ตอนที่ 7
เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว
“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”
เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้น
เห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลย
มิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว
“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”
“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข้าก็แล้วกัน” นางเอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วยกับความคิดของสาวใช้คนสนิทของนาง
หากแต่ในใจกับคิดอันใดบางอย่างที่ขัดแย้งขึ้นมาได้
หอเลิศรสแห่งนี้ยังมีแสงไฟส่องรอดออกมาจากช่องระบายอากาศด้านบนประตูแม้จะเป็นแสงริบหรี่เต็มที แต่ก็ยังพอเห็นเงาแสงไฟที่วูบไหวได้อยู่บ้าง หากเป็นดังที่หานอี้เอ่ยบอกนางจริงว่า พวกเถ้าแก่ตงกลับกันไปหมดแล้ว ย่อมต้องดับไฟจนหมดเรียบร้อย คนอย่างเถ้าแก่ตงมิใช่คนที่มิรอบคอบ แน่นอนว่าไม่มีทางที่เถ้าแก่ตงจะลืมดับเทียนเป็นแน่
เรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกมิน้อยมีหลายอย่างที่ขัดแย้ง และน่าสงสัย
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็ทำท่าทีบอกหานอี้ว่ามิให้เอ่ยสิ่งใดออกมา ก่อนจะใช้มือของนางดันบานประตูตรงหน้าของหอเลิศรส
ประตูตรงหน้านางมิสามารถเปิดออกมาได้ และแน่นอนว่ามันถูกล็อคจากด้านใน มิใช้จากด้านนอก แน่นอนแล้วว่าเถ้าแก่ตงอาจจะกำลังเกิดเรื่องอยู่ด้านในนั้น
“หานอี้พวกเรารีบกลับกันเถิด”
นางแน่ใจแล้วก็แกล้งเอ่ยออกมาเสียงดังอย่างจงใจให้ผู้อื่นผู้ใดที่อยู่ด้านในของหอเลิศรสได้ยิน
“เจ้าค่ะคุณชาย” หานอี้เมื่อเห็นว่าฮูหยินน้อยของนางจงใจเอ่ยเสียงดัง เพราะเหตุใดบางอย่างนางจึงเอ่ยรับคำเสียงดังตามไปด้วยอย่างเสียมิได้
ขณะเดียวกันด้านในของหอเลิศรส ยามนี้เถ้าแก่ตงและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งสามคน โดนชายปิดหน้าสามคนจัดมัดมือมัดเท้าและมัดปากเอาไว้ทำให้มิสามารถส่งเสียงของความช่วยเหลือใดๆได้เลย
“อือ อือ อือ!!!” เป็นเสียงของเถ้าแก่ตงที่พยายามส่งเสียงเรียกให้คุณชายน้อยผู้ที่ติดเงินค่าอาหารให้ช่วยเหลือตน
แต่ก็ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาจะเปล่าประโยชน์เนื่องจากแม้เขาจะพยายามส่งเสียงออกไป แต่ก็มิใช่ว่าเสียงของเขาจะดังพอที่คุณชายน้อยผู้นั้นจะได้ยินได้เลย เนื่องจากซึ่งที่เขาและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์อีกสามคนที่บาดเจ็บเพราะการต่อสู้กับคนพวกนี้จนหมดสตินั้น
โดนจับมัดเอาไว้ไกลจากประตูทางเข้ามากพอสมควรเลยทีเดียว
เขาได้เพียงแต่หวังว่าคุณชายน้อยผู้นั้นกับสาวใช้จะนึกเอะใจอันใดบางอย่างได้เสียเล็กน้อยหรือหวังว่าเจ้านายของเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเลิศรสจริงๆอย่างนายท่านฉู่จะแวะเข้ามาดูบัญชีที่ร้านเลิศรส
“ดูเหมือนคนที่มาเคาะเรียกจะไปกันหมดแล้ว” ชายชุดดำที่ยืนอยู่ใกล้ประตูมากที่สุดเอ่ยขึ้นเพื่อบอกกับพวกพ้องของตนอีกสองคนที่อีกคนยืนอยู่กลางห้อง และอีกคนยืนอยู่ข้างๆเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ที่พวกเขามัดเอาไว้
“เช่นนั้นพวกเราคงต้องรีบลงมือ” เจ้าของเสียงคือชายชุดดำที่ยินอยู่กลางห้องซึ่งดูแล้วจะเป็นผู้นำในครั้งนี้
เถ้าแก่ตงซึ่งเป็นผู้เดียวที่ยังมีสติดีที่สุดในบรรดาผู้ที่ถูกจับเอาไว้ เขาเริ่มที่จะสังเกตพวกโจรปิดหน้าทั้งสามคนนี้
ลักษณะการแต่งตัวของคนเหล่านี้เป็นเพียงการแต่งตัวด้วยชุดสกปรกธรรมดาเพียงเท่านั้นอาวุธในมือก็เป็นเพียงไม้ด้ามใหญ่ในมือเท่านั้น มิได้คล้ายกับนักฆ่าหรือว่าโจรมืออาชีพเลยแม้แต่น้อย กับคลับคล้ายคลับคลาเมื่อกับชาวไร่ชาวนาเสียมากกว่า
โจรทั้งสามคนเดินเข้ามารุมล้อมเถ้าแก่ตงเอาไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้นบอกถึงความต้องการของพวกมัน
“พวกข้าต้องการเงิน เจ้าให้เงินพวกข้าแล้วพวกข้าจะจากไปแต่โดยดี” โจรที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปดึงผ้าปิดปากของเถ้าแก่ตงลงเพื่อที่จะได้เจรจากันรู้เรื่อง
“เงินอยู่ในห้องบัญชีด้านหลังในห้องลับพวกเจ้าอยากได้เท่าไหร่ก็เอาไปเถิดทั้งหมดที่มีอยู่ในนั้นทั้งหมด”
เถ้าแก่ตงมิรอช้าที่จะบอกที่ซ่อนเงินทั้งหมด เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าโจรเหล่านี้มิได้คิดจะเอาชีวิตพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หากชอบให้เงินไปตัวเขาและเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายย่อมพ้นจากความตายจริงอย่างที่พวกมันบอกเอาไว้ แม้ว่าเขาจะเสียดายเงินทองอยู่บ้างแต่ก็มิได้รักเงินมากกว่าชีวิตเสียหน่อย
อีกอย่างเขาเชื่อว่านายท่านฉู่ย่อมเข้าใจ และสามารถจัดการกับโจรเหล่านี้ได้อย่างแน่แท้ มิช้ามินานเงินก็จะต้องกลับคืนมาสู่นายท่านฉู่
โจรพวกนี้คงไม่แคล้วว่าเป็นผู้ตกยากหรือโจรพลัดถิ่นมาเป็นแน่จึงได้กล้าที่จะเข้ามาปล้นร้านของสกุลฉู่เช่นนี้
“ข้าจะอยู่เฝ้าพวกมันที่นี่เอง” โจรคนที่ทำหน้าที่เฝ้าพวกตัวประกันตั้งแต่แรกเอ่ยขึ้น
“มิต้องเฝ้าแล้ว พวกเราทั้งหมดเข้าไปช่วยกันนำเงินมาแล้วหนีออกทางหน้าต่างในห้องนั้นเลยจะดีกว่า”
“แล้วเจ้าพวกนี้ล่ะ”
“พวกมันส่วนใหญ่ก็เจ็บกันขนาดนั้นแล้ว แถมยังถูกมัดเอาไว้เช่นนี้ยังไงก็มิมีทางแก้มัดได้แน่ อีกอย่างพวกมันก็คงมิคิดที่จะหาเรื่องตายหรอก”
“เช่นนั้นก็เอาอย่างเจ้าว่าก็แล้วกัน”
“พวกเราไป”
เมื่อพวกมันตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปยังห้องบัญชีที่อยู่ไม่ไกลตามที่เถ้าแก่ตงบอกทันทีด้วยมิคิดที่จะหันมามองยังเหล่าตัวประกันที่พวกมันจับมัดเอาไว้อีก
“เฮ้อ” เถ้าแก่ตงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า อย่างน้อยๆยามนี้เขาก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งแล้ว ตามที่ได้ยินพวกมันคุยกันเมื่อได้เงินแล้วก็จะจากไปทันที มิคิดที่จะทำอันใดต่อพวกเขาอีก
หากพวกนั้นไปแล้วพวกเขาเพียงแค่ต้องอดทนถูกมัดเอาไว้แบบนี้อีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าเมื่อมีคนจากจวนคุณชายน้อยผู้นั้นนำเงินมาใช้หนี้ หรือว่านายท่านฉู่และเข้ามาที่หอเลิศรสนั้นแหละพวกเขาถึงจะเป็นอิสระ
“โอ้”
เสียงร้องที่ดังขึ้นหลายครั้งทำให้เถ้าแก่ตงซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองอยู่นั้นได้สติขึ้นมา
เขาหันไปตามเสียงร้องนั้นทันที และภาพที่เขาเห็นยามนี้คือคุณชายน้อยที่ติดหนี้เขาเอาไว้และสาวใช้คนสนิทนั้นกำลังใช้ไม้อันใหญ่ฟาดไปที่โจรทั้งสามคนอยู่ข้างหน้าห้องบัญชีอย่างมิมีกลัวเกรงแต่อย่างใด
จริงด้วยในห้องบัญชีไม่มีหน้าต่างเขาลืมไปได้อย่างไรกัน
เพราะเหตุนี้พวกโจรเลยมิสามารถหนีออกทางหน้าต่างได้ซินะถึงได้ต้องออกมากจากห้องบัญชีเพื่อที่จะหลบหนีออกทางอื่น
“คุณชายน้อยท่านระวังข้างหลัง!!!” เถ้าแก่ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าโจรคนหนึ่งซึ่งถูกตีจนล้มลงไปอยู่ด้านหลังของคุณชายน้อยกำลังยกไม้ขึ้นมาเตรียมที่จะฟาดไปที่คุณชายน้อยไม่รู้ตัวเพราะกำลังจัดการกับโจรอีกคนหนึ่งอยู่
และแน่นอนว่าเกือบไปแล้วที่คุณชายน้อยผู้นั้นจะถูกไม้ฟาดเข้าที่หัวถ้ามิใช่ว่าโจรที่กำลังจะฟาดไม้ใส่ตัวคุณชายน้อยคนนั้นถูกนายท่านฉู่ถีบจนกระเด็นไปชนโต๊ะไม้ที่อยู่ไม่ไกลเอาเสียก่อน
เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะชุลมุนวุ่นวายเมื่อครู่ดูเหมือนจะถูกคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่นายท่านฉู่ปรากฏตัวขึ้นโจรพวกนั้นก็ถูกพวกมือปราบเข้ามาควบคุมตัวและพาออกไปจากหอเลิศรสทันที
เถ้าแก่ตงและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ยามนี้ได้ฟ่งอี้และ ฟ่งสือช่วยกันแก้มัดอยู่
ยามนี้ทุกอย่างในหอเลิศรสตกอยู่ในความเงียบ ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใดๆ เถ้าแก่ตงที่ถูกแก้มัดเรียบร้อยเป็นคนแรกรีบก้าวเข้าไปหานายท่านฉู่ที่ยังยืนอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับครั้งแรกที่มาถึง และกำลังจับจ้องคุณชายน้อยผู้ที่ติดหนี้หอเลิศรสเอาไว้อย่างมิคาดสายตา
เขาคงต้องแนะนำคุณชายน้อยผู้นี้เสียหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นนายท่านฉู่คงยืนจ้องคุณชายน้อยผู้นี้มิเลิกแน่
“นายท่านฉู่ขอรับ คุณชายน้…”
ยังมิท่านที่ตงลี่จะได้เอ่ยแนะนำคุณชายน้อยผู้นี้ นายท่านฉู่ของเขาก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าเล่นสนุกพอรึยัง” ฉู่ฉางซานเอ่ยออกมาเสียงเรียบใบหน้ายามนี้เคร่งขรึมกว่ายามปกติอย่างเห็นได้ชัด จนบุคคลซึ่งอยู่รอบข้างต่างพากันมิกล้าส่งเสียง
หานอี้ที่ยืนก้มหน้าอยู่หลังฮูหยินน้อยของตนเองตั้งแต่แรกถึงขั้นเข่าอ่อนลนลานคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีตื่นกลัว
“ข้ามิได้กำลังเล่นสนุก” นางเอ่ยตอกกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดียวกัน
“มิได้กำลังเล่นสนุกเช่นนั้นรึ เจ้าพูดได้ดี แต่คิดบ้างหรือไม่ว่าหากข้ามาช้าอีกเพียงแค่นิดเดียวจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง!!!”
เมื่อเห็นท่าทีของสตรีตรงหน้าที่ทำราวกับมิรู้สึกรู้สาสิ่งใดกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลยสักนิดเดียว ทำให้ฉางซานอดที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมาไม่ได้
“ท่านก็มาทันแล้วนี่ แล้วเหตุใดยังต้องเอ่ยไปถึงเรื่องที่ยังมิได้เกิดขึ้นด้วย!!!”
เมื่อถูกบุรุษต้องหน้าเอ่ยเสียงดังใส่ ก็ทำให้ความตั้งใจเดิมของนางเปลี่ยนไปจากที่ตั้งใจจะทำเฉยๆกับทุกสิ่งอย่างก็ทำให้นางทนมิได้ จำต้องตอกกับไปด้วยเสียงที่ดังมิแพ้กัน
โดยหลงลืมไปแล้วว่าตนเองนั้นยังมีชะงักติดหลังอยู่หลายอย่าง
“เจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าเชี่ยวรึ สตรีอื่นใดมิเคยมีผู้ใดเป็นเช่นเจ้า กล้าเอ่ยวาจาออกมาเช่นนี้”
“ข้าก็คือข้า หาใช่ผู้อื่นไม่ ท่านมิจำเป็นต้องนำข้าไปเปรียบเทียบกับผู้ใดทั้งสิ้น” นางยังคงเอ่ยออกมาอย่างมิได้มีท่าทีกลัวเกรงบุรุษตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางในมิตินี้เลยแม้แต่น้อย
“ฟ่งสือพานางกลับจวนสกุลฉู่ นับแต่นี้ห้ามนางก้าวขาออกจากจวนสกุลฉู่แม้แต่ครึ่งก้าว!!!”
ฉางซานเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ยามนี้เขามองสบตากับสตรีตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของตนอย่างไม่ละสายตา
เขาอยากจะเห็นความตื่นกลัวหรือสั่นไหวในแววตาของสตรีตรงหน้าของตนเองเสียบ้าง แต่ก็ไม่มีวี่แววเลยแม้แต่เพียงน้อยนิด ดวงตาคู่งามที่เข้าจับจ้องอยู่นั้นแน่วแน่ไม่มีความสั่นไหวให้เห็นเลยแม้สักนิด
ฟ่งสือที่ได้รับคำสั่งจากคุณชายของตน รีบเดินเข้ามาทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฮูหยินน้อยเชิญขอรับ”
“ท่านมิมีสิทธิขังข้า!!!” นางเอ่ยขึ้นโดยไม่ยอมตามฟ่งสือที่มายืนรอนางอยู่ใกล้ๆออกไป
“เจ้าแต่.เข้าสกุลฉู่ ยามนี้เจ้าเป็นคนขอข้า ข้าย่อมมีสิทธิในตัวเจ้าทุกอย่าง”
นางมองบุรุษต้องหน้านิ่ง ด้วยความมิพอใจอย่างที่สุด ในมิตินี้บุรุษเป็นใหญ่เหนือสตรี ยิ่งกับสามีภรรยาแล้ว สามีมีสิทธิสั่งภรรยามีเพียงต้องทำตามเท่านั้น
หานอี้ที่คุกเข่าตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่นาน นางคลานเข่าเข้ามาใกล้ฮูหยินน้อยของนางก่อนจะกระตุกชายแขนเสื้อของฮูหยินน้อยเบาๆและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ กลับจวนกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“ก็มาดูกัน ว่าท่านจะขังข้าได้ หานอี้พวกเราไป” นางเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย แต่ก็ยอมที่จะตามฟ่งสือกลับจวนสกุลฉู่แต่โดยดี
ครั้งนี้ถือว่าข้าแพ้ต่อเจ้าไปก่อนฉู่ฉางซาน อย่าคิดว่าจะขังข้าเอาไว้แต่ในจวนได้
ข้าหลันซู่ถงมิได้เป็นเพียงหมูในอวยของเจ้า
ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าคิดจะขังข้ามันมิได้ง่ายเช่นนั้นหรอก
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 11 ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ได้ก่อเรื่องถือได้ว่าเหตุการณ์วุ่นวายได้จบลงด้วยดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยามนี้นางนอนพิงหัวเตียงอยู่ด้วยท่าทางที่ทำสิ่งใดไม่ถูก เพราะนางกำลังถูกสายตาอันเฉียบคมจับจ้องอยู่ไม่ได้คาดสายตานับตั้งแต่นางแกล้งสลบไปในร้านเฟิ่งฮวา จนกระทั่งถูกฉู่ฉางซานพากลับมาที่จวนสกุลฉู่นอกจากเวลาที่ท่านหมอเข้ามารักษานางและหานอี้ช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ฉู่ฉางซานก็จะนั่งมองนางอยู่กลางห้องไม่ขยับไปไหนเลย“มิใช่ความผิดข้านะเจ้าคะ ข้ามิได้เป็นคนก่อเรื่อง” นางออกตัวเต็มที่ อย่างน้อยๆก็ต้องยืนยันความความบริสุทธิ์ของนางให้ถึงที่สุด“ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ได้ก่อเรื่อง”“หา จริงหรือเจ้าคะ” นางอดที่จะเอ่ยออกมาอย่างตกใจไม่ได้เมื่ออยู่ๆฉู่ฉางซานผู้ที่ไม่ยอมฟังคำของนางง่ายๆ กับดูเหมือนว่าจงใจปล่อยนางไปอย่างไม่ถือสากับเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งมันเป็นการผิดวิสัยของเขาเป็นอย่างมาก จนนางเริ่มสงสัยระคนแปลกใจอยู่ไม่น้อย“ท่านแม่ส่งข่าวว่าอีกห้าวันก็จะเดินทางถึงจวนสกุลฉู่เราแล้ว”“ที่แท้ท่านแม่สามีก็ใกล้จะกลับแล้ว”คงเป็นเพราะท่านแม่สามีของนางจะกลับมาแล้ว ฉู่ฉางซานจึงคิดที่จะทำดีกับนางตบตาผู้เป็นมารดาขอ
ตอนที่ 12 งิ้วฉากใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้วมิใช่ว่าหน้าประตูจวนสกุลลู่ต้องมีแม่ลูกสกุลฟ่างนั่งคุกเข่าอยู่หรอกหรือ ไฉนกลายเป็นว่ายามนี้ผู้ที่อยู่หน้าจวนกับเป็นท่านพ่อและท่านแม่สามีของนางกัน แม้แต่ฉู่ฉางซานก็ยืนอยู่ด้วย นางแอบลอบมองไปที่หน้าจวนก็ไม่เห็นมีสองแม่ลูกสกุลฟ่าง แต่กับมีสาวงามผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของแม่สามีนางแทน“คาราวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเท่าที่สุดที่จะทำได้ ก่อนจะย่อตัวและโค้งศีรษะให้ทั้งสองท่านเป็นการทำความเคารพ“มิต้องมากพิธีหรอกซู่เอ๋อร์แม่ได้ข่าวว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ไม่เป็นอันใดแล้วใช่หรือไม่” ฉู่ฮูหยินเอ่ยถามลูกสะใภ้ของนาง ก่อนจะตรงเข้าไปจับมือเล็กของลูกสะใภ้นางเอาไว้“ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เมื่อครู่แม่จัดการไล่แม่ลูกสกุลฟ่างให้เจ้าแล้ว ต่อจากนี้พวกนางจะไม่กล้ามาให้เจ้าเห็นหน้า หรือกล้ามาหาเรื่องเจ้าอีกแล้ว เจ้าวางใจได้” ที่แท้ที่นางมองหาแม่ลูกสกุลฟ่างไม่เจอก็เพราะแม่สามีจัดการให้นางแล้วนี้เองท่านแม่สามีอุตส่าห์จัดการให้ มันก็ดีอยู่หรอก แต่มิเท่ากับว่านางยังไม่ได้วางท่าใส่แม่ลู
ตอนที่ 13 แผนแรก คืนแรก“คุณชายขอรับยามนี้ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ให้ข้าน้อยเรียกคนมาจัดอาหารให้ที่นี่เลยไหมขอรับ” ฟ่งสือที่รอรับใช้คุณชายของตนอยู่มิใกล้นัก เอ่ยถามคุณชายของตนเหมือนเห็นว่าได้เวลาอาหารและก็เหมือนว่าคุณชายของตนเองจะยังไม่ย่อมละความสนใจออกจากสมุดรายชื่อของสินค้าที่มาใหม่เสียที“ไม่ต้องเตรียมอาหารให้ข้า”“คุณชายจะไม่ทานอาหารหรือขอรับ เช่นนั้นให้ข้าน้อยสั่งคนให้จัดของว่างมาให้แทนนะขอรับ”“ไม่ต้องให้ใครเตรียมอันใดทั้งนั้น วันนี้ข้าจะไปทานที่เรือนธารากระจ่าง” ฉู่ฉางซานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ก่อนที่จะปิดสมุดในมือตน และวางมันไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะยืนขึ้นเต็มความสูงก้าวออกมาจากโต๊ะทำงานด้วยท่าทีเรียบเฉย “เจ้าก็อยู่ที่นี่แหละไม่ต้องตามข้าไป คืนนี้ข้าจะค้างที่เรือนธารากระจ่าง” พูดจบฉู่ฉางซานก็ก้าวออกจากเรือนตำราทิพย์เพื่อตรงไปยัง เรือนธารากระจ่างที่เขาพึ่งจะจากมาได้ไม่ถึงครึ่งวันดีนักเสียด้วยซ้ำ เพื่อที่จะไปกระทำตามแผนที่หลันซู่ซู่ได้วางเอาไว้ คืนนี้หลังจากกินข้าวกับนางเสร็จ เขาก็ต้องนอนรวมเตียงเดียวกันกับนางเป็นครั้งแรก ม
ตอนที่ 14 จุมพิตนั้นยังจำฝังใจยกเลิกได้รึไม่กันยามนี้นางยังยืนคิดหนักอยู่หลังม่านแต่งตัวอยู่เลย แม้จะแต่งตัวเสร็จนานพอควรแล้วแต่ก็มิกล้าก้าวออกไปยังห้องนอนของตนเองเสียทีเหตุก็เพราะเหตุที่เกิดขึ้นที่ศาลาหินอ่อนนั้นทำเอานาง ไม่อยากจะเจอหน้าฉู่ฉางซานยามนี้คิดแล้วก็อดรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าของตนเองขึ้นมาเสียอย่างนั้นแผนที่นางว่างเอาไว้ล้มไม่เป็นท่าเสียอย่างนั้น ท่านแม่สามีและแม่นางหมิงไม่ได้แม้จะจะก้าวมาที่หน้าศาลาเสียด้วยซ้ำ เมื่ออยู่ๆก็มีสาวใช้ที่ใดก็ไม่รู้มาตามแม่สามีของนางกลับเรือนไปเสียก่อนนางและฉู่ฉางซานผละออกจากกันแทบจะทันที เมื่อรู้สึกได้ว่าทุกผู้ที่เคยอยู่ใกล้ๆในบริเวณนั้นออกไปกันจนหมดแล้วนางไม่กล้าที่จะมองหน้าเขาเลยเสียด้วยซ้ำ“ข้ากลับเรือนก่อนก็แล้วกัน” นางหันหลังให้เขาก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากศาลาหินอย่างรวดเร็วไม่ได้หันไปมองเขาอีกนางเผลอคิดไปถึงเรื่องที่นางรีบกลับมาเสียก่อน อย่างหัวเสีย เรื่องมันก็แค่การผิดพลาดนางมิควรคิดมากอันใดใช่แล้ว คิดเสียว่าไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นก็แล้วกัน คิดได้ดังนั้น นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเดินออกจากม่านกั้นไปยังห้องนอนที่ยามนี้มีฉู
ตอนที่ 15 ชำระบัญชีแค้นเดิมทีนางคิดว่าหอดนตรีเหม่ยหัวจะอยู่ละแวกเดียวกับตลาดในเมืองหลวงหรือก็คงไม่ไกลไปจากร้านดอกไม้เฟิ่งฮวาเท่าใดนักหากแต่นางคิดผิด หอดนตรีเหม่ยหัวอยู่ไกลพอสมควรเลยทีเดียว ฟ่งซีบอกนางว่าหอดนตรีเหม่ยหัวนั้นอยู่ใกล้กับประตูทางออกจากเมืองหลวง ห่างกันเพียงไม่ถึงห้าถนนก็จะถึงประตูทางออกเมืองหลวงนางและท่านแม่สามีรวมไปถึงแม่นางหมิงที่ของติดตามมาด้วย นั้นล้วนแล้วแต่กำลังนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกันทั้งหมดดีหน่อยที่ท่านแม่สามีเพียงแต่ชวนนางพูดคุยเรื่องต่างๆทั่วๆไป ไม่ได้มีการถามถึงความสัมพันธ์ของนางและฉู่ฉางซานเลยแม้แต่น้อยจากการที่นางสังเกตและได้พูดคุยกับแม่นางหมิง ดูก็รู้ว่าเป็นคนจริงใจ น่าคบหน้าด้วยอย่างยิ่ง แม่นางหมิงผู้นี้ไม่มีความร้ายที่แสดงออกมาทางท่าทางหรือแววตาเลยแม้สักนิดมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว นางมิใช่นางเอกเสียหน่อย จะมีนางร้ายผู้งดงานเช่นแม่นางหมิงผู้นี้ได้เช่นใดกัน หากจะให้นางเป็นนางเอกนางก็คงจะเลือกคุณหนูสกุลฟ่างผู้ที่นางมีเรื่องด้วยที่ร้านเฟิ่งฮวาเป็นนางร้ายอย่างไม่มีอันใดให้คิดเลยทีเดียว คิดไปถึงเรื่องสองแม่ลูกสกุลฟ่างนางก็อดถอนใจออกมา
ตอนพิเศษว่าด้วยเรื่องสถานะใหม่ หลังจากที่เธอต้องใส่เผือกและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากแฟนหนุ่มอยู่เกือบสามเดือนในที่สุดเธอก็ได้ถอดเผือกและ กลับมาใช้ข้อมือได้อย่างอิสระอีกครั้งแน่นอนว่าเธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะสามารถกลับมาจัดดอกไม้ที่เธอรักได้อย่างถนัดอีกครั้ง อีกอย่างคือไม่ต้องถูกฉางเหอตามคุมเข้มอีกต่อไปแล้ว แม้เธอจะรู้ดีว่าเขาเป็นกังวลมากเกินไปเพราะกลัวเธอทำตัวซุ่มซ่ามจนเจ็บตัวกว่าเดิมก็ตามแต่การที่ถูกแฟนซึ่งพ่วงด้วยตำแหน่งคุณหมอและซีอีโอรูปหล่อคอยตามดูแลอยู่ไม่ได้ห่างช่างเป็นอะไรที่หลบการตกเป็นเป้าสายตาต่อผู้คนไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีใจที่เขามาค่อยดูแล แต่ความดีใจกับมาพร้อมกับการที่มักจะทำตัวไม่ถูกของเธอ หลายครั้งที่เธอนึกอิจฉาความเฉยชาต่อสายตาเหล่านั้นของแฟนหนุ่มไม่ได้มีครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขาว่า เขาไม่รู้สึกรำคาญหรืออะไรบ้างหรือเวลาที่ต้องตกเป็นเป้าสนใจเช่นนี้ เขาตอบกลับมาแค่ว่า “ผมไม่จำเป็นต้องแค่ใครนอกจากคุณ” เพียงแค่ประโยคเดียวจากเขาฉันกลับเขาใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดีตั้งแต่เธอใส่เผือกก็ถูกมัดมือชกแกล้มบังคับให้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเขา ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะถูก ที
“มาครับผมช่วยคุณเปลี่ยนเสื้อเอง” เขาเอ่ยขึ้นกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ตอนนี้เขาค่อนข้างจะปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติบ้างได้แล้วนิดหน่อยเมื่อเขาพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้นหลันซู่ถงจึงยิ้มออกมาให้เขาอย่างเอาใจ ก่อนจะปล่อยให้ร่างสูงช่วยนางเปลี่ยนชุดไปเป็นชุดคนไข้ชุดคนไข้ที่พยาบาลส่งให้เขาเมื่อครู่ยามนี้เขานำมาวางเอาไว้บนตักของเธอตัวเธอนั้นถูกเขาประคองให้ขึ้นมานั่งอยู่ที่ริมเตียงคนไข้ เนื่องจากเธอสูงไม่มากจึงขาลอยเมื่อนั่งหย่อนขาที่ริมเตียงคนไข้เช่นนี้ ในหัวอดคิดไปถึงคนไข้คนอื่นๆไม่ได้ว่าพวกเขาก็ขาไม่ถึงพื้นเช่นเธอเหมือนกันหรือไม่เวลาที่นั่งอยู่ริมเตียงคนไข้แบบนี้ตอนที่รอให้คุณหมอตามมาตรวจ “ข้อมือขวาคุณน่าจะหักผมว่าคุณอย่าขยับมันจะดีกว่าครับ” เสียงเข้มเอ่ยดุเธอทันที เมื่อเธอเผลอเกือบจะยกมือขึ้นมาหลังจากที่เขาเอื้อมมือมาหมายจะช่วยเธอปลดกระดุมชุดเดรสยีนส์ที่มีกระดุมเป็นแทบตั้งแต่ช่วงอกจนกระทั่งถึงช่วงเข่าของเธอ “เอ่อ ฉางเหอคะ ฉันว่าคุณให้พยาบาลเขามาช่วยฉันเปลี่ยนชุดน่าจะสะดวกกว่านะคะ” เธอเอ่ยขึ้นเสียงเบา แน่นนอนว่าเมื่อกล่าวออกไปร่างสูงเบื้องหน้าเธอก็ขมวดค
ตอนพิเศษเธอเปรียบเสมือนความสุขทั้งหมดของผม หน้าฝนเช่นนี้แน่นอนว่าคงจะไม่แปลกเท่าไหร่นักหากคนส่วนให้ในเมืองจะเป็นหวัดกันไปหมด บางคนก็เป็นหวัดเพราะร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศที่สุดแสนจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างวันนี้ร้อนพรุ่งนี้พายุฝนตกกระหน่ำ อีกวันหนึ่งกับมีลมหนาว บางคนเดินๆอยู่ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาหาที่หลบไม่ทัน กว่าจะวิ่งหาที่หลบฝนได้ก็เปียกไปกว่าครึ่งแล้วหลันซู่ถงเองเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยจำนวนมากนี้ด้วย ทั้งที่เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ยังดีๆอยู่แท้ๆแต่พอไปถึงบริษัทเหม่ยหลง ซึ่งเป็นบริษัทเล็กๆที่เธอและเพื่อนอีกคนหนึ่งพึ่งจะร่วมทุนกันตั้งเป็นบริษัทสำหรับการรับตกแต่งสถานที่โดยมีดอกไม้เป็นตัวหลักวันนี้หลังจากที่ประชุมเรื่องเกี่ยวกับงานตกแต่งฉากโฆษณาเสร็จ เธอจึงได้คิดที่จะแวะเข้าไปให้หมอตรวจอาการของเธอก่อนจะตรงเข้าไปหาแฟนหนุ่มซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นเช่นเดียวกัน “ขอบคุณที่มาส่งนะหนิงจู” เธอเอ่ยขอบคุณหุ้นส่วนที่ควบตำแหน่งเพื่อนสนิทของเธออีกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ไม่เป็นไรหรอก แกรีบเข้าไปให้หมอตรวจอาการเถอะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ฉันเข้าไปเป็นเพื่อน” หนิง
ตอนพิเศษ เจ้าแม่แรร์ไอเทมจะว่าไปแล้วเธอก็งงอยู่เหมือนกันว่า ฉายาเจ้าแม่แรร์ไอเทมที่เธอได้มา ได้มายังไงจนเดือดร้อนถึงแม่เพื่อนสนิทของเธออย่างเฟ่งเสี่ยวซ่งต้องมาอธิบายไขข้อข้องใจ ให้เธอเสียยกให้“แม่เจ้านี่แกไม่รู้จริงๆ หรือตั้งใจจะถามให้ฉันอิจฉาตาร้อนเล่นห๊ะ”“ถ้ารู้ฉันก็ไม่ถามแกหรอกจริงไหม เลิกกัดฉันด้วยคำพูดแล้วก็รีบบอกมาเร็วเข้า” เธอเอ่ยขึ้นอย่างขำๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยพอใจของแม่เพื่อนตัวดีของเธอ“แฟนแกเป็นสุดยอดแรร์ไอเทมไง คนที่ได้เป็นแฟนกับเขาได้นั้นแปลว่าต้องเป็นนักชกมือฉกาจ และในเมื่อแกเก่งกล้าถึงขนาดนั้น เหล่าแฟนคลับเขาเลยเรียกแกว่า เจ้าแม่แรร์ไอเทม ไงเก็ทเนอะ”“เก็ทก็ได้ค่ะคุณเพื่อน”“ว่าแต่แกเถอะจะย้ายร้านเมื่อไหร่”“ก็คงจะสิ้นเดือนนี้พอดีนั้นแหละ ร้านใหม่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลของฉางเหอน่าจะตกแต่งเสร็จพอดี”“ฉันขออนุญาตหมั่นไส้แกแรงๆหน่อยได้ไหม”“แกมาหมั่นไส้ฉันทำไมเนี่ย”เธออดจะขำออกมาเสียงดังไม่ได้ กับท่าทีที่ดูตลกของเฟ่งเสี่ยวซ่ง ที่เดียวๆทำคิ้วขมวด เดียวก็ทำหน้าบิดเบี้ยว“แกรู้ตัวไหมว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหน” เฟ่งเสี่ยวซ่งเดินเข้ามาใกล้เพื่อนสนิทก่อนจะจับที่แข
ตอนที่ 20 ความปรารถนาที่แท้จริง(ตอนจบ)นี่ก็ผ่านมาเกือบจะหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอตื่นขึ้นมาที่ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ด้วยสาเหตุที่ว่าเธอสลบไปเพราะตกใจเสียงฟ้าผ่า ไม่ใช่เพราะถูกฟ้าผ่าใส่แต่อยากใดทุกครั้งที่เธอหลับตา เธอยังคงนึกไปถึงเรื่องในอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้น เธอกำลังสับสนไม่แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่เธอพลัดไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งนั้นเป็นความจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เธอฝันไปเองเท่านั้นยามที่เธอตื่นขึ้นมาครั้งแรก ก็เจอเข้ากับเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอเท่านั้นที่มาเฝ้าเธออยู่พอดี เฟ่งเสี่ยวซ่งบอกกับเธอเพียงว่าร่างกายของเธอปกติทุกอย่างแต่กับนอนไม่ได้สติมาถึงสองอาทิตย์เต็ม ซึ่งถ้าเทียบกับเวลาในอีกมิติหนึ่งนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพราะเธออยู่ในมิตินั้นราวๆสามเดือนเห็นจะได้วันนี้เป็นวันที่เธอออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ผู้ที่มารับเธอออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอนั้นแหละ“ซู่ถงแกเดินไหวแน่นะ ไม่ใช่ว่าเดินๆไปแล้วแกล้มขึ้นมาฉันจับไม่ทันแกจะเจ็บตัวเอานะ”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เงียบผิดปกติ อีกท
ตอนที่ 19 จากไปในที่ๆจากมาหานอี้มองภาพของฮูหยินน้อยของนางที่กำลังพิงอยู่ที่ตัวของท่านเขยอย่างสงสารจับใจ นางพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาให้ท่านเขยเห็นเพราะกลัวจะยิ่งทำให้ท่านเขยใจไม่ดีฮูหยินน้อยเริ่มมีอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ช่วงค่ำ หากนางเชิญท่านหมอมาดูฮูหยินน้อยตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นไม่นานนักฟ่งสือก็เดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับท่านหมอตงและผู้ช่วยคนหนึ่ง “เรียนนายท่านฉู่ข้าน้อยได้ตรวจอาการของฮูหยินน้อยดูแล้ว มิมีสิ่งใดผิดปกติเลย มิได้มีโรคอันใดแทรกซ้อน มีเพียงแค่ชีพจรเท่านั้นที่เต้นอ่อนยิ่งนักขอรับ” หมอตงเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก “เช่นนั้นแล้วนางเป็นอันใดถึงได้กระอักเลือดออกมาเช่นนี้!!!” เขาลูบใบหน้าเล็กที่ยามนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด ของคนในอ้อมแขนก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยก็พึ่งเคยพบอาการเช่นฮูหยินน้อยเป็นเป็นครั้งแรกขอรับ”หมอตงเอ่ยขึ้น เขาเป็นหมอมาหลายสิบปีกับไม่เคยเห็นอาการเช่นนี้ ทุกอย่างรวมไปถึงชีพจรแม้จะเต้นอ่อนยิ่งนักแต่ก็เป็นปกติอยู่ แต่กับมีอาการกระอักเลือดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ“ฟ่งสือ เจ้าไป
ตอนที่ 18 ความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นนางรู้สึกได้ว่าฉู่ฉางซานผู้ซึ่งเหินทะยานพานางขึ้นมาด้านบนยามนี้เขายืนหยุดอยู่กับที่แล้ว“ลืมตาเจ้าขึ้นมาได้แล้ว พวกเขาขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว”เขาก้มลงเอ่ยบอกร่างเล็กที่ยังคงหลับตานิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา ก่อนจะปล่อยนางลงเมื่อนางยอมลืมตาขึ้นมาแล้ว“สวยงามยิ่งนัก!!!”นางเอ่ยออกมาเสียงดังอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าของตนเองยามนี้ คือบ้านไม้ขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งด้านหน้าก่อนที่จะไปถึงตัวบ้านนั้นมีบ่อน้ำขนาดเล็กและมีสะพานทอดยาวให้ข้ามไปยังด้านหน้าของบ้านไม้หลังใหญ่นั้นได้นี่เลยที่นี่เปรียบเสมือนกันกับที่นางเฝ้าฝันว่าอยากจะมาอยู่ในบ้านที่ท่ามกลางธรรมชาติท่ามกลางดอกไม้เช่นนี้ ยามนี้นางได้มายืนอยู่ในที่ๆนางได้วาดฝันเอาไว้แล้ว“เจ้าชอบที่นี่มากขนาดนี้เชี่ยวรึ” เขามองร่างเล็กที่วิ่งไปมาอย่างมีความสุขก่อนจะเอ่ยถามขึ้น“ข้าชอบที่นี่มากๆเลยเจ้าค่ะ ที่นี่เหมือนกับที่ๆข้าฝันเอาไว้ว่าอยากจะอยู่” นางส่งยิ้มให้เขา“ที่แท้เจ้าก็ชื่นชอบอันใดแบบนี้ เอาไว้กลับไปจวนสกุลฉู่ข้าจะให้คนมาสร้างเรือนเช่นนี้ให้เจ้าที่ท้ายจวนดีรึไม่”“จริงนะเจ้าคะ ท่านจะสร้างให้ข้าจริงๆนะ”
ตอนที่ 17 มุ่งหน้าสู่หุบเขาดอกไม้ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม รถม้าที่นางและฉู่ฉางซานนั่งจึงได้ออกจากประตูเมืองทางใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้วถนนใกล้บริเวณประตูเมืองทางใต้ยังพอให้มองเห็นผู้คนเดินทางไปมา เป็นผู้คนเดินทางด้วยเท้าบ้าง ม้าบ้าง หรือแม้จะทั่งใช้รถม้าเช่นเดียวกันกับนางขบวนรถม้าของนางมีฟ่งอี้เป็นผู้ควบคุมรถม้า มีฟ่งสือและองครักษ์อีกผู้หนึ่งที่ขี่รถม้านำอยู่หน้ารถม้าที่นางและฉู่ฉางซานนั่งอยู่ สวนด้านหลังยังมีองครักษ์ขี่ม้าตามอยู่ด้านหลังอีกสี่คน ทุกคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุดฉู่ฉางซานก็เปลี่ยนมาใส่ชุดสีดำเช่นเดียวกัน ส่วนนางยามนี้ก็เปลี่ยนไปใส่ชุดเสื้อผ้าธรรมดาๆชุดหนึ่งที่ไม่ได้ดึงดูสายตาของใครๆได้ แต่นางก็ชอบชุดนี้มากกว่าชุดสวยๆราคาแพงที่ใส่อยู่ทุกวันเสียอีก“ท่านว่ายามนี้เราเหมือนกับสามีภรรยาแบบปกติไหม”นางเอ่ยถามบุรุษข้างกายที่ยามนี้เอนตัวนั่งพิงอยู่อีกด้านหนึ่งของผนังรถม้า แม้เขาจะนั่งหลับตาอยู่แต่นางก็รู้ว่าเขาแค่หลับตาลงเอาไว้เฉยๆไม่ได้หลับไปแต่อย่างใด“แล้วปกติเราไม่ใช่สามีภรรยากันอยู่แล้วรึอย่างไรกัน ถามสิ่งใดของเจ้า”“นั่นสิปกติเราก็เป็นสามีภรรยานี่ เพียงแต่ข้าหมายถึ
ตอนที่ 16 ข้าขอไปด้วยนะเจ้าคะ “เล่นสนุกพอหรือยังเจ้า” เสียงเรียบเฉยที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้น ทำให้นางหันไปมองตามเสียงนั้น ก็พบฉู่ฉางซานที่กำลังก้าวลงมาจากบันได และเขากำลังก้าวเดินเข้ามาหานาง “เหมือนว่าข้าจะถูกท่านแอบดูเรื่องสนุกเสียแล้ว” นางเอ่ยออกมาอย่างติดตลก “ข้าไม่ได้แอบดู เพียงแต่เจ้าสร้างเรื่องพอดีกับที่ข้าอยู่ก็เพียงเท่านั้น” “เรื่องนั้นช่างมันเถิด ว่าแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เช่นใดกัน ข้านึกว่าท่านจะไปอยู่ที่หอดนตรีเหม่ยหัวแล้วเสียอีก” นางเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย นางคิดจริงๆว่าฉู่ฉางซานน่าจะไปอยู่ที่หอดนตรีแล้ว เขาเป็นเจ้าของมิใช่ว่าต้องไปอยู่ดูความเรียบร้อยของกิจการก่อนหรือ “วันนี้ข้าไม่ได้จะไปที่หอดนตรีเหม่ยหัว ข้าจะเดินทางออกจากเมืองไปดูหุบเขาดอกไม้ที่นอกประตูเมืองทางเหนือเสียหน่อย คงไปสักสองสามวันเป็นอย่างต่ำ”“ที่นี่ใกล้ประตูเมืองทางเหนือมิใช่เหรอ ประตูทางใต้อยู่อีกทางหนึ่งเลยนี่น่า”“เป็นดังเจ้าว่ามันอยู่คนละทางกัน”“แล้วท่านมาที่ร้านนี้เพราะมีปัญหาอันใดเกิดขึ้นเช่นนั้นรึเปล่า” ห