ตอนที่ 8
เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร
เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมด
อึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่น
สองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย
“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทน
อาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระ
นางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิต
หากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆ
ใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั้นที่คืนมันให้นางได้
นางแค่ต้องเป็นมิตรต่อเขามิใช่ศัตรู
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็มิรอช้ารีบเอ่ยถามหานอี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลทันที
“วันนี้ฉู่ฉางซานอยู่ในจวนรึไม่”
“อยู่เจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวไปที่ห้องครัวเพื่อนำของว่างมาให้ท่าน เห็นฟ่งอี้กำลังจัดชุดน้ำชาให้นายท่านอยู่พอดีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า ข้าจะไปหาฉู่ฉางซาน”
หน้าเรือนตำราทิพย์ที่แสนจะเงียบสงบ ยามนี้ที่หน้าประตูทางเรือนหลันซู่ถงกำลังพยายามหาวิธีที่จะเข้าไปด้านในให้ได้
“นี่พี่ชายข้ามีเรื่องจะคุยกับฉู่ฉางซาน คุยเสร็จก็จะรีบกลับออกมาเลย พวกท่านให้ข้าเข้าไปข้างในเถิดหนา”
หลันซู่ถงยังไม่คิดจะละความพยายามในการเกลี้ยกล่อม องครักษ์ทั้งสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนตำราทิพย์ แม้ว่าองครักษ์ทั้งสองคนที่อยู่เบื้องหน้านางยามนี้จะทำเป็นมองไม่เห็นนางเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าไม่ขยับตัวเลยแม้แต่สักนิด
นางยืนพูดกับพวกเขามาเกือบจะหนึ่งก้านธูปได้แล้วกระมัง แต่ก็หาได้มีการตอบกลับมาสักครึ่งคำไม่
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวว่าพวกเรากลับเรือนธารากระจ่างกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลับทำไมละหานอี้”
นางอุตส่าห์เตรียมตัวเตรียมใจมาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้ว ควบคุมอารมณ์มาอย่างดี หากมิเจรจาตอนนี้ไม่เท่ากับว่านางเตรียมใจมาเปล่าประโยชน์หรอกหรือ
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อันใดทั้งนั้น ครั้งนี้เจ้าก็ช่วยข้าหน่อยเถิด”
นางไม่คิดที่จะฟังคำทัดทานของสาวใช้คนสนิทแต่อย่างใด ยามนี้ในหัวนางคิดวิธีที่จะเข้าไปด้านในได้แล้ว
“ฮูหยินน้อยจะให้บ่าวช่วยอันใดเจ้าคะ”
นางไม่เอ่ยตอบคำถามที่เอ่ยออกมาอย่างสงสัยของหานอี้แต่อย่างใด นางกลับผลักสาวใช้คนสนิทของนางให้ถลาไปยังองครักษ์ผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างประตูด้านขวา
“ว้าย!!!”
จนทั้งหานอี้และองครักษ์ที่แต่เดิมยืนอยู่ข้างประตูด้านขวาล้มลงกับพื้นทั้งคู่ ส่วนองค์รักษ์ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายนางก็แกล้งเดินเข้าไปจับที่ข้อมือของคนผู้นั้น เป็นไปดังคาดเมื่อองครักษ์ผู้นี้รีบถอยห่างไปจากตัวนางทันที
นางมิรอช้ารีบใช้จังหวะนั้นวิ่งเข้าประตูหน้าเรือนตำราทิพย์ในทันที
มิผิดจากที่นางคิดเอาไว้ คราแรกองครักษ์สองคนนี้ไม่ว่านางจะเอ่ยสิ่งใดก็ทำเพียงแค่ทำเป็นมิได้ยินมิถึงขั้นขับไล่แต่อย่างใด
นั้นก็แปลว่าองครักษ์พวกนี้ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากไล่นาง แล้วยิ่งถึงขั้นขับไล่หรือถูกตัวนางคงจะยิ่งมิกล้า
นั้นย่อมแปลว่าน้ำหนักของนางในใจพวกองครักษ์คงมิต่างกันกับเหล่าสาวใช้หรือบ่าวชายในจวนแห่งนี้ คนเหล่านี้นับนางเป็นนายอีกคนหนึ่งของสกุลฉู่แล้ว
หากฉู่ฉางซานคิดจะให้นางอยู่อย่างลำบากในสกุลฉู่จริง คงมิให้องครักษ์หรือเหล่าสาวใช้ในจวนดูแลรับใช้นางดีเช่นนี้เป็นแน่
บางทีเรื่องที่นางจะเจรจาอาจจะง่ายกว่าที่คิด
บุรุษร้อยพันล้วนชอบสตรีว่าง่าย พูดรู้เรื่องมิมากความมิขัดคำสั่งสินะ เอาเป็นว่าต่อหน้าเขานางจะแกล้งทำดูก็แล้วกัน ยังๆนางก็มิมีอันใดต้องเสียอยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งศักดิ์ศรีถ้ามันจะใช้แลกอิสะได้ทำไมนางจะมิแลกเหล่า
ศักดิ์ศรียิ่งถือมันก็มีแต่จะยิ่งหนัก สู้วางศักดิ์ศรีแลกอิสระย่อมดีกว่าอย่างมิต้องคิด
ด้านนอกประตูเรือนธารากระจ่าง นั้นยามนี้หานอี้กำลังเดินวนไปมาอย่างกังวลใจเป็นที่สุด
“ฮูหยินน้อยนะฮูหยินน้อย” นางได้แต่เอ่ยออกมาอย่างร้อนรน เมื่อตนเองมิสามารถทำอันใดได้อีกแล้ว นอกจากคอยอยู่ด้านนอกนี้ด้วยความหวาดหวั่น
“ท่านองครักษ์ทั้งสอง ให้ข้าเข้าไปด้านในเถิด ฮูหยินน้อยของข้าอยู่ด้านในพวกท่านก็เห็นอยู่”
“ไม่มีคำสั่งจากนายท่านฉู่พวกเราไม่สามารถเข้าไปหรือว่าปล่อยให้ผู้ใดเขาไปได้”
องครักษ์ผู้ที่ฮูหยินน้อยของนางผลักนางไปใส่จนล้มลงไปด้วยกัน เป็นผู้ที่เอ่ยขึ้นก่อนจะปิดประตูทางเข้าเรือนตำราทิพย์ทันที
“โปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ ทำไมต้องปิดประตูทางเข้าเรือนด้วยเล่าเจ้าคะ ฮูหยินน้อยของยังอยู่ข้างในอยู่เลยเจ้าค่ะ”
องครักษ์ทั้งสองมิมีทีท่าที่จะตอบคำถามนางเลยสั่งนิดเดียว เช่นนั้นเวลานี้จะมีทางใดสามารถช่วยฮูหยินน้อยของนางได้เล่า ฮูหยินใหญ่ก็ออกเดินทางไปท่องเที่ยวกับนายท่านใหญ่ที่นอกเมืองตั้งแต่รุ่งเช้าแล้ว จะกลับเมื่อใดก็มิรู้ได้
สิ่งที่นางทำได้ยามนี่คงไม่พ้นการสวดมนต์อ้อนวอนพุทธองค์ให้ช่วยเหล่าคุณหนูของนางแล้ว
หลันซู่ถงนางค่อยๆเดินเลาะมาตามแนวทางเดิน ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าเรือนขนาดใหญ่ที่มีป้ายติดไว้ว่าเรือนตำราทิพย์ ดูจากชื่อเรือนก็รู้เลยว่าต้องเป็นเรือนสำหรับเก็บตำรามากมาย
นางได้ยินมาจากสาวใช้คนอื่นๆว่าตั้งแต่แต่งงานกับนาง ฉู่ฉางซานก็ใช้ที่นี่เป็นเรือนพักและใช้เป็นสถานที่ทำงานร่วมด้วย โดยจะห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกตามใจชอบ จะมีเพียงคนสนิทเพียงแค่สองคนเท่านั้นก็คือ ฟ่งอี้และฟ่งสือที่นางเคยเจอ แล้วเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในนี้ได้
ที่แรกนางไม่คิดว่าเรื่องที่ได้ยินเหล่าสาวใช้พูดคุยกันจะเป็นจริง แต่ถ้าดูจากการที่องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูมิได้เข้ามาตามมาจับตัวนางออกไป ก็นับว่าเรื่องที่ได้ยินมาอาจจะเป็นเรื่องจริงอยู่
เช่นนั้นหรือว่านางควรออกไปจากที่นี่ดี มิใช่ว่ายามนี้นางกำลังหาเรื่องทำให้ฉู่ฉางซานโกรธยิ่งเข้าไปอีกหรอกนะ
แต่เอาเถิดอุตส่าห์หลุดมาได้ขนาดนี้แล้ว ให้นางกลับออกไปถือว่าเสียเปล่ายิ่ง ยังไงเสียนางรีบเจรจาและรีบไปจากเรือนตำราทิพย์แห่งนี้จะดีเสียกว่า
อย่างน้อยๆนางก็มั่นใจว่าหากเขาโกรธขึ้นมาก็คงมิถึงขั้นกับฆ่าแกงกัน
ก่อนอื่นนางต้องหาเขาให้เจอตัวก่อนสินะ ว่าอยู่ที่ใด ประตูห้องที่คิดว่าเป็นห้องนอนของฉู่ฉางซาน ถูกนางค่อยๆใช้มือดันประตูเข้าไป ก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านในห้องหน้าโต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่กลางห้อง
นางเดินเข้าไปหลังโต๊ะน้ำชาที่มีฉากกั้นไม้ขนาดใหญ่แปดพับที่สูงกว่าความสูงของนางเสียอีก นางใช้มือลูบฉากกั้นไม้ที่แกะสลักฉะลุลายเกลียวคลื่นตรงหน้าอย่างหลงใหล
ฉากกั้นไม้ตรงหน้านางชั้นดูล้ำค่ายิ่งนัก
นางเผลอตัวยืนชื่นชมความงามของฉากไม้ ก่อนที่จะตัดใจละจากของล้ำค่าตรงหน้าได้ นางเดินผ่านฉากกั้นไม้เข้าไปก็พบกับเตียงนอนขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับกำแพง เครื่องนอนทุกอย่างบนเตียงล้วนแต่เป็นสีน้ำเงินขลิบเขียว ที่ปักลายเกลียวคลื่นเอาไว้อย่างสวยงามประณีต
รอบๆด้านข้างมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่เต็มสองข้างกำแพง บนชั้นมีหนังสืออยู่มากมาย และก็มีช่องเว้นเอาไว้ใส่ที่วางดาบเอาไว้ด้วยเช่นกัน
นางเดินเข้าไปใกล้ชั้นวางดาบก่อนจะพยายามยกดาบเล่มกลางที่วางอยู่บนชั้นขึ้น แต่ยกอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น จนกระทั่งมือของนางไปโดนกับด้ามจับของดาบแทน จนดาบเลื่อนออกจากฝักเล็กน้อย
เมื่อดาบเล่มกลางเมื่อครู่เลื่อนออกก็มีเสียงของบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหว ก่อนที่ชั้นหนังสือตรงหน้าของนางจะเลื่อนออกจากกัน จนนางตกใจถอยออกมาแทบจะไม่ทัน
ยามนี้เบื้องหน้าของนางเป็นเหมือนห้องลับ มีแสงเทียนส่องออกมาเล็กน้อยจากด้านใน หากแต่เมื่อมองเข้าไปจากจุดที่นางยืนอยู่นี้กับไม่เห็นสิ่งใดเลย
หรือฉู่ฉางซานจะอยู่ในนี้
นางได้แต่คิดในใจ เท้าก็ยังไม่กล้าที่จะก้าวเข้าไปในห้องลับตรงหน้า
หลันซู่ถงนางตัดสินใจจะกลับออกจากเรือนนี้ก่อน เพราะหากฉู่ฉางซานรู้ว่านางรู้เกี่ยวกับห้องลับนี้อาจจะยิ่งไม่พอใจนางเข้าไปอีกก็เป็นไปได้
วันนี้นางไม่เจอเขาวันหน้ายังพอมีโอกาส
คิดได้ดังนั้น นางก็เตรียมตัวที่จะเดินเข้าไปที่ชั้นวางดาบที่ยามนี้แยกออกไปอยู่ด้านข้าง เพื่อที่จะจัดด้ามดาบให้เข้าที่ หวังจะปิดทางเข้าห้องลับ ก่อนที่นางจะได้จับไปที่ด้ามดาบตัวนางกับถูกกระชากออกมาไกลจากชั้นวางดาบเสียก่อน
ตัวของนางยามนี้ถูกดันจนติดไปกลับชั้นหนังสืออย่างแรงจนเจ็บไปหมด แต่นั้นยังไม่ถือว่าร้ายแรงที่สุด ถ้าเทียบกับความรู้สึกเย็นๆของดาบที่กำลังพาดจ่ออยู่ที่คอของนางยามนี้!!!
“ช้าก่อนต้าเกอ!!!” นางร้องตะโกนออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นผู้ที่กำลังถือดาบจ่อที่คอของนางอยู่ *ต้าเกอ หมายถึง พี่ใหญ่ (พี่ชายคนโต)
“ข้าเป็นบุตรชายคนเดียว” ฉางซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ เขาในตอนนี้กำลังหัวเสียอยู่ไม่น้อยเมื่ออาณาเขตส่วนตัวของตนเองยามนี้ถูกรุกรานด้วยสตรีตรงหน้า
“ข้าเพียงเอ่ยเล่นเท่านั้นท่านพี่” นางรีบเอ่ยแก้ตัว ยามนี้นางยืนตัวแข็งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ เกรงว่าหากตนไม่ทันระวังเผลอขยับตัวจะทำให้ดาบที่พาดอยู่บนคอนางยามนี้ได้ลิ้มชิมรสเลือดของนางจริงๆ
“ข้ามิได้ว่างพอที่จะมีอารมณ์ล้อเล่นกับเจ้า บอกมาเข้ามาในห้องข้าเจ้าต้องการสิ่งใด”
“ข้าบอก ข้าย่อมต้องบอกท่านแน่” นางเอ่ยก่อนจะทำใจกล้า ค่อยๆดันปลายดาบที่จ่อคอตนเองออกไปที่ละน้อย จนฉู่ฉางซานยอมที่จะตวัดดาบออกไปจากนาง
เขาเดินนำนางไปยังโต๊ะน้ำชาที่อยู่ด้านหน้าฉากพับลายเกลียวคลื่น เขาทิ้งตัวนั่งตัวตรงก่อนจะวางดาบลงบนโต๊ะด้วยท่าทีเย็นชา
นางที่เดินตามเขาไปช้าๆ รีบตรงเข้าไปยกกาน้ำช้าที่อยู่ในถาดบนโต๊ะขึ้นมารินใช้ถ้วยชาก่อนจะยืนให้เขาอย่างรู้หน้าที่
“เจ้าจะยืนอีกนานรึไม่ หากไม่มีอันใดก็ออกไปเสีย”
“มีเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะอยากจะขอต่อรองกับท่านพี่”
นางหลับหูหลับตารีบเอ่ยออกมา
“งั้นถ้าข้าไม่อยากต่อรองอันใดกับเจ้าเล่า”
เสียงเคร่งขรึมเอ่ยออกมาอย่างไร้อารมณ์ เขาจ้องใบหน้าของสตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่พอใจนัก
“ต่อรองกับข้าเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรลองฟังข้อต่อรองของข้าก่อนก็ยังดีนะเจ้าคะ”
“ข้าเป็นพ่อค้า ไม่อยากฟังสิ่งใดที่ตนเองต้องเสียเปรียบ”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ท่านพี่ได้เปรียบเต็มๆเลยเจ้าค่ะข้าย่อมไม่กล้าเอาเปรียบท่านแน่” นางเอ่ยออกมากอย่างกระตือรือร้นเต็มที่
“ถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้าจะยอมเสียเวลาฟังเจ้าเสียหน่อยก็ย่อมได้ หากแต่ถ้าข้อต่อรองของเจ้าไม่เป็นที่พอใจของข้าเจ้าจะโดนข้าลงโทษไม่ให้ก้าวออกจากเรือนธารากระจ่างของเจ้าอีกเลย”
ฉู่ฉางซานเอ่ยเสียงเรียบ เขาชักอยากจะรู้เสียแล้วว่าข้อต่อรองของนางคืออันใดกันแน่
“ข้อต่อรองของข้าคือความสงบสุขของท่านพี่เจ้าค่ะ”
“ความสงบสุขของข้าเช่นนั้นรึ”
“เจ้าค่ะความสงบสุขของท่านแลกกับอิสรภาพของข้าที่”
“อิสรภาพที่เจ้าเอ่ยถึงคือการยกเลิกไม่ให้เจ้าออกนอกจวนสกุลฉู่เช่นนั้นรึ”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยรับคำเสียงหวาน อีกทั้งไม่ลืมที่จะฉีกยิ้มหวานหยดที่นางฝึกอยู่หน้ากระจกก่อนออกจากเรือนตั้งนานสองนานให้อีกฝ่ายด้วย
“เจ้าถูกกักเอาไว้ในจวนเช่นนี้มิใช่ว่าเป็นผลดีกับข้าที่สุดแล้วรึอย่างไรกัน”
“กักข้าเอาไว้ท่านย่อมไม่สงบสุขง่ายๆแน่เจ้าค่ะ!!!”
เมื่อได้ยินบุรุษตรงหน้าเอ่ยออกมาว่าการกักนางเอาไว้ดีที่สุด นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาเสียงดังอย่างตกใจ
“ถ้าหากท่านพี่กักข้าเอาไว้ ข้าก็ต้องหาเรื่องสร้างปัญหาให้ท่านแน่ๆเลยนะเจ้าคะ ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านเลยเจ้าค่ะ ไม่ขึ้นเสียกับท่านอีก ไม่ทำให้ท่านถูกท่านแม่ต่อว่าด้วยเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำอันใดที่ท่านพี่ไม่ให้ข้าทำเด็ดขาด”
ฉู่ฉางซานนั่งฟังสิ่งที่สตรีตรงหน้าเอ่ยออกมาอย่างคิดตามไปด้วยถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับ หากเขาต้องการความสงบสุขอย่างถาวรก็อดคิดไปไม่ได้ว่าวิธีให้นางไม่สร้างปัญหาให้เขาเป็นการดีที่สุดแล้วจริงๆ
อีกทั้งจะตัดปัญหาของเขากับมารดาที่ขัดแย้งกันเพราะนางได้อีก เมื่อสองวันก่อนยามที่ท่านแม่ของเขารู้ว่าเขาสั่งกักไม่ให้นางออกจากนอกจวนอีกเพราะก่อปัญหาที่หอเลิศรส
แต่แทนที่ท่านแม่ของเขาจะเห็นด้วย กลับกลายเป็นว่าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของเขาเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังพาลโกรธเขาไม่หาย ก่อนที่จะออกเดินทางไปวันนี้ยังไม่ลืมที่จะส่งคนมาบอกเขาให้เลิกกักตัวหลิวซู่ซู่ผู้นี้ ไม่เช่นนั้นจะนำอนุมาฝากเขาจากต่างเมืองอีกสองนาง
เดิมทีเขาก็กำลังคิดจะหาวิธีตกลงกับหลิวซู่ซู่ผู้นี้อยู่เช่นเดียวกัน อย่างไรเสีย เขายอมหัวเสียเป็นบางครั้งเพราะสตรีนางนี้ดีเสียกว่าต้อง หัวเสียเพราะสตรีอีกหลายนางที่จะตามมาจริงๆอย่างเช่นที่ท่านแม่เขาได้ข่มขู่เอาไว้
และท่านแม่ของเขาพูดจริงทำจริงเสมอเสียด้วย เอาเป็นว่าเขาคงต้องยอมรับข้อต่อรองในครั้งนี้ของหลิวซู่ซู่ไปก่อนเพื่อตัดปัญหาในภายหน้าที่อาจะเกิดขึ้นได้
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 11 ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ได้ก่อเรื่องถือได้ว่าเหตุการณ์วุ่นวายได้จบลงด้วยดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยามนี้นางนอนพิงหัวเตียงอยู่ด้วยท่าทางที่ทำสิ่งใดไม่ถูก เพราะนางกำลังถูกสายตาอันเฉียบคมจับจ้องอยู่ไม่ได้คาดสายตานับตั้งแต่นางแกล้งสลบไปในร้านเฟิ่งฮวา จนกระทั่งถูกฉู่ฉางซานพากลับมาที่จวนสกุลฉู่นอกจากเวลาที่ท่านหมอเข้ามารักษานางและหานอี้ช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ฉู่ฉางซานก็จะนั่งมองนางอยู่กลางห้องไม่ขยับไปไหนเลย“มิใช่ความผิดข้านะเจ้าคะ ข้ามิได้เป็นคนก่อเรื่อง” นางออกตัวเต็มที่ อย่างน้อยๆก็ต้องยืนยันความความบริสุทธิ์ของนางให้ถึงที่สุด“ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ได้ก่อเรื่อง”“หา จริงหรือเจ้าคะ” นางอดที่จะเอ่ยออกมาอย่างตกใจไม่ได้เมื่ออยู่ๆฉู่ฉางซานผู้ที่ไม่ยอมฟังคำของนางง่ายๆ กับดูเหมือนว่าจงใจปล่อยนางไปอย่างไม่ถือสากับเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งมันเป็นการผิดวิสัยของเขาเป็นอย่างมาก จนนางเริ่มสงสัยระคนแปลกใจอยู่ไม่น้อย“ท่านแม่ส่งข่าวว่าอีกห้าวันก็จะเดินทางถึงจวนสกุลฉู่เราแล้ว”“ที่แท้ท่านแม่สามีก็ใกล้จะกลับแล้ว”คงเป็นเพราะท่านแม่สามีของนางจะกลับมาแล้ว ฉู่ฉางซานจึงคิดที่จะทำดีกับนางตบตาผู้เป็นมารดาขอ
ตอนที่ 12 งิ้วฉากใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้วมิใช่ว่าหน้าประตูจวนสกุลลู่ต้องมีแม่ลูกสกุลฟ่างนั่งคุกเข่าอยู่หรอกหรือ ไฉนกลายเป็นว่ายามนี้ผู้ที่อยู่หน้าจวนกับเป็นท่านพ่อและท่านแม่สามีของนางกัน แม้แต่ฉู่ฉางซานก็ยืนอยู่ด้วย นางแอบลอบมองไปที่หน้าจวนก็ไม่เห็นมีสองแม่ลูกสกุลฟ่าง แต่กับมีสาวงามผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของแม่สามีนางแทน“คาราวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเท่าที่สุดที่จะทำได้ ก่อนจะย่อตัวและโค้งศีรษะให้ทั้งสองท่านเป็นการทำความเคารพ“มิต้องมากพิธีหรอกซู่เอ๋อร์แม่ได้ข่าวว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ไม่เป็นอันใดแล้วใช่หรือไม่” ฉู่ฮูหยินเอ่ยถามลูกสะใภ้ของนาง ก่อนจะตรงเข้าไปจับมือเล็กของลูกสะใภ้นางเอาไว้“ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เมื่อครู่แม่จัดการไล่แม่ลูกสกุลฟ่างให้เจ้าแล้ว ต่อจากนี้พวกนางจะไม่กล้ามาให้เจ้าเห็นหน้า หรือกล้ามาหาเรื่องเจ้าอีกแล้ว เจ้าวางใจได้” ที่แท้ที่นางมองหาแม่ลูกสกุลฟ่างไม่เจอก็เพราะแม่สามีจัดการให้นางแล้วนี้เองท่านแม่สามีอุตส่าห์จัดการให้ มันก็ดีอยู่หรอก แต่มิเท่ากับว่านางยังไม่ได้วางท่าใส่แม่ลู
ตอนที่ 13 แผนแรก คืนแรก“คุณชายขอรับยามนี้ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ให้ข้าน้อยเรียกคนมาจัดอาหารให้ที่นี่เลยไหมขอรับ” ฟ่งสือที่รอรับใช้คุณชายของตนอยู่มิใกล้นัก เอ่ยถามคุณชายของตนเหมือนเห็นว่าได้เวลาอาหารและก็เหมือนว่าคุณชายของตนเองจะยังไม่ย่อมละความสนใจออกจากสมุดรายชื่อของสินค้าที่มาใหม่เสียที“ไม่ต้องเตรียมอาหารให้ข้า”“คุณชายจะไม่ทานอาหารหรือขอรับ เช่นนั้นให้ข้าน้อยสั่งคนให้จัดของว่างมาให้แทนนะขอรับ”“ไม่ต้องให้ใครเตรียมอันใดทั้งนั้น วันนี้ข้าจะไปทานที่เรือนธารากระจ่าง” ฉู่ฉางซานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ก่อนที่จะปิดสมุดในมือตน และวางมันไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะยืนขึ้นเต็มความสูงก้าวออกมาจากโต๊ะทำงานด้วยท่าทีเรียบเฉย “เจ้าก็อยู่ที่นี่แหละไม่ต้องตามข้าไป คืนนี้ข้าจะค้างที่เรือนธารากระจ่าง” พูดจบฉู่ฉางซานก็ก้าวออกจากเรือนตำราทิพย์เพื่อตรงไปยัง เรือนธารากระจ่างที่เขาพึ่งจะจากมาได้ไม่ถึงครึ่งวันดีนักเสียด้วยซ้ำ เพื่อที่จะไปกระทำตามแผนที่หลันซู่ซู่ได้วางเอาไว้ คืนนี้หลังจากกินข้าวกับนางเสร็จ เขาก็ต้องนอนรวมเตียงเดียวกันกับนางเป็นครั้งแรก ม
ตอนที่ 14 จุมพิตนั้นยังจำฝังใจยกเลิกได้รึไม่กันยามนี้นางยังยืนคิดหนักอยู่หลังม่านแต่งตัวอยู่เลย แม้จะแต่งตัวเสร็จนานพอควรแล้วแต่ก็มิกล้าก้าวออกไปยังห้องนอนของตนเองเสียทีเหตุก็เพราะเหตุที่เกิดขึ้นที่ศาลาหินอ่อนนั้นทำเอานาง ไม่อยากจะเจอหน้าฉู่ฉางซานยามนี้คิดแล้วก็อดรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าของตนเองขึ้นมาเสียอย่างนั้นแผนที่นางว่างเอาไว้ล้มไม่เป็นท่าเสียอย่างนั้น ท่านแม่สามีและแม่นางหมิงไม่ได้แม้จะจะก้าวมาที่หน้าศาลาเสียด้วยซ้ำ เมื่ออยู่ๆก็มีสาวใช้ที่ใดก็ไม่รู้มาตามแม่สามีของนางกลับเรือนไปเสียก่อนนางและฉู่ฉางซานผละออกจากกันแทบจะทันที เมื่อรู้สึกได้ว่าทุกผู้ที่เคยอยู่ใกล้ๆในบริเวณนั้นออกไปกันจนหมดแล้วนางไม่กล้าที่จะมองหน้าเขาเลยเสียด้วยซ้ำ“ข้ากลับเรือนก่อนก็แล้วกัน” นางหันหลังให้เขาก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากศาลาหินอย่างรวดเร็วไม่ได้หันไปมองเขาอีกนางเผลอคิดไปถึงเรื่องที่นางรีบกลับมาเสียก่อน อย่างหัวเสีย เรื่องมันก็แค่การผิดพลาดนางมิควรคิดมากอันใดใช่แล้ว คิดเสียว่าไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นก็แล้วกัน คิดได้ดังนั้น นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเดินออกจากม่านกั้นไปยังห้องนอนที่ยามนี้มีฉู
ตอนที่ 15 ชำระบัญชีแค้นเดิมทีนางคิดว่าหอดนตรีเหม่ยหัวจะอยู่ละแวกเดียวกับตลาดในเมืองหลวงหรือก็คงไม่ไกลไปจากร้านดอกไม้เฟิ่งฮวาเท่าใดนักหากแต่นางคิดผิด หอดนตรีเหม่ยหัวอยู่ไกลพอสมควรเลยทีเดียว ฟ่งซีบอกนางว่าหอดนตรีเหม่ยหัวนั้นอยู่ใกล้กับประตูทางออกจากเมืองหลวง ห่างกันเพียงไม่ถึงห้าถนนก็จะถึงประตูทางออกเมืองหลวงนางและท่านแม่สามีรวมไปถึงแม่นางหมิงที่ของติดตามมาด้วย นั้นล้วนแล้วแต่กำลังนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกันทั้งหมดดีหน่อยที่ท่านแม่สามีเพียงแต่ชวนนางพูดคุยเรื่องต่างๆทั่วๆไป ไม่ได้มีการถามถึงความสัมพันธ์ของนางและฉู่ฉางซานเลยแม้แต่น้อยจากการที่นางสังเกตและได้พูดคุยกับแม่นางหมิง ดูก็รู้ว่าเป็นคนจริงใจ น่าคบหน้าด้วยอย่างยิ่ง แม่นางหมิงผู้นี้ไม่มีความร้ายที่แสดงออกมาทางท่าทางหรือแววตาเลยแม้สักนิดมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว นางมิใช่นางเอกเสียหน่อย จะมีนางร้ายผู้งดงานเช่นแม่นางหมิงผู้นี้ได้เช่นใดกัน หากจะให้นางเป็นนางเอกนางก็คงจะเลือกคุณหนูสกุลฟ่างผู้ที่นางมีเรื่องด้วยที่ร้านเฟิ่งฮวาเป็นนางร้ายอย่างไม่มีอันใดให้คิดเลยทีเดียว คิดไปถึงเรื่องสองแม่ลูกสกุลฟ่างนางก็อดถอนใจออกมา
ตอนที่ 16 ข้าขอไปด้วยนะเจ้าคะ “เล่นสนุกพอหรือยังเจ้า” เสียงเรียบเฉยที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้น ทำให้นางหันไปมองตามเสียงนั้น ก็พบฉู่ฉางซานที่กำลังก้าวลงมาจากบันได และเขากำลังก้าวเดินเข้ามาหานาง “เหมือนว่าข้าจะถูกท่านแอบดูเรื่องสนุกเสียแล้ว” นางเอ่ยออกมาอย่างติดตลก “ข้าไม่ได้แอบดู เพียงแต่เจ้าสร้างเรื่องพอดีกับที่ข้าอยู่ก็เพียงเท่านั้น” “เรื่องนั้นช่างมันเถิด ว่าแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เช่นใดกัน ข้านึกว่าท่านจะไปอยู่ที่หอดนตรีเหม่ยหัวแล้วเสียอีก” นางเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย นางคิดจริงๆว่าฉู่ฉางซานน่าจะไปอยู่ที่หอดนตรีแล้ว เขาเป็นเจ้าของมิใช่ว่าต้องไปอยู่ดูความเรียบร้อยของกิจการก่อนหรือ “วันนี้ข้าไม่ได้จะไปที่หอดนตรีเหม่ยหัว ข้าจะเดินทางออกจากเมืองไปดูหุบเขาดอกไม้ที่นอกประตูเมืองทางเหนือเสียหน่อย คงไปสักสองสามวันเป็นอย่างต่ำ”“ที่นี่ใกล้ประตูเมืองทางเหนือมิใช่เหรอ ประตูทางใต้อยู่อีกทางหนึ่งเลยนี่น่า”“เป็นดังเจ้าว่ามันอยู่คนละทางกัน”“แล้วท่านมาที่ร้านนี้เพราะมีปัญหาอันใดเกิดขึ้นเช่นนั้นรึเปล่า” ห
ตอนพิเศษว่าด้วยเรื่องสถานะใหม่ หลังจากที่เธอต้องใส่เผือกและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากแฟนหนุ่มอยู่เกือบสามเดือนในที่สุดเธอก็ได้ถอดเผือกและ กลับมาใช้ข้อมือได้อย่างอิสระอีกครั้งแน่นอนว่าเธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะสามารถกลับมาจัดดอกไม้ที่เธอรักได้อย่างถนัดอีกครั้ง อีกอย่างคือไม่ต้องถูกฉางเหอตามคุมเข้มอีกต่อไปแล้ว แม้เธอจะรู้ดีว่าเขาเป็นกังวลมากเกินไปเพราะกลัวเธอทำตัวซุ่มซ่ามจนเจ็บตัวกว่าเดิมก็ตามแต่การที่ถูกแฟนซึ่งพ่วงด้วยตำแหน่งคุณหมอและซีอีโอรูปหล่อคอยตามดูแลอยู่ไม่ได้ห่างช่างเป็นอะไรที่หลบการตกเป็นเป้าสายตาต่อผู้คนไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีใจที่เขามาค่อยดูแล แต่ความดีใจกับมาพร้อมกับการที่มักจะทำตัวไม่ถูกของเธอ หลายครั้งที่เธอนึกอิจฉาความเฉยชาต่อสายตาเหล่านั้นของแฟนหนุ่มไม่ได้มีครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขาว่า เขาไม่รู้สึกรำคาญหรืออะไรบ้างหรือเวลาที่ต้องตกเป็นเป้าสนใจเช่นนี้ เขาตอบกลับมาแค่ว่า “ผมไม่จำเป็นต้องแค่ใครนอกจากคุณ” เพียงแค่ประโยคเดียวจากเขาฉันกลับเขาใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดีตั้งแต่เธอใส่เผือกก็ถูกมัดมือชกแกล้มบังคับให้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเขา ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะถูก ที
“มาครับผมช่วยคุณเปลี่ยนเสื้อเอง” เขาเอ่ยขึ้นกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ตอนนี้เขาค่อนข้างจะปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติบ้างได้แล้วนิดหน่อยเมื่อเขาพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้นหลันซู่ถงจึงยิ้มออกมาให้เขาอย่างเอาใจ ก่อนจะปล่อยให้ร่างสูงช่วยนางเปลี่ยนชุดไปเป็นชุดคนไข้ชุดคนไข้ที่พยาบาลส่งให้เขาเมื่อครู่ยามนี้เขานำมาวางเอาไว้บนตักของเธอตัวเธอนั้นถูกเขาประคองให้ขึ้นมานั่งอยู่ที่ริมเตียงคนไข้ เนื่องจากเธอสูงไม่มากจึงขาลอยเมื่อนั่งหย่อนขาที่ริมเตียงคนไข้เช่นนี้ ในหัวอดคิดไปถึงคนไข้คนอื่นๆไม่ได้ว่าพวกเขาก็ขาไม่ถึงพื้นเช่นเธอเหมือนกันหรือไม่เวลาที่นั่งอยู่ริมเตียงคนไข้แบบนี้ตอนที่รอให้คุณหมอตามมาตรวจ “ข้อมือขวาคุณน่าจะหักผมว่าคุณอย่าขยับมันจะดีกว่าครับ” เสียงเข้มเอ่ยดุเธอทันที เมื่อเธอเผลอเกือบจะยกมือขึ้นมาหลังจากที่เขาเอื้อมมือมาหมายจะช่วยเธอปลดกระดุมชุดเดรสยีนส์ที่มีกระดุมเป็นแทบตั้งแต่ช่วงอกจนกระทั่งถึงช่วงเข่าของเธอ “เอ่อ ฉางเหอคะ ฉันว่าคุณให้พยาบาลเขามาช่วยฉันเปลี่ยนชุดน่าจะสะดวกกว่านะคะ” เธอเอ่ยขึ้นเสียงเบา แน่นนอนว่าเมื่อกล่าวออกไปร่างสูงเบื้องหน้าเธอก็ขมวดค
ตอนพิเศษเธอเปรียบเสมือนความสุขทั้งหมดของผม หน้าฝนเช่นนี้แน่นอนว่าคงจะไม่แปลกเท่าไหร่นักหากคนส่วนให้ในเมืองจะเป็นหวัดกันไปหมด บางคนก็เป็นหวัดเพราะร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศที่สุดแสนจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างวันนี้ร้อนพรุ่งนี้พายุฝนตกกระหน่ำ อีกวันหนึ่งกับมีลมหนาว บางคนเดินๆอยู่ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาหาที่หลบไม่ทัน กว่าจะวิ่งหาที่หลบฝนได้ก็เปียกไปกว่าครึ่งแล้วหลันซู่ถงเองเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยจำนวนมากนี้ด้วย ทั้งที่เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ยังดีๆอยู่แท้ๆแต่พอไปถึงบริษัทเหม่ยหลง ซึ่งเป็นบริษัทเล็กๆที่เธอและเพื่อนอีกคนหนึ่งพึ่งจะร่วมทุนกันตั้งเป็นบริษัทสำหรับการรับตกแต่งสถานที่โดยมีดอกไม้เป็นตัวหลักวันนี้หลังจากที่ประชุมเรื่องเกี่ยวกับงานตกแต่งฉากโฆษณาเสร็จ เธอจึงได้คิดที่จะแวะเข้าไปให้หมอตรวจอาการของเธอก่อนจะตรงเข้าไปหาแฟนหนุ่มซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นเช่นเดียวกัน “ขอบคุณที่มาส่งนะหนิงจู” เธอเอ่ยขอบคุณหุ้นส่วนที่ควบตำแหน่งเพื่อนสนิทของเธออีกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ไม่เป็นไรหรอก แกรีบเข้าไปให้หมอตรวจอาการเถอะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ฉันเข้าไปเป็นเพื่อน” หนิง
ตอนพิเศษ เจ้าแม่แรร์ไอเทมจะว่าไปแล้วเธอก็งงอยู่เหมือนกันว่า ฉายาเจ้าแม่แรร์ไอเทมที่เธอได้มา ได้มายังไงจนเดือดร้อนถึงแม่เพื่อนสนิทของเธออย่างเฟ่งเสี่ยวซ่งต้องมาอธิบายไขข้อข้องใจ ให้เธอเสียยกให้“แม่เจ้านี่แกไม่รู้จริงๆ หรือตั้งใจจะถามให้ฉันอิจฉาตาร้อนเล่นห๊ะ”“ถ้ารู้ฉันก็ไม่ถามแกหรอกจริงไหม เลิกกัดฉันด้วยคำพูดแล้วก็รีบบอกมาเร็วเข้า” เธอเอ่ยขึ้นอย่างขำๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยพอใจของแม่เพื่อนตัวดีของเธอ“แฟนแกเป็นสุดยอดแรร์ไอเทมไง คนที่ได้เป็นแฟนกับเขาได้นั้นแปลว่าต้องเป็นนักชกมือฉกาจ และในเมื่อแกเก่งกล้าถึงขนาดนั้น เหล่าแฟนคลับเขาเลยเรียกแกว่า เจ้าแม่แรร์ไอเทม ไงเก็ทเนอะ”“เก็ทก็ได้ค่ะคุณเพื่อน”“ว่าแต่แกเถอะจะย้ายร้านเมื่อไหร่”“ก็คงจะสิ้นเดือนนี้พอดีนั้นแหละ ร้านใหม่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลของฉางเหอน่าจะตกแต่งเสร็จพอดี”“ฉันขออนุญาตหมั่นไส้แกแรงๆหน่อยได้ไหม”“แกมาหมั่นไส้ฉันทำไมเนี่ย”เธออดจะขำออกมาเสียงดังไม่ได้ กับท่าทีที่ดูตลกของเฟ่งเสี่ยวซ่ง ที่เดียวๆทำคิ้วขมวด เดียวก็ทำหน้าบิดเบี้ยว“แกรู้ตัวไหมว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหน” เฟ่งเสี่ยวซ่งเดินเข้ามาใกล้เพื่อนสนิทก่อนจะจับที่แข
ตอนที่ 20 ความปรารถนาที่แท้จริง(ตอนจบ)นี่ก็ผ่านมาเกือบจะหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอตื่นขึ้นมาที่ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ด้วยสาเหตุที่ว่าเธอสลบไปเพราะตกใจเสียงฟ้าผ่า ไม่ใช่เพราะถูกฟ้าผ่าใส่แต่อยากใดทุกครั้งที่เธอหลับตา เธอยังคงนึกไปถึงเรื่องในอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้น เธอกำลังสับสนไม่แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่เธอพลัดไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งนั้นเป็นความจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เธอฝันไปเองเท่านั้นยามที่เธอตื่นขึ้นมาครั้งแรก ก็เจอเข้ากับเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอเท่านั้นที่มาเฝ้าเธออยู่พอดี เฟ่งเสี่ยวซ่งบอกกับเธอเพียงว่าร่างกายของเธอปกติทุกอย่างแต่กับนอนไม่ได้สติมาถึงสองอาทิตย์เต็ม ซึ่งถ้าเทียบกับเวลาในอีกมิติหนึ่งนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพราะเธออยู่ในมิตินั้นราวๆสามเดือนเห็นจะได้วันนี้เป็นวันที่เธอออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ผู้ที่มารับเธอออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอนั้นแหละ“ซู่ถงแกเดินไหวแน่นะ ไม่ใช่ว่าเดินๆไปแล้วแกล้มขึ้นมาฉันจับไม่ทันแกจะเจ็บตัวเอานะ”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เงียบผิดปกติ อีกท
ตอนที่ 19 จากไปในที่ๆจากมาหานอี้มองภาพของฮูหยินน้อยของนางที่กำลังพิงอยู่ที่ตัวของท่านเขยอย่างสงสารจับใจ นางพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาให้ท่านเขยเห็นเพราะกลัวจะยิ่งทำให้ท่านเขยใจไม่ดีฮูหยินน้อยเริ่มมีอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ช่วงค่ำ หากนางเชิญท่านหมอมาดูฮูหยินน้อยตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นไม่นานนักฟ่งสือก็เดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับท่านหมอตงและผู้ช่วยคนหนึ่ง “เรียนนายท่านฉู่ข้าน้อยได้ตรวจอาการของฮูหยินน้อยดูแล้ว มิมีสิ่งใดผิดปกติเลย มิได้มีโรคอันใดแทรกซ้อน มีเพียงแค่ชีพจรเท่านั้นที่เต้นอ่อนยิ่งนักขอรับ” หมอตงเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก “เช่นนั้นแล้วนางเป็นอันใดถึงได้กระอักเลือดออกมาเช่นนี้!!!” เขาลูบใบหน้าเล็กที่ยามนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด ของคนในอ้อมแขนก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยก็พึ่งเคยพบอาการเช่นฮูหยินน้อยเป็นเป็นครั้งแรกขอรับ”หมอตงเอ่ยขึ้น เขาเป็นหมอมาหลายสิบปีกับไม่เคยเห็นอาการเช่นนี้ ทุกอย่างรวมไปถึงชีพจรแม้จะเต้นอ่อนยิ่งนักแต่ก็เป็นปกติอยู่ แต่กับมีอาการกระอักเลือดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ“ฟ่งสือ เจ้าไป
ตอนที่ 18 ความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นนางรู้สึกได้ว่าฉู่ฉางซานผู้ซึ่งเหินทะยานพานางขึ้นมาด้านบนยามนี้เขายืนหยุดอยู่กับที่แล้ว“ลืมตาเจ้าขึ้นมาได้แล้ว พวกเขาขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว”เขาก้มลงเอ่ยบอกร่างเล็กที่ยังคงหลับตานิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา ก่อนจะปล่อยนางลงเมื่อนางยอมลืมตาขึ้นมาแล้ว“สวยงามยิ่งนัก!!!”นางเอ่ยออกมาเสียงดังอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าของตนเองยามนี้ คือบ้านไม้ขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งด้านหน้าก่อนที่จะไปถึงตัวบ้านนั้นมีบ่อน้ำขนาดเล็กและมีสะพานทอดยาวให้ข้ามไปยังด้านหน้าของบ้านไม้หลังใหญ่นั้นได้นี่เลยที่นี่เปรียบเสมือนกันกับที่นางเฝ้าฝันว่าอยากจะมาอยู่ในบ้านที่ท่ามกลางธรรมชาติท่ามกลางดอกไม้เช่นนี้ ยามนี้นางได้มายืนอยู่ในที่ๆนางได้วาดฝันเอาไว้แล้ว“เจ้าชอบที่นี่มากขนาดนี้เชี่ยวรึ” เขามองร่างเล็กที่วิ่งไปมาอย่างมีความสุขก่อนจะเอ่ยถามขึ้น“ข้าชอบที่นี่มากๆเลยเจ้าค่ะ ที่นี่เหมือนกับที่ๆข้าฝันเอาไว้ว่าอยากจะอยู่” นางส่งยิ้มให้เขา“ที่แท้เจ้าก็ชื่นชอบอันใดแบบนี้ เอาไว้กลับไปจวนสกุลฉู่ข้าจะให้คนมาสร้างเรือนเช่นนี้ให้เจ้าที่ท้ายจวนดีรึไม่”“จริงนะเจ้าคะ ท่านจะสร้างให้ข้าจริงๆนะ”
ตอนที่ 17 มุ่งหน้าสู่หุบเขาดอกไม้ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม รถม้าที่นางและฉู่ฉางซานนั่งจึงได้ออกจากประตูเมืองทางใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้วถนนใกล้บริเวณประตูเมืองทางใต้ยังพอให้มองเห็นผู้คนเดินทางไปมา เป็นผู้คนเดินทางด้วยเท้าบ้าง ม้าบ้าง หรือแม้จะทั่งใช้รถม้าเช่นเดียวกันกับนางขบวนรถม้าของนางมีฟ่งอี้เป็นผู้ควบคุมรถม้า มีฟ่งสือและองครักษ์อีกผู้หนึ่งที่ขี่รถม้านำอยู่หน้ารถม้าที่นางและฉู่ฉางซานนั่งอยู่ สวนด้านหลังยังมีองครักษ์ขี่ม้าตามอยู่ด้านหลังอีกสี่คน ทุกคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุดฉู่ฉางซานก็เปลี่ยนมาใส่ชุดสีดำเช่นเดียวกัน ส่วนนางยามนี้ก็เปลี่ยนไปใส่ชุดเสื้อผ้าธรรมดาๆชุดหนึ่งที่ไม่ได้ดึงดูสายตาของใครๆได้ แต่นางก็ชอบชุดนี้มากกว่าชุดสวยๆราคาแพงที่ใส่อยู่ทุกวันเสียอีก“ท่านว่ายามนี้เราเหมือนกับสามีภรรยาแบบปกติไหม”นางเอ่ยถามบุรุษข้างกายที่ยามนี้เอนตัวนั่งพิงอยู่อีกด้านหนึ่งของผนังรถม้า แม้เขาจะนั่งหลับตาอยู่แต่นางก็รู้ว่าเขาแค่หลับตาลงเอาไว้เฉยๆไม่ได้หลับไปแต่อย่างใด“แล้วปกติเราไม่ใช่สามีภรรยากันอยู่แล้วรึอย่างไรกัน ถามสิ่งใดของเจ้า”“นั่นสิปกติเราก็เป็นสามีภรรยานี่ เพียงแต่ข้าหมายถึ
ตอนที่ 16 ข้าขอไปด้วยนะเจ้าคะ “เล่นสนุกพอหรือยังเจ้า” เสียงเรียบเฉยที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้น ทำให้นางหันไปมองตามเสียงนั้น ก็พบฉู่ฉางซานที่กำลังก้าวลงมาจากบันได และเขากำลังก้าวเดินเข้ามาหานาง “เหมือนว่าข้าจะถูกท่านแอบดูเรื่องสนุกเสียแล้ว” นางเอ่ยออกมาอย่างติดตลก “ข้าไม่ได้แอบดู เพียงแต่เจ้าสร้างเรื่องพอดีกับที่ข้าอยู่ก็เพียงเท่านั้น” “เรื่องนั้นช่างมันเถิด ว่าแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เช่นใดกัน ข้านึกว่าท่านจะไปอยู่ที่หอดนตรีเหม่ยหัวแล้วเสียอีก” นางเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย นางคิดจริงๆว่าฉู่ฉางซานน่าจะไปอยู่ที่หอดนตรีแล้ว เขาเป็นเจ้าของมิใช่ว่าต้องไปอยู่ดูความเรียบร้อยของกิจการก่อนหรือ “วันนี้ข้าไม่ได้จะไปที่หอดนตรีเหม่ยหัว ข้าจะเดินทางออกจากเมืองไปดูหุบเขาดอกไม้ที่นอกประตูเมืองทางเหนือเสียหน่อย คงไปสักสองสามวันเป็นอย่างต่ำ”“ที่นี่ใกล้ประตูเมืองทางเหนือมิใช่เหรอ ประตูทางใต้อยู่อีกทางหนึ่งเลยนี่น่า”“เป็นดังเจ้าว่ามันอยู่คนละทางกัน”“แล้วท่านมาที่ร้านนี้เพราะมีปัญหาอันใดเกิดขึ้นเช่นนั้นรึเปล่า” ห