“ไปฝากท้องมาแล้ว กลับบ้านก่อนเถอะ” รมิดารีบบอกน้องชายเพราะธาตรีเป็นห่วงเรื่องนี้มาก คงเพราะเห็นพี่สาวผอมเกินไปเมื่อตอนที่พี่ลาวัลย์ตั้งครรภ์ยังอวบอิ่มกว่าเธอมาก หญิงสาวนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของน้องชายมาที่บ้านหลังเล็ก หลานโมกข์รออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรมิดามาก็โผเข้าใส่แต่ธาตรีรีบก้าวมาขวางไว้ก่อน“ระวังหน่อย น้าฝนไม่ค่อยสบาย” ธาตรีกลัวว่าถ้าพูดว่าพี่สาวท้องแล้วเดี๋ยวเจ้าตัวแสบจะเอาไปพูดเรื่อยเปื่อย แล้วเรื่องจะรู้ไปถึงหูของแม่ “พี่ฝนมาก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องปรึกษา”“อะไรเหรอ” รมิดาถามขณะที่หลานรักจูงมือเข้ามาในบ้าน ส่วนลาวัลย์กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว“บริษัทที่ผมไปฝึกงานสนใจอยากรับผมเข้าทำงานหลังเรียนจบ”“ข่าวดีจริงๆ ไม่ต้องตระเวนหางานให้ยาก” เธอยินดีกับข่าวดีนี้ เพราะนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องสมัครงานหลายที่ ถูกปฏิเสธเพราะไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง จนได้มาทำงานกับหัสวีร์“แต่ผมต้องไปประจำที่โรงงานเป็นวิศวกรประจำโรงงาน ถ้าผมไปอยู่ไกลก็เป็นห่วงพี่สองคนกับหลาน” น้องชายพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล ปรายตามองหลานชายที่ปีนขึ้นมานั่งข้างๆ รมิดา“แล้วตรีอยากไปทำหรือเปล่าล่ะ” ธาตรีนิ่ง
“ไรอัน คุณกินอะไรของคุณ” “ก็...มะม่วงจิ้มพริกเกลือไง” ดาราสาวมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นนักธุรกิจหนุ่มอยากกินของเปรี้ยวขนาดต้องเปิดแอพสั่งอาหารเลื่อนหา ‘มะม่วงเปรี้ยว’ และจ่ายทิปให้อย่างหนักเพื่อมะม่วงดิบพร้อมพริกเกลือมาให้ “แปลกเหรอ” หัสวีร์ถามหลังจากกลืนมะม่วงลงคอแล้ว “รถเข็นข้างทางขายเยอะแยะไป” “แปลกเพราะไม่เคยเห็นไรอันกินนะสิ” คาเรนหยิบมาลองกัดกินแล้วก็ทำตาหยี “เปรี้ยวมาก” “เปรี้ยวเหรอ ก็ไม่เท่าไหร่นะ” หัสวีร์ยักไหล่ แค่กินผลไม้ทำไมคนอื่นมองว่าแปลก งงจริงๆ “ช่างเถอะ” คาเรนโยนมะม่วงที่กัดได้คำเดียวทิ้งแล้วจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า “ได้อยู่กันสองคนแบบนี้แล้ว เรามาคุยกันเรื่องของเราดีกว่าค่ะ” “ครับ” ชายหนุ่มพนักหน้ารับแล้วยอมวางมือจากมะม่วงเปรี้ยว เห็นทีว่าจะต้องไปซื้อมากินอีกสักสองสามกิโลกรัมถึงจะหายอยาก “ตอนนี้คาเรนก็ไม่มีภาระอะไรแล้ว เรากลับมาลองคบกันดูไหมคะ” “อะไรนะครับ” “ก็...ไรอันลงทุนขนาดจดทะเบียนกับเลขาเพื่อเอามาเป็นเมียปลอมๆ หลอกคุณปู่กับคุณย่าเสี
“นี่! เธอแกล้งฉันเหรอ!” “คะ” รมิดาเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ที่มีตารางตัวเลขเรี่ยงราย เธอขยับแว่นตากรองแสงแล้วมองแฟ้มเอกสารที่ปอไหมวางบนโต๊ะทำงานของเธอ “ยังจะแกล้งทำหน้าตาซื่อบื้ออีก” ปอไหมอยากจะร้องกรี๊ดๆออกมา “เอกสารพวกนี้มันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมให้ฉันเอาไปให้พี่วีร์เซ็นยะ!” “เอ๋? ดิฉันก็แจ้งแล้วนี่คะว่าให้ทำเอกสารให้เสร็จก่อนนำไปให้ท่านประธานเซ็นชื่อ” รมิดายังคงทำหน้านิ่งเก็บซ่อนความสนุกเล็กๆ ไว้ในอก “แล้วคุณปอไหมไม่ได้ตรวจเอกสารก่อนหรือคะ” “นั้นไม่ใช่หน้าที่ฉัน!” ปอไหมเผลอขึ้นเสียงใส่จนคนในแผนกหันมามอง เมื่อรู้ตัวจึงเบาเสียงลง “เธอจงใจแกล้งให้ฉันถูกพี่วีร์ตำหนิ!” “ถ้าจะให้พูดตามจริง ดิฉันเป็นหัวหน้างานคุณปอไหม การที่คุณมีโต๊ะทำงานที่นี่ก็แสดงว่าเป็นพนักงานของบริษัทนี้ และตำแหน่งคุณคือผู้ช่วยดิฉัน หากดิฉันไม่สามารถสั่งให้คุณทำงานเล็กๆ น้อยๆ ได้ อย่างนี้แล้ว คุณควรถามตัวเองว่าจะมานั่งเกะกะรบกวนฉันเพื่ออะไรคะ” “แก! นังรมิดา! ฉันจะไปฟ้องท่านอัศวิน” “ฝากรายงานท่านให้ด้วยนะคะว่า อย
‘ได้เดิมตามฝัน จะมีอะไรเป็นของตัวเอง ชอบอิสระ ไม่พึ่งพาใคร ไม่ง้อใคร รวยด้วยลำแข็ง เก่ง แกร่ง เสน่ห์แรง เกินต้าน สวยมากจนน่าขยี้ หาเงินเก่ง หาเงินดุ เงินคือสามีที่เรารักที่สุด...’หญิงสาวถึงกับสำลักเครื่องดื่มสีสวยที่กำลังยกขึ้นจิบ บาร์เทนเดอร์ที่อยู่ใกล้หันมามองอย่างห่วงใย แต่เจ้าของมือเรียวโบกมือไปมาก่อนหยิบกระดาษทิชชู่มาซับมุมปากแล้วกวาดสายตาอ่านข้อความที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของตนเอง“เงินคือสามีที่รักที่สุด” รมิดาพึมพำอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้งแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ มันเป็นหน้าแฟนเพจเวบดูดวงเพจหนึ่งที่เธอเลื่อนอ่านฆ่าเวลา แม้ไม่ใช่คนชอบดูดวงชะตาแต่ถ้าเจอก็อดอ่านไม่ได้ เธอเป็นสาวราศีมีน และหมอดูท่านนี้ก็ทำนายได้โดนใจเป็นที่สุดสำหรับรมิดาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงิน หญิงสาวนึกขำเมื่อเห็นภาพใบหน้าตนเองฉีกยิ้มหวานแล้วพูดว่า ‘ภูมิใจที่ได้ทำงานที่บริษัทในเครือศาตนันท์กรุ๊ฟ’ ซึ่งความจริงแล้ว เพราะเงินเดือนที่สูงกว่าบริษัทอื่นรวมทั้งค่าล่วงเวลาทำให้เธอกัดฟันทำงานที่นี่ต่างหากต้องเรียกว่า ‘ฟาดฟันเพื่อให้ได้ทำงานที่นี่เลยต่างหากล่ะ’หญิงสาวในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายยกแก้วเครื่องดื่มของตนขึ้น
มุมหนึ่งของห้องพักสุดหรูคือที่ออกกำลังกายของชายหนุ่มเจ้าของห้อง กระสอบทรายที่แขวนอยู่แกว่งไปมาตามแรงหมัดที่กระแทกใส่ เหงื่อเกาะพราวบนแผงอกกำยำมีรอยสักมังกรใหญ่ยักษ์ที่เวลานี้เปลือยเปล่าเห็นกล้ามท้องเป็นมัด จังหวะเต้นฟุตเวิร์คที่สอดคล้องกับจังหวะการหายใจ ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ถึงกับผงกศีรษะยอมรับความสามารถของพี่ชายต่างมารดาคนนี้ “ใส่นวมแล้วมาต่อยกันสักหมัดสองหมัดสิ” “อย่ามาหลอกเลย” คนถูกชวนส่ายหน้าไปมา “หมัดสองหมัดมีที่ไหน” ชายหนุ่มซัดหมัดหนักๆ ออกไปอีกหมัดก่อนยุติการซ้อม เขายื่นมือไปรับผ้าขนหนูจาก น้องชายแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ริมระเบียง “ออกกำลังกายให้เหงื่อมันออกเสียบ้างจะได้เลิกบ่นว่านอนไม่หลับเสียที” หัสวีร์พูดแล้วเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ “เอาแต่พึ่งยานอนหลับมันจะไม่ดีกับสุขภาพ” “เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้กินยานอนหลับแล้วล่ะ” หัสดินเดินไปหยิบน้ำแร่จากตู้เย็นแล้วเดินกลับมาหาพี่ชายคนละแม่ “ใครกล้ากวนใจพี่ชายผม หรือไม่ได้คุยกับคาเรน” หัสดินพูดพลางหัวเราะร่วน ถือขวดน้ำแร่แล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ แม้เป็นพี่น้องต่างมารดา
รมิดาเห็นเจ้านายหันหลังเดินไปแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเขาเปลือยแผ่นอกแบบนี้ แต่เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ปากตัวเองไวเท่าความคิด ท่านประธานเป็นคนจำพวกปากร้ายและร้ายไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยก็ว่าได้ เท่าที่ทำงานกันมา เขาเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ไร้ความปรานี แรกทีเดียวเธอออกจะแปลกใจในเงือนไขต่างๆ ก่อนเซ็นสัญญาทำงาน แต่เมื่อทำงานด้วยกัน เธอจึงรู้ว่าเขาไม่มีแค่ธุรกิจของครอบครัวที่ดูแลอยู่ แต่มีธุรกิจสีเทาที่เป็นธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเธอเป็นเลขาส่วนตัวของเขาทำให้ต้อง ‘เก็บข้อมูล’ไว้เป็นความลับ จึงเป็นที่มาของเงินเดือนที่สูงกว่าอื่นๆ หากนับรวมกับเงินล่วงเวลาแล้ว เฉลี่ยต่อเดือนเธอได้เงินเดือนห้าหมื่นบาทเลยทีเดียว นี่แหละ เหตุผลที่เธอต้องเกาะงานที่นี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าต้องเจอเจ้านายปากร้ายแค่ไหนก็ตาม “มีมัฟฟินก็ต้องมีกาแฟ” หัสดินพูดขึ้นอย่างนึกได้ เดินไปที่เครื่องชงกาแฟแคปซูล “ของเรนนี่เอาลาเต้เหมือนเดิมนะครับ” “ขอบคุณค่ะ” คงมีแค่เวลาแบบนี้ที่เธอไม่ต้องเอาอกเอาใจใคร หัสดินเป็นน้องชายหัสวีร์ อายุห่างกันสามปี และนิสัยตรงกันข้ามกันอย
‘ผมเข้าใจพี่ฝนนะฮะ แต่แม่คงไม่ได้คิดแบบนั้น’ ‘เรื่องแม่นะ ช่างเถอะ พี่ขอแค่ตรีกับหลานโมกข์เข้าใจพี่ก็พอ’ ‘ผมเรียนจบแล้วจะรีบหางานทำ แบ่งเบาภาระพี่ฝนนะฮะ’ ‘ไม่ต้องๆ พี่ดูแลตัวเองได้ แค่โมกข์ไม่อายที่มีพี่อย่างพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว’ ‘ทำไมผมต้องอายด้วยเล่า พี่สาวผมทั้งสวยทั้งเก่ง ผมน่ะ ภูมิใจในตัวพี่ฝนนะ’ ‘อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะกัน’ ‘แน่นอนครับ!’ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า รมิดาตากเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาด้านใน ห้องของเธอมีฟอร์นิเจอร์ครบครัน เครื่องครัว รวมทั้งเครื่องซักผ้าขนาดเล็กและตู้เย็นที่อัดแน่นด้วยน้ำดื่มและขนมของว่างที่แจกในห้องประชุม ตั้งแต่ทำงานในตำแหน่งเลขา เธอไม่ได้อดยากหิวโหยเหมือนเมื่อก่อน แต่เพราะรู้ว่าความหิวมันทรมานเพียงใด ยิ่งขนมพวกนี้เธอไม่เคยมีเงินซื้อกินเอง ลำพังแค่มีข้าวกินครบสามมื้อก็ลำบากแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อขนมมากิน วันหยุดซึ่งนานๆ จะมีสักทีเพราะเจ้านายของเธอเป็นคนบ้างาน นอกจากงานที่บริษัทแล้วยังมีกิจการส่วนตัวหลายอย่าง หลายครั้งที่เธอต้องตามเขาไปหลายที่ ต
หญิงสาวหอบเอกสารเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทีมาดมั่นและงามสง่า สายตาหลายคู่ลอบมองมาทางเธอแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักทาย ใบหน้าหวานแม้มีแว่นตากรอบบางสวมอยู่ก็ไม่อาจปกปิดดวงตาคู่สวยได้ ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนเผยอขึ้นเล็กน้อย ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มก้าวเดินตรงมาที่โต๊ะของพนักงานสาวคนหนึ่งที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า “คุณอรอุมาคะ เอกสารชุดนี้ผิดพลาดค่ะ ดิฉันใช้ดินสอเขียนในส่วนที่ต้องแก้ไขแล้ว รบกวนทำให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะคะ” “เอ่อ...” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้น “วันนี้ค่ะ” หญิงสาวยืนยัน มุมปากมีรอยยิ้มทำให้ดูอ่อนโยน ทว่าประโยคต่อมาก็ราวฟาดแส้ใส่คนฟัง “ถ้าไม่เสร็จตามกำหนด คุณหัสวีร์จะให้ฝ่ายบุคคลพิจารณาการทำงานของคุณค่ะ” “ค่ะๆ” ความเด็ดขาดของเลขาสาวเจ้าของความสูง 167 เซนติเมตรและท่าทางเย่อหยิ่งคนนี้คือ ‘ รมิดา บัวระวงศ์’ เธอเป็นเลขาข้างกาย ‘หัสวีร์ ศาตนันท์’ ประธานบริษัทหนุ่มวัยสามสิบสอง หญิงสาวเดินกลับลงมาที่หน้าตึก มารอรับชุดสูทของเจ้านายที่ให้พนักงานซักรีดเอามาส่ง เลขาสาวเดินเข้าลิฟต์ของผู้บริหารด้
“นี่! เธอแกล้งฉันเหรอ!” “คะ” รมิดาเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ที่มีตารางตัวเลขเรี่ยงราย เธอขยับแว่นตากรองแสงแล้วมองแฟ้มเอกสารที่ปอไหมวางบนโต๊ะทำงานของเธอ “ยังจะแกล้งทำหน้าตาซื่อบื้ออีก” ปอไหมอยากจะร้องกรี๊ดๆออกมา “เอกสารพวกนี้มันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมให้ฉันเอาไปให้พี่วีร์เซ็นยะ!” “เอ๋? ดิฉันก็แจ้งแล้วนี่คะว่าให้ทำเอกสารให้เสร็จก่อนนำไปให้ท่านประธานเซ็นชื่อ” รมิดายังคงทำหน้านิ่งเก็บซ่อนความสนุกเล็กๆ ไว้ในอก “แล้วคุณปอไหมไม่ได้ตรวจเอกสารก่อนหรือคะ” “นั้นไม่ใช่หน้าที่ฉัน!” ปอไหมเผลอขึ้นเสียงใส่จนคนในแผนกหันมามอง เมื่อรู้ตัวจึงเบาเสียงลง “เธอจงใจแกล้งให้ฉันถูกพี่วีร์ตำหนิ!” “ถ้าจะให้พูดตามจริง ดิฉันเป็นหัวหน้างานคุณปอไหม การที่คุณมีโต๊ะทำงานที่นี่ก็แสดงว่าเป็นพนักงานของบริษัทนี้ และตำแหน่งคุณคือผู้ช่วยดิฉัน หากดิฉันไม่สามารถสั่งให้คุณทำงานเล็กๆ น้อยๆ ได้ อย่างนี้แล้ว คุณควรถามตัวเองว่าจะมานั่งเกะกะรบกวนฉันเพื่ออะไรคะ” “แก! นังรมิดา! ฉันจะไปฟ้องท่านอัศวิน” “ฝากรายงานท่านให้ด้วยนะคะว่า อย
“ไรอัน คุณกินอะไรของคุณ” “ก็...มะม่วงจิ้มพริกเกลือไง” ดาราสาวมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นนักธุรกิจหนุ่มอยากกินของเปรี้ยวขนาดต้องเปิดแอพสั่งอาหารเลื่อนหา ‘มะม่วงเปรี้ยว’ และจ่ายทิปให้อย่างหนักเพื่อมะม่วงดิบพร้อมพริกเกลือมาให้ “แปลกเหรอ” หัสวีร์ถามหลังจากกลืนมะม่วงลงคอแล้ว “รถเข็นข้างทางขายเยอะแยะไป” “แปลกเพราะไม่เคยเห็นไรอันกินนะสิ” คาเรนหยิบมาลองกัดกินแล้วก็ทำตาหยี “เปรี้ยวมาก” “เปรี้ยวเหรอ ก็ไม่เท่าไหร่นะ” หัสวีร์ยักไหล่ แค่กินผลไม้ทำไมคนอื่นมองว่าแปลก งงจริงๆ “ช่างเถอะ” คาเรนโยนมะม่วงที่กัดได้คำเดียวทิ้งแล้วจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า “ได้อยู่กันสองคนแบบนี้แล้ว เรามาคุยกันเรื่องของเราดีกว่าค่ะ” “ครับ” ชายหนุ่มพนักหน้ารับแล้วยอมวางมือจากมะม่วงเปรี้ยว เห็นทีว่าจะต้องไปซื้อมากินอีกสักสองสามกิโลกรัมถึงจะหายอยาก “ตอนนี้คาเรนก็ไม่มีภาระอะไรแล้ว เรากลับมาลองคบกันดูไหมคะ” “อะไรนะครับ” “ก็...ไรอันลงทุนขนาดจดทะเบียนกับเลขาเพื่อเอามาเป็นเมียปลอมๆ หลอกคุณปู่กับคุณย่าเสี
“ไปฝากท้องมาแล้ว กลับบ้านก่อนเถอะ” รมิดารีบบอกน้องชายเพราะธาตรีเป็นห่วงเรื่องนี้มาก คงเพราะเห็นพี่สาวผอมเกินไปเมื่อตอนที่พี่ลาวัลย์ตั้งครรภ์ยังอวบอิ่มกว่าเธอมาก หญิงสาวนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของน้องชายมาที่บ้านหลังเล็ก หลานโมกข์รออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรมิดามาก็โผเข้าใส่แต่ธาตรีรีบก้าวมาขวางไว้ก่อน“ระวังหน่อย น้าฝนไม่ค่อยสบาย” ธาตรีกลัวว่าถ้าพูดว่าพี่สาวท้องแล้วเดี๋ยวเจ้าตัวแสบจะเอาไปพูดเรื่อยเปื่อย แล้วเรื่องจะรู้ไปถึงหูของแม่ “พี่ฝนมาก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องปรึกษา”“อะไรเหรอ” รมิดาถามขณะที่หลานรักจูงมือเข้ามาในบ้าน ส่วนลาวัลย์กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว“บริษัทที่ผมไปฝึกงานสนใจอยากรับผมเข้าทำงานหลังเรียนจบ”“ข่าวดีจริงๆ ไม่ต้องตระเวนหางานให้ยาก” เธอยินดีกับข่าวดีนี้ เพราะนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องสมัครงานหลายที่ ถูกปฏิเสธเพราะไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง จนได้มาทำงานกับหัสวีร์“แต่ผมต้องไปประจำที่โรงงานเป็นวิศวกรประจำโรงงาน ถ้าผมไปอยู่ไกลก็เป็นห่วงพี่สองคนกับหลาน” น้องชายพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล ปรายตามองหลานชายที่ปีนขึ้นมานั่งข้างๆ รมิดา“แล้วตรีอยากไปทำหรือเปล่าล่ะ” ธาตรีนิ่ง
หัสดินเปิดประตูคลินิกเข้าไปด้วยความคุ้นเคย เขาส่งยิ้มให้พยาบาลที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ก่อนยกกล่องขนมวางบนนั้น “วันนี้คุณดินมาส่งขนมเองเลยหรือคะ” “ผมมาธุระแถวนี้เลยแย่งหน้าที่ไรเดอร์มาส่งขนมเอง” หัสดินหัวเราะแล้วลอบมองในคลินิกซึ่งวันนี้ไม่ค่อยมีคนไข้นัก “หมอมีนติดคนไข้อยู่เหรอ” “ค่ะ คนเดียว คุณดินมีเรื่องมาปรึกษาหมอมีนหรือคะ” “เปล่าครับ ผมจะมีปัญหาอะไรมาปรึกษาหมอสูติฯได้ล่ะ” พยาบาลสาวหัวเราะ ครู่หนึ่งก็ขอตัวไปด้านใน หัสดินนั่งเล่นอยู่บริเวณนั้น เขาเป็นเพื่อนกับหมอมีนมาหลายปี รู้จักผ่านเพื่อนของเพื่อนที่แอบเชียร์ให้เขาจีบหมอคนสวย แต่พอได้คุยกันจริงๆ ถึงรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่าเป็นแฟน นอกจากเป็นเพื่อนแล้ว ยังเป็นลูกค้าขนมคนสำคัญของร้านด้วย “ยังไงก็ปฏิบัติตามที่หมอแนะนำนะคะ” “ขอบคุณค่ะ” หัสดินได้ยินเสียงเพื่อนสนิท แต่อีกเสียงก็คุ้นเคย แต่เขาหันหลังอยู่ไม่กล้าหันมามองเต็มตานัก ด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาทท
“ทำไมพ่อวุ่นวายกับเรื่องของผมขนาดนี้” “ก็เพราะเป็นพ่อไง” อัศวินตอบแบบไม่ต้องคิดมากในขณะที่ภรรยารินเครื่องดื่มร้อนส่งให้ นางเงยหน้ามองหัสวีร์แล้วยิ้มน้อยๆ“คุณวีร์รับชาสมุนไพรไหมคะ”“ไม่ครับ ขอบคุณ” หัสวีร์ไม่มีปัญหาของแม่เลี้ยง มันไม่เหมือนในนิยายที่ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงต้องเข้ากันไม่ได้ แต่กับเขา -เขาเข้ากับแม่เลี้ยงและน้องชายคนล่ะแม่ได้อย่างดี แต่ที่เข้าไม่ได้กลับเป็นพ่อแท้ๆ ของตัวเอง “ถ้าเป็นปู่กับย่าผมยังพอเข้าใจ นี่เป็นพ่อ...พ่อที่ไม่เคยทำอะไรตามใจปู่แต่มาบังคับให้ผมทำตามใจพ่อนี่นะ” “ถ้าปู่ย่าแกรู้ก็ต้องไม่พอใจเหมือนพ่อนี่แหละ” คนเป็นพ่อยิ้มเยาะลูกชาย “ไม่ต้องเอาปู่กับย่าไปยุ่งด้วยหรอกนะ” เสียงปู่ดังเรียกสายตาของลูกและหลานให้หันไปมอง คนเป็นสะใภ้ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปช่วยประคองแม่สามีให้มานั่งที่โซฟาหรูกลางห้องนั่งเล่น “พ่อยังไม่รู้อะไร ไอ้วีร์มันแอบไปคว้าเลขามาทำเมีย” อัศวินทำเสียงหงุดหงิด “ผู้หญิงเอาไว้เป็นนางบำเรอหรือเมียเก็บก็พอ ไม่จำเป็นต้องยกย่องจดทะเบียนสมรสหรอก” “พ่อ!” หัสวีร์
หัสวีร์ประหลาดใจที่หน้าห้องทำงานมีโต๊ะเพิ่มและยังมีคนที่เป็น ‘เลขา’ เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุก็พอๆ ก็รมิดา แต่ทำไมเขาเห็นแล้วหงุดหงิดจนพาลโมโหก็ไม่รู้ “ชื่อปอไหมค่ะ เรียกปอก็ได้ค่ะ คุณอาอัศวินให้ปอมาทำหน้าที่เลขาพี่วีร์ค่ะ “คุณ...เข้ามาคุยข้างใน” “ค่ะ” รมิดาจำใจเดินตามเขาเข้าไปในห้อง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเขาล็อกประตู เมื่อเธอหันมาก็เป็นจังหวะที่เขาจับเอวคอดขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานของเขา “พี่วีร์!” ยังดีที่เธอเรียกชื่อเขา ไม่งั้นเขาจะยิ่งโกรธมากกว่านี้ “ผมหรือพ่อเป็นเจ้านายของคุณ” มือแข็งแกร่งเลื่อนจากเอวมาสัมผัสกลีบปากของหญิงสาว รมิดาเอนหลังถอยหนีแต่เขายื่นหน้าตามไปใกล้ “ว่าไง” “พี่วีร์ค่ะ” “รู้แล้วทำไมให้คนอื่นมาวุ่นวายแบบนี้” “นั้นคุณพ่อพี่วีร์นะคะ แล้วก็ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย ถ้าไม่ทำตามก็เกรงว่า...” “แล้วทำไมไม่รายงานผมก่อน” “พี่วีร์ยุ่งอยู่นี่คะ” “ผมยุ่งอะไร ตารางงานของผมค
ข่าวดาราดังเดินทางกลับเมืองไทยกระจายไปทั่วสื่อทุกสื่อ ดาราสาวสวมชุดดำไว้ทุกข์ใบหน้ามีรอยเศร้าแต่ยังระบายยิ้มจางๆ เมื่อถูกสื่อซักถามก็เพียงแค่ยิ้ม ภาพที่ออกสื่อหลายภาพจะเห็นชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง เดาได้ไม่ยากว่าเป็นประธานหนุ่มคนหนึ่งที่เคยมีข่าวคบหากันมาก่อนที่ดาราสาวจะบินไปดูบิดาที่ป่วยหนักอยู่ต่างประเทศ รมิดาชินชากับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในแผนก เธอหยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินเข้าห้องท่านประธานด้วยใบหน้าเรียบเฉย หัสวีร์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหรี่ตามองเลขาอย่างจับผิดก่อนเอ่ยถาม “ทำไมแต่งหน้าจัด” “แต่งหน้าผิดระเบียบหรือคะ” เธอเถียงไปอย่างนั้นเพราะรู้ว่าตัวเองค่อนข้างหน้าซีดไม่อยากให้คนอื่นทักจึงแต่งหน้าเข้มกว่าปกติ ตั้งแต่รู้ว่าตั้งท้องเธอก็ศึกษาหลายเรื่องทั้งเรื่องเครื่องสำอางหรือแม้แต่ครีมบำรุงผิว เพราะกลัวว่าลูกจะได้รับสารที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง แต่ถ้าไม่แต่งเลยก็เกรงว่าสภาพเธอตอนนี้จะเป็นซอมบี้เสียมากกว่า “ช่างเถอะ อย่าให้มันจัดนักก็พอ” อาจเพราะเคยชินกับการที่เธอแต่งหน้าบางๆ ยกเว้นเวลาออกงานข้างกายเขา “
“ไม่ต้องกลัวนะ ตื่นมาก็จะเจอน้าอยู่ตรงนี้” เด็กชายห้าขวบยิ้มตาหยีให้น้าสาวกับน้าชายที่มาส่งก่อนเข้าห้องผ่าตัด ลาวัลย์ลูบแก้มลูกชายเบาๆ แล้วปล่อยให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผ่านไป คนเป็นแม่พนมมือแล้วอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การผ่าตัดครั้งนี้ราบรื่นด้วยดี “พี่ฝน …สีหน้าไม่ดีเลย ไปนั่งพักก่อนดีกว่า” ธาตรีเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พี่สาวเขาแข็งแรงก็จริง ปกติแทบไม่เคยเห็นเจ็บป่วย แต่วันนี้มาส่งน้องโมกข์เข้าห้องผ่าตัด แต่ตัวเองกลับหน้าซีดกว่าคนป่วยเสียอีก “นั้นสิ ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย” ลาวัลย์เข้าไปประคองไหล่น้องสาวแต่ร่างเล็กทรุดฮวบลง น้องชายที่อยู่ใกล้ตาเร็วเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน “ยัยฝน” “คุณพยาบาล ช่วยด้วยครับ” “มะ..ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ” “ไม่เป็นไรได้ไง หน้ามืดเป็นลมอยู่ตำตา” ธาตรีดุพี่สาว เป็นจังหวะที่บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นมาให้ เชาจึงประคองพี่สาวนั่งรถเข็น “มาถึงโรงพยาบาลแล้วก็ตรวจไปเลย” “ไม่ต้องตรวจอะไรหรอกแค่หน้ามืด” “ไม่ได้ พี่ฝนเคยเป็นอะไรแบบนี้เสียทีไหน ทำงานมาก็ร
“ก็บอกให้ไปหาหมอไง ทำไมดื้อแบบนี้นะ” “ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรนี่คะ ทำไมดื้อแบบนี้นะ” หัสดินหน้านิ่งไปไม่คิดว่ารมิดาจะยอกย้อนด้วยประโยคเดิมของเขา หลังจากเขาขับรถเข้าเส้นชัย รมิดาก็หน้ามืดเป็นลมไป เจ้าที่ข้างสนามเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นได้สติ แล้วทั้งสองกฌโต้เถียงกันเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมไปโรงพยาบาลตามที่เขาสั่ง “นี่เป็นคำสั่งของผม” “นี่ไม่ใช่เวลางานค่ะ” เธอเชิดหน้าท้าทาย หัสดินได้แต่ยกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนปะทะอารมณ์กันมากไปกว่านี้ “เอาล่ะๆ เอาไว้ไปหาหมอที่หลังก็ได้” “เดี๋ยวนี้!” “ไม่ไปค่ะ” “ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันนอกบ้านแบบนี้สิ มีอะไรก็ไปคุยกันบนเตียง” ถ้อยคำของหัสดินทำเอารมิดาใบหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมา แต่ก็ทำให้หัสวีร์ระบายลมหายใจเบาๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน้าซีดแบบเมื่อครู่ “จริงๆเลย” ไม่คิดว่าเวลาดื้อจะดื้อได้ขนาดนี้ “ก็ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” เธอเริ่มเสียงเบาลง “เป็นหมอหรือไงวินิจฉัยตัวเองได้” “ก็เพราะใครทำให้นอ