ตอนที่ 6
ที่มาของเหตุอลวน
ใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วย
ในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อัน
แน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
ร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวง
ยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดียวของสกุลฉู่อย่างฉู่ฉางซานซึ่งใช้ชั้นสี่ของร้านผ้าแห่งนี้เป็นสถานที่ทำงานของตนเองทั้งชั้น
เพราะร้านผ้าเข็มทองคำหาได้ง่ายจึงทำให้ง่ายต่อการเดินทางมาและการเข้ามาติดต่อค้าขายในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการด้านอื่นๆที่เป็นของสกุลฉู่ด้วยเรียกได้ว่าร้านผ้าเข็มทองคำเป็นจุดศูนย์กลางของกิจการของสกุลฉู่เลยก็ว่าได้
“คุณชายขอรับเมื่อครู่ฮูหยินใหญ่ให้คนมาแจ้งว่าฮูหยินน้อยยังกลับไม่ถึงจวนเลยขอรับ”
“คนของเราที่ให้คอยตามดูนางเล่า ส่งข่าวมาว่าอย่างไรบ้าง” ฉางซานเอ่ยถามลูกน้อยคนสนิทของตนเองทั้งที่ยังไม่ล่ะสายตาออกจากสมุดรายการสินค้าที่อยู่ในมือของตนเองเลย
เขาไม่ได้ต้องรู้สึกร้อนหนาวอันใดกับการที่นางหายตัวไปเลยแม้แต่นิดเดียว ยามที่ท่านแม่ของเขาให้คนมาแจ้งว่านางออกมาเดินเล่นนอกจวนโดยที่ไม่ยอมให้คนในจวนติดตามไปนอกจากสาวใช้คนสนิทของนางเพียงคนเดียว
เขาก็ได้ส่งคนของเขาไปคอยตามดูนางห่างๆไม่ให้รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เขาส่งไปนับว่าเป็นยอดฝีมือแน่นอนว่ายามนี้ถึงแม้สตรีผู้นั้นจะยังไม่กลับถึงบ้านแต่ก็ไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับนางได้อย่างแน่นอน
“เค่ออี้ส่งข่าวมาว่า ยามนี้ฮูหยินน้อยยังอยู่ที่หอเลิศรสอยู่ขอรับ ฮูหยินน้อยกินอาหารในหอเลิศรสแล้วไม่มีเงินจ่ายขอรับ เถ้าแก่ตงเลยให้ทำงานเป็นประกันเอาไว้ก่อนขอรับ”
ฟ่งสือรีบเอ่ยรายงานคุณชายของตนเองตามความจริงทันที
“ไม่มีเงินจ่ายงั้นรึ” ฉู่ฉางซานเอ่ยออกมาเสียงเย็น
สตรีนางนั้นไม่ใช่ว่ากำลังคิดยั่วยุเขาอยู่หรอกกระมัง นางเป็นผู้ใดกันถึงได้ไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารแค่ไม่เท่าไหร่นั้น ถึงแม้เขาจะทำเป็นไม่สนใจใยดีต่อนาง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ให้เงินทองนางเอาไว้ใช้
กลับกันเขาให้พ่อบ้านคอยนำเงินไปไว้ให้นางไม่เคยปล่อยให้ขาดมือเสียด้วยซ้ำ แล้วเช่นนี้นางยังจะไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารจนกระทั่งโดนให้ทำงานประกันได้เช่นใดกัน
คนของสกุลฉู่อันมั่งคั่งยามนี้ไม่มีแม้แต่เงินที่จะจ่ายค่าอาหาร รู้ไปถึงไหนเขาคงต้องถูกหัวเราะไม่มีชิ้นดีเป็นแน่
เห็นทีเขาคงต้องไปดูด้วยตนเองเสียแล้วสตรีนางนั้นต้องการสิ่งใดกันแน่ถึงได้กล้าที่จะกระทำเรื่องที่จะทำให้สกุลลู่ของเขาต้องอับอาย
“ไปหอเลิศรส”
คิดได้ดังนั้นฉางซานก็เอ่ยขึ้นกับลูกน้องคนสนิทของตนเองทันที พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมที่จะออกจากเดินออกไปจากห้องทำงานของตนเอง โดยที่จุดมุ่งหมายคือหอเลิศรสที่อยู่ไม่ไกลจากร้านผ้าเข็มทองคำของเขาเสียเท่าใดนัก เพียงแค่อยู่ถัดไปเพียงไม่กี่ร้านก็เท่านั้น
หากแต่ก่อนที่เขาจะได้เดินพ้นจากโต๊ะทำงานของตนเองไปนั้น ฟ่งอี้ลูกน้องคนสนิทของเขาซึ่งยามนี้น่าจะตรวจดูความเรียบร้อยอยู่ที่ชั้นล่างของร้านกับวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนจนเขาอดที่จะเอ่ยถามออกไปอย่าหัวเสียไม่ได้
“เกิดอันใดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงได้ร้อนรนเช่นนี้”
“เกิดเรื่อง เกิดเรื่องที่หอเลิศรสขอรับ” ฟ่งอี้เอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยหอบเพราะ คงเป็นเพราะว่าเขารีบวิ่งขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นเพื่อมาแจ้งข่าวต่อคุณชายของตน
“ฟ่งอี้เจ้ารีบไปแจ้งสำนักมือปราบหลวง ฟ่งสือเจ้าไปกับข้า” ฉู่ฉางซานเอ่ยสั่งการก่อนที่จะเดินกลับไปที่หลังโต๊ะทำงานและเลิกที่จะทะยานออกจากหน้าตาที่ตนเองเปิดเอาไว้ไปอย่างรวดเร็ว โดยที่มีฟ่งสือทะยานตามออกไปติดๆ
ยามนี้ทำให้ชั้นบนสุดของร้านผ้าเข็มทองคำไร้ซึ่งเงาของทั้งสองคนที่เคยอยู่ในห้องทำงานแห่งนี้ ผู้เดียวที่ยังคงยืนหอบอยู่ก็คือฟ่งอี้ผู้ที่มาแจ้งข่าวเมื่อครู่ และเป็นผู้เดียวที่คงจะเหนื่อยไม่น้อยเพราะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงหลายชั้น และยามนี้เขาก็ต้องรีบไปแจ้งที่สำนักมือปราบหลวงอีก
“หากรู้เช่นนี้ข้าฝึกวรยุทธ์เอาไว้บ้างคงจะดีไม่น้อย” เขาเอ่ยออกมา ก่อนจะรีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อทำตามคำสั่งของคุณชายของตน นั้นคือรีบไปที่สำนักมือปราบ
ย้อนกลับไปเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูป(*15 นาที)ก่อน ในขณะที่นางและสาวใช้คนสนิทอย่างหานอี้กำลังเอ่ยลากับเถ้าแก่ตงและบรรดาเสี่ยวเอ้อร์ทั้งสามคนของหอเลิศรสแห่งนี้
“เถ้าแก่ตงพรุ่งนี้ข้าจะรีบให้คนนำเงินมาจ่ายให้ท่านแน่นอน” นางเอ่ยขึ้น
“เหตุใดคุณชายน้อยท่านถึงไม่นำเงินมาจ่ายด้วยตนเองเล่า หรือเพราะไม่คิดที่จะเหยียบเข้ามาในหอเลิศรสนี้อีกแล้ว”
“มิใช่ว่าข้าไม่อยากมาด้วยตนเองเสียหน่อย แต่ข้าออกมานานจนเกินไป คงยากที่พรุ่งนี้จะออกมาอีกได้” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะเสียดายเล็กน้อย ป่านนี้คนในจวนคนนั่งไม่ติดกันไปหมดแล้วเป็นแน่
บ้างทียามนี้ท่านแม่สามีของนางอาจจะกำลังรอนางกลับไปอย่างร้อนใจอยู่ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงคงจะยากยิ่งที่นางจะได้ออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้อีก
“คุณชายน้องบ้านท่านคงเข้มงวดมิน้อยเลยใช่หรือไม่ขอรับ ท่านเป็นบุรุษยังต้องกังวลเรื่องเวลากลับบ้าน หากท่านเป็นสตรีมิถูกขังเอาไว้ในบ้านเลยหรืออย่างไรกัน” เถ้าแก่ตงพูดออกมาอย่างทีเล่นทีจริง แต่เขากลับเห็นสีหน้าของคุณชายน้อยตรงหน้าของตนเองกับซีดลงเสียอย่างนั้น
“เอาเถิดคุณชายน้อยเอาเป็นว่าข้าเถ้าแก่ตงและทุกคนในหอเลิศรสแห่งนี้พร้อมต้อนรับท่านเสมอ หากท่านออกมาได้อย่างสะดวกเมื่อใดก็อย่าลืมหอเลิศรสเสียเล่า” ตงลี่เอ่ยออกมาอีกครั้งพร้อมกับส่งยิ้มเป็นมิตรให้แก่คุณชายน้อยตรงหน้าของตน
“แน่นอนเถ้าแก่ตง หากมีโอกาสข้าย่อมต้องมาที่หอเลิศรสอีกครั้งให้ได้ และหากท่านรับสาวงามเข้ามาในร้านบางข้าก็จะยิ่งมาให้ได้อย่างแน่นอนทีเดียว”
นางเอ่ยออกมาอย่างติดตลกไม่แพ้กลับบุรุษกลางคนตรงหน้าที่นางเรียกว่าเถ้าแก่ตงเสียเท่าไหร่นัก และไม่ลืมที่จะแกล้งทำตัวเป็นบุรุษเจ้าสำราญใส่อีกฝ่ายอีกด้วย
หลิวซู่ซู่ที่ยามนี้จิตวิญญาณคือหลันซู่ถงนางและสาวใช้คนสนิทยามนี้กำลังเดินออกมาจากไกลจากหอเลิศรสเพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้นและคงจะไปได้ไกลยิ่งขึ้น หากไม่ใช่เพราะก่อนที่นางจะเดินพ้นหัวมุมของโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งซึ่งถ้าเดินต่อไปอีกเล็กน้อยก็จะบังหอเลิศรสจนมิดและทำให้มองไม่เห็นหอเลิศรสอีก นางก็หยุดฝีเท้าของตนเองเอาไว้เสียก่อน
“หยุดเดินทำไมรึเข้าคะฮูหยินน้อย” หานอี้ที่เดินตามหลังของฮูหยินน้อยของนางอยู่ เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอยู่ๆฮูหยินน้อยของนางก็หยุดเดินต่อไปเสียอย่างนั้น
“ข้าลืมของเอาไว้ที่หอเลิศรส” หลิวซู่ซู่เอ่ยบอกสาวใช้ของตน
“ฮูหยินน้อยท่านลืมสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“เหมือนว่าข้าจะลืมพัดเล่มที่ท่านแม่สามีให้มาวันนี้ไว้ที่หอเลิศรสเสียแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเรารีบกลับไปเอามันเถิดเจ้าค่ะ”
หานอี้เอ่ยขึ้นอย่างออกความเห็น หากฮูหยินน้อยของนางลืมสิ่งอื่นไว้วันพรุ่งนี้ยังพอจะให้คนไปนำมาได้ หากแต่ลืมพัดที่ฮูหยินใหญ่พึ่งให้มา กลับไปที่จวนพวกนางยังมิรู้จะต้องเจอกับสิ่งใดบ้าง หากมีคดีทำของที่ฮูหยินใหญ่พึ่งให้มาหายอีก มิแน่ว่าฮูหยินน้อยรวมมาถึงนางอาจจะโดนโทษหนักมิน้อยเลยก็เป็นได้
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
บทนำเช้าวันอาทิตย์ที่น่าจะเป็นวันที่ดีสำหรับใครหลายๆคน ที่จะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานกันมาทั้งอาทิตย์ แต่มันไม่ใช่สำหรับเธอหลันซู่ถงแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะวันไหนเธอก็ไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าการทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆอีกแล้วการมีเงินเยอะๆตั้งหากคือสิ่งที่ดีที่สุด ทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆตอนที่เธอแก่ตัวจนทำไม่ไหวแล้วจะได้มีเงินเก็บเองไว้ใช้ได้ไม่ลำบาก อีกทั้งสังคมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนการมีเงินต่างหากถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างไรปัญหาได้เธอคือหลันซู่ถงเจ้าของร้านดอกไม้ร้านเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเท่าไหร่นัก เพียงแค่ข้ามถนนใหญ่ไปก็จะเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของเมืองแล้ว แม้ร้านจะไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรแต่ก็ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอสมควรเลย ร้านของเธอเป็นตึกแถวสองชั้นติดถนนเธอใช้ชั้นล่างเป็นหน้าร้านและชั้นบนเป็นที่พักอาจเพราะเธออยู่คนเดียวตั้งแต่อายุ18 กระมังจึงทำให้เธอเป็นคนเฉยๆเรียบง่ายกับทุกอย่าง อีกทั้งพ่อแม่ของเธอต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวมีบ้านหลังใหม่กันหมดแล้ว ทำให้การตัดสินใจรวมไปถึงชีวิตของเธอไม่ได้ติดอยู่กับ
ตอนที่ 1 เพียงสบตาเท่านั้น“ซู่ถงขอบคุณแกมากนะที่หลายวันมานี่คอยมาส่งข้าวส่งน้ำฉัน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยออกมาอย่างตื้นตันใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของเธอเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วข้าวของมากมายมาหาเธอทุกวัน“ลำบากอะไรกันร้านของฉันไม่ได้ไกลเลยสักนิดข้ามถนนแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว อีกอย่างแกเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉันนะ ต่อให้แกอยู่โรงบาลอื่นที่อยู่ไกลกว่านี้ยังไงฉันก็ต้องไปหาแก”เธอตอบออกไปโดยไม่หันไปมองเพื่อนสนิท เธอยิ้มและหยิบจับจัดข้าวของที่เธอนำมาด้วยก่อนที่จะเลื่อนโต๊ะอาหารมาให้เพื่อนรักและเปิดถุงนำกล่องข้าวหลากหลายออกมาวางตรงหน้าคนป่วย“น้ำตาฉันจะไหลแล้วรู้ไหมซู่ถง เห็นอาหารพวกนี้แล้วทำให้ฉันนึกถึงมื้อเช้าของวันนี้ แกรู้ไหมว่าคืออะไรมันคือข้าวต้มหมู กว่าฉันจะกลั้นใจกินมันได้ทำใจแล้วทำใจอีก”“แกก็พูดไป อาหารโรงพยาบาลที่ไหนเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”เธอเอ่ยขึ้นพลางยิ้มขำไปกับท่าทีของเพื่อนสนิทที่แสดงออกมาอยู่ตอนนี้ เพื่อนของเธอกำลังตักอาหารที่เธอนำมาให้เข้าปากอย่างช้าๆทำทีราวกับกำลังซึมซับรสชาติของอาหารอยู่อย่างใดอย่างนั้น “เอาน้ำ” ซู่ถงยื่นกระบอกน้ำอุ่นที่เธอเตรียมมาด้วยให้เพื่อน
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง