ตอนที่ 8
เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร
เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมด
อึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่น
สองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย
“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทน
อาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระ
นางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิต
หากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆ
ใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั้นที่คืนมันให้นางได้
นางแค่ต้องเป็นมิตรต่อเขามิใช่ศัตรู
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็มิรอช้ารีบเอ่ยถามหานอี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลทันที
“วันนี้ฉู่ฉางซานอยู่ในจวนรึไม่”
“อยู่เจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวไปที่ห้องครัวเพื่อนำของว่างมาให้ท่าน เห็นฟ่งอี้กำลังจัดชุดน้ำชาให้นายท่านอยู่พอดีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า ข้าจะไปหาฉู่ฉางซาน”
หน้าเรือนตำราทิพย์ที่แสนจะเงียบสงบ ยามนี้ที่หน้าประตูทางเรือนหลันซู่ถงกำลังพยายามหาวิธีที่จะเข้าไปด้านในให้ได้
“นี่พี่ชายข้ามีเรื่องจะคุยกับฉู่ฉางซาน คุยเสร็จก็จะรีบกลับออกมาเลย พวกท่านให้ข้าเข้าไปข้างในเถิดหนา”
หลันซู่ถงยังไม่คิดจะละความพยายามในการเกลี้ยกล่อม องครักษ์ทั้งสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนตำราทิพย์ แม้ว่าองครักษ์ทั้งสองคนที่อยู่เบื้องหน้านางยามนี้จะทำเป็นมองไม่เห็นนางเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าไม่ขยับตัวเลยแม้แต่สักนิด
นางยืนพูดกับพวกเขามาเกือบจะหนึ่งก้านธูปได้แล้วกระมัง แต่ก็หาได้มีการตอบกลับมาสักครึ่งคำไม่
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวว่าพวกเรากลับเรือนธารากระจ่างกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลับทำไมละหานอี้”
นางอุตส่าห์เตรียมตัวเตรียมใจมาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้ว ควบคุมอารมณ์มาอย่างดี หากมิเจรจาตอนนี้ไม่เท่ากับว่านางเตรียมใจมาเปล่าประโยชน์หรอกหรือ
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อันใดทั้งนั้น ครั้งนี้เจ้าก็ช่วยข้าหน่อยเถิด”
นางไม่คิดที่จะฟังคำทัดทานของสาวใช้คนสนิทแต่อย่างใด ยามนี้ในหัวนางคิดวิธีที่จะเข้าไปด้านในได้แล้ว
“ฮูหยินน้อยจะให้บ่าวช่วยอันใดเจ้าคะ”
นางไม่เอ่ยตอบคำถามที่เอ่ยออกมาอย่างสงสัยของหานอี้แต่อย่างใด นางกลับผลักสาวใช้คนสนิทของนางให้ถลาไปยังองครักษ์ผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างประตูด้านขวา
“ว้าย!!!”
จนทั้งหานอี้และองครักษ์ที่แต่เดิมยืนอยู่ข้างประตูด้านขวาล้มลงกับพื้นทั้งคู่ ส่วนองค์รักษ์ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายนางก็แกล้งเดินเข้าไปจับที่ข้อมือของคนผู้นั้น เป็นไปดังคาดเมื่อองครักษ์ผู้นี้รีบถอยห่างไปจากตัวนางทันที
นางมิรอช้ารีบใช้จังหวะนั้นวิ่งเข้าประตูหน้าเรือนตำราทิพย์ในทันที
มิผิดจากที่นางคิดเอาไว้ คราแรกองครักษ์สองคนนี้ไม่ว่านางจะเอ่ยสิ่งใดก็ทำเพียงแค่ทำเป็นมิได้ยินมิถึงขั้นขับไล่แต่อย่างใด
นั้นก็แปลว่าองครักษ์พวกนี้ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากไล่นาง แล้วยิ่งถึงขั้นขับไล่หรือถูกตัวนางคงจะยิ่งมิกล้า
นั้นย่อมแปลว่าน้ำหนักของนางในใจพวกองครักษ์คงมิต่างกันกับเหล่าสาวใช้หรือบ่าวชายในจวนแห่งนี้ คนเหล่านี้นับนางเป็นนายอีกคนหนึ่งของสกุลฉู่แล้ว
หากฉู่ฉางซานคิดจะให้นางอยู่อย่างลำบากในสกุลฉู่จริง คงมิให้องครักษ์หรือเหล่าสาวใช้ในจวนดูแลรับใช้นางดีเช่นนี้เป็นแน่
บางทีเรื่องที่นางจะเจรจาอาจจะง่ายกว่าที่คิด
บุรุษร้อยพันล้วนชอบสตรีว่าง่าย พูดรู้เรื่องมิมากความมิขัดคำสั่งสินะ เอาเป็นว่าต่อหน้าเขานางจะแกล้งทำดูก็แล้วกัน ยังๆนางก็มิมีอันใดต้องเสียอยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งศักดิ์ศรีถ้ามันจะใช้แลกอิสะได้ทำไมนางจะมิแลกเหล่า
ศักดิ์ศรียิ่งถือมันก็มีแต่จะยิ่งหนัก สู้วางศักดิ์ศรีแลกอิสระย่อมดีกว่าอย่างมิต้องคิด
ด้านนอกประตูเรือนธารากระจ่าง นั้นยามนี้หานอี้กำลังเดินวนไปมาอย่างกังวลใจเป็นที่สุด
“ฮูหยินน้อยนะฮูหยินน้อย” นางได้แต่เอ่ยออกมาอย่างร้อนรน เมื่อตนเองมิสามารถทำอันใดได้อีกแล้ว นอกจากคอยอยู่ด้านนอกนี้ด้วยความหวาดหวั่น
“ท่านองครักษ์ทั้งสอง ให้ข้าเข้าไปด้านในเถิด ฮูหยินน้อยของข้าอยู่ด้านในพวกท่านก็เห็นอยู่”
“ไม่มีคำสั่งจากนายท่านฉู่พวกเราไม่สามารถเข้าไปหรือว่าปล่อยให้ผู้ใดเขาไปได้”
องครักษ์ผู้ที่ฮูหยินน้อยของนางผลักนางไปใส่จนล้มลงไปด้วยกัน เป็นผู้ที่เอ่ยขึ้นก่อนจะปิดประตูทางเข้าเรือนตำราทิพย์ทันที
“โปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ ทำไมต้องปิดประตูทางเข้าเรือนด้วยเล่าเจ้าคะ ฮูหยินน้อยของยังอยู่ข้างในอยู่เลยเจ้าค่ะ”
องครักษ์ทั้งสองมิมีทีท่าที่จะตอบคำถามนางเลยสั่งนิดเดียว เช่นนั้นเวลานี้จะมีทางใดสามารถช่วยฮูหยินน้อยของนางได้เล่า ฮูหยินใหญ่ก็ออกเดินทางไปท่องเที่ยวกับนายท่านใหญ่ที่นอกเมืองตั้งแต่รุ่งเช้าแล้ว จะกลับเมื่อใดก็มิรู้ได้
สิ่งที่นางทำได้ยามนี่คงไม่พ้นการสวดมนต์อ้อนวอนพุทธองค์ให้ช่วยเหล่าคุณหนูของนางแล้ว
หลันซู่ถงนางค่อยๆเดินเลาะมาตามแนวทางเดิน ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าเรือนขนาดใหญ่ที่มีป้ายติดไว้ว่าเรือนตำราทิพย์ ดูจากชื่อเรือนก็รู้เลยว่าต้องเป็นเรือนสำหรับเก็บตำรามากมาย
นางได้ยินมาจากสาวใช้คนอื่นๆว่าตั้งแต่แต่งงานกับนาง ฉู่ฉางซานก็ใช้ที่นี่เป็นเรือนพักและใช้เป็นสถานที่ทำงานร่วมด้วย โดยจะห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกตามใจชอบ จะมีเพียงคนสนิทเพียงแค่สองคนเท่านั้นก็คือ ฟ่งอี้และฟ่งสือที่นางเคยเจอ แล้วเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในนี้ได้
ที่แรกนางไม่คิดว่าเรื่องที่ได้ยินเหล่าสาวใช้พูดคุยกันจะเป็นจริง แต่ถ้าดูจากการที่องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูมิได้เข้ามาตามมาจับตัวนางออกไป ก็นับว่าเรื่องที่ได้ยินมาอาจจะเป็นเรื่องจริงอยู่
เช่นนั้นหรือว่านางควรออกไปจากที่นี่ดี มิใช่ว่ายามนี้นางกำลังหาเรื่องทำให้ฉู่ฉางซานโกรธยิ่งเข้าไปอีกหรอกนะ
แต่เอาเถิดอุตส่าห์หลุดมาได้ขนาดนี้แล้ว ให้นางกลับออกไปถือว่าเสียเปล่ายิ่ง ยังไงเสียนางรีบเจรจาและรีบไปจากเรือนตำราทิพย์แห่งนี้จะดีเสียกว่า
อย่างน้อยๆนางก็มั่นใจว่าหากเขาโกรธขึ้นมาก็คงมิถึงขั้นกับฆ่าแกงกัน
ก่อนอื่นนางต้องหาเขาให้เจอตัวก่อนสินะ ว่าอยู่ที่ใด ประตูห้องที่คิดว่าเป็นห้องนอนของฉู่ฉางซาน ถูกนางค่อยๆใช้มือดันประตูเข้าไป ก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านในห้องหน้าโต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่กลางห้อง
นางเดินเข้าไปหลังโต๊ะน้ำชาที่มีฉากกั้นไม้ขนาดใหญ่แปดพับที่สูงกว่าความสูงของนางเสียอีก นางใช้มือลูบฉากกั้นไม้ที่แกะสลักฉะลุลายเกลียวคลื่นตรงหน้าอย่างหลงใหล
ฉากกั้นไม้ตรงหน้านางชั้นดูล้ำค่ายิ่งนัก
นางเผลอตัวยืนชื่นชมความงามของฉากไม้ ก่อนที่จะตัดใจละจากของล้ำค่าตรงหน้าได้ นางเดินผ่านฉากกั้นไม้เข้าไปก็พบกับเตียงนอนขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับกำแพง เครื่องนอนทุกอย่างบนเตียงล้วนแต่เป็นสีน้ำเงินขลิบเขียว ที่ปักลายเกลียวคลื่นเอาไว้อย่างสวยงามประณีต
รอบๆด้านข้างมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่เต็มสองข้างกำแพง บนชั้นมีหนังสืออยู่มากมาย และก็มีช่องเว้นเอาไว้ใส่ที่วางดาบเอาไว้ด้วยเช่นกัน
นางเดินเข้าไปใกล้ชั้นวางดาบก่อนจะพยายามยกดาบเล่มกลางที่วางอยู่บนชั้นขึ้น แต่ยกอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น จนกระทั่งมือของนางไปโดนกับด้ามจับของดาบแทน จนดาบเลื่อนออกจากฝักเล็กน้อย
เมื่อดาบเล่มกลางเมื่อครู่เลื่อนออกก็มีเสียงของบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหว ก่อนที่ชั้นหนังสือตรงหน้าของนางจะเลื่อนออกจากกัน จนนางตกใจถอยออกมาแทบจะไม่ทัน
ยามนี้เบื้องหน้าของนางเป็นเหมือนห้องลับ มีแสงเทียนส่องออกมาเล็กน้อยจากด้านใน หากแต่เมื่อมองเข้าไปจากจุดที่นางยืนอยู่นี้กับไม่เห็นสิ่งใดเลย
หรือฉู่ฉางซานจะอยู่ในนี้
นางได้แต่คิดในใจ เท้าก็ยังไม่กล้าที่จะก้าวเข้าไปในห้องลับตรงหน้า
หลันซู่ถงนางตัดสินใจจะกลับออกจากเรือนนี้ก่อน เพราะหากฉู่ฉางซานรู้ว่านางรู้เกี่ยวกับห้องลับนี้อาจจะยิ่งไม่พอใจนางเข้าไปอีกก็เป็นไปได้
วันนี้นางไม่เจอเขาวันหน้ายังพอมีโอกาส
คิดได้ดังนั้น นางก็เตรียมตัวที่จะเดินเข้าไปที่ชั้นวางดาบที่ยามนี้แยกออกไปอยู่ด้านข้าง เพื่อที่จะจัดด้ามดาบให้เข้าที่ หวังจะปิดทางเข้าห้องลับ ก่อนที่นางจะได้จับไปที่ด้ามดาบตัวนางกับถูกกระชากออกมาไกลจากชั้นวางดาบเสียก่อน
ตัวของนางยามนี้ถูกดันจนติดไปกลับชั้นหนังสืออย่างแรงจนเจ็บไปหมด แต่นั้นยังไม่ถือว่าร้ายแรงที่สุด ถ้าเทียบกับความรู้สึกเย็นๆของดาบที่กำลังพาดจ่ออยู่ที่คอของนางยามนี้!!!
“ช้าก่อนต้าเกอ!!!” นางร้องตะโกนออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นผู้ที่กำลังถือดาบจ่อที่คอของนางอยู่ *ต้าเกอ หมายถึง พี่ใหญ่ (พี่ชายคนโต)
“ข้าเป็นบุตรชายคนเดียว” ฉางซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ เขาในตอนนี้กำลังหัวเสียอยู่ไม่น้อยเมื่ออาณาเขตส่วนตัวของตนเองยามนี้ถูกรุกรานด้วยสตรีตรงหน้า
“ข้าเพียงเอ่ยเล่นเท่านั้นท่านพี่” นางรีบเอ่ยแก้ตัว ยามนี้นางยืนตัวแข็งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ เกรงว่าหากตนไม่ทันระวังเผลอขยับตัวจะทำให้ดาบที่พาดอยู่บนคอนางยามนี้ได้ลิ้มชิมรสเลือดของนางจริงๆ
“ข้ามิได้ว่างพอที่จะมีอารมณ์ล้อเล่นกับเจ้า บอกมาเข้ามาในห้องข้าเจ้าต้องการสิ่งใด”
“ข้าบอก ข้าย่อมต้องบอกท่านแน่” นางเอ่ยก่อนจะทำใจกล้า ค่อยๆดันปลายดาบที่จ่อคอตนเองออกไปที่ละน้อย จนฉู่ฉางซานยอมที่จะตวัดดาบออกไปจากนาง
เขาเดินนำนางไปยังโต๊ะน้ำชาที่อยู่ด้านหน้าฉากพับลายเกลียวคลื่น เขาทิ้งตัวนั่งตัวตรงก่อนจะวางดาบลงบนโต๊ะด้วยท่าทีเย็นชา
นางที่เดินตามเขาไปช้าๆ รีบตรงเข้าไปยกกาน้ำช้าที่อยู่ในถาดบนโต๊ะขึ้นมารินใช้ถ้วยชาก่อนจะยืนให้เขาอย่างรู้หน้าที่
“เจ้าจะยืนอีกนานรึไม่ หากไม่มีอันใดก็ออกไปเสีย”
“มีเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะอยากจะขอต่อรองกับท่านพี่”
นางหลับหูหลับตารีบเอ่ยออกมา
“งั้นถ้าข้าไม่อยากต่อรองอันใดกับเจ้าเล่า”
เสียงเคร่งขรึมเอ่ยออกมาอย่างไร้อารมณ์ เขาจ้องใบหน้าของสตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่พอใจนัก
“ต่อรองกับข้าเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรลองฟังข้อต่อรองของข้าก่อนก็ยังดีนะเจ้าคะ”
“ข้าเป็นพ่อค้า ไม่อยากฟังสิ่งใดที่ตนเองต้องเสียเปรียบ”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ท่านพี่ได้เปรียบเต็มๆเลยเจ้าค่ะข้าย่อมไม่กล้าเอาเปรียบท่านแน่” นางเอ่ยออกมากอย่างกระตือรือร้นเต็มที่
“ถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้าจะยอมเสียเวลาฟังเจ้าเสียหน่อยก็ย่อมได้ หากแต่ถ้าข้อต่อรองของเจ้าไม่เป็นที่พอใจของข้าเจ้าจะโดนข้าลงโทษไม่ให้ก้าวออกจากเรือนธารากระจ่างของเจ้าอีกเลย”
ฉู่ฉางซานเอ่ยเสียงเรียบ เขาชักอยากจะรู้เสียแล้วว่าข้อต่อรองของนางคืออันใดกันแน่
“ข้อต่อรองของข้าคือความสงบสุขของท่านพี่เจ้าค่ะ”
“ความสงบสุขของข้าเช่นนั้นรึ”
“เจ้าค่ะความสงบสุขของท่านแลกกับอิสรภาพของข้าที่”
“อิสรภาพที่เจ้าเอ่ยถึงคือการยกเลิกไม่ให้เจ้าออกนอกจวนสกุลฉู่เช่นนั้นรึ”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยรับคำเสียงหวาน อีกทั้งไม่ลืมที่จะฉีกยิ้มหวานหยดที่นางฝึกอยู่หน้ากระจกก่อนออกจากเรือนตั้งนานสองนานให้อีกฝ่ายด้วย
“เจ้าถูกกักเอาไว้ในจวนเช่นนี้มิใช่ว่าเป็นผลดีกับข้าที่สุดแล้วรึอย่างไรกัน”
“กักข้าเอาไว้ท่านย่อมไม่สงบสุขง่ายๆแน่เจ้าค่ะ!!!”
เมื่อได้ยินบุรุษตรงหน้าเอ่ยออกมาว่าการกักนางเอาไว้ดีที่สุด นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาเสียงดังอย่างตกใจ
“ถ้าหากท่านพี่กักข้าเอาไว้ ข้าก็ต้องหาเรื่องสร้างปัญหาให้ท่านแน่ๆเลยนะเจ้าคะ ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านเลยเจ้าค่ะ ไม่ขึ้นเสียกับท่านอีก ไม่ทำให้ท่านถูกท่านแม่ต่อว่าด้วยเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำอันใดที่ท่านพี่ไม่ให้ข้าทำเด็ดขาด”
ฉู่ฉางซานนั่งฟังสิ่งที่สตรีตรงหน้าเอ่ยออกมาอย่างคิดตามไปด้วยถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับ หากเขาต้องการความสงบสุขอย่างถาวรก็อดคิดไปไม่ได้ว่าวิธีให้นางไม่สร้างปัญหาให้เขาเป็นการดีที่สุดแล้วจริงๆ
อีกทั้งจะตัดปัญหาของเขากับมารดาที่ขัดแย้งกันเพราะนางได้อีก เมื่อสองวันก่อนยามที่ท่านแม่ของเขารู้ว่าเขาสั่งกักไม่ให้นางออกจากนอกจวนอีกเพราะก่อปัญหาที่หอเลิศรส
แต่แทนที่ท่านแม่ของเขาจะเห็นด้วย กลับกลายเป็นว่าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของเขาเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังพาลโกรธเขาไม่หาย ก่อนที่จะออกเดินทางไปวันนี้ยังไม่ลืมที่จะส่งคนมาบอกเขาให้เลิกกักตัวหลิวซู่ซู่ผู้นี้ ไม่เช่นนั้นจะนำอนุมาฝากเขาจากต่างเมืองอีกสองนาง
เดิมทีเขาก็กำลังคิดจะหาวิธีตกลงกับหลิวซู่ซู่ผู้นี้อยู่เช่นเดียวกัน อย่างไรเสีย เขายอมหัวเสียเป็นบางครั้งเพราะสตรีนางนี้ดีเสียกว่าต้อง หัวเสียเพราะสตรีอีกหลายนางที่จะตามมาจริงๆอย่างเช่นที่ท่านแม่เขาได้ข่มขู่เอาไว้
และท่านแม่ของเขาพูดจริงทำจริงเสมอเสียด้วย เอาเป็นว่าเขาคงต้องยอมรับข้อต่อรองในครั้งนี้ของหลิวซู่ซู่ไปก่อนเพื่อตัดปัญหาในภายหน้าที่อาจะเกิดขึ้นได้
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
บทนำเช้าวันอาทิตย์ที่น่าจะเป็นวันที่ดีสำหรับใครหลายๆคน ที่จะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานกันมาทั้งอาทิตย์ แต่มันไม่ใช่สำหรับเธอหลันซู่ถงแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะวันไหนเธอก็ไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าการทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆอีกแล้วการมีเงินเยอะๆตั้งหากคือสิ่งที่ดีที่สุด ทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆตอนที่เธอแก่ตัวจนทำไม่ไหวแล้วจะได้มีเงินเก็บเองไว้ใช้ได้ไม่ลำบาก อีกทั้งสังคมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนการมีเงินต่างหากถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างไรปัญหาได้เธอคือหลันซู่ถงเจ้าของร้านดอกไม้ร้านเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเท่าไหร่นัก เพียงแค่ข้ามถนนใหญ่ไปก็จะเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของเมืองแล้ว แม้ร้านจะไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรแต่ก็ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอสมควรเลย ร้านของเธอเป็นตึกแถวสองชั้นติดถนนเธอใช้ชั้นล่างเป็นหน้าร้านและชั้นบนเป็นที่พักอาจเพราะเธออยู่คนเดียวตั้งแต่อายุ18 กระมังจึงทำให้เธอเป็นคนเฉยๆเรียบง่ายกับทุกอย่าง อีกทั้งพ่อแม่ของเธอต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวมีบ้านหลังใหม่กันหมดแล้ว ทำให้การตัดสินใจรวมไปถึงชีวิตของเธอไม่ได้ติดอยู่กับ
ตอนที่ 1 เพียงสบตาเท่านั้น“ซู่ถงขอบคุณแกมากนะที่หลายวันมานี่คอยมาส่งข้าวส่งน้ำฉัน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยออกมาอย่างตื้นตันใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของเธอเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วข้าวของมากมายมาหาเธอทุกวัน“ลำบากอะไรกันร้านของฉันไม่ได้ไกลเลยสักนิดข้ามถนนแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว อีกอย่างแกเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉันนะ ต่อให้แกอยู่โรงบาลอื่นที่อยู่ไกลกว่านี้ยังไงฉันก็ต้องไปหาแก”เธอตอบออกไปโดยไม่หันไปมองเพื่อนสนิท เธอยิ้มและหยิบจับจัดข้าวของที่เธอนำมาด้วยก่อนที่จะเลื่อนโต๊ะอาหารมาให้เพื่อนรักและเปิดถุงนำกล่องข้าวหลากหลายออกมาวางตรงหน้าคนป่วย“น้ำตาฉันจะไหลแล้วรู้ไหมซู่ถง เห็นอาหารพวกนี้แล้วทำให้ฉันนึกถึงมื้อเช้าของวันนี้ แกรู้ไหมว่าคืออะไรมันคือข้าวต้มหมู กว่าฉันจะกลั้นใจกินมันได้ทำใจแล้วทำใจอีก”“แกก็พูดไป อาหารโรงพยาบาลที่ไหนเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”เธอเอ่ยขึ้นพลางยิ้มขำไปกับท่าทีของเพื่อนสนิทที่แสดงออกมาอยู่ตอนนี้ เพื่อนของเธอกำลังตักอาหารที่เธอนำมาให้เข้าปากอย่างช้าๆทำทีราวกับกำลังซึมซับรสชาติของอาหารอยู่อย่างใดอย่างนั้น “เอาน้ำ” ซู่ถงยื่นกระบอกน้ำอุ่นที่เธอเตรียมมาด้วยให้เพื่อน
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง