผัวเมียทำกันไง” “บอส!” ดวงตากลมขึงตาใส่แต่อีกฝ่ายยังยิ้มร้ายกาจออกมา “ฉันว่าจะถามตั้งแต่อยู่ที่ร้านแ
“น้าฝนกินขนมกัน” “เอ่อ...จ๊ะ” รมิดาตื่นจากภวังค์เห็นเห็นหลานชายตัวน้อยยื่นขนมจ่อถึงปาก หญิงสาวอ้าปากให้หลานชายป้อนให้ “อร่อยจัง” “ขนมของน้าฝนอร่อยที่สุด” เด็กชายโมกข์ยิ้มกว้างแล้วยื่นมือไปเช็ดมุมปากให้น้าคนสวย เขาทำเลียนแบบแม่ของตน “ใช่ๆ อะไรของน้าฝนก็ดีที่สุดนั้นแหละ” ธาตรีหัวเราะแล้วหิ้วตะกร้าผ้าเดินผ่านเผื่อเทในเครื่องซักผ้าเครื่องใหม่ ความเป็นอยู่ของบ้านดีขึ้นก็เพราะน้ำพักน้ำแรงของพี่สาวคนกลาง “โมกข์ไปช่วยน้าตรีซักผ้าก่อนนะลูก” “ครับคุณแม่” เด็กน้อยรับคำแข็งขันแล้ววิ่งถลาไปด้านหลังบ้าน ลาวัลย์มองแผ่นหลังของลูกจนลับตาแล้วจึงเอ่ยกับน้องสาว “พี่กลัวเรื่องผ่าตัดเหลือเกิน เราลองหาวิธีอื่นดีไหม” “แต่หมอบอกว่ายิ่งรักษาเร็ว โอกาสที่จะเป็นปกติก็สูงขึ้น เราไม่รู้ว่าสมองของโมกข์จะได้รับผลกระทบมากแค่ไหนถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ที่สำคัญเราไม่รู้ว่าเขาจะชักอีกตอนไหน ถ้าเขาชักตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วยจะทำยังไง” “พี่รู้...แต่ว่า...” “เรื่องค่ารัก
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช
ชายวันกลางคนเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่เสียงเด็กหัวเราะร่าทำให้สองเท้าหยุดเดินแล้วมองไปตามเสียงที่ได้ยิน เพียงแค่พริบตา ร่างเล็กๆของเด็กวัยสามขวบก็โผเข้ามาเกาะขาของเขาแล้วแหงนหน้าขึ้น ดวงตาวาววับจ้องมองก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณหนูรวิศ” แม่ของหัสดินเดินมาพร้อมกับสาวใช้ที่แทบจะวิ่งตามเด็กน้อยทรงพลังคนนี้ “รวิศ? เด็กคนนี้เหรอ” อัศวินมองเด็กน้อยแล้วก็ค่อยๆ นั่งลงเพื่อจ้องมองใบหน้าน้อยๆ ได้เต็มตา “อืม ก็เหมือนเจ้าวีร์ตอนเด็กๆอยู่นะ” “พ่อลูกกันก็ต้องหน้าตาเหมือนกันสิคะ” “ได้ข่าวว่าพาเมียกับลูกกลับมาบ้านก็เลยรีบมาดู” “ขอโทษนะคะ” รมิดาที่แถบจะวิ่งตามมารีบพูดขึ้นทันที “เด็กตื่นเต้นไปหน่อย เที่ยววิ่งเล็กไปทั่ว หนูจะสอนลูกให้ระวังกว่านี้” “อย่าไปดุเด็กนะ” อัศวินพูดกับรมิดา เขารู้ว่าเธอเคยเป็นเลขาของลูกชายมาก่อนและเขาเป็นคนหาทางขับไล่เธอไป “เด็กๆ ซนถึงจะดี จะได้ฉลาดและแข็งแรง” “รวิศเป็นเด็กดี!” เด็กน้อยพูดเสียงใส ทำให้คนรอบข้างต่างพากันหัวเราะชอบใจ อัศวินเองเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ บ้านหลังใหญ่ท
ผลการตรวจร่างกายของโมกข์ค่อนข้างดี แม้มีบางส่วนที่คุณหมอเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ไม่นับว่าเป็นอันตรายนักจึงสามารถเดินทางกลับบ้านได้ แต่กลับบ้านครั้งนี้หัสวีร์ขับรถตามกลับมาด้วย และเผื่อไม่ให้หญิงสาวเปลี่ยนใจ เขาขอร้องกึ่งบังคับให้รมิดานั่งรถคันเดียวกับเขา ส่วนรวิศอยู่กับโมกข์ “ก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้” เธอบ่นไม่จริงจังนัก “ให้พี่ขับรถคนเดียวไม่เป็นห่วงเหรอ” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “ที่บริษัทจะไม่มีปัญหาแน่นะคะ” “ระดับหัสวีร์แล้ว รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน” เขาหัวเราะในลำคอ สายตายังคงมองไปที่ถนนที่ออก “พี่ไม่ทำให้ลูกกับเมียต้องลำบากหรอก” จากที่เคยร่วมงานกัน เธอเชื่อว่าเขาทำได้ตามที่พูดจริง “พี่วีร์ขับรถเหมือนชำนาญเส้นทาง” “อื้ม คุณปู่กับย่าย้ายอยู่บ้านพักต่างอากาศนะ พี่มาหาท่านทุกเดือน พี่ชอบขับรถมาเอง” “เอ๊ะ แถวนี้...ใกล้บ้านฝนเลยค่ะ” “หือ? แปลกจริง หรือว่าจะเคยเป็นลูกค้าขนม จริงสิ น่าจะเป็นร้านขนมของฝนนะที่คุณย่าสั่งไปเลี้ยงเด็กๆ ที่งานวันเด็ก พี่ก็เลยได้เจอรวิศที่นั้น”
“นี่คือแม่ฝน ไม่ใช่เรนนี่ แม่ฝน...ฝน ลองพูดสิครับ แม่...ฝน พูดตามนะครับ แม่...ฝน” รมิดาถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมา เธอเคยพาลูกชายไปเดินเล่นพร้อมกับโมกข์และพี่ลาวัลย์ เด็กๆมันจะพูดว่า “นี่แม่ลาวัลย์ นี่แม่ฝน” เพราะเด็กทั้งสองมีแม่สองคน เด็กคนอื่นบางทีก็จำชื่อเธอกับพี่สาวสลับกัน เด็กน้อยจึงสอนคนอื่นๆ ว่า “นี่แม่ฝน นี่แม่ลาวัลย์” หัสวีร์ยิ้มเก้อแล้วก็ยอมพูดตามลูกชาย “ครับๆ แม่ฝน” “ดีมาก” รวิศตบแขนกำยำของผู้เป็นพ่อเลียนแบบจากในละครที่คุณยายเปิดให้ดู สองหนุ่มสาวต่างส่งยิ้มให้กัน เรื่องที่เข้าใจผิดยังต้องคุยกันให้เข้าใจอีกมาก แต่จะไม่มีการหนีปัญหาอีกแล้ว ภาพคนสามคนที่เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้มทำให้ลาวัลย์และธาตรีระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ส่วนโมกข์ยังนั่งอยู่บนรถเข็น หวังว่า...ทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี เหมือนเสียงหัวเราะของรวิศในเวลานี้ “โมกข์ตรวจเสร็จแล้วหรือคะ”รมิดาถามหลานชายที่นั่งอยู่บนรถเข็น สายตาของโมกข์มองไปที่น้องชายที่อยู่ในวงแขนของ ‘ลุงโลมา’ โมกข์ก็แค่เด็กอายุแปดขวบ เขาก็อยากมีคนอุ้มแบบนั้น แต่รู้ว่าทุกครั้งที่พูดหรือถา
“เด็กคนนี้...” “ค่ะ” หญิงสาวกอดลูกชายแน่นขึ้น “ตามสัญญา ฝนจะท้องไม่ได้” “พี่นึกว่าเรนนี่กินยาคุม” หญิงสาวค้อนเข้าให้ แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ค่ะ เรื่องทั้งหมดฝนผิดเอง ฝนไม่ได้ต้องการให้พี่วีร์รับผิดชอบเรื่องนี้” “เรนนี่!” เขาทั้งโมโหและเสียใจ “ที่ไปจากพี่เพราะท้องและคิดว่าพี่ไม่ต้องการเด็ก!” เขาเผลอตะคอกเสียงดังทำเอาหลายคนหันมามอง รมิดาเห็นท่าไม่ดีเลยอุ้มลูกเดินหลบออกมา หัสวีร์เสยผมอย่างหงุดหงิดแล้วสาวเท้าเดินตาม “คิดจะหนีอีกแล้วเหรอ” “เปล่าค่ะ พี่วีร์เสียงดังนี่คะ” รมิดาอุ้มลูกไว้แนบอกตั้งใจเดินออกมาด้านนอกที่เป็นสวนหย่อมสามารถเดินเล่นรับลมได้ แต่หัสวีร์กลับคิดว่าเธอจะหนีจึงก้าวเข้ามาดักหน้าขวางไว้ก่อน “ขอซื้อได้ไหม! ไอ้นิสัยพูดไม่ทันรู้เรื่องแล้วเดินหนีแบบนี้” “ก็บอกว่าไม่ได้หนี” รมิดาขึงตาโต้กลับ “แล้วขอซื้อได้ไหมคะ ไอ้นิสัยชอบเสียงดังใส่คนอื่นแบบนี้” หัสวีร์พยายามขมโทสะที่มีแล้วหันไปสบถหัวเสีย เขาหันหน้ากลับมาอีกทีก็เห็นแววตาของเด็กน้อยมีหยาดน้ำเอ่อคลอ หัวใจข
สายตาของลาวัลย์กับธาตรีมองเลยรมิดาไปยังผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่เดินตามหลังมา เมื่อวานคิดว่ารมิดาคงไปค้างกับไลลาจึงไม่ได้เซ้าซี้ถามให้มากความ แค่ได้รับข้อความว่าคืนนี้ไม่กลับห้องพัก ทั้งสองก็ไม่คิดว่าเช้านี้ผู้ชายคนนั้นจะมาปรากฏตัวที่นี่ด้วย “เอ่อ...คุณหัสวีร์ขอตามมาเยี่ยมน้องโมกข์ค่ะ” รมิดาพูดเสียงเบาไม่กล้าสบตากับพี่สาวและน้องชายที่อ้าปากค้างอยู่ “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเขาจำเด็กผู้ชายคนนั้นได้ หัสวีร์ก้าวไปด้านหน้าแล้วยกมือวางบนศีรษะของโมกข์อย่างเอ็นดู “ไม่เจอกันนาน โตขึ้นเยอะเลย” “สวัสดีครับคุณลุง” โมกข์ยกมือไหว้ เด็กชายก็จำได้เพราะคุณลุงคนนี้เป็นคนช่วยเรื่องเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลแห่งนี้ หัสวีร์ชื่นชมที่ครอบครัวเลี้ยงเด็กชายได้มีมารยาท สายตาเขาไปสะดุดกับเด็กชายตัวเล็กที่ยืนเกาะเสื้อของโมกข์อยู่ แววตากลมวาวจ้องมองครู่หนึ่งก่อนฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “คุณลุงโลมา” “ลุงโลมา?” หัสวีร์ถูกชะตากับเด็กน้อยคนนี้ เขาค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้าทำให้มองเด็กน้อยได้ถนัดเต็มสองตา “เรียกลุงเหรอ” “อื้ม..
