ตอนที่ 7
เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว
“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”
เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้น
เห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลย
มิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว
“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”
“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข้าก็แล้วกัน” นางเอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วยกับความคิดของสาวใช้คนสนิทของนาง
หากแต่ในใจกับคิดอันใดบางอย่างที่ขัดแย้งขึ้นมาได้
หอเลิศรสแห่งนี้ยังมีแสงไฟส่องรอดออกมาจากช่องระบายอากาศด้านบนประตูแม้จะเป็นแสงริบหรี่เต็มที แต่ก็ยังพอเห็นเงาแสงไฟที่วูบไหวได้อยู่บ้าง หากเป็นดังที่หานอี้เอ่ยบอกนางจริงว่า พวกเถ้าแก่ตงกลับกันไปหมดแล้ว ย่อมต้องดับไฟจนหมดเรียบร้อย คนอย่างเถ้าแก่ตงมิใช่คนที่มิรอบคอบ แน่นอนว่าไม่มีทางที่เถ้าแก่ตงจะลืมดับเทียนเป็นแน่
เรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกมิน้อยมีหลายอย่างที่ขัดแย้ง และน่าสงสัย
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็ทำท่าทีบอกหานอี้ว่ามิให้เอ่ยสิ่งใดออกมา ก่อนจะใช้มือของนางดันบานประตูตรงหน้าของหอเลิศรส
ประตูตรงหน้านางมิสามารถเปิดออกมาได้ และแน่นอนว่ามันถูกล็อคจากด้านใน มิใช้จากด้านนอก แน่นอนแล้วว่าเถ้าแก่ตงอาจจะกำลังเกิดเรื่องอยู่ด้านในนั้น
“หานอี้พวกเรารีบกลับกันเถิด”
นางแน่ใจแล้วก็แกล้งเอ่ยออกมาเสียงดังอย่างจงใจให้ผู้อื่นผู้ใดที่อยู่ด้านในของหอเลิศรสได้ยิน
“เจ้าค่ะคุณชาย” หานอี้เมื่อเห็นว่าฮูหยินน้อยของนางจงใจเอ่ยเสียงดัง เพราะเหตุใดบางอย่างนางจึงเอ่ยรับคำเสียงดังตามไปด้วยอย่างเสียมิได้
ขณะเดียวกันด้านในของหอเลิศรส ยามนี้เถ้าแก่ตงและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งสามคน โดนชายปิดหน้าสามคนจัดมัดมือมัดเท้าและมัดปากเอาไว้ทำให้มิสามารถส่งเสียงของความช่วยเหลือใดๆได้เลย
“อือ อือ อือ!!!” เป็นเสียงของเถ้าแก่ตงที่พยายามส่งเสียงเรียกให้คุณชายน้อยผู้ที่ติดเงินค่าอาหารให้ช่วยเหลือตน
แต่ก็ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาจะเปล่าประโยชน์เนื่องจากแม้เขาจะพยายามส่งเสียงออกไป แต่ก็มิใช่ว่าเสียงของเขาจะดังพอที่คุณชายน้อยผู้นั้นจะได้ยินได้เลย เนื่องจากซึ่งที่เขาและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์อีกสามคนที่บาดเจ็บเพราะการต่อสู้กับคนพวกนี้จนหมดสตินั้น
โดนจับมัดเอาไว้ไกลจากประตูทางเข้ามากพอสมควรเลยทีเดียว
เขาได้เพียงแต่หวังว่าคุณชายน้อยผู้นั้นกับสาวใช้จะนึกเอะใจอันใดบางอย่างได้เสียเล็กน้อยหรือหวังว่าเจ้านายของเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเลิศรสจริงๆอย่างนายท่านฉู่จะแวะเข้ามาดูบัญชีที่ร้านเลิศรส
“ดูเหมือนคนที่มาเคาะเรียกจะไปกันหมดแล้ว” ชายชุดดำที่ยืนอยู่ใกล้ประตูมากที่สุดเอ่ยขึ้นเพื่อบอกกับพวกพ้องของตนอีกสองคนที่อีกคนยืนอยู่กลางห้อง และอีกคนยืนอยู่ข้างๆเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ที่พวกเขามัดเอาไว้
“เช่นนั้นพวกเราคงต้องรีบลงมือ” เจ้าของเสียงคือชายชุดดำที่ยินอยู่กลางห้องซึ่งดูแล้วจะเป็นผู้นำในครั้งนี้
เถ้าแก่ตงซึ่งเป็นผู้เดียวที่ยังมีสติดีที่สุดในบรรดาผู้ที่ถูกจับเอาไว้ เขาเริ่มที่จะสังเกตพวกโจรปิดหน้าทั้งสามคนนี้
ลักษณะการแต่งตัวของคนเหล่านี้เป็นเพียงการแต่งตัวด้วยชุดสกปรกธรรมดาเพียงเท่านั้นอาวุธในมือก็เป็นเพียงไม้ด้ามใหญ่ในมือเท่านั้น มิได้คล้ายกับนักฆ่าหรือว่าโจรมืออาชีพเลยแม้แต่น้อย กับคลับคล้ายคลับคลาเมื่อกับชาวไร่ชาวนาเสียมากกว่า
โจรทั้งสามคนเดินเข้ามารุมล้อมเถ้าแก่ตงเอาไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้นบอกถึงความต้องการของพวกมัน
“พวกข้าต้องการเงิน เจ้าให้เงินพวกข้าแล้วพวกข้าจะจากไปแต่โดยดี” โจรที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปดึงผ้าปิดปากของเถ้าแก่ตงลงเพื่อที่จะได้เจรจากันรู้เรื่อง
“เงินอยู่ในห้องบัญชีด้านหลังในห้องลับพวกเจ้าอยากได้เท่าไหร่ก็เอาไปเถิดทั้งหมดที่มีอยู่ในนั้นทั้งหมด”
เถ้าแก่ตงมิรอช้าที่จะบอกที่ซ่อนเงินทั้งหมด เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าโจรเหล่านี้มิได้คิดจะเอาชีวิตพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หากชอบให้เงินไปตัวเขาและเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายย่อมพ้นจากความตายจริงอย่างที่พวกมันบอกเอาไว้ แม้ว่าเขาจะเสียดายเงินทองอยู่บ้างแต่ก็มิได้รักเงินมากกว่าชีวิตเสียหน่อย
อีกอย่างเขาเชื่อว่านายท่านฉู่ย่อมเข้าใจ และสามารถจัดการกับโจรเหล่านี้ได้อย่างแน่แท้ มิช้ามินานเงินก็จะต้องกลับคืนมาสู่นายท่านฉู่
โจรพวกนี้คงไม่แคล้วว่าเป็นผู้ตกยากหรือโจรพลัดถิ่นมาเป็นแน่จึงได้กล้าที่จะเข้ามาปล้นร้านของสกุลฉู่เช่นนี้
“ข้าจะอยู่เฝ้าพวกมันที่นี่เอง” โจรคนที่ทำหน้าที่เฝ้าพวกตัวประกันตั้งแต่แรกเอ่ยขึ้น
“มิต้องเฝ้าแล้ว พวกเราทั้งหมดเข้าไปช่วยกันนำเงินมาแล้วหนีออกทางหน้าต่างในห้องนั้นเลยจะดีกว่า”
“แล้วเจ้าพวกนี้ล่ะ”
“พวกมันส่วนใหญ่ก็เจ็บกันขนาดนั้นแล้ว แถมยังถูกมัดเอาไว้เช่นนี้ยังไงก็มิมีทางแก้มัดได้แน่ อีกอย่างพวกมันก็คงมิคิดที่จะหาเรื่องตายหรอก”
“เช่นนั้นก็เอาอย่างเจ้าว่าก็แล้วกัน”
“พวกเราไป”
เมื่อพวกมันตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปยังห้องบัญชีที่อยู่ไม่ไกลตามที่เถ้าแก่ตงบอกทันทีด้วยมิคิดที่จะหันมามองยังเหล่าตัวประกันที่พวกมันจับมัดเอาไว้อีก
“เฮ้อ” เถ้าแก่ตงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า อย่างน้อยๆยามนี้เขาก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งแล้ว ตามที่ได้ยินพวกมันคุยกันเมื่อได้เงินแล้วก็จะจากไปทันที มิคิดที่จะทำอันใดต่อพวกเขาอีก
หากพวกนั้นไปแล้วพวกเขาเพียงแค่ต้องอดทนถูกมัดเอาไว้แบบนี้อีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าเมื่อมีคนจากจวนคุณชายน้อยผู้นั้นนำเงินมาใช้หนี้ หรือว่านายท่านฉู่และเข้ามาที่หอเลิศรสนั้นแหละพวกเขาถึงจะเป็นอิสระ
“โอ้”
เสียงร้องที่ดังขึ้นหลายครั้งทำให้เถ้าแก่ตงซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองอยู่นั้นได้สติขึ้นมา
เขาหันไปตามเสียงร้องนั้นทันที และภาพที่เขาเห็นยามนี้คือคุณชายน้อยที่ติดหนี้เขาเอาไว้และสาวใช้คนสนิทนั้นกำลังใช้ไม้อันใหญ่ฟาดไปที่โจรทั้งสามคนอยู่ข้างหน้าห้องบัญชีอย่างมิมีกลัวเกรงแต่อย่างใด
จริงด้วยในห้องบัญชีไม่มีหน้าต่างเขาลืมไปได้อย่างไรกัน
เพราะเหตุนี้พวกโจรเลยมิสามารถหนีออกทางหน้าต่างได้ซินะถึงได้ต้องออกมากจากห้องบัญชีเพื่อที่จะหลบหนีออกทางอื่น
“คุณชายน้อยท่านระวังข้างหลัง!!!” เถ้าแก่ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าโจรคนหนึ่งซึ่งถูกตีจนล้มลงไปอยู่ด้านหลังของคุณชายน้อยกำลังยกไม้ขึ้นมาเตรียมที่จะฟาดไปที่คุณชายน้อยไม่รู้ตัวเพราะกำลังจัดการกับโจรอีกคนหนึ่งอยู่
และแน่นอนว่าเกือบไปแล้วที่คุณชายน้อยผู้นั้นจะถูกไม้ฟาดเข้าที่หัวถ้ามิใช่ว่าโจรที่กำลังจะฟาดไม้ใส่ตัวคุณชายน้อยคนนั้นถูกนายท่านฉู่ถีบจนกระเด็นไปชนโต๊ะไม้ที่อยู่ไม่ไกลเอาเสียก่อน
เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะชุลมุนวุ่นวายเมื่อครู่ดูเหมือนจะถูกคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่นายท่านฉู่ปรากฏตัวขึ้นโจรพวกนั้นก็ถูกพวกมือปราบเข้ามาควบคุมตัวและพาออกไปจากหอเลิศรสทันที
เถ้าแก่ตงและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ยามนี้ได้ฟ่งอี้และ ฟ่งสือช่วยกันแก้มัดอยู่
ยามนี้ทุกอย่างในหอเลิศรสตกอยู่ในความเงียบ ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใดๆ เถ้าแก่ตงที่ถูกแก้มัดเรียบร้อยเป็นคนแรกรีบก้าวเข้าไปหานายท่านฉู่ที่ยังยืนอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับครั้งแรกที่มาถึง และกำลังจับจ้องคุณชายน้อยผู้ที่ติดหนี้หอเลิศรสเอาไว้อย่างมิคาดสายตา
เขาคงต้องแนะนำคุณชายน้อยผู้นี้เสียหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นนายท่านฉู่คงยืนจ้องคุณชายน้อยผู้นี้มิเลิกแน่
“นายท่านฉู่ขอรับ คุณชายน้…”
ยังมิท่านที่ตงลี่จะได้เอ่ยแนะนำคุณชายน้อยผู้นี้ นายท่านฉู่ของเขาก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าเล่นสนุกพอรึยัง” ฉู่ฉางซานเอ่ยออกมาเสียงเรียบใบหน้ายามนี้เคร่งขรึมกว่ายามปกติอย่างเห็นได้ชัด จนบุคคลซึ่งอยู่รอบข้างต่างพากันมิกล้าส่งเสียง
หานอี้ที่ยืนก้มหน้าอยู่หลังฮูหยินน้อยของตนเองตั้งแต่แรกถึงขั้นเข่าอ่อนลนลานคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีตื่นกลัว
“ข้ามิได้กำลังเล่นสนุก” นางเอ่ยตอกกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดียวกัน
“มิได้กำลังเล่นสนุกเช่นนั้นรึ เจ้าพูดได้ดี แต่คิดบ้างหรือไม่ว่าหากข้ามาช้าอีกเพียงแค่นิดเดียวจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง!!!”
เมื่อเห็นท่าทีของสตรีตรงหน้าที่ทำราวกับมิรู้สึกรู้สาสิ่งใดกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลยสักนิดเดียว ทำให้ฉางซานอดที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมาไม่ได้
“ท่านก็มาทันแล้วนี่ แล้วเหตุใดยังต้องเอ่ยไปถึงเรื่องที่ยังมิได้เกิดขึ้นด้วย!!!”
เมื่อถูกบุรุษต้องหน้าเอ่ยเสียงดังใส่ ก็ทำให้ความตั้งใจเดิมของนางเปลี่ยนไปจากที่ตั้งใจจะทำเฉยๆกับทุกสิ่งอย่างก็ทำให้นางทนมิได้ จำต้องตอกกับไปด้วยเสียงที่ดังมิแพ้กัน
โดยหลงลืมไปแล้วว่าตนเองนั้นยังมีชะงักติดหลังอยู่หลายอย่าง
“เจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าเชี่ยวรึ สตรีอื่นใดมิเคยมีผู้ใดเป็นเช่นเจ้า กล้าเอ่ยวาจาออกมาเช่นนี้”
“ข้าก็คือข้า หาใช่ผู้อื่นไม่ ท่านมิจำเป็นต้องนำข้าไปเปรียบเทียบกับผู้ใดทั้งสิ้น” นางยังคงเอ่ยออกมาอย่างมิได้มีท่าทีกลัวเกรงบุรุษตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางในมิตินี้เลยแม้แต่น้อย
“ฟ่งสือพานางกลับจวนสกุลฉู่ นับแต่นี้ห้ามนางก้าวขาออกจากจวนสกุลฉู่แม้แต่ครึ่งก้าว!!!”
ฉางซานเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ยามนี้เขามองสบตากับสตรีตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของตนอย่างไม่ละสายตา
เขาอยากจะเห็นความตื่นกลัวหรือสั่นไหวในแววตาของสตรีตรงหน้าของตนเองเสียบ้าง แต่ก็ไม่มีวี่แววเลยแม้แต่เพียงน้อยนิด ดวงตาคู่งามที่เข้าจับจ้องอยู่นั้นแน่วแน่ไม่มีความสั่นไหวให้เห็นเลยแม้สักนิด
ฟ่งสือที่ได้รับคำสั่งจากคุณชายของตน รีบเดินเข้ามาทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฮูหยินน้อยเชิญขอรับ”
“ท่านมิมีสิทธิขังข้า!!!” นางเอ่ยขึ้นโดยไม่ยอมตามฟ่งสือที่มายืนรอนางอยู่ใกล้ๆออกไป
“เจ้าแต่.เข้าสกุลฉู่ ยามนี้เจ้าเป็นคนขอข้า ข้าย่อมมีสิทธิในตัวเจ้าทุกอย่าง”
นางมองบุรุษต้องหน้านิ่ง ด้วยความมิพอใจอย่างที่สุด ในมิตินี้บุรุษเป็นใหญ่เหนือสตรี ยิ่งกับสามีภรรยาแล้ว สามีมีสิทธิสั่งภรรยามีเพียงต้องทำตามเท่านั้น
หานอี้ที่คุกเข่าตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่นาน นางคลานเข่าเข้ามาใกล้ฮูหยินน้อยของนางก่อนจะกระตุกชายแขนเสื้อของฮูหยินน้อยเบาๆและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ กลับจวนกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“ก็มาดูกัน ว่าท่านจะขังข้าได้ หานอี้พวกเราไป” นางเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย แต่ก็ยอมที่จะตามฟ่งสือกลับจวนสกุลฉู่แต่โดยดี
ครั้งนี้ถือว่าข้าแพ้ต่อเจ้าไปก่อนฉู่ฉางซาน อย่าคิดว่าจะขังข้าเอาไว้แต่ในจวนได้
ข้าหลันซู่ถงมิได้เป็นเพียงหมูในอวยของเจ้า
ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าคิดจะขังข้ามันมิได้ง่ายเช่นนั้นหรอก
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
บทนำเช้าวันอาทิตย์ที่น่าจะเป็นวันที่ดีสำหรับใครหลายๆคน ที่จะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานกันมาทั้งอาทิตย์ แต่มันไม่ใช่สำหรับเธอหลันซู่ถงแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะวันไหนเธอก็ไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าการทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆอีกแล้วการมีเงินเยอะๆตั้งหากคือสิ่งที่ดีที่สุด ทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆตอนที่เธอแก่ตัวจนทำไม่ไหวแล้วจะได้มีเงินเก็บเองไว้ใช้ได้ไม่ลำบาก อีกทั้งสังคมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนการมีเงินต่างหากถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างไรปัญหาได้เธอคือหลันซู่ถงเจ้าของร้านดอกไม้ร้านเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเท่าไหร่นัก เพียงแค่ข้ามถนนใหญ่ไปก็จะเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของเมืองแล้ว แม้ร้านจะไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรแต่ก็ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอสมควรเลย ร้านของเธอเป็นตึกแถวสองชั้นติดถนนเธอใช้ชั้นล่างเป็นหน้าร้านและชั้นบนเป็นที่พักอาจเพราะเธออยู่คนเดียวตั้งแต่อายุ18 กระมังจึงทำให้เธอเป็นคนเฉยๆเรียบง่ายกับทุกอย่าง อีกทั้งพ่อแม่ของเธอต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวมีบ้านหลังใหม่กันหมดแล้ว ทำให้การตัดสินใจรวมไปถึงชีวิตของเธอไม่ได้ติดอยู่กับ
ตอนที่ 1 เพียงสบตาเท่านั้น“ซู่ถงขอบคุณแกมากนะที่หลายวันมานี่คอยมาส่งข้าวส่งน้ำฉัน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยออกมาอย่างตื้นตันใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของเธอเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วข้าวของมากมายมาหาเธอทุกวัน“ลำบากอะไรกันร้านของฉันไม่ได้ไกลเลยสักนิดข้ามถนนแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว อีกอย่างแกเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉันนะ ต่อให้แกอยู่โรงบาลอื่นที่อยู่ไกลกว่านี้ยังไงฉันก็ต้องไปหาแก”เธอตอบออกไปโดยไม่หันไปมองเพื่อนสนิท เธอยิ้มและหยิบจับจัดข้าวของที่เธอนำมาด้วยก่อนที่จะเลื่อนโต๊ะอาหารมาให้เพื่อนรักและเปิดถุงนำกล่องข้าวหลากหลายออกมาวางตรงหน้าคนป่วย“น้ำตาฉันจะไหลแล้วรู้ไหมซู่ถง เห็นอาหารพวกนี้แล้วทำให้ฉันนึกถึงมื้อเช้าของวันนี้ แกรู้ไหมว่าคืออะไรมันคือข้าวต้มหมู กว่าฉันจะกลั้นใจกินมันได้ทำใจแล้วทำใจอีก”“แกก็พูดไป อาหารโรงพยาบาลที่ไหนเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”เธอเอ่ยขึ้นพลางยิ้มขำไปกับท่าทีของเพื่อนสนิทที่แสดงออกมาอยู่ตอนนี้ เพื่อนของเธอกำลังตักอาหารที่เธอนำมาให้เข้าปากอย่างช้าๆทำทีราวกับกำลังซึมซับรสชาติของอาหารอยู่อย่างใดอย่างนั้น “เอาน้ำ” ซู่ถงยื่นกระบอกน้ำอุ่นที่เธอเตรียมมาด้วยให้เพื่อน
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง