ตอนที่ 3
หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน
‘อือ’
เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”
เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน
แต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้
“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”
เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ
“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”
ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”
หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้
“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จังหวะที่ผู้หญิงแปลกๆตรงหน้าไม่ทันตั้งตัว ผลักเธอออกไปจนล้มลงที่พื้นข้างเตียง และรีบวิ่งออกไปยังประตูที่เปิดเอาไว้
เธอวิ่งออกไปนอกห้องแล้วกับยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ ในเมื่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเธอตอนนี้กับเป็นสิ่งที่เธอไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง แต่กลับเป็นสิ่งที่เธอเคยเห็นอยู่บางในหนังย้อนยุคหลายๆเรื่อง
เบื้องหน้าของเธอยามนี้เป็นสวนดอกไม้ ที่จัดแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม ข้างๆกับมีศาลาที่อยู่ติดกับสระบัวขนาดใหญ่ที่ยามนี้ดอกบัวในสระนั้นกำลังเบ่งบานอยู่อย่างสวยงาม
“คุณหนู คุณหนูท่านหยุดก่อนเจ้าค่ะ”
หลันซู่ถงออกวิ่งอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงที่ดังไล่หลังมา เธอตัดสินใจวิ่งออกไปยังสะพานโค้งที่อยู่ไม่ไกลจากศาลานัก ซึ่งยื่นออกไปยังกลางสระบัว
“อะไรทำไมสะพานไปต่อไม่ได้แล้วเนี่ย”
เธอเอ่ยออกมาอยากหัวเสีย เมื่อเธอไม่สามารถวิ่งต่อไปได้อีก
ไม่ใช่เพราะเธอเหนื่อยหรืออะไรทั้งสิน แต่เป็นเพราะสะพานนี้มันไม่มีให้เธอวิ่งต่อไปได้แล้ว มีเพียงขั้นบันไดไม้ที่ยืนลงไปในน้ำ คล้ายกลับว่าทำไว้เพื่อสำหรับลงเรือ แต่กับไม่มีเรืองสักลำอยู่เลย
“ทำยังไงดี ทำไง ทำไงๆๆๆ” เธอพูดออกมาอย่างร้อนรน
“คุณหนูท่านเป็นอันใดไปบอกบ่าวนะเจ้าคะ คุณหนูเป็นอย่างนี้บ่าวไม่สบายใจเลยเจ้าคะ”
เอาแล้วไง ตอนนี้ดูเหมือนเธอหลันซู่ถงจะโดนผู้หญิงที่เธอเจอในห้องและผู้หญิงที่แต่งตัวแปลกๆอีกหลายๆคนล้อมทางออกเดียวที่เธอมีเอาไว้ซะแล้ว
ซึ่งทางออกเดียวที่มีก็คือทางขึ้นสะพานไม้ที่เธอขึ้นมา เหมือนกับว่าตอนนี้หากเธอต้องการจะออกไปจากสะพานไม้ก็ต้องผ่านผู้หญิงแต่งตัวประหลาดพวกนี้ไป หรืออีกทางก็กระโดดลงสระบัวไปซะ
แน่นอนว่าเธอหลันซู่ถงไม่เลือกทางเลือกหลังแน่ๆ เพราะว่าเธอว่ายน้ำไม่เป็นเลือกกระโดดลงไปก็เท่ากับฆ่าตัวตายนะสิ
“คุณหนูท่านระวังตกน้ำนะเจ้าคะ”
“พวกเธอก็ถอยไปให้ฉันออกไปสิ”
“คุณหนูพูดอันใดเจ้าคะ บ่าวมิค่อยจะเข้าใจเลยเจ้าค่ะ” หานอี้เอ่ยถามคุณหนูของนางอย่างฉงนในใจ เมื่อคำพูดของคุณหนูของนางแปลกไป
“พูดอะไรก็เรื่องของฉัน ถอยออกไปให้ฉันก็พอ ไม่อย่างนั้นฉันจะกระโดดลงไปจริงๆ” เธอเอ่ยออกมาก่อนจะแกล้งก้าวไปจนติดขอบสะพาน
“คุณหนู คุณหนูอย่าทำอันใดวู่วามนะเจ้าคะ บ่าวถอยแล้วเจ้าค่ะ” หานอี้เอ่ยก่อนจะไล่สาวใช้อีกสามคนที่นางพามาด้วยให้ออกไปจากสะพานไม้
“ดี เธอก็ถอยออกไปด้วย” เธอเอ่ยออกมาอีกครั้งอย่างค่อนข้างพอใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไล่ผู้หญิงเหล่านั้นไปจนหมดแล้ว
“บ่าวถอยแน่เจ้าค่ะ แต่คุณหนูต้องก้าวออกมาจากขอบสะพานก่อนนะเจ้าคะ แล้วบ่าวจะถอยออกไป”
“ได้สิ ตกลงตามนั้น ฉันจะเดินเข้าไปเธอถอยออกไปได้แล้ว”
หลันซู่ถงเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเข้าไปในสะพานมากขึ้นแต่อยู่ๆมือของเธอที่กำลังจะเอื้อมไปคว้าราวสะพานก็คว้าไม่อยู่เป็นเหตุให้เธอเสียหลักตกลงไปในสระบัวข้างหลังทันทีท่ามกลางเสียงร้องอย่างตกใจของผู้หญิงแต่งตัวประหลาดคนนั้น
‘ตูม!!!’
“ช่วยด้วยคุณหนูตกน้ำ!!! ช่วยด้วยช่วยด้วยเจ้าค่ะ!!!”
นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่ก็ไม่เป็นผลอาจจะเป็นเพราะว่าตกลงมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และไหนจะชุดยาวรุ่มร่ามที่อยู่บนตัวเธออีกมันทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่สะดวกเอาเสียเลย
เธอกำลังจะกลั้นหายใจต่อไปไม่ไหวแล้ว
ดีแล้ว ตายนั้นแหละดีแล้ว เธอจะได้หลุดพ้นจากที่บ้าๆนี่ซะที
คิดได้อย่างนั้น เธอก็ค่อยๆหลับตาลงอีกครั้งก่อนที่จะปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออก เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีน้ำจำนวนมากจะทะลักเข้าปากและจมูกของเธออย่างรวดเร็ว…
“หานอี้ไหนเจ้าบอกมาสิว่าซู่เอ๋อร์ตกลงไปในสระบัวได้อย่างไรกัน”
ฉู่ฮูหยินเอ่ยถามสาวใช้คนสนิทของลูกสะใภ้ของตน หลายวันก่อนที่นางและสามีไม่อยู่ในจวนเพราะออกไปท่องเที่ยวที่นอกเมืองด้วยกัน พ่อบ้านฉางซึ่งเป็นพ่อบ้านเก่าแกของสกุลฉู่ก็ส่งจดหมายไปบอกนางว่าลูกสะใภ้เพียงคนเดียวของนางที่กว่าจะได้มาเป็นสะใภ้นั้นนางต้องเสียน้ำตาไปมากจนกระทั่งบุตรชายยอมใจอ่อน นั้นอยู่ๆก็เป็นลมมิได้สติไปตั้งหลายวัน ซ้ำร้ายกว่านั้นเมื่ออาการดีขึ้นกับตกสระน้ำไปอีก
“ว่าอย่างไรหานอี้” ฉู่ฮูหยินเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“เรียนฮูหยินใหญ่ ตั้งแต่คุณหนูฟื้นขึ้นมาก็แปลกๆไปเจ้าค่ะ อยู่ๆก็วิ่งออกจากเรือนไปที่สะพานไม้และก็พลัดตกลงไปเจ้าค่ะ”
หานอี้ที่คุกเข่ารอรับความผิดอยู่เอ่ยตอบอย่างหวาดหวั่น นางไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตาฮูหยินใหญ่ตรงหน้าด้วยซ้ำ
“นั้นคงเป็นเพราะนางป่วยยังไม่หายดีเป็นแน่ ทีหลังเจ้าต้องดูแลเจ้านายตัวเองให้ดีกว่านี้รู้หรือไม่”
ฉู่ฮูหยินนางเอ่ยออกมาพรางเดินไปที่เตียงนอนที่ยามนี้มีร่างเล็กสีหน้าซีดเซียวนอนหลับตาหายใจบางเบานอนหลังอยู่
ซึ่งเจ้าของร่างเล็กผู้นี้ก็มิใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นลูกสะใภ้ของนางเอง มิรู้นางคิดผิดคิดถูกที่ให้สตรีเปราะบางเช่นนี้แต่งเข้ามาให้สกุลฉู่ คิดแล้วนางก็อดสงสารร่างบางตรงหน้าอย่างจับใจไม่ได้ หากเรื่องนี้จะมีคนผิดคงเป็นนางเองที่ไปดึง สตรีไร้เดียงสาผู้นี้ลงมาในกองทุกข์กองใหญ่
“อีกอย่างหนึ่งยามนี้ซู่เอ๋อร์แต่งเข้าสกุลฉู่ของเราแล้ว เจ้าก็เลิกเรียกนางว่าคุณหนูได้แล้วกระมัง ต่อจากนี้อย่าให้ข้าได้ยินเจ้าเรียกสะใภ้ข้าเช่นนั้นอีก”
เอาเถิดแม้นางจะมิสามารถทำให้บุตรชายของนางมาสนใจ สะใภ้ผู้ไร้เดียงสาของนางได้ แต่อย่างน้อยนางก็ต้องให้ซู่เอ๋อร์ของนางเป็นฮูหยินที่ทุกคนมิว่าจะในจวนหรือนอกจวนยอมรับนับถือให้จงได้
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่”
“แล้วนี่ฉางซานแวะมาที่เรือนบ้างหรือไม่” นางเอ่ยถามต่อ
“คือ… เอ่อ”
“เอาเถิดเจ้ามิต้องพูดแล้ว” ฉู่ฮูหยินเอ่ยออกมาก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง นางก็ไม่น่าถามอะไรที่นางย่อมรู้คำตอบดีอยู่แล้วกระมัง ฉางซานบุตรชายของนางไม่มีทางมาแน่ๆ
ก่อนออกจากเรือนธารากระจ่างที่เป็นเรือนหอรวมไปถึงเรือนพักของลูกสะใภ้ นางก็ไม่ลืมที่จะกำชับสาวใช้คนสนิทของร่างเล็กที่กำลังนอนหลับมิได้สติให้ดูแลเจ้าของเรือนให้ดีอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวออกจากเรือนไป
แน่นอนว่าจุดหมายของนางคือเรือนตำราทิพย์ซึ่งอยู่ไกลจากเรือนธารากระจ่ายเรียกได้ว่าอยู่กันคนละทิศเลยก็ว่าได้ ซึ่งเรือนตำราทิพย์ก็เป็นเรือนของผู้อื่นผู้ใดไปมิได้นอกจากเป็นเรือนที่บุตรชายของนางใช้เป็นเรือนพัก นับตั้งแต่ที่ซู่เอ๋อร์แต่งเข้าสกุลมา
ยามแรกนางก็คิดว่าอย่างไรเสียบุตรชายของนางก็เป็นบุรุษเช่นบุรุษอื่นมีเลือดมีเนื้อเช่นเดียวกัน แต่งสตรีเข้าจวนมาแล้วย่อมต้องกระทำอันที่สามีควรกระทำต่อผู้เป็นภรรยาอยู่แล้ว
นางจึงมิได้ยืนมือเข้ามาตั้งแต่สองเดือนที่แล้วที่ซู่เอ๋อร์แต่งเข้าจวนมาใหม่ๆ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วอย่างไรเสีย นางซึ่งเป็นแม่สามีคงจะทนอยู่เฉยๆต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ฉางซานเล่า”
เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าเรือนตำราทิพย์ นางก็เอ่ยถามคนสนิทของบุตรชายที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูทันที
“เรียนฮูหยินใหญ่ คุณชายยามนี้ตรวจสมุดบัญชีอยู่ด้านในขอรับ” ฟ่งอี้เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเป็นอย่างดี
เขาทำแสร้งมิรับรู้ถึงอารมณ์กรุ่นโกรธของฮูหยินใหญ่ประจำสกุลฉู่ซึ่งเป็นสตรีที่มีอำนาจที่สุดในจวนแห่งนี้
“ดียิ่ง เวลาเช่นนี้บุตรชายข้ายังมีอารมณ์ตรวจสมุดบัญชีอีกเห็นทีข้าจะเลี้ยงบุตรมาได้ดีไม่น้อย!!!” นางเอ่ยเสียงดังอย่างประชดประชันก่อนจะเดินผ่านฟ่งอี้เข้าไปด้านในเรือนตำราทิพย์
“ฉางซาน”
นางเอ่ยเรียกบุตรชายตนที่ยามนี้ กำลังนั่งอ่านตำราเล่มหนึ่งซึ่งก็น่าจะเป็นสมุดบัญชีอย่างที่ฟ่งอี้บอกนางก่อนที่นางจะเข้ามาในเรือนตำราทิพย์อยู่ที่โต๊ะทำงาน โดยมีฟ่งสือบ่าวรับใช้คนสนิทอีกคนยืนค่อยรับใช้บุตรชายของนางอยู่ไม่ไกล
“ท่านแม่ กลับมาที่จวนแล้วรึขอรับ” เขาเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชีในมือ เมื่อได้ยืนเสียงเอ่ยเรียกชื่อของตนเองอย่างคุ้นเคย
“แม่ต้องกลับสิ มิกลับได้เช่นใดกันซู่เอ๋อร์นางป่วยหนักเสียขนาดนั้น”
“นางป่วยก็ตัวนาง ท่านแม่มิต้องไปสนใจหรอกขอรับ” เขายังคงเอ่ยตอบท่านแม่ของตนเองด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉยเช่นเดิม ในมือก็ยังถือสมุดบัญชีสายตาก็จับจ้องอยู่ในเนื้อหาของสมุดบัญชีนั้นมิมีเปลี่ยนแปลง
“ผู้ที่เจ้าเอ่ยว่ามิควรไปสนใจนั้นคือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของเจ้านะฉางซานเจ้าเอ่ยออกมาเช่นนี้มิใช่ใจร้ายต่อนางไปหน่อยรึอย่างไรกัน”
นางรู้ว่านอกจากเรื่องการค้าแล้วบุตรชายของตัวเองก็มิได้สนใจสิ่งใดอีก แต่เรื่องนี้นางก็มิอาจเฉยเมยได้อีกแล้ว
ซู่เอ๋อร์ลูกสะใภ้ของนางน่าสงสารเกินไปแล้วจริงๆ แต่งงานมาไม่เพียงสามีมิเอาใจใส่ดูแล แม้แต่การทำตามธรรมเนียมกลับบ้านเดิมเจ้าสาวก็ยังมิได้ทำตามแต่อย่างใด ยามนางเอ่ยถามบุตรชายก็เอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่ร่ำไป
มิต้องบอกนางก็รู้ว่าเหตุใดตั้งแต่สะใภ้ของนางแต่งเข้าสกุลมาถึงได้ล้มป่วยอยู่บ่อยครั้งเช่นนี้ ถ้ามิใช่เป็นเพราะตรอมใจกับสิ่งต่างๆที่ต้องประสบเป็นแน่แท้
“ท่านแม่ลูกว่าท่านย่อมรู้อยู่แล้วว่าลูกมิได้ต้องการแต่งนางมาเป็นภรรยาตั้งแต่แรกทุกอย่างล้วนเพราะท่านแม่ต้องการเพียงเท่านั้น ส่วนต่อจากนี้นางจะเป็นเช่นไรข้าย่อมไม่ขอใส่ใจนางอีก”
เขาเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉยเช่นเดิม ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานเต็มความสูง และก้าวเดินลงมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่านแม่ของตนเองที่ยามนี้กำลังมองเขาด้วยความโมโห
“ถึงจะแต่งโดยมิเต็มใจแต่ก็ได้แต่งไปแล้วลูกก็ควรจะใส่ใจดูแลนางบาง” ฉู่ฮูหยินเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ นางโมโหมากยามนี้แต่ก็รู้ว่าความผิดทุกอย่างล้วนมาจากนาง ที่ลูกสะใภ้ต้องรับเคราะห์ล้วนเพราะนางทั้งสิ้นที่บังคับบุตรชายเรื่องแต่งงานทั้งๆที่เขามิได้เต็มใจ
“อาภรณ์ดีที่สุด อาหารดีที่สุด ยาดีที่สุด เรือนพักที่ดีที่สุด ข้าว่านางได้รับทุกอย่าง อย่างดียิ่งแล้วตั้งแต่แต่งเข้ามายังสกุลฉู่ ข้ามีงานสำคัญต้องทำอีกมากขอตัวก่อนนะขอรับ”
ฉางซานเอ่ยออกมาก่อนที่จะเดินออกจากห้องทำงานของตนเองอย่างมิหันกลับไปตามเสียงเรียกของท่านแม่ของเขาที่ดังอยู่เลย
“ฉางซาน ฉางซาน ฉู่ฉางซาน!!!”
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
บทนำเช้าวันอาทิตย์ที่น่าจะเป็นวันที่ดีสำหรับใครหลายๆคน ที่จะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานกันมาทั้งอาทิตย์ แต่มันไม่ใช่สำหรับเธอหลันซู่ถงแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะวันไหนเธอก็ไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าการทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆอีกแล้วการมีเงินเยอะๆตั้งหากคือสิ่งที่ดีที่สุด ทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆตอนที่เธอแก่ตัวจนทำไม่ไหวแล้วจะได้มีเงินเก็บเองไว้ใช้ได้ไม่ลำบาก อีกทั้งสังคมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนการมีเงินต่างหากถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างไรปัญหาได้เธอคือหลันซู่ถงเจ้าของร้านดอกไม้ร้านเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเท่าไหร่นัก เพียงแค่ข้ามถนนใหญ่ไปก็จะเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของเมืองแล้ว แม้ร้านจะไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรแต่ก็ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอสมควรเลย ร้านของเธอเป็นตึกแถวสองชั้นติดถนนเธอใช้ชั้นล่างเป็นหน้าร้านและชั้นบนเป็นที่พักอาจเพราะเธออยู่คนเดียวตั้งแต่อายุ18 กระมังจึงทำให้เธอเป็นคนเฉยๆเรียบง่ายกับทุกอย่าง อีกทั้งพ่อแม่ของเธอต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวมีบ้านหลังใหม่กันหมดแล้ว ทำให้การตัดสินใจรวมไปถึงชีวิตของเธอไม่ได้ติดอยู่กับ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง