ตอนที่ 2
หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018
รอดแล้ว!!!
เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้
ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้น
คิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควร
เธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า
“เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”
เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่
“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”
เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้งหลายที่ช่วยเธอเอาไว้
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ”
เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอกล่าวขอบคุณเหล่าผู้คนที่ช่วยเพื่อนของเธอเอาไว้ หลันซู่ถงจึงได้กล่าวขอบคุณคนเหล่านั้นไปด้วยเช่นกัน ก่อนที่เธอจะรีบพาเพื่อนสนิทของตัวเองกลับไปยังห้องพักทันทีอย่างระมัดระวังเป็นที่สุด
“ตกลงว่าแกไม่ได้เจ็บตรงไหนแน่นะ ให้ฉันเรียกพยาบาลให้พาแกไปตรวจเพิ่มดีไหม” ซู่ถงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
แม้จะได้รับคำยืนยันจากปากเพื่อนสนิทตั้งแต่อยู่ที่สวนดาดฟ้าแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรแต่เธอก็ยังไม่เบาใจ
“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆถ้าเจ็บฉันก็บอกแกไปแล้วไม่มานั่งทนอยู่แบบนี้หรอก ว่าแต่แกเถอะเป็นอะไรไหม” เฟ่งเสี่ยวซ่งพูดออกมากอย่างติดตลก ก่อนจะถามกลับไปยังเพื่อนสนิทของเธอบ้าง
“ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยแก ทีแรกนึกว่าจะต้องล้มลงไปเจ็บแน่ๆ แต่พอดีมีใครไม่รู้ช่วยฉันเอาไว้ก่อนที่จะตกลงไปฉันเองก็ยังไม่ทันได้มองหน้าเขาหรือบอกขอบคุณเขาเลย”
“ดีแล้วที่แกไม่ได้เป็นอะไร ส่วนเรื่องคนที่ช่วยแกคนนั้น คงมีแต่แกคนเดียวที่ไม่เห็นหน้าเขา ฉันและคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นเห็นกันทุกคนนั่นแหละ”
“จริงเหรอแกรู้จักเขาไหม เขาคนนั้นคือใครเหรอฉันจะได้ไปขอบคุณเขาถูก”
เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทอย่างอยากรู้ ก็เธอรีบร้อนผละออกมาอย่างเสียมารยาทอย่างนั้น คนเขาอุตส่าห์ช่วยเธอกับทำตัวไร้มารยาทใส่ แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆตอนนั้นเธอเป็นห่วงเสี่ยวซ่งที่สุด
อย่างน้อยๆเธอก็ยังพอมีหวังในเรื่องตามไปขอบคุณผู้มีพระคุณของเธอได้อยู่ ก็ในเมื่อเขาขึ้นไปที่สวนดาดฟ้าแสดงว่าต้องเป็นคนที่มีญาติมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้แน่ๆหรืออาจจะเป็นหมอสักคนที่ผ่านมาพอดีที่เป็นคนช่วยเธอเอาไว้
“ฉันรู้จัก และก็ทุกคนในโรงพยาบาลนี้ก็น่าจะรู้จักกันทุกคนนั่นแหละ เพราะคนที่ช่วยแกไว้ก็คือคุณหมอแรร์ไอเทมของฉันไงคุณหมอเฟิงฉางเหอนั่นแหละที่เป็นคนช่วยแกเอาไว้”
“อ้าวเหรอ นี่แกพูดจริงใช่ไหม” เธอถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะคิดว่าไม่น่าจะใช่คุณหมอเฟิงฉางเหอคนนั้นที่เป็นคนช่วยเธอไว้ เพราะเธอเห็นอยู่ว่าเขา เดินออกไปจากประตูทางออกแล้วนี้แล้วเขาจะกลับมาช่วยเธอได้ยังไง
“ฉันพูดจริง เป็นคุณหมอเฟิงฉางเหอรูปหล่อหมอแรร์ไอเทมไม่ผิดแน่ๆ”
“อย่างนี้ฉันควรรีบไปขอโทษเขาเลยไหม หรือแกคิดว่ายังไง” เธอหันมามองสบตาของเพื่อนสนิทก่อนจะถามออกไป
“ถามฉันเหรอ ฉันว่าพรุ่งนี้แกจัดกระเช้าดอกไม้เล็กๆมาขอบคุณแบบเป็นทางการเลยดีกว่า ฉันว่าถ้าเกิดแกไปขอพบคุณหมอตอนนี้พวกพยาบาลที่คงกันท่ากันยกใหญ่”
“กันท่าเหรอ ถึงขนาดนั้นเลย”
“ก็ใช่น่ะสิไม่ใช่แกคนเดียวนะที่อยากเข้าพบคุณหมอเฟิงฉางเหอของฉันน่ะ พวกชะนีอื่นๆเขาก็หาทางเข้าพบคุณหมอเขาอยู่เหมือนกัน ถ้าพรุ่งนี้เขาไม่ให้แกพบแกก็แค่ฝากกระเช้าดอกไม้แทนคำขอบคุณเอาไว้ให้เขาเป็นอันถือว่าจบและก็ง่ายดีด้วย”
“โอเค เอาเป็นว่าฉันจะทำแบบที่แกบอกก็แล้วกัน พรุ่งนี้ฉันค่อยมาขอพบคุณหมอเฟิงฉางเหอ”
เมื่อได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็นั่งเล่นเป็นเพื่อนเฟ่งเสี่ยวซ่งอีกพักหนึ่งก่อนที่จะบอกลาเพื่อนสนิทกลับไปยังร้านและที่พักของเธอ
รุ่งขึ้นเธอจัดกระเช้าดอกไฮเดรนเยียสีขาวสลับฟ้าก่อนจะรีบนำมันไปขอเข้าพบคุณหมอเฟิงฉางเหอ และก็เป็นไปอย่างที่เพื่อนของเธอบอกพยาบาลที่เธอเข้าไปติดต่อจากคราวแรกที่ยิ้มแย้มให้อย่างเป็นมิตร จากรอยยิ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นสายตาแปลกๆ ก่อนจะบอกเธอว่าคุณหมอเฟิงฉางเหอไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบทั้งนั้น
ซึ่งเธอก็ไม่ได้คะยั้นคะยออะไรกับพยาบาลคนนั้นอีก เพียงแต่ฝากกระเช้าดอกไฮเดรนเยียให้คุณหมอเฟิงฉางเหอ ซึ่งพยาบาลคนนั้นก็รับเอาไว้อย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่อย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
แต่ก็เอาเถอะอย่างน้อยๆก็ถือว่าเธอได้ขอโทษเขาแล้วก็แล้วกัน
หลันซู่ถงคิดในใจก่อนจะเดินออกมาจากหน้าเคาน์เตอร์ที่เธอยืนคุยกับพยาบาลเมื่อครู่และรอลิฟต์เพื่อที่จะลงไปยังชั้นที่เพื่อนสนิทของเธอพักรักษาตัวอยู่
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ขึ้นมาทำไมครับ” เฟิงฉางเหอเอ่ยถามพยาบาลที่ทำหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์อยู่ทันที เมื่อตอนที่เขาออกมาจากลิฟต์อีกตัวและเดินผ่านลิฟต์ที่อยู่ข้างๆกัน สายตาของเขาก็ไปปะทะเขากับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
“เอ่ย หมายถึงผู้หญิงที่ลงลิฟต์ไปเมื่อครู่ใช่ไหมคะ”
พยาบาลสาวที่ทำหน้าที่ประจำหน้าเคาน์เตอร์ชั้นห้องทำงานประจำของเหล่าคุณหมอ เอ่ยถามกับไปอย่างตะกุกตะกัก เพราะเธอเป็นพยาบาลใหม่และก็ไม่เคยที่คุณหมอสุดหล่ออย่างหมอเฟิงฉางเหอจะมาคุยด้วย แค่ตายังแทบจะไม่เคยมองมาที่เธอเลยสักครั้ง ทำให้เธออดจะตื่นเต้นไม่ได้
“ครับ รีบตอบผมด้วยคุณกำลังจะทำให้ผมเสียเวลา” เฟิงฉางเหอเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าเคร่งครึมอย่างเริ่มไม่สบอารมณ์
“ผู้หญิงคนเมื่อครู่เธอมาขอพบคุณหมอเฟิงค่ะ ดิฉันรู้ว่าคุณหมอไม่ให้ใครเข้าพบทั้งนั้นเลยให้เธอกลับไป”
เธอเอ่ยบอกอย่างรวดเร็วเมื่อเริ่มเห็นทีท่าว่าคุณหมอตรงหน้าซึ่งรวบตำแหน่งเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้เริ่มที่จะอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่แล้ว
“อีกอย่างคือเธอฝากกระเช้าดอกไม้เอาไว้ให้คุณหมอด้วยค่ะ คุณหมออยากให้ดิฉันเอาไปทิ้งเลยไหมคะ” เธอหยิบกระเช้าดอกไม้ขึ้นมาวางบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเอ่ยถามต่อเมื่อเห็นว่าคุณหมอเฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่คล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่
และเมื่อเธอนำกระเช้าดอกไม้ดังกล่าวออกมาวางคุณหมอเฟิงก็จับจ้องที่กระเช้าดอกไฮเดรนเยียอันนี้ ก่อนที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันแต่ใบหน้าก็ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม
เฟิงฉางเหอมองกระเช้าดอกไม้ตรงหน้าอยู่นาน ก่อนที่อยู่ๆเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่เลือกหยิบกระเช้าดอกไม้ขึ้นมาและนำมันเดินไปที่ห้องทำงานของตัวเองเสียอย่างนั้น
ซ้ำยังวางมันเอาไว้บนโต๊ะทำงานของตัวเอง และนั่งมองมันทั้งวันอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ผู้หญิงคนนั้น กับกระเช้าดอกไม้และก็ความคุ้นเคยแปลกๆแบบนี้มันคืออะไรกัน เขามั่นใจว่าไม่เคยเจอเธอมาก่อน ปกติแล้วเขาไม่ชอบที่จะถูกเนื้อต้องตัวกับใครโดยเฉพาะผู้หญิง แต่เมื่อวานเขากับเผลอสบตากับผู้หญิงคนนั้น ซ้ำยังเดินกลับไปหาเธอคนนั้นอีกครั้งเสียต่างหาก เมื่อเห็นเธอล้มเขาก็คว้าตัวเองอย่างไม่คิดอะไรทั้งนั้น
แน่นอนว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เธอคนนั้นล้มเขาก็คงจะช่วยแต่คงไม่ยืนและถูกเนื้อต้องตัวกลับผู้หญิงคนอื่นๆนานเท่ากับเธอคนนั้น เขาคงปล่อยเธอทันทีที่เธอปลอดภัย
แตกต่างกับผู้หญิงคนนั้นที่เมื่อได้จับเขาก็ไม่รู้สึกว่าต้องปล่อยตัวเธอออก คล้ายกับว่าเขาไม่อยากออกห่างจากเธอเลยด้วยซ้ำไป
เขาได้แต่คิดแล้วก็สงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
เฟิงฉางเหอเดินไปที่หน้าต่างกระจกบานใส ที่ทำให้เขามองเห็นด้านล่างของโรงพยาบาลอย่างชัดเจน บวกกับความสูงของชั้นที่เขาอยู่ทำให้ยิ่งมองเห็นได้ไกลยิ่งขึ้น
เขากำลังมองร่างเล็กของเธอที่เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดที่กำลังยืนรอสัญญาณไฟอยู่ที่ทางม้าลายหน้าโรงพยาบาลเขายืนมองเธออยู่อย่างนั้นโดยไม่อาจละสายตาได้ จนกระทั่งร่างเล็กเดินก้าวข้ามทางม้าลายตามเหล่าผู้คนที่เดินไปด้วยเป็นกลุ่มใหญ่ไป
เขาขมวดคิ้วอีกครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ๆร่างเล็กที่สมควรเดินข้ามทางม้าลายไปถึงถนนอีกฝั่งแล้วกลับหันหลังและวิ่งกลับมาอีกครั้งก่อนจะก้าวไปหยุดอยู่ที่กลางทางม้าลายและก้มลงเก็บร่มคันหนึ่งมาถือเอาไว้ในมือ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองสัญญาณไฟอีกครั้งหนึ่งและรีบออกวิ่งไปยังอีกฝากหนึ่งของถนนซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเดิมของเธออีกครั้ง
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เฟิงฉางเหอต้องละสายตาจากร่างเล็กและกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานอีกครั้งหนึ่ง“เชิญครับ” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อนำเอกสารขึ้นมาเปิดและทำเหมือนกำลังยุ่งกับงานอยู่
ในขณะเดียวกันหลันซู่ถงซึ่งยืนอยู่บนทางเดินเท้าของอีกฟากหนึ่งของถนนซึ่งตรงข้ามกันกับโรงพยาบาล
เธอยังคงยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดข้ามทางม้าลายเท่าไหร่นัก และในมือของเธอยังคงถือร่มคันหนึ่งเอาไว้ ร่มคันนี้เป็นร่มที่เธอเก็บมันได้จากกลางทางม้าลาย
เธอก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของร่มคันนี้กันแน่ แต่ด้วยความกลัวว่าถ้าหากมีรถคันไหนขับมาและร่มมันตีใส่กระจกหน้ารถก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เธอก็เลยเก็บมันออกมาจะดีกว่า
ร่มด้ามไม้อันยาวในมือของเธอเป็นร่มที่ดูๆไปแล้วก็เหมือนกับเป็นร่มโบราณเพราะลายที่วาดอยู่บนร่มก็เป็นลายวาดซึ่งสวยงามไม่น้อย
ความคิดของหลันซู่ถงเป็นอันต้องชะงักเมื่ออยู่ๆ เม็ดฝนเม็ดหนึ่งก็ตกลงมากระทบกับมือที่ถือร่มอยู่ของเธอ
เธอเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้าที่ยามนี้เริ่มที่จะปกคลุมไปด้วยเมฆฝนจำนวนมาก เธอไม่รอช้าที่จะกลางร่มในมือที่เธอเก็บได้เมื่ออยู่ๆฝนที่ลงเม็ดมาเมื่อครู่ก็กระหน่ำลงมาอย่างแรง
“นี่ฉันโชคดีใช่ไหมเนี่ย เจ้าร่มน้อยแกมาได้ทันเวลาพอดีเลยนะ”
เธอเอ่ยกับตัวเองอย่างขำๆก่อนจะค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าๆเพื่อที่จะตรงกลับไปยังร้านดอกไม้ของเธอซึ่งอยู่อีกไม่ไกล
เปรี้ยง!!!
เสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจจนเกือบจะทำร่มในมือหล่นดีที่เธอกำเอาไว้ทัน
เปรี้ยง!!!เปรี้ยง!!!
เสียงฟ้าผ่าที่เริ่มดังขึ้นเลื่อยๆและแรงมากขึ้นทำให้เธอตัดสินใจที่จะวิ่งเข้าไปหลบฝนที่หน้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่อีกไม่ไกลแทนที่จะเดินฝ่าฝนกลับไปที่ร้านของตัวเองเลย
ตอนนี้ทั้งลมทั้งฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้เธอกลัวไปหมด เธอเห็นหลายคนที่วิ่งฝ่าฝนไปทั้งที่ไม่มีร่มวิ่งไปทั้งเปียกๆแบบนั้น แล้วนึกขึ้นในใจ
ไม่รู้ว่าโชคดีจริงหรือเปล่าเพราะแม้เธอจะมีร่มแต่เพราะแรงลมทำให้เธอถูกฝนจนเปียกไม่แพ้คนที่เดินลุยฝนไปด้วยซ้ำ หรือว่าเธอควรจะโยนลมอันนี้ทิ้งและรีบวิ่งไปกับคนอื่นๆ แบบนั้นจะเร็วกว่ารึเปล่านะ
อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องค่อยกลางร่มต้านแรงลมอยู่แบบนี้ อย่างนั้นมันอาจจะทำให้เธอไปถึงร้านสะดวกซื้อข้างหน้าง่ายขึ้นด้วย
“เอาเถอะเจ้าร่มคันน้อยพี่ซู่ถงคงต้องทิ้งเจ้าแล้ว” เธอเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบด้ามจับของร่มคันนี้ไปด้วย
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้โยนร่มทิ้งอย่างที่ใจคิดเอาไว้จู่ๆฟ้าก็ผ่าลงมาอย่างแรงอีกหลายครั้งติดกัน
เปรี้ยง!!!เปรี้ยง!!!เปรี้ยง!!!เปรี้ยง!!!
และครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าเธอจะทำอย่างใจคิดไม่ได้แล้วเมื่อร่างของเธอล้มลงกับพื้นในขณะที่เสียงฟ้าผ่าครั้งสุดท้ายดังขึ้น ร่างกายของเธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบ้างอย่างทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้อีก
ร่มที่เธอถืออยู่ก็ปลิวไปไกลจากจุดที่เธอล้มลง และนั้นก็เป็นภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนที่เธอจะไม่ได้เห็นอะไรอีกเลย และก็ไม่อาจรับรู้ความรู้สึกใดๆได้อีก
ความรู้สึกล่องลอยแบบนี้มันคืออะไรกัน เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องตื่นขึ้นมาได้แล้ว แต่เธอพยายามบังคับร่างกายตัวเองเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จสักที คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถบังคับตัวเองอย่างที่ใจคิดได้
เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรความรู้สึกว่างเปล่าที่กำลังเกิดขึ้นนี้ด้วยมันคืออะไรกันนะ เธอรู้สึกราวกับว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ในที่ๆหนึ่งซึ่งว่างเปล่าไรสิ่งใดๆทั้งสิน ร่างกายของเธอคล้ายกับกำลังล่องลอยไปที่ไหนสักแห่งอย่างช้าๆ
“คุณหนู คุณหนู”
ราวกับว่าเธอจะได้ยินเสียงขอใครสักคน ใครสักคนกำลังร้องเรียกคนๆหนึ่งอยู่
“คุณหนู คุณหนู”
เสียงเรียกนั้นดังขึ้นและชัดเจนขึ้นเลื่อยๆราวกับว่าเธอกำลังเข้าใกล้เสียงนั้น
แต่คงเป็นไปไม่ได้ก็ไม่เมื่อเธอไม่ใช่คนที่ถูกเรียกแน่นอนอยู่แล้ว คงไม่มีใครบ้าพอที่จะเรียกผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอว่าคุณหนูหรอกจริงไหม เธอก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเกือบจะเรียกได้ว่าอยู่ตัวคนเดียวมาเกือบตลอด
‘นั้นสินะถ้าได้เป็นคุณหนูดูสักครั้งจะเป็นยังไงนะ’
เธอคิดไปอย่างติดตลก ก่อนที่ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปกับความว่างเปล่านั้นอีกครั้ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง