“ก็บอกให้ไปหาหมอไง ทำไมดื้อแบบนี้นะ” “ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนี่คะ ทำไมดื้อแบบนี้นะ” หัสดินหน้านิ่งไปไม่คิดว่ารมิดาจะยอกย้อนด้วยประโยคเดิมของเขา หลังจากเขาขับรถเข้าเส้นชัย รมิดาก็หน้ามืดเป็นลมไป เจ้าที่ข้างสนามเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นได้สติ แล้วทั้งสองกฌโต้เถียงกันเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมไปโรงพยาบาลตามที่เขาสั่ง “นี่เป็นคำสั่งของผม” “นี่ไม่ใช่เวลางานค่ะ” เธอเชิดหน้าท้าทาย หัสดินได้แต่ยกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนปะทะอารมณ์กันมากไปกว่านี้ “เอาล่ะๆ เอาไว้ไปหาหมอที่หลังก็ได้” “เดี๋ยวนี้!” “ไม่ไปค่ะ” “ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันนอกบ้านแบบนี้สิ มีอะไรก็ไปคุยกันบนเตียง” ถ้อยคำของหัสดินทำเอารมิดาใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมา แต่ก็ทำให้หัสวีร์ระบายลมหายใจเบาๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน้าซีดแบบเมื่อครู่ “จริงๆเลย” ไม่คิดว่าเวลาดื้อจะดื้อได้ขนาดนี้ “ก็ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” เธอเริ่มเสียงเบาลง “เป็นหมอหรือไงวินิจฉัยตัวเองได้” “ก็เพราะใครทำให้นอ
“ไม่ต้องกลัวนะ ตื่นมาก็จะเจอน้าอยู่ตรงนี้” เด็กชายห้าขวบยิ้มตาหยีให้น้าสาวกับน้าชายที่มาส่งก่อนเข้าห้องผ่าตัด ลาวัลย์ลูบแก้มลูกชายเบาๆ แล้วปล่อยให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผ่านไป คนเป็นแม่พนมมือแล้วอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การผ่าตัดครั้งนี้ราบรื่นด้วยดี “พี่ฝน …สีหน้าไม่ดีเลย ไปนั่งพักก่อนดีกว่า” ธาตรีเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พี่สาวเขาแข็งแรงก็จริง ปกติแทบไม่เคยเห็นเจ็บป่วย แต่วันนี้มาส่งน้องโมกข์เข้าห้องผ่าตัด แต่ตัวเองกลับหน้าซีดกว่าคนป่วยเสียอีก “นั้นสิ ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย” ลาวัลย์เข้าไปประคองไหล่น้องสาวแต่ร่างเล็กทรุดฮวบลง น้องชายที่อยู่ใกล้ตาเร็วเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน “ยัยฝน” “คุณพยาบาล ช่วยด้วยครับ” “มะ..ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ” “ไม่เป็นไรได้ไง หน้ามืดเป็นลมอยู่ตำตา” ธาตรีดุพี่สาว เป็นจังหวะที่บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นมาให้ เชาจึงประคองพี่สาวนั่งรถเข็น “มาถึงโรงพยาบาลแล้วก็ตรวจไปเลย” “ไม่ต้องตรวจอะไรหรอกแค่หน้ามืด” “ไม่ได้ พี่ฝนเคยเป็นอะไรแบบนี้เสียทีไหน ทำงานมาก็ร
ข่าวดาราดังเดินทางกลับเมืองไทยกระจายไปทั่วสื่อทุกสื่อ ดาราสาวสวมชุดดำไว้ทุกข์ใบหน้ามีรอยเศร้าแต่ยังระบายยิ้มจางๆ เมื่อถูกสื่อซักถามก็เพียงแค่ยิ้ม ภาพที่ออกสื่อหลายภาพจะเห็นชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง เดาได้ไม่ยากว่าเป็นประธานหนุ่มคนหนึ่งที่เคยมีข่าวคบหากันมาก่อนที่ดาราสาวจะบินไปดูบิดาที่ป่วยหนักอยู่ต่างประเทศ รมิดาชินชากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในแผนก เธอหยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินเข้าห้องท่านประธานด้วยใบหน้าเรียบเฉย หัสวีร์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหรี่ตามองเลขาอย่างจับผิดก่อนเอ่ยถาม “ทำไมแต่งหน้าจัด” “แต่งหน้าผิดระเบียบหรือคะ” เธอเถียงไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่าตัวเองค่อนข้างหน้าซีดไม่อยากให้คนอื่นทักจึงแต่งหน้าเข้มกว่าปกติ ตั้งแต่รู้ว่าตั้งท้องเธอก็ศึกษาหลายเรื่องทั้งเรื่องเครื่องสำอางหรือแม้แต่ครีมบำรุงผิว เพราะกลัวว่าลูกจะได้รับสารที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง แต่ถ้าไม่แต่งเลยก็เกรงว่าสภาพเธอตอนนี้จะเป็นซอมบี้เสียมากกว่า “ช่างเถอะ อย่าให้มันจัดนักก็พอ” อาจเพราะเคยชินกับการที่เธอแต่งหน้าบางๆ ยกเว้นเวลาออกงานข้างกายเขา “
หัสวีร์ประหลาดใจที่หน้าห้องทำงานมีโต๊ะเพิ่มและยังมีคนที่เป็น ‘เลขา’ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุก็พอๆ ก็รมิดา แต่ทำไมเขาเห็นแล้วหงุดหงิดจนพาลโมโหก็ไม่รู้ “ชื่อปอไหมค่ะ เรียกปอก็ได้ค่ะ คุณอาอัศวินให้ปอมาทำหน้าที่เลขาพี่วีร์ค่ะ “คุณ...เข้ามาคุยข้างใน” “ค่ะ” รมิดาจำใจเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเขาล็อกประตู เมื่อเธอหันมาก็เป็นจังหวะที่เขาจับเอวคอดขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานของเขา “พี่วีร์!” ยังดีที่เธอเรียกชื่อเขา ไม่งั้นเขาจะยิ่งโกรธมากกว่านี้ “ผมหรือพ่อเป็นเจ้านายของคุณ” มือแข็งแกร่งเลื่อนจากเอวมาสัมผัสกลีบปากของหญิงสาว รมิดาเอนหลังถอยหนีแต่เขายื่นหน้าตามไปใกล้ “ว่าไง” “พี่วีร์ค่ะ” “รู้แล้วทำไมให้คนอื่นมาวุ่นวายแบบนี้” “นั้นคุณพ่อพี่วีร์นะคะ แล้วก็ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย ถ้าไม่ทำตามก็เกรงว่า...” “แล้วทำไมไม่รายงานผมก่อน” “พี่วีร์ยุ่งอยู่นี่คะ” “ผมยุ่งอะไร ตารางงานของผมค
“ทำไมพ่อวุ่นวายกับเรื่องของผมขนาดนี้” “ก็เพราะเป็นพ่อไง” อัศวินตอบแบบไม่ต้องคิดมากในขณะที่ภรรยารินเครื่องดื่มร้อนส่งให้ นางเงยหน้ามองหัสวีร์แล้วยิ้มน้อยๆ“คุณวีร์รับชาสมุนไพรไหมคะ”“ไม่ครับ ขอบคุณ” หัสวีร์ไม่มีปัญหาของแม่เลี้ยง มันไม่เหมือนในนิยายที่ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงต้องเข้ากันไม่ได้ แต่กับเขา -เขาเข้ากับแม่เลี้ยงและน้องชายคนล่ะแม่ได้อย่างดี แต่ที่เข้าไม่ได้กลับเป็นพ่อแท้ๆ ของตัวเอง “ถ้าเป็นปู่กับย่าผมยังพอเข้าใจ นี่เป็นพ่อ...พ่อที่ไม่เคยทำอะไรตามใจปู่แต่มาบังคับให้ผมทำตามใจพ่อนี่นะ” “ถ้าปู่ย่าแกรู้ก็ต้องไม่พอใจเหมือนพ่อนี่แหละ” คนเป็นพ่อยิ้มเยาะลูกชาย “ไม่ต้องเอาปู่กับย่าไปยุ่งด้วยหรอกนะ” เสียงปู่ดังเรียกสายตาของลูกและหลานให้หันไปมอง คนเป็นสะใภ้ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปช่วยประคองแม่สามีให้มานั่งที่โซฟาหรูกลางห้องนั่งเล่น “พ่อยังไม่รู้อะไร ไอ้วีร์มันแอบไปคว้าเลขามาทำเมีย” อัศวินทำเสียงหงุดหงิด “ผู้หญิงเอาไว้เป็นนางบำเรอหรือเมียเก็บก็พอ ไม่จำเป็นต้องยกย่องจดทะเบียนสมรสหรอก” “พ่อ!” หัสวีร์
หัสดินเปิดประตูคลินิกเข้าไปด้วยความคุ้นเคย เขาส่งยิ้มให้พยาบาลที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ก่อนยกกล่องขนมวางบนนั้น “วันนี้คุณดินมาส่งขนมเองเลยหรือคะ” “ผมมาธุระแถวนี้เลยแย่งหน้าที่ไรเดอร์มาส่งขนมเอง” หัสดินหัวเราะแล้วลอบมองในคลินิกซึ่งวันนี้ไม่ค่อยมีคนไข้นัก “หมอมีนติดคนไข้อยู่เหรอ” “ค่ะ คนเดียว คุณดินมีเรื่องมาปรึกษาหมอมีนหรือคะ” “เปล่าครับ ผมจะมีปัญหาอะไรมาปรึกษาหมอสูติฯได้ล่ะ” พยาบาลสาวหัวเราะ ครู่หนึ่งก็ขอตัวไปด้านใน หัสดินนั่งเล่นอยู่บริเวณนั้น เขาเป็นเพื่อนกับหมอมีนมาหลายปี รู้จักผ่านเพื่อนของเพื่อนที่แอบเชียร์ให้เขาจีบหมอคนสวย แต่พอได้คุยกันจริงๆ ถึงรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่าเป็นแฟน นอกจากเป็นเพื่อนแล้ว ยังเป็นลูกค้าขนมคนสำคัญของร้านด้วย “ยังไงก็ปฏิบัติตามที่หมอแนะนำนะคะ” “ขอบคุณค่ะ” หัสดินได้ยินเสียงเพื่อนสนิท แต่อีกเสียงก็คุ้นเคย แต่เขาหันหลังอยู่ไม่กล้าหันมามองเต็มตานัก ด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาทท
“ไปฝากท้องมาแล้ว กลับบ้านก่อนเถอะ” รมิดารีบบอกน้องชายเพราะธาตรีเป็นห่วงเรื่องนี้มาก คงเพราะเห็นพี่สาวผอมเกินไปเมื่อตอนที่พี่ลาวัลย์ตั้งครรภ์ยังอวบอิ่มกว่าเธอมาก หญิงสาวนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของน้องชายมาที่บ้านหลังเล็ก หลานโมกข์รออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรมิดามาก็โผเข้าใส่แต่ธาตรีรีบก้าวมาขวางไว้ก่อน“ระวังหน่อย น้าฝนไม่ค่อยสบาย” ธาตรีกลัวว่าถ้าพูดว่าพี่สาวท้องแล้วเดี๋ยวเจ้าตัวแสบจะเอาไปพูดเรื่อยเปื่อย แล้วเรื่องจะรู้ไปถึงหูของแม่ “พี่ฝนมาก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องปรึกษา”“อะไรเหรอ” รมิดาถามขณะที่หลานรักจูงมือเข้ามาในบ้าน ส่วนลาวัลย์กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว“บริษัทที่ผมไปฝึกงานสนใจอยากรับผมเข้าทำงานหลังเรียนจบ”“ข่าวดีจริงๆ ไม่ต้องตระเวนหางานให้ยาก” เธอยินดีกับข่าวดีนี้ เพราะนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องสมัครงานหลายที่ ถูกปฏิเสธเพราะไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง จนได้มาทำงานกับหัสวีร์“แต่ผมต้องไปประจำที่โรงงานเป็นวิศวกรประจำโรงงาน ถ้าผมไปอยู่ไกลก็เป็นห่วงพี่สองคนกับหลาน” น้องชายพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล ปรายตามองหลานชายที่ปีนขึ้นมานั่งข้างๆ รมิดา“แล้วตรีอยากไปทำหรือเปล่าล่ะ” ธาตรีนิ่ง
“ไรอัน คุณกินอะไรของคุณ” “ก็...มะม่วงจิ้มพริกเกลือไง” ดาราสาวมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นนักธุรกิจหนุ่มอยากกินของเปรี้ยวขนาดต้องเปิดแอพสั่งอาหารเลื่อนหา ‘มะม่วงเปรี้ยว’ และจ่ายทิปให้อย่างหนักเพื่อมะม่วงดิบพร้อมพริกเกลือมาให้ “แปลกเหรอ” หัสวีร์ถามหลังจากกลืนมะม่วงลงคอแล้ว “รถเข็นข้างทางขายเยอะแยะไป” “แปลกเพราะไม่เคยเห็นไรอันกินนะสิ” คาเรนหยิบมาลองกัดกินแล้วก็ทำตาหยี “เปรี้ยวมาก” “เปรี้ยวเหรอ ก็ไม่เท่าไหร่นะ” หัสวีร์ยักไหล่ แค่กินผลไม้ทำไมคนอื่นมองว่าแปลก งงจริงๆ “ช่างเถอะ” คาเรนโยนมะม่วงที่กัดได้คำเดียวทิ้งแล้วจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า “ได้อยู่กันสองคนแบบนี้แล้ว เรามาคุยกันเรื่องของเราดีกว่าค่ะ” “ครับ” ชายหนุ่มพนักหน้ารับแล้วยอมวางมือจากมะม่วงเปรี้ยว เห็นทีว่าจะต้องไปซื้อมากินอีกสักสองสามกิโลกรัมถึงจะหายอยาก “ตอนนี้คาเรนก็ไม่มีภาระอะไรแล้ว เรากลับมาลองคบกันดูไหมคะ” “อะไรนะครับ” “ก็...ไรอันลงทุนขนาดจดทะเบียนกับเลขาเพื่อเอามาเป็นเมียปลอมๆ หลอกคุณปู่กับคุณย่าเสี
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช
ชายวันกลางคนเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่เสียงเด็กหัวเราะร่าทำให้สองเท้าหยุดเดินแล้วมองไปตามเสียงที่ได้ยิน เพียงแค่พริบตา ร่างเล็กๆของเด็กวัยสามขวบก็โผเข้ามาเกาะขาของเขาแล้วแหงนหน้าขึ้น ดวงตาวาววับจ้องมองก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณหนูรวิศ” แม่ของหัสดินเดินมาพร้อมกับสาวใช้ที่แทบจะวิ่งตามเด็กน้อยทรงพลังคนนี้ “รวิศ? เด็กคนนี้เหรอ” อัศวินมองเด็กน้อยแล้วก็ค่อยๆ นั่งลงเพื่อจ้องมองใบหน้าน้อยๆ ได้เต็มตา “อืม ก็เหมือนเจ้าวีร์ตอนเด็กๆอยู่นะ” “พ่อลูกกันก็ต้องหน้าตาเหมือนกันสิคะ” “ได้ข่าวว่าพาเมียกับลูกกลับมาบ้านก็เลยรีบมาดู” “ขอโทษนะคะ” รมิดาที่แถบจะวิ่งตามมารีบพูดขึ้นทันที “เด็กตื่นเต้นไปหน่อย เที่ยววิ่งเล็กไปทั่ว หนูจะสอนลูกให้ระวังกว่านี้” “อย่าไปดุเด็กนะ” อัศวินพูดกับรมิดา เขารู้ว่าเธอเคยเป็นเลขาของลูกชายมาก่อนและเขาเป็นคนหาทางขับไล่เธอไป “เด็กๆ ซนถึงจะดี จะได้ฉลาดและแข็งแรง” “รวิศเป็นเด็กดี!” เด็กน้อยพูดเสียงใส ทำให้คนรอบข้างต่างพากันหัวเราะชอบใจ อัศวินเองเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ บ้านหลังใหญ่ท
ผลการตรวจร่างกายของโมกข์ค่อนข้างดี แม้มีบางส่วนที่คุณหมอเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ไม่นับว่าเป็นอันตรายนักจึงสามารถเดินทางกลับบ้านได้ แต่กลับบ้านครั้งนี้หัสวีร์ขับรถตามกลับมาด้วย และเผื่อไม่ให้หญิงสาวเปลี่ยนใจ เขาขอร้องกึ่งบังคับให้รมิดานั่งรถคันเดียวกับเขา ส่วนรวิศอยู่กับโมกข์ “ก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้” เธอบ่นไม่จริงจังนัก “ให้พี่ขับรถคนเดียวไม่เป็นห่วงเหรอ” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “ที่บริษัทจะไม่มีปัญหาแน่นะคะ” “ระดับหัสวีร์แล้ว รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน” เขาหัวเราะในลำคอ สายตายังคงมองไปที่ถนนที่ออก “พี่ไม่ทำให้ลูกกับเมียต้องลำบากหรอก” จากที่เคยร่วมงานกัน เธอเชื่อว่าเขาทำได้ตามที่พูดจริง “พี่วีร์ขับรถเหมือนชำนาญเส้นทาง” “อื้ม คุณปู่กับย่าย้ายอยู่บ้านพักต่างอากาศนะ พี่มาหาท่านทุกเดือน พี่ชอบขับรถมาเอง” “เอ๊ะ แถวนี้...ใกล้บ้านฝนเลยค่ะ” “หือ? แปลกจริง หรือว่าจะเคยเป็นลูกค้าขนม จริงสิ น่าจะเป็นร้านขนมของฝนนะที่คุณย่าสั่งไปเลี้ยงเด็กๆ ที่งานวันเด็ก พี่ก็เลยได้เจอรวิศที่นั้น”
“นี่คือแม่ฝน ไม่ใช่เรนนี่ แม่ฝน...ฝน ลองพูดสิครับ แม่...ฝน พูดตามนะครับ แม่...ฝน” รมิดาถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมา เธอเคยพาลูกชายไปเดินเล่นพร้อมกับโมกข์และพี่ลาวัลย์ เด็กๆมันจะพูดว่า “นี่แม่ลาวัลย์ นี่แม่ฝน” เพราะเด็กทั้งสองมีแม่สองคน เด็กคนอื่นบางทีก็จำชื่อเธอกับพี่สาวสลับกัน เด็กน้อยจึงสอนคนอื่นๆ ว่า “นี่แม่ฝน นี่แม่ลาวัลย์” หัสวีร์ยิ้มเก้อแล้วก็ยอมพูดตามลูกชาย “ครับๆ แม่ฝน” “ดีมาก” รวิศตบแขนกำยำของผู้เป็นพ่อเลียนแบบจากในละครที่คุณยายเปิดให้ดู สองหนุ่มสาวต่างส่งยิ้มให้กัน เรื่องที่เข้าใจผิดยังต้องคุยกันให้เข้าใจอีกมาก แต่จะไม่มีการหนีปัญหาอีกแล้ว ภาพคนสามคนที่เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้มทำให้ลาวัลย์และธาตรีระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ส่วนโมกข์ยังนั่งอยู่บนรถเข็น หวังว่า...ทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี เหมือนเสียงหัวเราะของรวิศในเวลานี้ “โมกข์ตรวจเสร็จแล้วหรือคะ”รมิดาถามหลานชายที่นั่งอยู่บนรถเข็น สายตาของโมกข์มองไปที่น้องชายที่อยู่ในวงแขนของ ‘ลุงโลมา’ โมกข์ก็แค่เด็กอายุแปดขวบ เขาก็อยากมีคนอุ้มแบบนั้น แต่รู้ว่าทุกครั้งที่พูดหรือถา
“เด็กคนนี้...” “ค่ะ” หญิงสาวกอดลูกชายแน่นขึ้น “ตามสัญญา ฝนจะท้องไม่ได้” “พี่นึกว่าเรนนี่กินยาคุม” หญิงสาวค้อนเข้าให้ แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ค่ะ เรื่องทั้งหมดฝนผิดเอง ฝนไม่ได้ต้องการให้พี่วีร์รับผิดชอบเรื่องนี้” “เรนนี่!” เขาทั้งโมโหและเสียใจ “ที่ไปจากพี่เพราะท้องและคิดว่าพี่ไม่ต้องการเด็ก!” เขาเผลอตะคอกเสียงดังทำเอาหลายคนหันมามอง รมิดาเห็นท่าไม่ดีเลยอุ้มลูกเดินหลบออกมา หัสวีร์เสยผมอย่างหงุดหงิดแล้วสาวเท้าเดินตาม “คิดจะหนีอีกแล้วเหรอ” “เปล่าค่ะ พี่วีร์เสียงดังนี่คะ” รมิดาอุ้มลูกไว้แนบอกตั้งใจเดินออกมาด้านนอกที่เป็นสวนหย่อมสามารถเดินเล่นรับลมได้ แต่หัสวีร์กลับคิดว่าเธอจะหนีจึงก้าวเข้ามาดักหน้าขวางไว้ก่อน “ขอซื้อได้ไหม! ไอ้นิสัยพูดไม่ทันรู้เรื่องแล้วเดินหนีแบบนี้” “ก็บอกว่าไม่ได้หนี” รมิดาขึงตาโต้กลับ “แล้วขอซื้อได้ไหมคะ ไอ้นิสัยชอบเสียงดังใส่คนอื่นแบบนี้” หัสวีร์พยายามขมโทสะที่มีแล้วหันไปสบถหัวเสีย เขาหันหน้ากลับมาอีกทีก็เห็นแววตาของเด็กน้อยมีหยาดน้ำเอ่อคลอ หัวใจข
สายตาของลาวัลย์กับธาตรีมองเลยรมิดาไปยังผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่เดินตามหลังมา เมื่อวานคิดว่ารมิดาคงไปค้างกับไลลาจึงไม่ได้เซ้าซี้ถามให้มากความ แค่ได้รับข้อความว่าคืนนี้ไม่กลับห้องพัก ทั้งสองก็ไม่คิดว่าเช้านี้ผู้ชายคนนั้นจะมาปรากฏตัวที่นี่ด้วย “เอ่อ...คุณหัสวีร์ขอตามมาเยี่ยมน้องโมกข์ค่ะ” รมิดาพูดเสียงเบาไม่กล้าสบตากับพี่สาวและน้องชายที่อ้าปากค้างอยู่ “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเขาจำเด็กผู้ชายคนนั้นได้ หัสวีร์ก้าวไปด้านหน้าแล้วยกมือวางบนศีรษะของโมกข์อย่างเอ็นดู “ไม่เจอกันนาน โตขึ้นเยอะเลย” “สวัสดีครับคุณลุง” โมกข์ยกมือไหว้ เด็กชายก็จำได้เพราะคุณลุงคนนี้เป็นคนช่วยเรื่องเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลแห่งนี้ หัสวีร์ชื่นชมที่ครอบครัวเลี้ยงเด็กชายได้มีมารยาท สายตาเขาไปสะดุดกับเด็กชายตัวเล็กที่ยืนเกาะเสื้อของโมกข์อยู่ แววตากลมวาวจ้องมองครู่หนึ่งก่อนฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “คุณลุงโลมา” “ลุงโลมา?” หัสวีร์ถูกชะตากับเด็กน้อยคนนี้ เขาค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้าทำให้มองเด็กน้อยได้ถนัดเต็มสองตา “เรียกลุงเหรอ” “อื้ม..
หลังจากอยู่ในห้องเพื่ออาบน้ำอุ่นล้างคราบรักออกจากร่าง รมิดาก็มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบกาย ตอนที่ย้ายออกไปเธอเก็บเสื้อผ้าของตนไปเกือบหมด เหลือชุดที่ปักชื่อบริษัทอยู่สองสามตัวที่ไม่ได้เอาไป ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ หาเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะชุดที่ใส่ก่อนหน้านี้ถูกเขาฉีกออกจนสภาพกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว ร่างเนียนนุ่มก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง เธออุทานเบาๆ แม้จะรู้ว่าเป็นใครแต่ก็อดตกใจไม่ได้ จะทำเป็นใจแข็งไม่ถาม แต่ก็ทำไม่ได้ แค่มองเห็นรอยแดงช้ำจากน้ำมือเขา ใจก็อ่อนยวบลงไปทันที “กลับมาอยู่ข้างกายผม” “คะ” เธอเอี้ยวใบหน้าหันไปมอง แม้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าแต่แววตาของคนพูดจริงจัง “อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” เขาคงใช้น้ำเสียงเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งทำให้เธอนึกฉุนขึ้นมา “ไม่ได้ค่ะ” เธอพยายามขยับตัวออกแต่เขารัดวงแขนแน่นขึ้นร่างกำยำยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียวทำให้หญิงสาวหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเมื่อมีบางสิ่งกำลังแข็งขันดุนดันร่องก้นอยู่ “พี่วีร์!” เสียงหวานดุแต่เหมือนไม่ต่างจากเสียงครางนัก เขาพลิกร่างเธอมาเผชิญหน้าและตรึงเ
ริมฝีปากหยักทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว รมิดาได้แต่ส่งเสียงประท้วงอู้อี้เพราะเขาตะโบมจูบอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาเธอแทบหายใจไม่ทัน มือเล็กพยายามดันเขาออกแต่นั้นกลับยิ่งเหมือนยั่วยุให้เขาโกรธยิ่งขึ้น ใช่! หัสวีร์โกรธและโกรธมาก มันเป็นความรู้สึกเหมือนวันที่รู้ว่าเธอตั้งใจไปจากเขาโดยไม่บอกลา เธอทำให้เขารู้สึกเป็นคนโง่ที่จะปั่นหัวยังไงก็ได้ เธอยังคงยิ้มหัวเราะได้อย่างปกติผิดเขาที่แทบกลายเป็นคนบ้า เขาไม่รู้ว่าเธอจะกลับมาที่ห้องนี้อีกจนกระทั่งแม่บ้านโทรมาบอกเขา นั้นทำให้เขาตัดสินใจมารอที่ห้องนี้ เหมือนที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้งที่คิดว่าเธอจะกลับมา “อ๊ะ!” รมิดาร้องเสียงหลงเมื่อถูกเขากัดริมฝีปาก และถอนจูบทำให้เธอหอบหายใจจนตัวโยนเสียงสั่น เขาโกรธและนั้นเธอเข้าใจได้ อาจเพราะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีที่เธอเป็นฝ่ายทิ้งเขาไปก่อนที่เขาจะทิ้งเธอ บรรยากาศในห้องเร่าร้อนขึ้นทันที หัสวีร์หงุดหงิดไม่ทันใจจนเป็นฝ่ายกระชากเสื้อของเธอจนขาด หน้าอกอวบอิ่มปรากฏอยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่า...มันจะใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่อยู่กับเขา หรืออยู่กับเขามันลำบากจริงๆ พอไม่มีเขาอยู่...