ตอนที่ 10
สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไร
เวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้น
สิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน
นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกัน
อาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่างไม่สนใจใยดี
แต่กับผิดไปจากที่คิดเมื่อเขากับรับมันเอาไว้ ตั้งแต่นั้นมาทุกๆวันก็จะมีแจกันที่มีดอกไม้ที่ถูกจัดเอาไว้ในแจกันถูกส่งไปที่ร้านผ้าเข็มทองคำเสมอ
“ดอกไม้ในแจกกันเมื่อครู่ผู้ใดเป็นคนจัดกัน”
หลันซู่ถงที่กำลังนั่งตัดก้านดอกไม้ในมืออยู่หันไปมองตามเสียก็เห็นว่า ยามนี้มีสตรีสามคนซึ่งสองคนดูเหมือนจะเป็นคู่แม่ลูกที่แต่งตัวดีดูแล้วน่าจะเป็นฮูหยินและคุณหนูจากสกุลใดสกุลหนึ่ง
“ยินดีตอนรับฟ่างฮูหยินกับคุณหนูฟ่างนะเจ้าค่ะ” เป็นน้าฮุ่ยเจินที่รีบละมือจากดอกไม้ที่กำลังลดน้ำอยู่ไปต้อนรับผู้มาใหม่
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกฮุ่ยเจิน เมื่อครู่ข้าถามเจ้าว่าดอกไม้เมื่อครู่ผู้ใดเป็นคนจัดกัน แล้วนั้นใช่แม่นางฟ่งซีรึไม่นั้น” ฟ่างฮูหยินเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะหันไปเห็นผู้ที่เดินออกมาจากทางด้านหลังของร้านที่เป็นผู้ที่นางพอที่จะคุ้นเคยอยู่บ้าง
“เป็นข้าที่เป็นผู้จัดดอกไม้เหล่านั้นเอง ฟ่งซีเจ้าช่วยไปหยิบแจกันใบใหม่มาให้ข้าที” เป็นนางที่เอ่ยขึ้นอย่างไม่หันไปมองผู้มาใหม่แต่อย่างไร พร้อมทั้งเองสั่งฟ่งซีที่ดูเหมือนกำลังจะถูกสองแม่ลูกที่มาใหม่ลากให้เข้าไปร่วมวงสนทนาให้ได้
“ได้เจ้าค่ะ” ฟ่งซีนางเองรับคำก่อนจะเดินไปที่หลังร้านอีกครั้งเพื่อน หยิบแจกันใบใหม่ออกมาตามคำสั่ง โดยไม่คิดที่จะสนใจสองแม่ลูกสกุลฟ่างที่เอ่ยถึงนางเมื่อครู่เลย
“เจ้าชักจะโอหังเกินไปแล้วกระมัง ท่านแม่ของข้ากำลังจะคุยกับแม่นางฟ่งซีอยู่ เจ้าก็เห็นยังจะใช้ให้นางไปหยิบของให้เจ้าอีก!!!” คุณหนูฟ่างหลี่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจนัก
โดยปกติแล้วมิว่านางและท่านแม่จะไปที่ใดต่างได้รับการต้อนรับ รับรองอย่างดี และปกติทุกครั้งที่นางและท่านแม่เข้ามาที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ฮุ่ยเจินจะต้องยอนรับนางอย่างดี แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไม้ทุกคนในร้านเฟิ่งฮวาไม่ได้ต้อนรับพวกนางอย่างสมควรเท่าใดหนัก โต๊ะที่ดีที่สุดในร้านถูกสตรีนางหนึ่งซึ่งแต่งตัวธรรมดายึดครองอยู่พร้อมกับดอกไม้ที่วางอยู่มากมายบนโต๊ะ
ทำให้นางไม่พอใจยิ่งนักที่โดนเมินจากสตรีธรรมดาๆผู้หนึ่ง แถมยังได้นั่งที่โต๊ะที่เก่าเต็มที นางรู้สึกเสียหน้าจนทนไม่ได้
คุณหนูสกุลฟ่างอย่างนาง ถือว่าเป็นสกุลที่มีหน้ามีตาไม่น้อย ให้นางกับท่านแม่มานั่งที่โต๊ะธรรมดาเช่นนี้ได้อย่าไรกัน
“ฟ่างหลี่เจ้าใจเย็นก่อนอย่างพึ่งได้โวยวายไป” ฮูหยินฟ่างรีบเอ่ยเตือนบุตรสาวที่เริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ไม่ได้แล้ว
“ใช่แล้วคุณหนูฟ่างท่านใจเย็นๆก่อนนะเจ้าคะ ท่านอยากได้ดอกไม้อันใดรีบบอกข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะได้ไปจัดหามาให้ท่าน”
ฮุ่ยเจินเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเริ่มไม่ค่อยดี จึงรีบเขาไปเอ่ยปัดความสนใจเสียก่อน
“ข้าอยากได้ดอกไม้พร้อมแจกันอันนั้น” ฟ่างหลี่ชี้ไปยังแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ๆกับสตรีธรรมดาผู้หนึ่งที่ทำให้นางโมโหเมื่อครู่
“เอ่อ…” ฮุ่ยเจินเอ่ยสิ่งใดไม่ออก เมื่อเห็นว่าคุณหนูฟ่างผู้นี้ตั้งใจจะเอาชนะฮูหยินน้อยของนางให้ได้
“ข้าไม่ขายให้เจ้า” หลันซู่ถงเอ่ยออกมาเสียงเรียบ มือก็ยังคงหยิบกรรไกรและตัดก้านดอกไม้ต่อไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
“ในเมื่อข้าอยากได้ เจ้าไม่มีสิทธิไม่ขาย!!!” เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของอีกฝ่าย ฟ่างหลี่ก็เริ่มที่จะหัวเสียเพิ่มมากขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังใส่อีกฝ่าย พร้อมกับใช้มือบัดกองดอกไม้ที่อยู่เบื้องหน้าของสตรีธรรมดาสนตกพื้นจนหมด
“ข้าเป็นคนจัดดอกไม้พวกนี้ ข้าบอกไม่ขายผู้ใดก็ไม่มีสิทธิมาบังคับข้า!!! และเจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะมาทำลายดอกไม้เหล่านี้ของข้าด้วย!!!”
นางเอ่ยออกมาอย่างสุดจะทน เมื่อเห็นว่าดอกไม้ที่นางเลือกมาอย่างดีถูกคุณหนูฟ่างผู้นี้บัดตกอย่างไม่มีชิ้นดี
“ใช่ข้าไม่มีสิทธิ แต่ก็ทำลายไปแล้วนี้” ฟ่างหลี่มองไปยังกองดอกไม้ที่ตกอยู่ที่พื้นอย่างส่งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปเหยียบดอกไม้ที่นางบัดมันตกลงมาจนเละคาพื้น
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้เจ้าหยุด!!!” นางทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ที่เห็นคุณหนูสกุลฟ่างผู้นี้ทำลายดอกไม้ของนางด้วยท่าทางจงใจท้าทายนางเต็มที่
นางเดินเข้าไปใกล้คุณหนูสกุลฟางก่อนจะออกแรงผลักอีกฝ่ายออกไปจากกองดอกไม้ที่เหยียบอยู่
“เจ้ากล้าผลักข้ารึ!!!” ฟ่างหลี่เอ่ยออกมาเสียงดัง เมื่อนางถูกสตรีธรรมดาตรงหน้าผลักจนเกือบจะล้มไปด้านหลัง ดีที่ท่านแม่กับสาวใช้ที่นางพามาด้วยรับตัวของนางเอาไว้ได้ทัน
“เจ้ายังกล้าทำลายของๆข้าเลย ทำไมข้าจะทำลายเจ้าไม่ได้”
“ได้ข้าจะดูสิ ว่าเจ้าจะทำอันใดได้ถ้าข้าทำลายของๆเจ้าจนหมดแล้ว” สตรีธรรมดาเช่นนั้นจะมีสิทธิอันใดกล้ามาต่อปากกับนางที่เป็นถึงคุณหนูสกุลฟ่างที่มั่งมี
ฟ่างหลี่นางตรงเข้าไปหยิบแจกันที่นางต้องการจะซื้อขึ้นมา ก่อนจะทุ่มลงพื้นจนแจกันและดอกไม้ในนั้นแตกกระจัดกระจายไปทั่วทั้งพื้น
“เกิดอันใดขึ้น!!!” ฟ่งซีที่ได้ยินเสียงของแตกกระจายรีบร้อนที่ตามเสียงมาในทันทีเอ่ยขึ้น
“นี่พวกท่านกล้าทำลายข้าวของในร้านเฟิ่งฮวาถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ผู้ใดใช้ ผู้ใดใช้ให้นางมากวนโมโหข้าก่อนกันเล่า” ฟ่างหลี่เมื่อได้สติว่านางทำลายข้าวของของร้านเฟิ่งฮวาที่เจ้าของร้านคือผู้ที่มีอิทธิพลในด้านการค้ามากที่สุด ก็เริ่มที่จะอยู่ไม่สุข
“นั้นสิเป็นเพราะสตรีธรรมดาเช่นนั้นกล้าต่อปากต่อคำกับบุตรสาวข้า” ครานี้เป็นฟ่างฮูหยินที่เอ่ยแก้ต่างให้พวกนางบ้าง อย่างน้อยๆแม่นางฟ่งซีผู้นี้อาจจะเห็นว่านางเป็นผู้ใหญ่แล้วอาจจะเชื่อคำนางเป็นหลักก็เป็นได้
“ไม่พอใจข้า พวกเจ้ามีสิทธิทำลายข้าวของเช่นนั้นรึ”
หลันซู่ถงเอ่ยขึ้นบางอย่างไม่ยอม นางถูกกระทำเช่นนี้นางย่อมไม่ยอมให้มันผ่านไปง่ายๆแน่
“ข้าคงต้องแจ้งนายท่านฉู่เสียแล้ว” ฟ่งซีเอ่ยขึ้น
“อย่าเลย/อย่าเลย” เสียงของแม่ลูกสกุนฟ่างรีบเอ่ยขึ้น
“ข้าว่ามิต้องหรอก” เสียงของหลันซู่ถงก็รีบเอ่ยขึ้นเช่นเดียวกัน
เหตุผลของพวกนางมีแตกต่างกันออกไป เหตุผลของแม่ลูกสกุลฟ่างคือไม่อยากทำให้ฉู่ฉางซานโมโห เหตุผลของหลันซู่ถงคือนางกลัวว่าเรื่องในครานี้ที่เกิดขึ้นจะทำให้ข้อต่อรองในการเป็นอิสระของนางเป็นอันเป็นโมฆะเพราะนางสร้างเรื่องให้เขา
“แม่นางฟ่งซีพวกข้าเต็มใจที่จะจ่ายค่าเสียหายทั้งหมด” ฟ่างฮูหยินเอ่ยขึ้น นางยอมจ่ายมากกว่ายอมให้เรื่องถึงหูนายท่านฉู่ และอาจจะไม่เป็นผลดีต่อร้านค้าของสกุลฟ่างของนางที่รับของมาจากร้านค้าสกุลฉู่ทั้งสิ้น หากว่านายท่านฉู่เกิดไม่พอใจขึ้นมาไม่ส่งของให้ร้านสกุลฟ่างอีกต่อไปพวกนางต้องแย่แน่
“แม่นางฟ่งซีพวกเราก็รู้จักกันมานาน ท่านก็ถือว่าช่วยสกุลฟ่างเราหน่อยเถิด เรื่องค่าเสียหายท่านให้คนตรวจสอบและให้คนไปเก็บค่าเสียหายจากสกุลฟ่างได้เลย”
ฟ่งซีที่เหมือนกับเป็นตัวกลางของเรื่องนี้ยังคงมองข้าวของที่เสียหายไปรอบๆร้าน ก่อนจะหันไปมองสบตากับฮูหยินน้อยของตนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากแม่ลูกสกุลฟ่างเท่าไหร่นัก ที่กำลังมองนางด้วยสายตาเว้าวอนไม่ต่างไปจากแม่ลูกสกุลฟ่าง
เอาเถิดเพื่อฮูหยินน้อยของนาง ครั้งนี้นางจะไม่รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้คุณชายฉู่ทราบก็แล้วกัน
“เอาเป็นว่าข้าจะให้คนไปเก็บค่าเสียหายที่สกุลฟ่างก็แล้วกัน ฟ่างฮูหยินเชิญ”
ฟ่งซีรีบนำฮูหยินใหญ่เดินออกไปหน้าร้านทันที เพื่อที่จะได้รีบส่งพวกนางสองแม่ลูกสกุลฟ่างกลับเสียที ปัญหาจะได้จบลงเสียที
รอจนฟ่งซีและท่านแม่ของนางเดินออกไปจากร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟ่างหลี่ก็เอ่ยขึ้นกับหลันซู่ถงอีก
“ครั้งนี้ข้าคงต้องฝากเจ้าเอาไว้ก่อน วันหน้าข้าจะมาคิดบัญชีแน่”
“ข้าไม่รับฝาก เจ้าอยากฝากก็ไปฝากที่อื่นโน้น”
“เจ้ายังไม่เลิกกวนโมโหข้าอีก!!!ข้าจะไม่ทนกับเจ้าแล้ว” ฟ่างเอ่ยออกมาอย่างเหลืออด นางทนเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ที่ชวนหงุดหงิดของคนตรงหน้าไม่ไหวอีกแล้ว
“คุณหนูฟ่างท่านใจเย็นๆก่อนเถิด ข้าน้อยว่าท่านควรตามฟ่างฮูหยินออกไปได้แล้วนะเจ้าคะ”
ฮุ่ยเจินเดินเข้ามาหาคุณหนูฟ่างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีหัวเสียอีกแล้ว เกรงว่าจะเกิดการทะเลอะกันอีกจึงคิดที่จะรีบแยกคุณหนูฟ่างผู้นี้ออกไป
“เป็นแค่บ่าวอย่ารึมายุ่งกับเรื่องของข้า!!!” ฟ่างหลี่ตะโกนก่อนที่จะออกแรงผลักฮุ่ยเจินจนล้มลงและลงมือทุบตีฮุ่ยเจินต่อทันที
“นี่เจ้ามันจะทำเกินไปแล้วนะ!!!”
นางรีบตรงเข้าไปดึงตัวคุณหนูฟ่างที่กำลังลงมือทุบตีน้าฮุ่ยเจินหวังจะให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำของตนเอง
แต่กลับกลายเป็นว่านางถูกคุณหนูฟ่างผลักออกมาอย่างแรงจนทำให้กระเด็นไปเหยียบเศษแจกันที่แตกกระจายอยู่พอดีก่อนจะล้มลงไปอยากแรงจนยามนี้ทั้งเท้าของนางและที่มือถูกเศษแจกกันบาดจนเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยบาดเจ็บ!!!” เป็นฮุ่ยเจินที่ร้องของความช่วยเหลือออกมาอย่างดัง เมื่อเห็นว่าฮูหยินน้อยของนางยามนี้กำลังบาดเจ็บไม่น้อย
“เกิดอันใดขึ้น!!! ฮูหยินน้อย!!!”
ฟ่งซีและฟ่างฮูหยินรีบเข้ามาในร้านอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงร้องของฮุ่ยเจิน
นางรีบตรงเข้าไปประคองตัวของฮูหยินน้อยของนางขึ้นมาอย่างช้าๆและระมัดระวังเป็นที่สุด
ในจังหวะที่ทุกอย่างยังคงวุ่นวาย ทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นผู้ที่มาใหม่เลย ทุกผู้ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเป็นผู้มาใหม่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมดุดัน จนทุกผู้ที่อยู่ในที่นี่ล้วนแล้วแต่อกสั่นขวัญแขวนกันไปหมด
“เกิดอันใดขึ้น!!!”
“ฮูหยินน้อยได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ” ฟ่งซีที่ได้สติ รีบเอ่ยแจ้งขึ้นทันที
เช่นเดียวกันกับฉู่ฉางซานที่เดินเข้ามาด้านในจนเห็นสภาพเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เขาไม่รอช้าตรงเข้าไปช้อนร่างเล็กของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของตนขึ้นในทันที
เมื่อเขาเห็นว่ายามนี้สตรีในอ้อมแขนไม่ได้สติ ซ้ำยังมีกลิ่นคาวเลือดติดตัวเต็มไปหมด ก็ทำให้โมโหขึ้นมาอย่างมาก
“บัญชีนี้ข้าต้องกลับมาคิดแน่นอน!!!”
และนั้นคือประโยคสุดท้ายที่ฉู่ฉางซานเอ่ยเอาไว้ก่อนจะก้าวออกจากร้านเฟิ่งฮวาไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ที่หน้าร้านอย่างไม่คิดจะสนใจผู้ใดอีก แต่แค่ประโยคเดียวก็ทำให้แม่ลูกสกุลฟ่างอยู่ไม่สุข เนื้อตัวสั่นเท่าอย่างห้ามไม่หยุดแล้ว
พวกนางสองแม่ลูกได้แต่โทษตัวเองอยู่ในใจดันไปก่อเรื่องใหญ่เขาให้เสียแล้ว
ก็ใครจะไปคิดกันเหล่าว่าสตรีที่ดูธรรมดาเช่นนั้นจะเป็นถึงฮูหยินของนายท่านฉู่ได้
บทนำเช้าวันอาทิตย์ที่น่าจะเป็นวันที่ดีสำหรับใครหลายๆคน ที่จะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานกันมาทั้งอาทิตย์ แต่มันไม่ใช่สำหรับเธอหลันซู่ถงแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะวันไหนเธอก็ไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าการทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆอีกแล้วการมีเงินเยอะๆตั้งหากคือสิ่งที่ดีที่สุด ทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆตอนที่เธอแก่ตัวจนทำไม่ไหวแล้วจะได้มีเงินเก็บเองไว้ใช้ได้ไม่ลำบาก อีกทั้งสังคมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนการมีเงินต่างหากถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างไรปัญหาได้เธอคือหลันซู่ถงเจ้าของร้านดอกไม้ร้านเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเท่าไหร่นัก เพียงแค่ข้ามถนนใหญ่ไปก็จะเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของเมืองแล้ว แม้ร้านจะไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรแต่ก็ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอสมควรเลย ร้านของเธอเป็นตึกแถวสองชั้นติดถนนเธอใช้ชั้นล่างเป็นหน้าร้านและชั้นบนเป็นที่พักอาจเพราะเธออยู่คนเดียวตั้งแต่อายุ18 กระมังจึงทำให้เธอเป็นคนเฉยๆเรียบง่ายกับทุกอย่าง อีกทั้งพ่อแม่ของเธอต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวมีบ้านหลังใหม่กันหมดแล้ว ทำให้การตัดสินใจรวมไปถึงชีวิตของเธอไม่ได้ติดอยู่กับ
ตอนที่ 1 เพียงสบตาเท่านั้น“ซู่ถงขอบคุณแกมากนะที่หลายวันมานี่คอยมาส่งข้าวส่งน้ำฉัน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยออกมาอย่างตื้นตันใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของเธอเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วข้าวของมากมายมาหาเธอทุกวัน“ลำบากอะไรกันร้านของฉันไม่ได้ไกลเลยสักนิดข้ามถนนแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว อีกอย่างแกเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉันนะ ต่อให้แกอยู่โรงบาลอื่นที่อยู่ไกลกว่านี้ยังไงฉันก็ต้องไปหาแก”เธอตอบออกไปโดยไม่หันไปมองเพื่อนสนิท เธอยิ้มและหยิบจับจัดข้าวของที่เธอนำมาด้วยก่อนที่จะเลื่อนโต๊ะอาหารมาให้เพื่อนรักและเปิดถุงนำกล่องข้าวหลากหลายออกมาวางตรงหน้าคนป่วย“น้ำตาฉันจะไหลแล้วรู้ไหมซู่ถง เห็นอาหารพวกนี้แล้วทำให้ฉันนึกถึงมื้อเช้าของวันนี้ แกรู้ไหมว่าคืออะไรมันคือข้าวต้มหมู กว่าฉันจะกลั้นใจกินมันได้ทำใจแล้วทำใจอีก”“แกก็พูดไป อาหารโรงพยาบาลที่ไหนเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”เธอเอ่ยขึ้นพลางยิ้มขำไปกับท่าทีของเพื่อนสนิทที่แสดงออกมาอยู่ตอนนี้ เพื่อนของเธอกำลังตักอาหารที่เธอนำมาให้เข้าปากอย่างช้าๆทำทีราวกับกำลังซึมซับรสชาติของอาหารอยู่อย่างใดอย่างนั้น “เอาน้ำ” ซู่ถงยื่นกระบอกน้ำอุ่นที่เธอเตรียมมาด้วยให้เพื่อน
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง