“นี่! เธอแกล้งฉันเหรอ!” “คะ” รมิดาเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ที่มีตารางตัวเลขเรี่ยงราย เธอขยับแว่นตากรองแสงแล้วมองแฟ้มเอกสารที่ปอไหมวางบนโต๊ะทำงานของเธอ “ยังจะแกล้งทำหน้าตาซื่อบื้ออีก” ปอไหมอยากจะร้องกรี๊ดๆออกมา “เอกสารพวกนี้มันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมให้ฉันเอาไปให้พี่วีร์เซ็นยะ!” “เอ๋? ดิฉันก็แจ้งแล้วนี่คะว่าให้ทำเอกสารให้เสร็จก่อนนำไปให้ท่านประธานเซ็นชื่อ” รมิดายังคงทำหน้านิ่งเก็บซ่อนความสนุกเล็กๆ ไว้ในอก “แล้วคุณปอไหมไม่ได้ตรวจเอกสารก่อนหรือคะ” “นั้นไม่ใช่หน้าที่ฉัน!” ปอไหมเผลอขึ้นเสียงใส่จนคนในแผนกหันมามอง เมื่อรู้ตัวจึงเบาเสียงลง “เธอจงใจแกล้งให้ฉันถูกพี่วีร์ตำหนิ!” “ถ้าจะให้พูดตามจริง ดิฉันเป็นหัวหน้างานคุณปอไหม การที่คุณมีโต๊ะทำงานที่นี่ก็แสดงว่าเป็นพนักงานของบริษัทนี้ และตำแหน่งคุณคือผู้ช่วยดิฉัน หากดิฉันไม่สามารถสั่งให้คุณทำงานเล็กๆ น้อยๆ ได้ อย่างนี้แล้ว คุณควรถามตัวเองว่าจะมานั่งเกะกะรบกวนฉันเพื่ออะไรคะ” “แก! นังรมิดา! ฉันจะไปฟ้องท่านอัศวิน” “ฝากรายงานท่านให้ด้วยนะคะว่า อย
ภาพข่าวนักแข่งรถหนุ่มกับผู้บริษัทหนุ่มชกต่อยกันหน้าสถานบันเทิงกลายเป็นภาพที่แพร่หลายในสื่อโซเซียลทุกแห่ง ต่างมุ่งเป้าไปที่เรื่องชู้สาวเพราะดาราสาวสุดเซ็กซี่ซึ่งเคยมีข่าวควงหนุ่มทั้งสองคนนั้นกลับมาเมืองไทยและคาดว่าจะอยู่ถาวร แต่คนในข่าวไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้นัก เรื่องเดียวที่เขาสนใจก็คือ... “ไอ้ดิน เบามือหน่อย” หัสวีร์ยกมือปัดมือของน้องชายที่แตะๆ บริเวณแก้มที่เขียวช้ำของเขา “ไม่ยักรู้ว่านักแข่งรถจะหมัดหนักเหมือนนักมวย ดีที่ไม่ซัดเข้าเบ้าตา” “เฮ้ยๆ นี่ก็ต่อยมวยเป็น หลบเก่งถึงได้โดนแก้ม” หัสดินดูรอยช้ำบนหน้าพี่ชาย ต้องยอมรับเลยว่านาธานไม่ธรรมดาจริงๆ ที่ทำให้หน้าพี่ชายของเขาช้ำได้ขนาดนี้ “ก็บอกให้รอผมไปด้วย พี่ก็ใจร้อนบึ่งรถไปก่อน ไม่ทันได้ช่วยกันเลย” หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ พ่อก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไอ้เรื่องดีๆไม่ดัง เรื่องดังๆนี่ชั่วๆทั้งนั้น” “อะไรพ่อ” หัสวีร์เอนหลังพิงพนักโซฟา ไม่เดือดร้อนกับท่าทีของพ่อ วันนี้กลับบ้านเพราะอยากหาที่พักสมอง ถ้าอยู่คอ
“คุณเป็นเอามากจริงๆ ไรอัน” คาเรนไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายที่สมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้วอย่างหัสวีร์จะเมาหัวราน้ำแบบดูไม่ได้ขนาดนี้ หัสวีร์นั่งดื่มในผับตามลำพัง เขายังสวมเสื้อเชิ้ตที่ใส่ไปทำงานแต่ปลดกระดุมแขนเสื้อและผับถึงขึ้นข้อศอก ผับแห่งนี้รับเฉพาะนักดื่มมีระดับ รักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้าแต่กับบางคนเพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่ลำพังก็มีพนักงานที่ทำเป็นหน้าที่สายข่าวส่งข่าวให้ลูกค้าที่จ่ายพิเศษไว้ รวมทั้งคาเรน “นักข่าวมามารุมขอสัมภาษณ์ฉัน คิดว่าคุณกับนาธานทะเลาะกันเพราะฉันเป็นต้นเหตุ” “ผมไม่รู้ว่าคุณสนิทสนมกับไอ้นักแข่งรถนั้น” ชายหนุ่มพูดทั้งที่สายตามองแก้วเหล้าในมือของตน คาเรนยักไหล่เห็นขวดเหล้าก็พอเดาได้ว่าเขาดื่มไปมากแล้ว “ฉันอยู่ในวงการบันเทิงก็ต้องรู้จักคนมากเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่คิดว่าไรอันจะไปชกต่อยกับคนอื่นเพราะเรื่องผู้หญิงได้” ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมอง เขาเห็นหญิงสาวสวยคนที่เขาเคยคิดจะแต่งงานด้วย คนที่เขายอมทำเรื่องบ้าบอจ้างเลขาหน้าห้องจดทะเบียนสมรสเพื่อปกป้องเธอจากครอบครัวงี่เง่าของตัวเอง แต่
สี่ปีต่อมา งานกิจกรรมวันเด็กเป็นกิจกรรมที่เด็กๆ ต่างเฝ้ารอ เมื่อใกล้ถึงวันงานความตั้งใจเรียนก็ลดลง ทุกคนมุ่งเป้าไปที่ความสนุกรื่นเริงที่จะได้รับรวมทั้งของแจกของแถมที่หน่วยงานต่างๆ นำมามอบให้เด็กๆ ร้านเบเกอรี่ ‘เล็กเล็ก’ เป็นร้านขายขนมเล็กๆ สมชื่อแต่คุณภาพและความอร่อยไม่เล็กตามชื่อร้าน เจ้าของร้านเป็นพี่น้องสองสาวช่วยกันทำขนมขาย ทั้งสองมีลูกชายด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งแปดขวบ อีกคนสามขวบ เด็กน้อยอายุสามขวบชื่อจริงที่เรียกเป็นชื่อเล่นว่า ‘รวิศ’ เด็กชายรวิศผิวขาวดวงตากลมผมสีอ่อนยิ่งโตยิ่งเห็นชัดว่าเป็นมีสายเลือดชาวต่างชาติ แต่คนในระแวกนี้ไม่เคยมีใครเห็นพ่อของเด็ก เด็กชายโมกข์ขึ้นชั้นประถมปีที่สองแล้ว แต่เด็กชายรวิศจะเข้าชั้นอนุบาลในปีนี้ เด็กชายโมกข์สุขภาพไม่แข็งแรงนัก หลายคนได้ยินว่าเคยผ่าตัดใหญ่มาก่อนแต่ก็ไม่ถึงกับเปราะบางใช้ชีวิตแบบเด็กทั่วไปได้อย่างปกติ โมกข์รักน้องรวิศมากดูแลอย่างดีราวกับตนเองเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยทีเดียว เรียกได้ว่าใครพบเห็นทั้งสองหนุ่มน้อยก็ต่างชื่นชมเอ็นดูทั้งนั้น ขนมปังก้อนกลมใส้ต่างๆ ในถุงใสติดริบบิ้นน่ารักปร
เด็กชายตัวน้อยดูจะชอบลูกโป่งรูปโลมามากกว่าสิ่งของอื่นๆ ที่ได้มาจากงานวันเด็ก ถึงขนาดให้แม่ผูกไว้ในห้องนอน บ้านหลังใหม่ใหญ่กว่าเดิม เธอซื้อบ้านเผื่อสำหรับทุกคนที่จะมีห้องส่วนตัว แต่ตอนนี้รวิศยังเด็กอยู่จึงนอนห้องเดียวกับแม่ “รวิศอยากไปทะเลหรือคะ” หญิงสาวถามพลางหวีผมนุ่มลื่นให้ลูกชาย “ครับ” เด็กน้อยพยักหน้า “อยากเล่นน้ำทะเล น้ำทะเลเค็มจริงๆใช่ไหมครับ” รมิดาหัวเราะเสียงใส ลูกชายตัวน้อยยังไม่เคยไปทะเลสักครั้ง ที่เห็นก็ผ่านโทรทัศน์หรือในยูทูป เธอวางแปรงหวีผมแล้วจับตัวลูกชายลงนอน วันนี้เล่นสนุกทั้งวันคงจะหลับเร็ว รมิดาคิดว่าตัวเองโชคดีที่รวิศไม่ใช่เด็กดื้อหรือซนจนเกินไป แม้จะมีประสบการณ์จากการช่วยเลี้ยงหลานโมกข์มาก่อนแต่พอเลี้ยงลูกตัวเองเธอก็ทำอะไรไม่ถูกไปเหมือนกัน และโชคดีที่ลูกเป็นเด็กผู้ชาย หญิงสาวได้แต่คิดอย่างขมขื่น ทั้งเธอและพี่สาวอาภัพเรื่องชีวิตคู่ เธอหวาดกลัวว่าถ้าได้ลูกสาว...ลูกสาวจะเผชิญชีวิตเหมือนเธอ แม้รู้ดีว่าคนเราไม่อาจไปบงการชีวิตใครได้ แต่กระนั้น เธอก็ยังกลัว แต่ไม่ว่าลูกจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เธอก็รักเขาสุดหัวใจ
มือใหญ่หยิบคุกกี้ส่งเข้าปากเคี้ยวคำโตหน้าตาไร้อารมณ์แต่ก็หยิบกินต่อเนื่อง เชฟหนุ่มเห็นแล้วก็ขัดใจแย่งขนมในมือพี่ชายต่างแม่แล้วพูดขึ้น “ช่วยกินขนมเกรงใจคนทำหน่อยได้ไหม กว่าจะได้สูตรนี้มามันต้องทดลองหลายครั้ง พี่วีร์ช่วยละเอียดชิมความอร่อยหน่อยได้ไหม” “คุกกี้ก็คือคุกกี้นั้นแหละ” หัสวีร์เคี้ยวคำโตก่อนยกกาแฟขึ้นดื่ม “พูดแบบนี้ ไม่คิดว่าผมจะน้อยใจบ้างเหรอ งานวันเด็กก็ไปสั่งขนมร้านอื่นทั้งที่รู้ว่าผมทำขนมขาย” “ก็ให้คนอื่นได้เงินบ้างจะเป็นไรไป” “เห็นคุณปู่กับคุณย่าบอกว่าอร่อยดีจะสั่งไปแจกอีก” หัสดินทำหน้าไม่พอใจนัก ปกติทำขนมแจกงานการกุศลต่างๆ คุณปู่คุณย่าเรียกใช้บริการหลานชาย แต่ครั้งนี้ซื้อจากร้านอื่น “กลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่” หัสวีร์เลิกคิ้วแล้ววางถ้วยกาแฟลง สายตาหยุดไปที่เด็กเล็กๆ วัยสี่ห้าขวบในร้านขนมที่หัวเราะเสียงใสอยู่กับผู้ปกครองที่มาพร้อมกัน หัสดินมองตามสายตาของพี่ชายแล้วเอ่ยถาม “ยังคิดถึงเรนนี่อยู่เหรอ” “คิดแล้วยังไง” เขาตอบเสียงเรียบ ไม่อาจบอกได้ว่าผ่านมาสี่ปีเข
ธาตรีอาสาขับรถให้พี่สาวและหลานๆ มากรุงเทพฯ เขาเพิ่งผ่อนรถได้แค่ครึ่งปี รถใหม่แอร์เย็นนั่งสบาย ทำเอาเด็กๆ นอนหลับที่เบาะด้านหลังตลอดทาง “น่าน้อยใจจริงๆ รถเก๋งเก่าๆ อยากร้องไห้แล้ว”รมิดาบ่นไปอย่างนั้น เธอมีเงินพอซื้อรถใหม่หรือรถหรู แต่เพราะตัวเองขับรถไม่แข็งและใช้เพื่อขนขนมไปส่งลูกค้าจึงเลือกซื้อรถยนต์มือสองสภาพดีมาใช้ เธอนั่งเบาะหน้าคู่กับน้องชาย ส่วนพี่สาวและเด็กๆ นั่งที่เบาะหลัง “จองที่พักเรียบร้อยนะพี่ฝน” “อื้ม โรงแรมเดิม” ธาตรีเลิกคิ้วเล็กน้อย โรงแรมเดิมก็ใกล้คอนโดเก่าที่พี่สาวเคยอยู่ แต่เขาไม่พูดอะไร เพราะโรงแรมนี้ใกล้โรงพยาบาล เดินทางไปมาสะดวก มีอาหารเช้าให้ด้วย นับว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่เขายังเรียนไม่จบ ครอบครัวค่อนข้างขัดสนเรื่องเงินทองคงไม่มีโอกาสได้พักโรงแรมดีๆ อย่างนี้หรอก ตอนนี้เขาทำงานมีเงินเดือนแล้ว ก็อยากดูแลพี่สาวตอบแทนบ้าง “แม่อยู่บ้านคนเดียวได้เหรอ” “ก็อยู่ตลอดนะ พอบอกมากรุงเทพฯที่ไรก็กลัวทุกที เจ้าหนี้เยอแน่ แต่พี่ก็คิดว่าเราใช้หนี้หมดแล้วเขาไม่น่ามาทำอะไรเรา”
ชายหญิงชราสองคนแต่งกายภูมิฐานเดินเยี่ยมชมห้องผู้ป่วยเด็ก โดยมีผู้อำนวยการคอยอธิบายสถานการณ์ต่างๆ อย่างละเอียดและเข้าใจง่าย “เรื่องเงินบริจาคไม่มีปัญหาอะไรเลย ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนก็จริง แต่ถ้ามีเคสยากจนเดือดร้อนเรื่องเงิน ก็บอกไปทางหลานชายฉันได้เลย” คุณย่าพูดด้วยรอยยิ้มแล้วปรายตามองไปยังหัสวีร์ที่เดินตามหลังปู่กับย่าที่วันนี้มามอบเงินบริจาคซื้อเครื่องมือแพทย์และยังช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากจนอีกด้วย ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลเดียวแต่มีอีกหลายแห่งที่ทั้งสองช่วยเหลือไม่ออกสื่อ โดยมักให้หลานชายเป็นคนจัดการเรื่องเงินบริจาค แต่ก็มีนานๆครั้งที่เขามาเยี่ยมและแจกของขวัญให้เด็กๆที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เช่นครั้งนี้“ไอ้วีร์ ไม่ชอบเด็กหรือไง ทำหน้าตึงเชียว” ปู่ถามหลานชายพลางหัวเราะในลำคอ“เปล่าครับ”หัสวีร์ตอบแล้วถอนหายใจ เขาแค่รู้สึกไม่ดีที่เห็นเด็กๆ เจ็บป่วย ไม่รู้ทำไมจิตใจอ่อนไหวง่ายชะมัด อาจเพราะตั้งแต่ที่เขาสัมผัสความเจ็บป่วยโมกข์ หลานชายของรมิดา ตอนนั้นเด็กชายอายุแค่ห้าขวบต้องผ่าตัดใหญ่ ตอนนั้นเองที่ได้เห็นน้ำตาของรมิดาทำให้เขารู้ว่าเธอแบกภาระหนักแค่ไหน “ปู่กับย่าเห
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่
หัสดินแทบจะทิ้งรถมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ที่เวลานี้มีคนเข้ามากันมากหน้าหลายตา เขารู้ดีว่านี่เป็นการระดมกำลังคนเต็มที่เพื่อตามหาทายาทตระกูลศาตนันท์ ทันทีที่ได้รู้ข่าวว่ารวิศถูกลักพาตัวเขาก็รีบขับรถกลับมาที่บ้านทันที เมื่อก้าวเข้ามาในห้องจึงเห็นรมิดานั่งอยู่กับแม่ของเขา “เป็นไงบ้าง” หัสดินถามพี่สะใภ้ที่นั่งหน้าซีดด้วยความเป็นห่วง “ทุกคนกำลังออกติดตามคุณหนูรวิศอยู่ลูก” ชายหนุ่มนั่งลงด้านข้างแล้วจับแตะหลังมือของพี่สะใภ้ “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่สิ รู้ว่าเป็นห่วงแต่เชื่อใจพี่วีร์และคนในครอบครัวของเราเถอะ ผู้ชายบ้านนี้ไม่ยอมให้ใครมากระตุกหนวดได้ง่าย” รมิดาพยายามยิ้มแต่ยิ้มได้ยากเต็มที ใครจะคิดว่าลูกอยู่ในสายตาแท้ๆ ยังถูกคนอุ้มขึ้นรถตู้ได้ง่ายดายขนาดนี้ ทันทีที่เกิดเรื่อง หัสวีร์สั่งการให้คนออกติดตามทันที เขาให้คนขับรถส่งเธอกลับมารอฟังข่าวที่บ้าน ส่วนตัวเขาเร่งติดตามรถคนนั้นไป และดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเตรียมการไว้ดี เพราะมีการเปลี่ยนรถตู้ ทำให้คลาดกันจนได้ เธอรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาคร่ำครวญใดๆ ต้องตั้งสติและเตรียมตัวให้พร้อม
หญิงสาวสวมชุดสูทเข้ารูปเรียบหรูตัดเย็บประณีตจากห้องเสื้อ ‘ไลลา’ เธอสวมรองเท้าส้นเตี้ยและถือไอแพดเดินเข้ามาในห้องผู้จัดการ แต่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นมีเจ้าของร่างของท่านประธานบริษัทนั่งอยู่ก่อนแล้ว “ท่านประธานนั่งผิดที่หรือว่ามาจับผิดการทำงานของดิฉันคะ” หัสวีร์ได้ยินแล้วก็ไม่อาจตีหน้าเคร่งครึมได้ไหว มุมปากยกยิ้มแล้วตบที่ตักของตน เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่ร่างอวบอิ่มจะเดินเข้าไปแล้วนั่งบนตักแกร่งของประธานบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟ “พี่แค่เป็นห่วงว่าฝนจะทำงานไหวไหมเลยมาดู” หัสวีร์กอดภรรยาไว้หลวมๆ “มีใครรังแกหรือเปล่า” “ใครจะกล้ารังแกภรรยาคุณหัสวีร์ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วจุ๊บแก้มเขาเร็วๆ ไปหนึ่งที “ขอบคุณที่ให้ฝนมาทำงานด้วยนะคะ” “อะไรที่ฝนอยากทำพี่ก็จะสนับสนุน แต่จำไว้อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป” เขาพูดแล้ววางมือบนหน้าท้องของหญิงสาว “เมื่อไหร่ลูกจะมานะ” “ใจร้อนจัง” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วลุกขึ้นยืนเอื้อมมือไปฉุดชายหนุ่มให้ลุกจากเก้าอี้ทำงานของเธอ “คราวที่แล้วพี่ยังไม่ทันเตรียมตัวเล
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช