หัสวีร์ประหลาดใจที่หน้าห้องทำงานมีโต๊ะเพิ่มและยังมีคนที่เป็น ‘เลขา’ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุก็พอๆ ก็รมิดา แต่ทำไมเขาเห็นแล้วหงุดหงิดจนพาลโมโหก็ไม่รู้ “ชื่อปอไหมค่ะ เรียกปอก็ได้ค่ะ คุณอาอัศวินให้ปอมาทำหน้าที่เลขาพี่วีร์ค่ะ “คุณ...เข้ามาคุยข้างใน” “ค่ะ” รมิดาจำใจเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเขาล็อกประตู เมื่อเธอหันมาก็เป็นจังหวะที่เขาจับเอวคอดขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานของเขา “พี่วีร์!” ยังดีที่เธอเรียกชื่อเขา ไม่งั้นเขาจะยิ่งโกรธมากกว่านี้ “ผมหรือพ่อเป็นเจ้านายของคุณ” มือแข็งแกร่งเลื่อนจากเอวมาสัมผัสกลีบปากของหญิงสาว รมิดาเอนหลังถอยหนีแต่เขายื่นหน้าตามไปใกล้ “ว่าไง” “พี่วีร์ค่ะ” “รู้แล้วทำไมให้คนอื่นมาวุ่นวายแบบนี้” “นั้นคุณพ่อพี่วีร์นะคะ แล้วก็ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย ถ้าไม่ทำตามก็เกรงว่า...” “แล้วทำไมไม่รายงานผมก่อน” “พี่วีร์ยุ่งอยู่นี่คะ” “ผมยุ่งอะไร ตารางงานของผมค
“ทำไมพ่อวุ่นวายกับเรื่องของผมขนาดนี้” “ก็เพราะเป็นพ่อไง” อัศวินตอบแบบไม่ต้องคิดมากในขณะที่ภรรยารินเครื่องดื่มร้อนส่งให้ นางเงยหน้ามองหัสวีร์แล้วยิ้มน้อยๆ“คุณวีร์รับชาสมุนไพรไหมคะ”“ไม่ครับ ขอบคุณ” หัสวีร์ไม่มีปัญหาของแม่เลี้ยง มันไม่เหมือนในนิยายที่ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงต้องเข้ากันไม่ได้ แต่กับเขา -เขาเข้ากับแม่เลี้ยงและน้องชายคนล่ะแม่ได้อย่างดี แต่ที่เข้าไม่ได้กลับเป็นพ่อแท้ๆ ของตัวเอง “ถ้าเป็นปู่กับย่าผมยังพอเข้าใจ นี่เป็นพ่อ...พ่อที่ไม่เคยทำอะไรตามใจปู่แต่มาบังคับให้ผมทำตามใจพ่อนี่นะ” “ถ้าปู่ย่าแกรู้ก็ต้องไม่พอใจเหมือนพ่อนี่แหละ” คนเป็นพ่อยิ้มเยาะลูกชาย “ไม่ต้องเอาปู่กับย่าไปยุ่งด้วยหรอกนะ” เสียงปู่ดังเรียกสายตาของลูกและหลานให้หันไปมอง คนเป็นสะใภ้ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปช่วยประคองแม่สามีให้มานั่งที่โซฟาหรูกลางห้องนั่งเล่น “พ่อยังไม่รู้อะไร ไอ้วีร์มันแอบไปคว้าเลขามาทำเมีย” อัศวินทำเสียงหงุดหงิด “ผู้หญิงเอาไว้เป็นนางบำเรอหรือเมียเก็บก็พอ ไม่จำเป็นต้องยกย่องจดทะเบียนสมรสหรอก” “พ่อ!” หัสวีร์
หัสดินเปิดประตูคลินิกเข้าไปด้วยความคุ้นเคย เขาส่งยิ้มให้พยาบาลที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ก่อนยกกล่องขนมวางบนนั้น “วันนี้คุณดินมาส่งขนมเองเลยหรือคะ” “ผมมาธุระแถวนี้เลยแย่งหน้าที่ไรเดอร์มาส่งขนมเอง” หัสดินหัวเราะแล้วลอบมองในคลินิกซึ่งวันนี้ไม่ค่อยมีคนไข้นัก “หมอมีนติดคนไข้อยู่เหรอ” “ค่ะ คนเดียว คุณดินมีเรื่องมาปรึกษาหมอมีนหรือคะ” “เปล่าครับ ผมจะมีปัญหาอะไรมาปรึกษาหมอสูติฯได้ล่ะ” พยาบาลสาวหัวเราะ ครู่หนึ่งก็ขอตัวไปด้านใน หัสดินนั่งเล่นอยู่บริเวณนั้น เขาเป็นเพื่อนกับหมอมีนมาหลายปี รู้จักผ่านเพื่อนของเพื่อนที่แอบเชียร์ให้เขาจีบหมอคนสวย แต่พอได้คุยกันจริงๆ ถึงรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่าเป็นแฟน นอกจากเป็นเพื่อนแล้ว ยังเป็นลูกค้าขนมคนสำคัญของร้านด้วย “ยังไงก็ปฏิบัติตามที่หมอแนะนำนะคะ” “ขอบคุณค่ะ” หัสดินได้ยินเสียงเพื่อนสนิท แต่อีกเสียงก็คุ้นเคย แต่เขาหันหลังอยู่ไม่กล้าหันมามองเต็มตานัก ด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาทท
“ไปฝากท้องมาแล้ว กลับบ้านก่อนเถอะ” รมิดารีบบอกน้องชายเพราะธาตรีเป็นห่วงเรื่องนี้มาก คงเพราะเห็นพี่สาวผอมเกินไปเมื่อตอนที่พี่ลาวัลย์ตั้งครรภ์ยังอวบอิ่มกว่าเธอมาก หญิงสาวนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของน้องชายมาที่บ้านหลังเล็ก หลานโมกข์รออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรมิดามาก็โผเข้าใส่แต่ธาตรีรีบก้าวมาขวางไว้ก่อน“ระวังหน่อย น้าฝนไม่ค่อยสบาย” ธาตรีกลัวว่าถ้าพูดว่าพี่สาวท้องแล้วเดี๋ยวเจ้าตัวแสบจะเอาไปพูดเรื่อยเปื่อย แล้วเรื่องจะรู้ไปถึงหูของแม่ “พี่ฝนมาก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องปรึกษา”“อะไรเหรอ” รมิดาถามขณะที่หลานรักจูงมือเข้ามาในบ้าน ส่วนลาวัลย์กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว“บริษัทที่ผมไปฝึกงานสนใจอยากรับผมเข้าทำงานหลังเรียนจบ”“ข่าวดีจริงๆ ไม่ต้องตระเวนหางานให้ยาก” เธอยินดีกับข่าวดีนี้ เพราะนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องสมัครงานหลายที่ ถูกปฏิเสธเพราะไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง จนได้มาทำงานกับหัสวีร์“แต่ผมต้องไปประจำที่โรงงานเป็นวิศวกรประจำโรงงาน ถ้าผมไปอยู่ไกลก็เป็นห่วงพี่สองคนกับหลาน” น้องชายพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล ปรายตามองหลานชายที่ปีนขึ้นมานั่งข้างๆ รมิดา“แล้วตรีอยากไปทำหรือเปล่าล่ะ” ธาตรีนิ่ง
“ไรอัน คุณกินอะไรของคุณ” “ก็...มะม่วงจิ้มพริกเกลือไง” ดาราสาวมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นนักธุรกิจหนุ่มอยากกินของเปรี้ยวขนาดต้องเปิดแอพสั่งอาหารเลื่อนหา ‘มะม่วงเปรี้ยว’ และจ่ายทิปให้อย่างหนักเพื่อมะม่วงดิบพร้อมพริกเกลือมาให้ “แปลกเหรอ” หัสวีร์ถามหลังจากกลืนมะม่วงลงคอแล้ว “รถเข็นข้างทางขายเยอะแยะไป” “แปลกเพราะไม่เคยเห็นไรอันกินนะสิ” คาเรนหยิบมาลองกัดกินแล้วก็ทำตาหยี “เปรี้ยวมาก” “เปรี้ยวเหรอ ก็ไม่เท่าไหร่นะ” หัสวีร์ยักไหล่ แค่กินผลไม้ทำไมคนอื่นมองว่าแปลก งงจริงๆ “ช่างเถอะ” คาเรนโยนมะม่วงที่กัดได้คำเดียวทิ้งแล้วจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า “ได้อยู่กันสองคนแบบนี้แล้ว เรามาคุยกันเรื่องของเราดีกว่าค่ะ” “ครับ” ชายหนุ่มพนักหน้ารับแล้วยอมวางมือจากมะม่วงเปรี้ยว เห็นทีว่าจะต้องไปซื้อมากินอีกสักสองสามกิโลกรัมถึงจะหายอยาก “ตอนนี้คาเรนก็ไม่มีภาระอะไรแล้ว เรากลับมาลองคบกันดูไหมคะ” “อะไรนะครับ” “ก็...ไรอันลงทุนขนาดจดทะเบียนกับเลขาเพื่อเอามาเป็นเมียปลอมๆ หลอกคุณปู่กับคุณย่าเสี
“นี่! เธอแกล้งฉันเหรอ!” “คะ” รมิดาเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ที่มีตารางตัวเลขเรี่ยงราย เธอขยับแว่นตากรองแสงแล้วมองแฟ้มเอกสารที่ปอไหมวางบนโต๊ะทำงานของเธอ “ยังจะแกล้งทำหน้าตาซื่อบื้ออีก” ปอไหมอยากจะร้องกรี๊ดๆออกมา “เอกสารพวกนี้มันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมให้ฉันเอาไปให้พี่วีร์เซ็นยะ!” “เอ๋? ดิฉันก็แจ้งแล้วนี่คะว่าให้ทำเอกสารให้เสร็จก่อนนำไปให้ท่านประธานเซ็นชื่อ” รมิดายังคงทำหน้านิ่งเก็บซ่อนความสนุกเล็กๆ ไว้ในอก “แล้วคุณปอไหมไม่ได้ตรวจเอกสารก่อนหรือคะ” “นั้นไม่ใช่หน้าที่ฉัน!” ปอไหมเผลอขึ้นเสียงใส่จนคนในแผนกหันมามอง เมื่อรู้ตัวจึงเบาเสียงลง “เธอจงใจแกล้งให้ฉันถูกพี่วีร์ตำหนิ!” “ถ้าจะให้พูดตามจริง ดิฉันเป็นหัวหน้างานคุณปอไหม การที่คุณมีโต๊ะทำงานที่นี่ก็แสดงว่าเป็นพนักงานของบริษัทนี้ และตำแหน่งคุณคือผู้ช่วยดิฉัน หากดิฉันไม่สามารถสั่งให้คุณทำงานเล็กๆ น้อยๆ ได้ อย่างนี้แล้ว คุณควรถามตัวเองว่าจะมานั่งเกะกะรบกวนฉันเพื่ออะไรคะ” “แก! นังรมิดา! ฉันจะไปฟ้องท่านอัศวิน” “ฝากรายงานท่านให้ด้วยนะคะว่า อย
ภาพข่าวนักแข่งรถหนุ่มกับผู้บริษัทหนุ่มชกต่อยกันหน้าสถานบันเทิงกลายเป็นภาพที่แพร่หลายในสื่อโซเซียลทุกแห่ง ต่างมุ่งเป้าไปที่เรื่องชู้สาวเพราะดาราสาวสุดเซ็กซี่ซึ่งเคยมีข่าวควงหนุ่มทั้งสองคนนั้นกลับมาเมืองไทยและคาดว่าจะอยู่ถาวร แต่คนในข่าวไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้นัก เรื่องเดียวที่เขาสนใจก็คือ... “ไอ้ดิน เบามือหน่อย” หัสวีร์ยกมือปัดมือของน้องชายที่แตะๆ บริเวณแก้มที่เขียวช้ำของเขา “ไม่ยักรู้ว่านักแข่งรถจะหมัดหนักเหมือนนักมวย ดีที่ไม่ซัดเข้าเบ้าตา” “เฮ้ยๆ นี่ก็ต่อยมวยเป็น หลบเก่งถึงได้โดนแก้ม” หัสดินดูรอยช้ำบนหน้าพี่ชาย ต้องยอมรับเลยว่านาธานไม่ธรรมดาจริงๆ ที่ทำให้หน้าพี่ชายของเขาช้ำได้ขนาดนี้ “ก็บอกให้รอผมไปด้วย พี่ก็ใจร้อนบึ่งรถไปก่อน ไม่ทันได้ช่วยกันเลย” หัสดินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ พ่อก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไอ้เรื่องดีๆไม่ดัง เรื่องดังๆนี่ชั่วๆทั้งนั้น” “อะไรพ่อ” หัสวีร์เอนหลังพิงพนักโซฟา ไม่เดือดร้อนกับท่าทีของพ่อ วันนี้กลับบ้านเพราะอยากหาที่พักสมอง ถ้าอยู่คอ
“คุณเป็นเอามากจริงๆ ไรอัน” คาเรนไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายที่สมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้วอย่างหัสวีร์จะเมาหัวราน้ำแบบดูไม่ได้ขนาดนี้ หัสวีร์นั่งดื่มในผับตามลำพัง เขายังสวมเสื้อเชิ้ตที่ใส่ไปทำงานแต่ปลดกระดุมแขนเสื้อและผับถึงขึ้นข้อศอก ผับแห่งนี้รับเฉพาะนักดื่มมีระดับ รักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้าแต่กับบางคนเพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่ลำพังก็มีพนักงานที่ทำเป็นหน้าที่สายข่าวส่งข่าวให้ลูกค้าที่จ่ายพิเศษไว้ รวมทั้งคาเรน “นักข่าวมามารุมขอสัมภาษณ์ฉัน คิดว่าคุณกับนาธานทะเลาะกันเพราะฉันเป็นต้นเหตุ” “ผมไม่รู้ว่าคุณสนิทสนมกับไอ้นักแข่งรถนั้น” ชายหนุ่มพูดทั้งที่สายตามองแก้วเหล้าในมือของตน คาเรนยักไหล่เห็นขวดเหล้าก็พอเดาได้ว่าเขาดื่มไปมากแล้ว “ฉันอยู่ในวงการบันเทิงก็ต้องรู้จักคนมากเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่คิดว่าไรอันจะไปชกต่อยกับคนอื่นเพราะเรื่องผู้หญิงได้” ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมอง เขาเห็นหญิงสาวสวยคนที่เขาเคยคิดจะแต่งงานด้วย คนที่เขายอมทำเรื่องบ้าบอจ้างเลขาหน้าห้องจดทะเบียนสมรสเพื่อปกป้องเธอจากครอบครัวงี่เง่าของตัวเอง แต่
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่
หัสดินแทบจะทิ้งรถมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ที่เวลานี้มีคนเข้ามากันมากหน้าหลายตา เขารู้ดีว่านี่เป็นการระดมกำลังคนเต็มที่เพื่อตามหาทายาทตระกูลศาตนันท์ ทันทีที่ได้รู้ข่าวว่ารวิศถูกลักพาตัวเขาก็รีบขับรถกลับมาที่บ้านทันที เมื่อก้าวเข้ามาในห้องจึงเห็นรมิดานั่งอยู่กับแม่ของเขา “เป็นไงบ้าง” หัสดินถามพี่สะใภ้ที่นั่งหน้าซีดด้วยความเป็นห่วง “ทุกคนกำลังออกติดตามคุณหนูรวิศอยู่ลูก” ชายหนุ่มนั่งลงด้านข้างแล้วจับแตะหลังมือของพี่สะใภ้ “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่สิ รู้ว่าเป็นห่วงแต่เชื่อใจพี่วีร์และคนในครอบครัวของเราเถอะ ผู้ชายบ้านนี้ไม่ยอมให้ใครมากระตุกหนวดได้ง่าย” รมิดาพยายามยิ้มแต่ยิ้มได้ยากเต็มที ใครจะคิดว่าลูกอยู่ในสายตาแท้ๆ ยังถูกคนอุ้มขึ้นรถตู้ได้ง่ายดายขนาดนี้ ทันทีที่เกิดเรื่อง หัสวีร์สั่งการให้คนออกติดตามทันที เขาให้คนขับรถส่งเธอกลับมารอฟังข่าวที่บ้าน ส่วนตัวเขาเร่งติดตามรถคนนั้นไป และดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเตรียมการไว้ดี เพราะมีการเปลี่ยนรถตู้ ทำให้คลาดกันจนได้ เธอรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาคร่ำครวญใดๆ ต้องตั้งสติและเตรียมตัวให้พร้อม
หญิงสาวสวมชุดสูทเข้ารูปเรียบหรูตัดเย็บประณีตจากห้องเสื้อ ‘ไลลา’ เธอสวมรองเท้าส้นเตี้ยและถือไอแพดเดินเข้ามาในห้องผู้จัดการ แต่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวนั้นมีเจ้าของร่างของท่านประธานบริษัทนั่งอยู่ก่อนแล้ว “ท่านประธานนั่งผิดที่หรือว่ามาจับผิดการทำงานของดิฉันคะ” หัสวีร์ได้ยินแล้วก็ไม่อาจตีหน้าเคร่งครึมได้ไหว มุมปากยกยิ้มแล้วตบที่ตักของตน เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่ร่างอวบอิ่มจะเดินเข้าไปแล้วนั่งบนตักแกร่งของประธานบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟ “พี่แค่เป็นห่วงว่าฝนจะทำงานไหวไหมเลยมาดู” หัสวีร์กอดภรรยาไว้หลวมๆ “มีใครรังแกหรือเปล่า” “ใครจะกล้ารังแกภรรยาคุณหัสวีร์ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วจุ๊บแก้มเขาเร็วๆ ไปหนึ่งที “ขอบคุณที่ให้ฝนมาทำงานด้วยนะคะ” “อะไรที่ฝนอยากทำพี่ก็จะสนับสนุน แต่จำไว้อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป” เขาพูดแล้ววางมือบนหน้าท้องของหญิงสาว “เมื่อไหร่ลูกจะมานะ” “ใจร้อนจัง” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วลุกขึ้นยืนเอื้อมมือไปฉุดชายหนุ่มให้ลุกจากเก้าอี้ทำงานของเธอ “คราวที่แล้วพี่ยังไม่ทันเตรียมตัวเล
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช