ธาตรีนั่งข้างลาวัลย์พร้อมกับยื่นยาดมให้พี่สาวที่ร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำ รมิดาสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปหาด้วยฝีเท้ามั่นคง “อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ” รมิดาดุพี่สาวทำให้น้องชายเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มออกมาได้ “พี่ฝนมาแล้ว” “เวลานี้ไม่ควรร้องไห้ เราต้องเก็บแรงและตั้งสติไว้ก่อน” เธอเป็นลูกคนกลางแต่เหมือนเป็นคนโตที่แบกรับทุกอย่างในครอบครัว รวมทั้งในเวลาแบบนี้ “มันเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ว่างหน้าห้องฉุกเฉิน “โมกข์แข็งแรงดีไม่ใช่เหรอ ยาประจำตัวก็กินครบไปหาหมอไม่ขาด แล้วตรวจครั้งล่าสุดหมอก็บอกว่าคือโรค G6PD ไม่ได้น่ากลัวไม่ใช่เหรอ” “ครับ” ธาตรียกหลังมือเช็ดจมูกแล้วสูดน้ำมูกอีกครั้ง “วันนี้เล่นอยู่ในบ้าน อยู่ดีๆ ก็ชัก ตาลอยไม่ได้สติ พวกเรารีบพามาส่งโรงพยาบาล” รมิดาปรายตามองพี่สาวคนโตแล้วก็อ่อนใจ นี่ถ้าธาตรีไม่อยู่บ้าน สงสัยว่าหลานชายจะมาไม่ถึงโรงพยาบาลแน่ ไม่กี่นาทีต่อประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก “ญาติน้องโมกข์ค่ะ” พยาบาลสาวส่งเสียงเรียก “ค่ะ/ครับ” สามพี่น้องรีบสาวเท้
“พรุ่งไม่ต้องมาทำงานก็ได้ ผมให้เรนนี้หยุดงาน” ถ้อยคำของเขาเรียกสติของหญิงสาว รมิดาเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าห้องของตนแล้ว นี่เธอคงเหม่อลอยออกจากโรงพยาบาลจนกลับมาถึงห้องพัก ดวงตาแดงก่ำช้อนตาขึ้นมองเขา เธออ้าปากอยากจะส่งเสียงแต่กลับพูดไม่ออก หัสวีร์ถอนสายตาจากหญิงสาวแล้วเป็นฝ่ายเปิดประตูห้องให้เธอ จากนั้นมือใหญ่ก็ประคองไหล่พาคนใจลอยเข้าไปด้านใน “ผมไม่รู้อาการป่วยของหลานชายคุณ แต่โรงพยาบาลนั้นก็มีแพทย์เฉพาะทางอยู่ ตอนนี้คุณคงต้องรอฟังผลตรวจของคุณหมอให้แน่ชัดก่อนค่อยจัดการขั้นต่อไป” “ค่ะ...ขอบคุณค่ะ” เธอนั่งลงปลายเตียง แล้วถอนหายใจเบาๆ “น้องโมกข์ไม่แข็งแรงมาตั้งแต่กำเนิดคลอดก่อนกำหนดและโรค G6PD ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม กว่าจะผ่านมาแต่ล่ะปีล้วนยากเย็น เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น พี่ลาวัลย์ต้องคอยดูแลใกล้ชิดจึงทำงานได้ไม่เต็มที่ และ...สามีไม่รับผิดชอบชีวิตน้อยๆที่เกิดขึ้น พวกเราสามคนพี่น้องช่วยเลี้ยงน้องโมกข์กันมาค่ะ ปีนี้เห็นแข็งแรงดีขึ้นได้ไปโรงเรียนได้มีเพื่อนเล่น ก็คิดว่าเขาน่าจะมีชีวิตที่เป็นปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ไม่คิ
ดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ถูกยื่นมาขวางการทำงานของรมิดา หญิงสาวหันไปมองอย่างหงุดหงิดแล้วก็ขมวดคิ้วด้วยงุนงงกับคนที่ยื่นให้ “ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่าจำผมไม่” ชายหนุ่มทำเสียงโอดครวญแล้วยิ้มทะเล้น “ผมนาธานไงครับ เราเคยเจอกันแล้วนะ” “ค่ะ ฉันจำคุณได้แต่ทำไมคุณมาพบฉันที่นี่ซึ่งเป็นที่ทำงานของฉัน และฉันมั่นใจว่าไม่ได้บอกคุณเรื่องพวกนี้” “ก็คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ผมก็ต้องตามหาคุณสิ” “วันนั้นฉันก็บอกไปแล้วนี้ว่าฉันไม่ติดใจอะไร แต่การที่คุณทำแบบนี้ทำให้ฉันไม่พอใจมากคุณกำลังก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของฉัน แล้วนี่รปภ.ปล่อยให้คุณเข้ามาได้ยังไง” “ก็แค่ยบอกว่ามาเจอเลขาของคุณหัสวีร์ รปภ.ก็ให้เข้ามาแล้วครับ” นาธานยังคงยิ้มไม่สนใจท่าทีเดือดดาลของอีกฝ่ายแล้วยื่นช่อดอกไม้ให้ รมิดาขมวดคิ้วยุ่งเหยิงยังไม่ยื่นมือไปรับ โต๊ะทำงานของเธออยู่หน้าห้องท่านประธาน และสายตาหลายคู่จ้องมองมาทางเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น“ถ้าฉันรับดอกไม้แล้วคุณจะกลับไปไหมคะ”“กลับครับ” เขายิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก“ค่ะ” รมิดาตัดปัญหาด้วยการรับช่อดอกไม้ของเขาหวังจะไล่อีกฝ่ายใ
สีหน้าประธานหนุ่มไม่ค่อยพอใจนัก ทำไมรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นเลขาสาวแต่งหน้าแต่งตาเติมแป้งเติมลิปสติก เธอยังคงรักษาระยะห่างไม่ใกล้เขามากเกินไปและไม่ได้ห่างจนเหมือนห่างเหิน หัสวีร์เดินเอามือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบายๆ เช่นทุกครั้ง เขาก้าวนำเธอไปที่ร้านอาหารที่อยู่ในบัตรเชิญ เพราะเป็นเลขาข้างกายประธานหนุ่มมานานเกือบห้าปี รมิดาที่สมัยเรียนเธอแทบไม่แต่งหน้าแค่ใช้ครีมบำรุงผิวแบบซอง เพราะต้องประหยัดทุกอย่าง เมื่อทำงานเป็นเลขาจะปล่อยให้ตัวเองจืดชืดก็ไม่ได้ ก็ยังดีที่เธอมีไลลาช่วยสอนทั้งเรื่องแต่หน้าทำผมและการแต่งตัว หลังเติมลิปสติกเพิ่มสีสันให้ริมฝีปากและแปรงผมให้เรียบร้อยแล้ว รมิดาสำรวจตัวเองอีกครั้งแล้วก้าวเท้ามาจากห้องน้ำของบริษัท ทิ้งเรื่องซุบซิบนินทาไว้ด้านหลังและเชิดใบหน้าขึ้นเหยียดแผ่นหลังตั้งตรงก้าวเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในแผนก คนอื่นอยากตีสนิทกับเธอก็เพราะผลประโยชน์ เธอคือคนที่ใกล้ชิดหัสวีร์ที่สุด และตอนนี้ทุกคนในแผนกได้ยินเรื่องที่เธอ ‘แต่งงานแล้ว’ ต่างก็อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็น ‘สามี’ ของเธอ “ลงทุนเหมือนกัน
หญิงสาวได้แต่ก้มมองข้อมือตัวเองที่ถูกจับไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เข้ามาในลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นไปชั้นบนและมันเลยชั้นที่เธออยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาห้องเจ้านายแต่ครั้งนี้...รู้สึกได้ถึงกรุ่นไอโทสะ แล้วเขาจะมาโกรธเธอเรื่องอะไรเล่า! “บอสค่ะ” รมิดาเรียกเขาได้แค่นั้น ร่างของเธอก็ถูกเขาเหวี่ยงเข้าไปในห้องทันทีที่ประตูเปิดออก และก่อนที่เธอจะส่งเสียงร้องตกใจบานประตูก็ประแทกปิดเสียงดังและริมฝีปากร้อนทาบทับลงมาจูบกลีบปากสวย มือใหญ่ประคองท้ายทอยบังคับไม่ให้หลบหนีได้พ้น เธอตกใจกับการถูกจู่โจมได้แต่ยกสองมือขึ้นดันไหล่แต่ไม่เป็นผล แรงขบกัดที่ริมฝีปากทำให้รู้ว่ากำลังลงโทษเธอ “อื้อ!” “อ๊ะ! ซี๊ด!” หัสวีร์ไม่คิดว่าเธอจะ ‘กัด’ ปากเขา จึงหลบไม่ทัน แววตาเธอไม่ได้หวาดกลัวแต่ตกใจและ ‘โกรธ’ ไม่แพ้กัน “บอสทำอะไร” รมิดาถามแล้วดันแผ่นออกเขาแต่อีกฝ่ายกลับกอดรัดแน่นขึ้น “ถามแปลก ก็ทำเรื่องที่ผัวเมียทำกันไง” “บอส!” ดวงตากลมขึงตาใส่แต่อีกฝ่ายยังยิ้มร้ายกาจออกมา “ฉันว่าจะถามตั้งแต่อยู่ที่ร้านแ
“น้าฝนกินขนมกัน” “เอ่อ...จ๊ะ” รมิดาตื่นจากภวังค์เห็นเห็นหลานชายตัวน้อยยื่นขนมจ่อถึงปาก หญิงสาวอ้าปากให้หลานชายป้อนให้ “อร่อยจัง” “ขนมของน้าฝนอร่อยที่สุด” เด็กชายโมกข์ยิ้มกว้างแล้วยื่นมือไปเช็ดมุมปากให้น้าคนสวย เขาทำเลียนแบบแม่ของตน “ใช่ๆ อะไรของน้าฝนก็ดีที่สุดนั้นแหละ” ธาตรีหัวเราะแล้วหิ้วตะกร้าผ้าเดินผ่านเผื่อเทในเครื่องซักผ้าเครื่องใหม่ ความเป็นอยู่ของบ้านดีขึ้นก็เพราะน้ำพักน้ำแรงของพี่สาวคนกลาง “โมกข์ไปช่วยน้าตรีซักผ้าก่อนนะลูก” “ครับคุณแม่” เด็กน้อยรับคำแข็งขันแล้ววิ่งถลาไปด้านหลังบ้าน ลาวัลย์มองแผ่นหลังของลูกจนลับตาแล้วจึงเอ่ยกับน้องสาว “พี่กลัวเรื่องผ่าตัดเหลือเกิน เราลองหาวิธีอื่นดีไหม” “แต่หมอบอกว่ายิ่งรักษาเร็ว โอกาสที่จะเป็นปกติก็สูงขึ้น เราไม่รู้ว่าสมองของโมกข์จะได้รับผลกระทบมากแค่ไหนถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ที่สำคัญเราไม่รู้ว่าเขาจะชักอีกตอนไหน ถ้าเขาชักตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วยจะทำยังไง” “พี่รู้...แต่ว่า...” “เรื่องค่ารัก
รมิดารู้สึกว่ามีคนยืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน เธอละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์แล้วมองชายที่ยืนอยู่ เลขาสาวสงบสติอารมณ์แล้วกดเซฟข้อมูลล่าสุดก่อนลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะท่านอัศวิน ศาตนันท์” ชายวัยประมาณห้าสิบที่ยังดูหนุ่มแน่นเลิกคิ้วอย่างประหลายใจ “ฉันไม่ได้เข้าออฟฟิศตั้งนานแล้ว ยังมีคนจำหน้าได้หรือนี่ ขนาดรปภ.ยังจะต้องให้ฉันแลกบัตรก่อนเข้ามาเลย” “เป็นรปภ.คนใหม่เลยจำท่านไม่ได้ค่ะ” รมิดาพูดด้วยรอยยิ้มนอบน้อม “คุณหัสวีร์ยังไม่เข้าออฟฟิศ ท่านจะรอที่ห้องก่อนไหมคะ “อืม” หนุ่มใหญ่พยักหน้ารับแล้วกวาดตามองหญิงสาวตรงหน้า “นี่เธอก็คือเลขาที่ไอ้วีร์มันเลือกใช่ไหม” “ค่ะ ดิฉันเอง” “ก็สวยดี” อัสวินพยักหน้าอีกรอบแล้วเดินไปที่ห้องทำงานของลูกชาย “เธอ...ตามฉันมา” “ค่ะ” รมิดาเก็บสีหน้าตัวเองได้มิดชิด เดินนำไปเปิดประตูให้อัศวิน-บิดาของหัสวีร์เจ้านายสายตรงของเธอ อัศวินเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน ห้องนี้เคยเป็นที่ทำงานของเขามาก่อนยกตำแหน่งนี้ให้ลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาคนแรก ในช่วงแรกที่ยกบ
“คุณรมิดา” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก เธอกำลังเดินออกจากหน้าร้านคอฟฟี่ช็อปพร้อมกับถุงใส่เครื่องดื่ม เธอมองเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ถอดแว่นกันแดดแล้วเดินตรงมาหา “สวัสดีค่ะคุณนาธาน” รมิดาจะยกมือไหว้แต่ติดที่ถือถุงเครื่องดื่มอยู่ นาธานยิ้มแล้วโบกมือไปมา “เพื่อนกันไม่ต้องไหว้หรอกครับ” เขาสาวเท้าเข้ามาแล้วหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาว “เพื่อน?” เธอทวนคำที่ได้ยิน ไปเป็นเพื่อนกันตอนไหน แต่ท่าทางของเธอทำเอาเขาหัวเราะในลำคอ “เอาน่า ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ เราต้องเป็นเพื่อนกันก่อนถึงจะเป็นมากกว่าเพื่อนได้” “คุณนี่ยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอีกหรือคะ” เธออ่อนใจกับคนช่างตื้ออย่างเขาเหลือเกิน “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงสาว หรือมีฐานะและไม่มีอิทธิพลอะไรที่คุณต้องลงทุนมาตามตื้อแบบนี้หรอกนะคะ” “คุณฝนอย่าด้อยค่าตัวเองแบบนั้นสิครับ” เขายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “แล้วผมก็ไม่แคร์ถ้าคุณเคยแต่งงานมาก่อน” “ไม่ใช่เคยค่ะ ตอนนี้สถานะของฉันก็คือสมรสอยู่” “แต่อนาคตก็ไม่แน่นี่ครับ” “ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะ” รมิดาแปล
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่
หัสดินแทบจะทิ้งรถมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ที่เวลานี้มีคนเข้ามากันมากหน้าหลายตา เขารู้ดีว่านี่เป็นการระดมกำลังคนเต็มที่เพื่อตามหาทายาทตระกูลศาตนันท์ ทันทีที่ได้รู้ข่าวว่ารวิศถูกลักพาตัวเขาก็รีบขับรถกลับมาที่บ้านทันที เมื่อก้าวเข้ามาในห้องจึงเห็นรมิดานั่งอยู่กับแม่ของเขา “เป็นไงบ้าง” หัสดินถามพี่สะใภ้ที่นั่งหน้าซีดด้วยความเป็นห่วง “ทุกคนกำลังออกติดตามคุณหนูรวิศอยู่ลูก” ชายหนุ่มนั่งลงด้านข้างแล้วจับแตะหลังมือของพี่สะใภ้ “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่สิ รู้ว่าเป็นห่วงแต่เชื่อใจพี่วีร์และคนในครอบครัวของเราเถอะ ผู้ชายบ้านนี้ไม่ยอมให้ใครมากระตุกหนวดได้ง่าย” รมิดาพยายามยิ้มแต่ยิ้มได้ยากเต็มที ใครจะคิดว่าลูกอยู่ในสายตาแท้ๆ ยังถูกคนอุ้มขึ้นรถตู้ได้ง่ายดายขนาดนี้ ทันทีที่เกิดเรื่อง หัสวีร์สั่งการให้คนออกติดตามทันที เขาให้คนขับรถส่งเธอกลับมารอฟังข่าวที่บ้าน ส่วนตัวเขาเร่งติดตามรถคนนั้นไป และดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเตรียมการไว้ดี เพราะมีการเปลี่ยนรถตู้ ทำให้คลาดกันจนได้ เธอรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาคร่ำครวญใดๆ ต้องตั้งสติและเตรียมตัวให้พร้อม
หญิงสาวสวมชุดสูทเข้ารูปเรียบหรูตัดเย็บประณีตจากห้องเสื้อ ‘ไลลา’ เธอสวมรองเท้าส้นเตี้ยและถือไอแพดเดินเข้ามาในห้องผู้จัดการ แต่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นมีเจ้าของร่างของท่านประธานบริษัทนั่งอยู่ก่อนแล้ว “ท่านประธานนั่งผิดที่หรือว่ามาจับผิดการทำงานของดิฉันคะ” หัสวีร์ได้ยินแล้วก็ไม่อาจตีหน้าเคร่งครึมได้ไหว มุมปากยกยิ้มแล้วตบที่ตักของตน เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่ร่างอวบอิ่มจะเดินเข้าไปแล้วนั่งบนตักแกร่งของประธานบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟ “พี่แค่เป็นห่วงว่าฝนจะทำงานไหวไหมเลยมาดู” หัสวีร์กอดภรรยาไว้หลวมๆ “มีใครรังแกหรือเปล่า” “ใครจะกล้ารังแกภรรยาคุณหัสวีร์ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วจุ๊บแก้มเขาเร็วๆ ไปหนึ่งที “ขอบคุณที่ให้ฝนมาทำงานด้วยนะคะ” “อะไรที่ฝนอยากทำพี่ก็จะสนับสนุน แต่จำไว้อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป” เขาพูดแล้ววางมือบนหน้าท้องของหญิงสาว “เมื่อไหร่ลูกจะมานะ” “ใจร้อนจัง” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วลุกขึ้นยืนเอื้อมมือไปฉุดชายหนุ่มให้ลุกจากเก้าอี้ทำงานของเธอ “คราวที่แล้วพี่ยังไม่ทันเตรียมตัวเล
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช