“คุณรมิดา” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก เธอกำลังเดินออกจากหน้าร้านคอฟฟี่ช็อปพร้อมกับถุงใส่เครื่องดื่ม เธอมองเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ถอดแว่นกันแดดแล้วเดินตรงมาหา “สวัสดีค่ะคุณนาธาน” รมิดาจะยกมือไหว้แต่ติดที่ถือถุงเครื่องดื่มอยู่ นาธานยิ้มแล้วโบกมือไปมา “เพื่อนกันไม่ต้องไหว้หรอกครับ” เขาสาวเท้าเข้ามาแล้วหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาว “เพื่อน?” เธอทวนคำที่ได้ยิน ไปเป็นเพื่อนกันตอนไหน แต่ท่าทางของเธอทำเอาเขาหัวเราะในลำคอ “เอาน่า ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ เราต้องเป็นเพื่อนกันก่อนถึงจะเป็นมากกว่าเพื่อนได้” “คุณนี่ยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอีกหรือคะ” เธออ่อนใจกับคนช่างตื้ออย่างเขาเหลือเกิน “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงสาว หรือมีฐานะและไม่มีอิทธิพลอะไรที่คุณต้องลงทุนมาตามตื้อแบบนี้หรอกนะคะ” “คุณฝนอย่าด้อยค่าตัวเองแบบนั้นสิครับ” เขายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “แล้วผมก็ไม่แคร์ถ้าคุณเคยแต่งงานมาก่อน” “ไม่ใช่เคยค่ะ ตอนนี้สถานะของฉันก็คือสมรสอยู่” “แต่อนาคตก็ไม่แน่นี่ครับ” “ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะ” รมิดาแปล
มือใหญ่แข็งแกร่งจับเอวคอดไว้มั่นแล้วยกร่างเพรียวบางที่มีเพียงผ้าขนหนูพันกายขึ้นนั่งบนโต๊ะอาหารในห้องขนาดเล็ก ทุกการขยับตัวยิ่งทำให้สองร่างบดเบียดกันแนบชิด มือเล็กพยายามดันแผ่นอกกำยำแต่ไม่เป็นผล รมิดาพยายามเบือนหน้าหนีแต่มือข้างหนึ่งของเขาบังคับท้ายทอยไว้ไม่ให้หลบลิ้นร้อนของเขาได้ “อื้อ!” ยิ่งต่อต้านยิ่งทำให้อารมณ์เดือดพล่าน! หัสวีร์ขยี้จูบอย่างดุดัน ขบกัดริมฝีปากช่างโต้เถียงจนหญิงสาวส่งเสียงประท้วง เขาผละจากริมฝีปากแล้วจูบไหล่เนียนพลางกระตุกผ้าขนหนูผืนนั้นออก “พี่วีร์” รมิดาร้องห้ามเสียงหลง เธอเพิ่งออกจากห้องน้ำยังไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยและแน่ล่ะ ใครจะไปคิดว่าจะมีคนบุกเข้ามาในห้องตัวเองแบบนี้ “ถ้าไม่โดนจูบก็จำไม่ได้สินะว่าผัวชื่ออะไร” เขากัดไปที่ซอกคอหนึ่งทีทำให้เป็นรอยแดงเรื่อขึ้นมา “หรือต้องให้ย้ำว่าเราเป็นอะไรกัน” รมิดาส่ายหน้าไปมารัวๆ แต่มันไม่ช่วยอะไรเลย เพราะเขาก้มหน้าลงดูดดึงปลายถันอย่างแรง หญิงสาวกัดฟันแน่นไม่อยากส่งเสียงน่าอายออกมา แต่ยิ่งเธอกลั้นเสียงร้องมากเท่าไหร่ เขายิ่งดูดดึงแรงขึ้นเท่านั
คนมาชอบนั่งร้านเหล้า วันนี้ต้องมานั่งเฝ้าพี่ชายต่างแม่ที่ดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่า หัสดินเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว แยกแก้วเหล้าออกจากมือพี่ชาย “เป็นอะไรไปเนี้ย” น้องชายบ่นแล้ววางแก้วเหล้าห่างมือพี่ชาย “ไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเรนนี่เหรอ อยู่คอนโดเดียวกันน่าจะมีเวลาคุยกันนี่” ข่าวซุบซิบในบริษัทมีเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง เรื่องระหว่างประธานบริษัทกับเลขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดัง แน่นอนว่ามันกระทบถึงตำแหน่งการงาน ทุกคนจึงได้แต่แสร้งก้มหน้าทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ “อื้ม” หรือเพราะอยู่ใกล้กันมากเกินไป รมิดาเป็นฝ่ายวางตัวได้เย็นชาห่างเหิน เธอทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้น ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติไม่มีบกพร่อง ที่เพิ่มขึ้นก็คือเขากับเธอเดินทางไปกลับพร้อมกัน และความสัมพันธ์ยามค่ำคืน เขารั้งเธอไว้ในอยู่บนเตียงเดียวกันจน แต่ก่อนเขาตื่น เธอก็ลงจากเตียงอย่างเงียบเฉียบกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กลายร่างเป็นเลขาผู้แสนเย็นชาอีกครั้ง “คือ...” หัสดินอึกอักแล้วรู้สึกเขินอายไม่น้อยที่ต้องถามเรื่องพวกนี้ “พี่กับ
“ทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่น ที่แท้ก็จับผู้ชายรวยนั้นแหละ” “อย่าเสียงดังไป ยังไงก็เป็นผู้หญิงของท่านประธาน” “หึหึ” รมิดาได้ยินทุกอย่างแต่ก็ยังทำเป็นไม่ได้ยิน เธอเดินเลี่ยงออกมานั่งพักผ่อนที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่ เธอไม่สูบบุหรี่แต่มุมนี้ไม่ค่อยมีคนนัก ทำให้เธอได้ผ่อนคลายจากการงานเคร่งเครียด เมื่อครั้งที่ทำงานใหม่ๆ เธอก็แอบปาดน้ำตาอยู่บ้าง แต่ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอยืนในตอนนั้นเธอไม่กล้าโต้ตอบ กลัวจะไม่ผ่านโปรฯ กลัวจะไม่ได้ทำงานที่เงินเดือนสูงขนาดนี้ นอกจากไลลาเพื่อนสนิทแล้วเธอก็ไม่เคยเล่าปัญหาสังคมที่ทำงานที่เจออยู่ แต่เพราะต้องกอดตำแหน่งนี้ให้นานที่สุด เธอจึงอดทนและอดทนจนกลายเป็นด้านชากับคำนินทาเหล่านี้ เลขาสาวหยิบถุงกระดาษใบน้อยวางบนตักแล้วเปิดถุงหยิบเอาแซนวิชกับน้ำผลไม้ออกมา มันเป็นของว่างที่เสิร์ฟในห้องประชุม หลังประชุมเสร็จมีของว่างเหลืออยู่หลายชุด และเหมือนเดิม เธอหยิบของเหลือใส่ถุงมานั่งกินคนเดียวแบบนี้ ช่วงนี้หัสวีร์ยุ่งกับเรื่องอะไรไม่รู้ เขาไม่พูดเธอก็ไม่ถาม เธอไม่มีหน้าที่หรือสิทธิ์ที่จะไปคาดคั้นเขา แม้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหม
ปกติรมิดาไม่ใช่คนชอบเข้าวัดทำบุญ ผิดกับพี่ลาวัลย์ที่ทำบุญแทบทุกวันพระ ถ้าเธอจะทำบุญเธอก็เลือกที่มันหักลดหย่อนภาษีได้หรือไม่บริจาคเงินที่โรงพยาบาลหรือสถานสงเคราะห์มากกว่าวัด แต่วันนี้ธาตรีโทรมาชวนไปไหว้พระถวายสังฆทานก่อนที่น้องโมกข์จะเข้ารับการผ่าตัด รมิดากลับไม่ปฏิเสธและยังให้น้องชายช่วยเตรียมของสังฆทานให้ด้วย ลาวัลย์แปลกใจที่เห็นน้องสาวมาทำบุญที่วัด แต่ก็ดีใจที่เห็นรมิดามาพร้อมกัน รมิดาไม่อยากให้หลานลำบากจึงเรียกแท็กซี่มารับ และเดินทางไปวัดที่ไม่ไกลบ้านนัก ตลอดการถวายสังฆทาน กรวดน้ำและรับพรจากหลวงพ่อแล้ว สามพี่น้องและหนึ่งหลานตัวน้อยก็ตั้งใจไปปล่อยท่าท่าน้ำของวัด ซึ่งธาตรีไปซื้อปลาหน้าเขียงมาปล่อย “ผมศึกษามาดีแล้ว ปลาหมอไทย ควรปล่อยในลำคลอง หนอง บึง ที่มีน้ำไหลไม่แรงมาก และมีกอหญ้าอยู่ริมตลิ่ง ที่วัดนี้เหมาะกับปลาหมอที่สุด” “ปล่อยปลา โมกข์จะปล่อยปลา” “ตรีพาหลานไปปล่อยปลา ระวังหลานตกน้ำด้วย” “ทราบแล้วครับ” ธาตรีจูงมือหลานไปที่ท่าน้ำแล้วค่อยๆ เทถุงพลาสติกที่มีปลาหมออยู่สิบกว่าตัวลงน้ำ ลาวัลย์มาที่วัดน
“ทำไมต้องแบบนี้ด้วยค่ะ” เธอถอนหายใจเบาๆ “แล้วไม่รังเกียจเหรอคะ ฉัน...ทำตัวแบบนั้นแลกเงิน” “มันขึ้นอยู่กับว่า คุณทำไปเพื่ออะไรต่างหาก” นาธานยักไหล่ “ให้ผมช่วยคุณนะครับ” รมิดาจำไม่ได้เลยว่าชีวิตเธอเคยมีใครพูดแบบนี้ไหม ความหวั่นไหวเกิดขึ้นในอก เธอไม่ได้หวั่นไหวเพราะเขาแต่เพราะรู้ว่าหัวใจต้องการอะไร เธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการคนเข้าใจ ใส่ใจ ให้กำลังใจ ต่อให้เธอเป็นสาวแกร่งแค่ไหนก็เถอะ “ขอบคุณนะคะ แต่เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้” “ครับ” นาธานยิ้มจากใจจริง “ผมแค่อยากให้คุณฝนรู้ว่าผมคิดยังไงกับคุณฝน แล้วก็...ไม่เคยเห็นคุณฝนเป็นสิ่งของที่ใช้เดิมพันในสนามแข่ง” “คุณพูดเรื่องอะไรคะ เดิมพันอะไร แข่งอะไร” “อ้าว ...นี่หัสวีร์ไม่ได้บอกคุณฝนเหรอครับ เขาท้าแข่งรถกับผม ถ้าผมแพ้ต้องไปจากชีวิตคุณ” “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” เธอรำพึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัสวีร์จะทำแบบนั้น “คุณฝน ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นยังไง ผมอยากบอกคุณว่าผมจริงใจกับคุณ และคุณมีค่ามากกว่าเป็นของเดิมพัน” เสียงสูดลมหายใจลึกดังขึ้
หัสดินถอดผ้ากั้นเปื้อนแล้วเดินออกมาด้านนอก สายตาปะทะกับร่างของเพรียวบางที่คุ้นเคย วันนี้เธอไม่ได้สวมชุดกระโปรงเรียบร้อยตามแบบฉบับเลขาสาวข้างกายพี่ชายของเขา แต่เป็นเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีอ่อน ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าทำให้ดูอ่อนวัยราวเด็กสาววัยรุ่น “เรนนี่” “คุณดิน” รมิดาเดินเข้ามาใกล้ไม่อาจเก็บความร้อนรนไว้ได้ “คุณดินรู้เรื่องคุณหัสวีร์แข่งรถหรือเปล่าคะ” “เอ่อ...” ถูกจู่โจมเข้าอย่างจัง หัสดินได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเชิญให้เธอเดินตามเขาไปนั่งในห้องผู้จัดการร้าน ซึ่งก็เป็นห้องทำงานของเขา แต่เขาชอบการทำอาหารมากกว่าจึงอยู่แต่ในครัวเป็นส่วนใหญ่ “นั่งก่อนครับ” หญิงสาวจำใจนั่งที่เก้าอี้ หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอ่ย “พี่วีร์ไม่ให้ผมบอกเรนนี่” “แต่ฉันต้องรู้เรื่องนี้” มือเล็กกำแน่น “เรนนี่” หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คุณก็รู้ว่าพี่ชายผมขับรถแข่งมาก่อน และที่ผ่านมาเขาไม่ได้เข้าแข่งขันแต่ก็ไม่เคยห่างสนามแข่งเลย” “ฉันเป็นห่วงคุณวีร์ รู้ว่าเขาเก่งก็ยังเป็นห่วง” “เพราะเ
“ก็บอกให้ไปหาหมอไง ทำไมดื้อแบบนี้นะ” “ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนี่คะ ทำไมดื้อแบบนี้นะ” หัสดินหน้านิ่งไปไม่คิดว่ารมิดาจะยอกย้อนด้วยประโยคเดิมของเขา หลังจากเขาขับรถเข้าเส้นชัย รมิดาก็หน้ามืดเป็นลมไป เจ้าที่ข้างสนามเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นได้สติ แล้วทั้งสองกฌโต้เถียงกันเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมไปโรงพยาบาลตามที่เขาสั่ง “นี่เป็นคำสั่งของผม” “นี่ไม่ใช่เวลางานค่ะ” เธอเชิดหน้าท้าทาย หัสดินได้แต่ยกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนปะทะอารมณ์กันมากไปกว่านี้ “เอาล่ะๆ เอาไว้ไปหาหมอที่หลังก็ได้” “เดี๋ยวนี้!” “ไม่ไปค่ะ” “ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันนอกบ้านแบบนี้สิ มีอะไรก็ไปคุยกันบนเตียง” ถ้อยคำของหัสดินทำเอารมิดาใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมา แต่ก็ทำให้หัสวีร์ระบายลมหายใจเบาๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน้าซีดแบบเมื่อครู่ “จริงๆเลย” ไม่คิดว่าเวลาดื้อจะดื้อได้ขนาดนี้ “ก็ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” เธอเริ่มเสียงเบาลง “เป็นหมอหรือไงวินิจฉัยตัวเองได้” “ก็เพราะใครทำให้นอ
หัสวีร์ประหลาดใจที่หน้าห้องทำงานมีโต๊ะเพิ่มและยังมีคนที่เป็น ‘เลขา’ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุก็พอๆ ก็รมิดา แต่ทำไมเขาเห็นแล้วหงุดหงิดจนพาลโมโหก็ไม่รู้ “ชื่อปอไหมค่ะ เรียกปอก็ได้ค่ะ คุณอาอัศวินให้ปอมาทำหน้าที่เลขาพี่วีร์ค่ะ “คุณ...เข้ามาคุยข้างใน” “ค่ะ” รมิดาจำใจเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเขาล็อกประตู เมื่อเธอหันมาก็เป็นจังหวะที่เขาจับเอวคอดขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานของเขา “พี่วีร์!” ยังดีที่เธอเรียกชื่อเขา ไม่งั้นเขาจะยิ่งโกรธมากกว่านี้ “ผมหรือพ่อเป็นเจ้านายของคุณ” มือแข็งแกร่งเลื่อนจากเอวมาสัมผัสกลีบปากของหญิงสาว รมิดาเอนหลังถอยหนีแต่เขายื่นหน้าตามไปใกล้ “ว่าไง” “พี่วีร์ค่ะ” “รู้แล้วทำไมให้คนอื่นมาวุ่นวายแบบนี้” “นั้นคุณพ่อพี่วีร์นะคะ แล้วก็ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย ถ้าไม่ทำตามก็เกรงว่า...” “แล้วทำไมไม่รายงานผมก่อน” “พี่วีร์ยุ่งอยู่นี่คะ” “ผมยุ่งอะไร ตารางงานของผมค
ข่าวดาราดังเดินทางกลับเมืองไทยกระจายไปทั่วสื่อทุกสื่อ ดาราสาวสวมชุดดำไว้ทุกข์ใบหน้ามีรอยเศร้าแต่ยังระบายยิ้มจางๆ เมื่อถูกสื่อซักถามก็เพียงแค่ยิ้ม ภาพที่ออกสื่อหลายภาพจะเห็นชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง เดาได้ไม่ยากว่าเป็นประธานหนุ่มคนหนึ่งที่เคยมีข่าวคบหากันมาก่อนที่ดาราสาวจะบินไปดูบิดาที่ป่วยหนักอยู่ต่างประเทศ รมิดาชินชากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในแผนก เธอหยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินเข้าห้องท่านประธานด้วยใบหน้าเรียบเฉย หัสวีร์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหรี่ตามองเลขาอย่างจับผิดก่อนเอ่ยถาม “ทำไมแต่งหน้าจัด” “แต่งหน้าผิดระเบียบหรือคะ” เธอเถียงไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่าตัวเองค่อนข้างหน้าซีดไม่อยากให้คนอื่นทักจึงแต่งหน้าเข้มกว่าปกติ ตั้งแต่รู้ว่าตั้งท้องเธอก็ศึกษาหลายเรื่องทั้งเรื่องเครื่องสำอางหรือแม้แต่ครีมบำรุงผิว เพราะกลัวว่าลูกจะได้รับสารที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง แต่ถ้าไม่แต่งเลยก็เกรงว่าสภาพเธอตอนนี้จะเป็นซอมบี้เสียมากกว่า “ช่างเถอะ อย่าให้มันจัดนักก็พอ” อาจเพราะเคยชินกับการที่เธอแต่งหน้าบางๆ ยกเว้นเวลาออกงานข้างกายเขา “
“ไม่ต้องกลัวนะ ตื่นมาก็จะเจอน้าอยู่ตรงนี้” เด็กชายห้าขวบยิ้มตาหยีให้น้าสาวกับน้าชายที่มาส่งก่อนเข้าห้องผ่าตัด ลาวัลย์ลูบแก้มลูกชายเบาๆ แล้วปล่อยให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผ่านไป คนเป็นแม่พนมมือแล้วอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การผ่าตัดครั้งนี้ราบรื่นด้วยดี “พี่ฝน …สีหน้าไม่ดีเลย ไปนั่งพักก่อนดีกว่า” ธาตรีเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พี่สาวเขาแข็งแรงก็จริง ปกติแทบไม่เคยเห็นเจ็บป่วย แต่วันนี้มาส่งน้องโมกข์เข้าห้องผ่าตัด แต่ตัวเองกลับหน้าซีดกว่าคนป่วยเสียอีก “นั้นสิ ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย” ลาวัลย์เข้าไปประคองไหล่น้องสาวแต่ร่างเล็กทรุดฮวบลง น้องชายที่อยู่ใกล้ตาเร็วเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน “ยัยฝน” “คุณพยาบาล ช่วยด้วยครับ” “มะ..ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ” “ไม่เป็นไรได้ไง หน้ามืดเป็นลมอยู่ตำตา” ธาตรีดุพี่สาว เป็นจังหวะที่บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นมาให้ เชาจึงประคองพี่สาวนั่งรถเข็น “มาถึงโรงพยาบาลแล้วก็ตรวจไปเลย” “ไม่ต้องตรวจอะไรหรอกแค่หน้ามืด” “ไม่ได้ พี่ฝนเคยเป็นอะไรแบบนี้เสียทีไหน ทำงานมาก็ร
“ก็บอกให้ไปหาหมอไง ทำไมดื้อแบบนี้นะ” “ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนี่คะ ทำไมดื้อแบบนี้นะ” หัสดินหน้านิ่งไปไม่คิดว่ารมิดาจะยอกย้อนด้วยประโยคเดิมของเขา หลังจากเขาขับรถเข้าเส้นชัย รมิดาก็หน้ามืดเป็นลมไป เจ้าที่ข้างสนามเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นได้สติ แล้วทั้งสองกฌโต้เถียงกันเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมไปโรงพยาบาลตามที่เขาสั่ง “นี่เป็นคำสั่งของผม” “นี่ไม่ใช่เวลางานค่ะ” เธอเชิดหน้าท้าทาย หัสดินได้แต่ยกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนปะทะอารมณ์กันมากไปกว่านี้ “เอาล่ะๆ เอาไว้ไปหาหมอที่หลังก็ได้” “เดี๋ยวนี้!” “ไม่ไปค่ะ” “ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันนอกบ้านแบบนี้สิ มีอะไรก็ไปคุยกันบนเตียง” ถ้อยคำของหัสดินทำเอารมิดาใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมา แต่ก็ทำให้หัสวีร์ระบายลมหายใจเบาๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน้าซีดแบบเมื่อครู่ “จริงๆเลย” ไม่คิดว่าเวลาดื้อจะดื้อได้ขนาดนี้ “ก็ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” เธอเริ่มเสียงเบาลง “เป็นหมอหรือไงวินิจฉัยตัวเองได้” “ก็เพราะใครทำให้นอ
หัสดินถอดผ้ากั้นเปื้อนแล้วเดินออกมาด้านนอก สายตาปะทะกับร่างของเพรียวบางที่คุ้นเคย วันนี้เธอไม่ได้สวมชุดกระโปรงเรียบร้อยตามแบบฉบับเลขาสาวข้างกายพี่ชายของเขา แต่เป็นเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีอ่อน ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าทำให้ดูอ่อนวัยราวเด็กสาววัยรุ่น “เรนนี่” “คุณดิน” รมิดาเดินเข้ามาใกล้ไม่อาจเก็บความร้อนรนไว้ได้ “คุณดินรู้เรื่องคุณหัสวีร์แข่งรถหรือเปล่าคะ” “เอ่อ...” ถูกจู่โจมเข้าอย่างจัง หัสดินได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเชิญให้เธอเดินตามเขาไปนั่งในห้องผู้จัดการร้าน ซึ่งก็เป็นห้องทำงานของเขา แต่เขาชอบการทำอาหารมากกว่าจึงอยู่แต่ในครัวเป็นส่วนใหญ่ “นั่งก่อนครับ” หญิงสาวจำใจนั่งที่เก้าอี้ หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอ่ย “พี่วีร์ไม่ให้ผมบอกเรนนี่” “แต่ฉันต้องรู้เรื่องนี้” มือเล็กกำแน่น “เรนนี่” หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คุณก็รู้ว่าพี่ชายผมขับรถแข่งมาก่อน และที่ผ่านมาเขาไม่ได้เข้าแข่งขันแต่ก็ไม่เคยห่างสนามแข่งเลย” “ฉันเป็นห่วงคุณวีร์ รู้ว่าเขาเก่งก็ยังเป็นห่วง” “เพราะเ
“ทำไมต้องแบบนี้ด้วยค่ะ” เธอถอนหายใจเบาๆ “แล้วไม่รังเกียจเหรอคะ ฉัน...ทำตัวแบบนั้นแลกเงิน” “มันขึ้นอยู่กับว่า คุณทำไปเพื่ออะไรต่างหาก” นาธานยักไหล่ “ให้ผมช่วยคุณนะครับ” รมิดาจำไม่ได้เลยว่าชีวิตเธอเคยมีใครพูดแบบนี้ไหม ความหวั่นไหวเกิดขึ้นในอก เธอไม่ได้หวั่นไหวเพราะเขาแต่เพราะรู้ว่าหัวใจต้องการอะไร เธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการคนเข้าใจ ใส่ใจ ให้กำลังใจ ต่อให้เธอเป็นสาวแกร่งแค่ไหนก็เถอะ “ขอบคุณนะคะ แต่เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้” “ครับ” นาธานยิ้มจากใจจริง “ผมแค่อยากให้คุณฝนรู้ว่าผมคิดยังไงกับคุณฝน แล้วก็...ไม่เคยเห็นคุณฝนเป็นสิ่งของที่ใช้เดิมพันในสนามแข่ง” “คุณพูดเรื่องอะไรคะ เดิมพันอะไร แข่งอะไร” “อ้าว ...นี่หัสวีร์ไม่ได้บอกคุณฝนเหรอครับ เขาท้าแข่งรถกับผม ถ้าผมแพ้ต้องไปจากชีวิตคุณ” “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” เธอรำพึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัสวีร์จะทำแบบนั้น “คุณฝน ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นยังไง ผมอยากบอกคุณว่าผมจริงใจกับคุณ และคุณมีค่ามากกว่าเป็นของเดิมพัน” เสียงสูดลมหายใจลึกดังขึ้
ปกติรมิดาไม่ใช่คนชอบเข้าวัดทำบุญ ผิดกับพี่ลาวัลย์ที่ทำบุญแทบทุกวันพระ ถ้าเธอจะทำบุญเธอก็เลือกที่มันหักลดหย่อนภาษีได้หรือไม่บริจาคเงินที่โรงพยาบาลหรือสถานสงเคราะห์มากกว่าวัด แต่วันนี้ธาตรีโทรมาชวนไปไหว้พระถวายสังฆทานก่อนที่น้องโมกข์จะเข้ารับการผ่าตัด รมิดากลับไม่ปฏิเสธและยังให้น้องชายช่วยเตรียมของสังฆทานให้ด้วย ลาวัลย์แปลกใจที่เห็นน้องสาวมาทำบุญที่วัด แต่ก็ดีใจที่เห็นรมิดามาพร้อมกัน รมิดาไม่อยากให้หลานลำบากจึงเรียกแท็กซี่มารับ และเดินทางไปวัดที่ไม่ไกลบ้านนัก ตลอดการถวายสังฆทาน กรวดน้ำและรับพรจากหลวงพ่อแล้ว สามพี่น้องและหนึ่งหลานตัวน้อยก็ตั้งใจไปปล่อยท่าท่าน้ำของวัด ซึ่งธาตรีไปซื้อปลาหน้าเขียงมาปล่อย “ผมศึกษามาดีแล้ว ปลาหมอไทย ควรปล่อยในลำคลอง หนอง บึง ที่มีน้ำไหลไม่แรงมาก และมีกอหญ้าอยู่ริมตลิ่ง ที่วัดนี้เหมาะกับปลาหมอที่สุด” “ปล่อยปลา โมกข์จะปล่อยปลา” “ตรีพาหลานไปปล่อยปลา ระวังหลานตกน้ำด้วย” “ทราบแล้วครับ” ธาตรีจูงมือหลานไปที่ท่าน้ำแล้วค่อยๆ เทถุงพลาสติกที่มีปลาหมออยู่สิบกว่าตัวลงน้ำ ลาวัลย์มาที่วัดน
“ทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่น ที่แท้ก็จับผู้ชายรวยนั้นแหละ” “อย่าเสียงดังไป ยังไงก็เป็นผู้หญิงของท่านประธาน” “หึหึ” รมิดาได้ยินทุกอย่างแต่ก็ยังทำเป็นไม่ได้ยิน เธอเดินเลี่ยงออกมานั่งพักผ่อนที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่ เธอไม่สูบบุหรี่แต่มุมนี้ไม่ค่อยมีคนนัก ทำให้เธอได้ผ่อนคลายจากการงานเคร่งเครียด เมื่อครั้งที่ทำงานใหม่ๆ เธอก็แอบปาดน้ำตาอยู่บ้าง แต่ไม่มีที่ให้คนอ่อนแอยืนในตอนนั้นเธอไม่กล้าโต้ตอบ กลัวจะไม่ผ่านโปรฯ กลัวจะไม่ได้ทำงานที่เงินเดือนสูงขนาดนี้ นอกจากไลลาเพื่อนสนิทแล้วเธอก็ไม่เคยเล่าปัญหาสังคมที่ทำงานที่เจออยู่ แต่เพราะต้องกอดตำแหน่งนี้ให้นานที่สุด เธอจึงอดทนและอดทนจนกลายเป็นด้านชากับคำนินทาเหล่านี้ เลขาสาวหยิบถุงกระดาษใบน้อยวางบนตักแล้วเปิดถุงหยิบเอาแซนวิชกับน้ำผลไม้ออกมา มันเป็นของว่างที่เสิร์ฟในห้องประชุม หลังประชุมเสร็จมีของว่างเหลืออยู่หลายชุด และเหมือนเดิม เธอหยิบของเหลือใส่ถุงมานั่งกินคนเดียวแบบนี้ ช่วงนี้หัสวีร์ยุ่งกับเรื่องอะไรไม่รู้ เขาไม่พูดเธอก็ไม่ถาม เธอไม่มีหน้าที่หรือสิทธิ์ที่จะไปคาดคั้นเขา แม้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหม
คนมาชอบนั่งร้านเหล้า วันนี้ต้องมานั่งเฝ้าพี่ชายต่างแม่ที่ดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่า หัสดินเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว แยกแก้วเหล้าออกจากมือพี่ชาย “เป็นอะไรไปเนี้ย” น้องชายบ่นแล้ววางแก้วเหล้าห่างมือพี่ชาย “ไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเรนนี่เหรอ อยู่คอนโดเดียวกันน่าจะมีเวลาคุยกันนี่” ข่าวซุบซิบในบริษัทมีเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง เรื่องระหว่างประธานบริษัทกับเลขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดัง แน่นอนว่ามันกระทบถึงตำแหน่งการงาน ทุกคนจึงได้แต่แสร้งก้มหน้าทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ “อื้ม” หรือเพราะอยู่ใกล้กันมากเกินไป รมิดาเป็นฝ่ายวางตัวได้เย็นชาห่างเหิน เธอทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้น ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติไม่มีบกพร่อง ที่เพิ่มขึ้นก็คือเขากับเธอเดินทางไปกลับพร้อมกัน และความสัมพันธ์ยามค่ำคืน เขารั้งเธอไว้ในอยู่บนเตียงเดียวกันจน แต่ก่อนเขาตื่น เธอก็ลงจากเตียงอย่างเงียบเฉียบกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กลายร่างเป็นเลขาผู้แสนเย็นชาอีกครั้ง “คือ...” หัสดินอึกอักแล้วรู้สึกเขินอายไม่น้อยที่ต้องถามเรื่องพวกนี้ “พี่กับ