หลังจากอยู่ในห้องเพื่ออาบน้ำอุ่นล้างคราบรักออกจากร่าง รมิดาก็มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบกาย ตอนที่ย้ายออกไปเธอเก็บเสื้อผ้าของตนไปเกือบหมด เหลือชุดที่ปักชื่อบริษัทอยู่สองสามตัวที่ไม่ได้เอาไป ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ หาเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะชุดที่ใส่ก่อนหน้านี้ถูกเขาฉีกออกจนสภาพกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว ร่างเนียนนุ่มก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง เธออุทานเบาๆ แม้จะรู้ว่าเป็นใครแต่ก็อดตกใจไม่ได้ จะทำเป็นใจแข็งไม่ถาม แต่ก็ทำไม่ได้ แค่มองเห็นรอยแดงช้ำจากน้ำมือเขา ใจก็อ่อนยวบลงไปทันที “กลับมาอยู่ข้างกายผม” “คะ” เธอเอี้ยวใบหน้าหันไปมอง แม้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าแต่แววตาของคนพูดจริงจัง “อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” เขาคงใช้น้ำเสียงเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งทำให้เธอนึกฉุนขึ้นมา “ไม่ได้ค่ะ” เธอพยายามขยับตัวออกแต่เขารัดวงแขนแน่นขึ้นร่างกำยำยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียวทำให้หญิงสาวหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเมื่อมีบางสิ่งกำลังแข็งขันดุนดันร่องก้นอยู่ “พี่วีร์!” เสียงหวานดุแต่เหมือนไม่ต่างจากเสียงครางนัก เขาพลิกร่างเธอมาเผชิญหน้าและตรึงเ
ริมฝีปากหยักทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว รมิดาได้แต่ส่งเสียงประท้วงอู้อี้เพราะเขาตะโบมจูบอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาเธอแทบหายใจไม่ทัน มือเล็กพยายามดันเขาออกแต่นั้นกลับยิ่งเหมือนยั่วยุให้เขาโกรธยิ่งขึ้น ใช่! หัสวีร์โกรธและโกรธมาก มันเป็นความรู้สึกเหมือนวันที่รู้ว่าเธอตั้งใจไปจากเขาโดยไม่บอกลา เธอทำให้เขารู้สึกเป็นคนโง่ที่จะปั่นหัวยังไงก็ได้ เธอยังคงยิ้มหัวเราะได้อย่างปกติผิดเขาที่แทบกลายเป็นคนบ้า เขาไม่รู้ว่าเธอจะกลับมาที่ห้องนี้อีกจนกระทั่งแม่บ้านโทรมาบอกเขา นั้นทำให้เขาตัดสินใจมารอที่ห้องนี้ เหมือนที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้งที่คิดว่าเธอจะกลับมา “อ๊ะ!” รมิดาร้องเสียงหลงเมื่อถูกเขากัดริมฝีปาก และถอนจูบทำให้เธอหอบหายใจจนตัวโยนเสียงสั่น เขาโกรธและนั้นเธอเข้าใจได้ อาจเพราะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีที่เธอเป็นฝ่ายทิ้งเขาไปก่อนที่เขาจะทิ้งเธอ บรรยากาศในห้องเร่าร้อนขึ้นทันที หัสวีร์หงุดหงิดไม่ทันใจจนเป็นฝ่ายกระชากเสื้อของเธอจนขาด หน้าอกอวบอิ่มปรากฏอยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่า...มันจะใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่อยู่กับเขา หรืออยู่กับเขามันลำบากจริงๆ พอไม่มีเขาอยู่...