ตอนที่ 4
ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้าง
เป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมา
รวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเอง
ครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิด
เมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อย
อีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้น
ในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่งก็คือเธอในมิตินี้ เป็นลูกสาวคนรองที่มาจากสกุลที่ดีพร้อม บิดามารดาก็รักใคร่ดูแลอย่างดี นิสัยอ่อนหวานนุ่มนวลตามแบบฉบับกุลสตรีในห้องหอทุกประการ รวมๆแล้วชีวิตของเธอในมิตินี้ก็นับว่าดีมากเลยทีเดียว
ถ้าไม่ติดว่าเธอในมิตินี้ดันแต่งงานกับบุรุษที่ไม่ใส่ใจใยดีสตรี เรียกง่ายๆก็คือไม่สนใจสตรีใดๆทั้งสิ้น
ทำให้เธอในมิตินี้ตรอมใจในชีวิตคู่ของตัวเองต้องมาอยู่กับผู้อื่นในบ้านของผู้อื่น ไร้ซึ่งคนใส่ใจดูแล เกินกว่าที่สตรีอ่อนแอเช่นเธอในมิตินี้จะรับไหวจึงได้ตรอมใจจนล้มป่วยและตายไปอย่างโดดเดี่ยวอย่างน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด
หลายวันที่ผ่านมานี้เธอใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการปรับตัวเข้ากับมิติใหม่นี้
เธอคอยจำการเรียกแทนตัวต่างๆรวมไปถึงคำพูดและท่าทางบางอย่างจากเหล่าสาวใช้ที่คอยอยู่ดูแลเธอ หานอี้ซึ่งในความทรงจำของหลิวซู่ซู่นั้นเป็นสาวใช้คนที่เธอไว้ใจเป็นอย่างมาก เธอจึงเริ่มที่จะเรียกหาสาวใช้ผู้นี้ให้บ่อยครั้งขึ้น และบางครั้งก็ให้เธอพูดคุยด้วยกันกับเธอมากๆให้อยู่เป็นเพื่อนเธอในยามค่ำคืน
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยเรียกนางหญิงของตนเอง ก่อนจะวางกาน้ำชาที่พึ่งไปอุ่นมาจากโรงครัวลงบนโต๊ะเบาๆ
“ว่าไง…มิใช่สิมีอันใดรึหานอี้” ซู่ถงในร่างของซู่ซู่รีบพูดกลบเกลื่อน
เธอแอบถอนหายใจเบาๆ ในใจก็คิดไปว่าคนมิตินี้จะลุกจะนั่งจะพูดจะจาทำอะไรแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ค่อยๆทำอย่างไม่เร่งรีบอะไรนุ่มนวลเกินไปจนหลายครั้งนางก็รู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะในมิติของนางเคยชินกับการทำอะไรรวดเร็วทันใจ
ตราบใดที่เธอยังหาทางกลับไปยังมิติเดิมของตัวเองไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการปรับตัวเข้ากับมิตินี้ให้ได้ล่ะนะ
“ฮูหยินน้อยท่านนั่งรับลมที่ศาลามาพักใหญ่แล้ว ข้าเกรงว่าท่านพึ่งหายป่วย หากโดนลมมากไปจะลมป่วยไปอีกได้นะเจ้าคะ”
หานอี้เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง นางแม้จะยังไม่ค่อยชินกับคำพูดแปลกๆที่ฮูหยินน้อยของนางมักจะหยุดปากออกมาบ่อยๆในช่วงหลายวันมานี้ หากแต่คุณหนูของนางกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง และก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนนางก็พอใจมากแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าก็พาข้ากลับเข้าเรือนพักเถิด”
เพียงแค่จะให้เธอกลับเข้าที่พักยังต้องเอ่ยอ้อมไปอ้อมมาอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่สู้พูดออกมาว่าให้เข้าเรือนได้แล้วก็พอแล้วหานอี้ ข้าล่ะเหนื่อยแทนเจ้าจริงๆที่ต้องมาค่อยเอ่ยอะไรๆยาวๆเช่นนั้นอยู่ทุกวัน
เธอได้แต่คิดในใจก่อนจะปล่อยให้หานอี้เข้ามาพยุงนางกลับที่พักแต่โดยดี ทั้งที่เธอหายป่วยดีเป็นปลิดทิ้งแล้วทุกอย่างแต่กับไม่สามารถทำอะไรเองได้เลย ทุกอย่างล้วนแต่มีคนคอยทำให้ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่การอาบน้ำ
ครั้งแรกที่นางได้อาบน้ำในมิตินี้น่าตกใจจนลมแทบจับเมื่อในห้องอาบน้ำดันมีสาวใช้อยู่ถึงสามคนด้วยกัน นางพยายามไล่สาวใช้เหล่านั้นออกไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล จึงจำยอมต้องให้หานอี้เป็นคนเดียวที่ช่วยนางอาบน้ำแต่งตัวแทน
อย่างน้อยๆนางก็อายน้อยลงไปมากอยู่ ถือว่านางยังพอรับมือไหว
ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วสิ่งที่นางทำในทุกวันก็คือกินแล้วก็นอน ทุกอย่างเวียนวนอยู่อย่างนี้ พอได้เวลาก็จะมีเหล่าสาวใช้เขามาจัดเตรียมสำรับอาหารรสเลิศอย่างดีทุกมื้อให้กับนาง ยามรับของว่างก็จะมีของว่างแปลกๆมาให้เธอโดยไม่ซ้ำกันเลยสักวันจนนางอดสงสัยมิได้ จึงได้ถามหานอี้ดู
“หานอี้ขนมพวกนี้เจ้าไปนำมาจากที่ใดกัน”
“ขนมเหล่านี้เป็นฮูหยินใหญ่ให้คนจัดส่งมายังเรือนทุกวันเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ที่ว่าคงเป็นแม่สามีของนางในมิตินี้สินะ เท่าที่ความทรงจำของหลันซู่ซู่มีต่อแม่สามีของนางก็ดูเหมือนจะเป็นแม่สามีที่ดีต่อลูกสะใภ้อยู่เช่นกัน ก็ถือว่านางโชคดีไปอีกเรื่องแล้วที่มีแม่สามีดี
คิดไปถึงแม่สามีก็ไม่อาจไม่คิดไปถึงผู้เป็นสามีของนางในมิตินี้ไปได้ ในความทรงจำของหลันซู่ซู่ที่มีต่อผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแทบจะไม่มีอะไรเลย
ในความทรงจำของหลันซู่ซู่ในคืนแต่งงาน
มีบุรุษผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้องหอ บุรุษผู้นั้นเขาเข้ามาเพียงเอ่ยประโยคเดียวและออกไปจากห้องหอทันที แม้แต่ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวก็ไม่เสียเวลาเปิดออกเสียด้วยซ้ำ
“ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้าง”
บุรุษผู้นั้นนับจากวันเข้าหอก็ไม่เคยมาที่เรือนธารากระจ่างอีกเลย หลิวซู่ซู่ในมิตินี้นับตั้งแต่แต่งงานมาจนกระทั่งตายจากไปนางไม่เคยเห็นหน้าตาของสามีด้วยซ้ำไป นับว่าเป็นเช่นคำของบุรุษผู้นั้นที่เอ่ยในคืนเข้าหอมิมีผิดเพี้ยน
ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้าง
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ฮูหยินน้อย” หานอี้เอ่ยเรียกนายหญิงของตนเมื่อเห็นว่าอยู่ๆนายหญิงของนางก็นั่งเงียบไป
“มีสิ่งใดรึหานอี้”
นางเอ่ยถามขึ้น เมื่อเสียงเรียกของหานอี้ทำให้นางตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเองที่กำลังนึกไปถึงความทรงจำในคือเขาหออันสุดเศร้าของหลิวซู่ซู่
“เรียกฮูหยินน้อย ยามที่สาวใช้ของฮูหยินใหญ่นำของว่างของวันนี้มาให้ท่าน ฮูหยินใหญ่ได้ฝากคำพูดมาให้ท่านด้วยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรึ ท่านแม่ฝากคำพูดใดมาถึงข้ากัน เจ้ารีบบอกมาเถิด”
“ฮูหยินใหญ่ฝากมาบอกว่าพรุ่งนี้เช้าให้ฮูหยินน้อยไปร่วมทานอาหารเช้าที่เรือนของฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
“ที่แท้ท่านแม่ก็อยากให้ข้าไปกินข้าวด้วย เดี๋ยวเจ้าให้คนไปแจ้งท่านแม่ทีบอกว่าพรุ่งนี้เช้าข้าจะไปแน่”
“เจ้าค่ะบ่าวจะให้คนไปแจ้งเดี๋ยวนี้” หานอี้รับคำเจ้านายตน ก่อนจะเดินออกไปยังหน้าศาลา ที่ไม่ไกลจากศาลานักมีสาวใช้หลายคนคอยยืนรอรับใช้ฮูหยินน้อยของนางอยู่ไม่ไกล
ทางด้านของหลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่นั้น นางกำลังนั่งคิดไปถึงแม่สามีของนางผู้ที่พรุ่งนี้นางจะเข้าไปทานอาหารเช้าด้วย
ความจำของเจ้าของร่างที่นางเข้ามาอยู่ยามนี้พอจะมีเรื่องราวของแม่สามีผู้นี้อยู่บาง อีกทั้งแม่สามีผู้นี้หลายวันก่อนที่นางนอนป่วยไข้ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่หลายครั้ง อีกทั้งของว่างของนางรวมไปถึงยาบำรุงต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นท่านแม่สามีผู้นี้เป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้น
นับได้ว่าท่านแม่สามีผู้นี้เอ็นดูนางมิใช่น้อยเลยทีเดียว หรือไม่ก็รู้สึกสงสารนางที่บุตรชายของตนหรือก็คือสามีของนางในมิตินี่ไม่สนใจใยดีนางเลย
อ่า หรือว่าท่านแม่สามีจะรู้สึกผิดต่อนางกัน
ใช่แล้วรู้สึกว่าในความทรงจำของหลิวซู่ซู่ดูเหมือนการที่นางแต่งเข้ามาในสกุลฉู่ได้นั้นท่านแม่สามีเป็นผู้ที่ลงแรงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
เอาเถิดอย่างน้อยๆถ้าเธออยากจะอยู่ที่มิตินี้แบบสบายๆก็มีแต่จะต้องหามิตรเอาไว้เสียหน่อยแล้ว แล้วก็ทำตัวให้กลมกลืนสุดๆกับคนที่นี่ล่ะนะ
เช้าวันรุ่งขึ้นวันนี้นางตื่นมาแต่งตัวแต่เช้าเรียกได้ว่าเตรียมตัวเต็มที่สำหรับการไปกินข้าวเช้ากับท่านแม่สามีเลยทีเดียว
โดยมีหานอี้เป็นผู้ช่วยทุกอย่างตั้งแต่อาบน้ำจนกระทั่งเลือกอาภรณ์รวมไปถึงการจัดแต่งทรงผมและใส่เครื่องประดับต่างๆ
วันนี้นางเลือกที่จะใส่ชุดชมพูอ่อนขลิบขาว ที่ชายแขนเสื้อและตัวชุดปักลายดอกไม้ ส่วนทรงผมนางก็ให้หานอี้รวบผมด้านหน้าขึ้นไปบางส่วนให้เหลือปล่อยสบายบ้าง เครื่องประดับนางเลือกเป็นชุดเครื่องประดับเงินเพียงสามชิ้นเท่านั้น ชิ้นแรกเป็นสร้อยประดับผมรูปใบไม้ที่จะห้อยลงมาที่หน้าผากเล็กน้อยเวลาที่ประดับแล้ว และชิ้นที่สองเป็นปิ่นรูปใบไม้เช่นเดียวกันแต่จะเป็นดอกไม้เล็กๆจำนวนมากอยู่ที่ปิ่นด้ามเดียวและที่ปิ่นก็จะมีสายห้อยรูปดอกไม้ลงมาด้วยเช่นกัน ส่วนชิ้นที่สามเป็นตุ้มหูที่เป็นตุ้มหูแบบห้อยที่มีลวดลายและรูปแบบเหมือนกับสร้อยประดับผม
หลันซู่ถงนางคิดจะใช้ประโยชน์จากร่างกายของหลิวซู่ซู่ที่ดูอ่อนแอเปราะบาง รวมไปถึงอาการป่วยที่พึ่งหายดีดึงความสงสารของท่านแม่สามีของนางให้มากขึ้นอีกจึงจงใจแต่งกายให้ดูงดงามอ่อนหวานและดูอ่อนแอ ใบหน้าของนางก็ถูกแต่งแต้มให้พอมีสีสันไม่ให้ดูโดดเด่นมากเกินไปนัก
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ จวนจะได้เวลาแล้วเจ้าค่ะ” หานอี้ที่ยืนมองนางหญิงของตนส่องกระจกอยู่ใกล้ๆเอ่ยเตือน
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด”
นางเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจากการช่วยประคองของหานอี้สาวใช้คนสนิทของนาง
“คุณชายขอรับ เมื่อครู่ฮูหยินใหญ่ส่งคนมาเชิญให้คุณชายไปทานอาหารที่เรือนใหญ่ของรับ” ฟ่งอี้เอ่ยบอกคุณชายของตนเองซึ่งยามนี้ กำลังยืนให้ฟ่งสือช่วยสวมอาภรณ์อยู่ที่ด้านหลังฉากกั้น
“ส่งคนไปบอกท่านแม่ว่าข้าต้องรีบออกไปดูร้านค้าคงไปกินด้วยมิได้” ฉางซานเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่บ่าวคนสนิทของเขาเอ่ย
“ขอรับคุณชาย บ่าวจะส่งคนไปเดี๋ยวนี้” ฟ่งอี้รับคำก่อนจะออกจากห้องไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายทันที
“ฟ่งสือ” เขาเอ่ยเสียงเรียบเรียกคนสนิทของตนเองที่ยามนี้กำลังช่วยเขาสวมเสื้อคลุมตัวนอกอยู่
“ขอรับคุณชาย” ฟ่งสือเอ่ยรับคำก่อนจะเดินตามคุณชายของตนออกไปยังโต๊ะกลางห้องที่ยามนี้มีคุณชายของเขานั่งอยู่
เขารินน้ำชาใส่ถ้วยอย่างรู้หน้าที่และวางลงตรงเบื้องหน้าของคุณชายของตน
“พักนี้เรือนธารากระจ่างมีความเคลื่อนไหวอันใดรึไม่”
“สาวใช้ที่ข้าน้อยให้เข้าไปคอยสืบความที่เรือนธารากระจ่างรายงานมาว่าช่วงนี้นอกจากอาการของฮูหยินน้อยที่ดีขึ้นแล้วก็รายงานมาอีกว่าฮูหยินบางครั้งก็มีท่าทางแปลกๆไปขอรับ”
“ท่าทางแปลกไปงั้นรึ แปลกเช่นใด”
“เห็นว่าฮูหยินน้อยจะตื่นแต่เช้าทุกวันมาเต้นท่าทางแปลกๆขอรับ อีกทั้งพักนี้ฮูหยินน้อยนางกินเยอะขึ้นมากเลยทีเดียว อาหารทุกมื้อที่ส่งไปที่เรือนล้วนไม่มีเหลือเหมือนแต่ก่อน”
“นางพึ่งหายป่วยย่อมต้องรีบกินบำรุงร่างกาย ช่วงนี้ก็ให้ที่โรงครัวทำอาหารดีๆส่งไปยังเรือนนางให้เยอะหน่อยก็แล้วกัน ส่วนเรื่องยาบำรุงก็ส่งให้อย่าให้ขาด”
“ขอรับคุณชาย”
ฉางซานเอ่ยสั่งคนสนิทพร้อมกับนั่งจิบชาในมือของตนเองไปด้วย เขาสั่งไปแบบนั้นเพื่อเป็นการตัดรำคาญไปในตัว อย่างน้อยก็ทำให้ในวันหน้าท่านแม่ของเขาจะหาเรื่องอะไรมาต่อว่าเขาอีกมิได้แล้ว
ชีวิตนี้เขามิเคยคิดที่จะแต่งกับสตรีนางใดทั้งนั้น ครั้งนี้เพราะโดนท่านแม่ของเขาทั้งร้องไห้คร่ำครวญสามวันสามคืนจนชีวิตเขาหาความสงบสุขไม่ได้ จึงได้ตัดรำคาญไปด้วยการย่อมเข้าพิธีแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเขาให้คนไปสืบมาแล้วเป็นเพียงสตรีหัวอ่อนธรรมดาผู้หนึ่ง
เขาจึงได้แต่งนางเข้าจวนมา และแน่นอนถึงจะผ่านพิธีแต่งงานมาแล้ว ทุกคนทั้งภายนอกและภายในรับรู้ว่านางคือภรรยาของเขา แต่เขาเลือกที่จะไม่จดจำว่าได้แต่งนางมาเป็นภรรยา คิดที่จะให้นางอยู่ในที่ของนางและเขาอยู่ในที่ของเขา ชั่วชีวิตมิมีสิ่งใดผูกกันเอาไว้
เพราะเช่นนั้นในคืนเข้าหอ เข้าถึงเอ่ยว่า ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้าง และเดินออกไปทันที โดยไม่แม้แต่จะเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวตามประเพณี
ที่เขากระทำแบบนั้นไปเพราะมิต้องการให้นางมายุ่งกับเขา ต้องการให้นางเกลียดเขาให้มากยิ่งดี มากจนเข้ากระดูดดำ จนมิต้องการพบหน้ากันอีก เพื่อที่ชีวิตของเขาจะได้กลับมาเป็นปกติเช่นดังเดิม เหมือนก่อนที่แต่งงานและหวังให้เป็นแบบนั้นตลอดไป...
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
บทนำเช้าวันอาทิตย์ที่น่าจะเป็นวันที่ดีสำหรับใครหลายๆคน ที่จะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานกันมาทั้งอาทิตย์ แต่มันไม่ใช่สำหรับเธอหลันซู่ถงแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะวันไหนเธอก็ไม่เห็นว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าการทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆอีกแล้วการมีเงินเยอะๆตั้งหากคือสิ่งที่ดีที่สุด ทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆตอนที่เธอแก่ตัวจนทำไม่ไหวแล้วจะได้มีเงินเก็บเองไว้ใช้ได้ไม่ลำบาก อีกทั้งสังคมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนการมีเงินต่างหากถึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างไรปัญหาได้เธอคือหลันซู่ถงเจ้าของร้านดอกไม้ร้านเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลชื่อดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเท่าไหร่นัก เพียงแค่ข้ามถนนใหญ่ไปก็จะเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของเมืองแล้ว แม้ร้านจะไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรแต่ก็ถือว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอสมควรเลย ร้านของเธอเป็นตึกแถวสองชั้นติดถนนเธอใช้ชั้นล่างเป็นหน้าร้านและชั้นบนเป็นที่พักอาจเพราะเธออยู่คนเดียวตั้งแต่อายุ18 กระมังจึงทำให้เธอเป็นคนเฉยๆเรียบง่ายกับทุกอย่าง อีกทั้งพ่อแม่ของเธอต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวมีบ้านหลังใหม่กันหมดแล้ว ทำให้การตัดสินใจรวมไปถึงชีวิตของเธอไม่ได้ติดอยู่กับ
ตอนที่ 1 เพียงสบตาเท่านั้น“ซู่ถงขอบคุณแกมากนะที่หลายวันมานี่คอยมาส่งข้าวส่งน้ำฉัน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยออกมาอย่างตื้นตันใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของเธอเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วข้าวของมากมายมาหาเธอทุกวัน“ลำบากอะไรกันร้านของฉันไม่ได้ไกลเลยสักนิดข้ามถนนแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว อีกอย่างแกเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของฉันนะ ต่อให้แกอยู่โรงบาลอื่นที่อยู่ไกลกว่านี้ยังไงฉันก็ต้องไปหาแก”เธอตอบออกไปโดยไม่หันไปมองเพื่อนสนิท เธอยิ้มและหยิบจับจัดข้าวของที่เธอนำมาด้วยก่อนที่จะเลื่อนโต๊ะอาหารมาให้เพื่อนรักและเปิดถุงนำกล่องข้าวหลากหลายออกมาวางตรงหน้าคนป่วย“น้ำตาฉันจะไหลแล้วรู้ไหมซู่ถง เห็นอาหารพวกนี้แล้วทำให้ฉันนึกถึงมื้อเช้าของวันนี้ แกรู้ไหมว่าคืออะไรมันคือข้าวต้มหมู กว่าฉันจะกลั้นใจกินมันได้ทำใจแล้วทำใจอีก”“แกก็พูดไป อาหารโรงพยาบาลที่ไหนเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”เธอเอ่ยขึ้นพลางยิ้มขำไปกับท่าทีของเพื่อนสนิทที่แสดงออกมาอยู่ตอนนี้ เพื่อนของเธอกำลังตักอาหารที่เธอนำมาให้เข้าปากอย่างช้าๆทำทีราวกับกำลังซึมซับรสชาติของอาหารอยู่อย่างใดอย่างนั้น “เอาน้ำ” ซู่ถงยื่นกระบอกน้ำอุ่นที่เธอเตรียมมาด้วยให้เพื่อน
ตอนที่ 10 สตรีผู้นี้คิดจะส่งดอกไม้ให้บุรุษทุกวันเลยรึอย่างไรเวลากว่าสิบวันที่ผ่านมา หลันซู่ถงใช้ชีวิตในมิตินี้อย่างสนุกสนาน นางออกจากจวนทุกวันมาที่ร้านเฟิ่งฮวาเพื่อนปลูกดอกไม้และจัดดอกไม้ใส่แจกันทุกวัน นางจัดดอกไม้วันละหลายแจกัน จัดแล้วก็ให้คนนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำที่นางรู้มาจากฟ่งซีว่าเขามักจะอยู่จัดการงานต่างๆอยู่ที่นั้นสิบวันก่อนที่นางมาที่ร้านเฟิ่งฮวาครั้งแรก นางนึกสนุกและก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เลยจึงออกไปหาซื้อแจกันขนาดกลางที่ไม่ค่อยมีลวดลายเท่าไรนักมากหลายใบด้วยกัน นางนำดอกไม้หลากหลายมาจัดแจกใส่แจกันอย่างสวยงาม บางส่วนนางก็ตั้งโชว์เอาไว้ที่ร้านเฟิ่งฮวาแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะแวะไปที่หอเลิศรสและนำแจกันที่นางจัดดอกไม้เอาไว้ไปตั้งเอาไว้ที่นั้นเสียหลายอันเช่นเดียวกันอาจเป็นเพราะนางหยิบแจกันมามากมายเกินไปจากร้านขาย และก็คงเป็นเพราะนางไม่ได้จัดดอกไม้มานานทำให้นางจัดดอกไม้มากเกินความจำเป็น ทุกแจกันถูกนางจัดส่งไปในที่ๆควรส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กับเหลืออันแจกันใบสุดท้าย นางจึงให้ฟ่งซีแวะนำไปให้ฉู่ฉางซานที่ร้านผ้าเข็มทองคำเดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าเขาอาจจะโยนทิ้งออกมาอย่
ตอนที่ 9 ช่องว่างระหว่างมิติ“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”หลันซู่ถงเอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ๆตัวของนางก็มาปรากฏอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งซึ่งมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ราวกับว่านางเดินอยู่ในที่ๆไม่มีจุดหมายไร้ซึ่งทุกสัพสิ่งนางรู้สึกได้ว่าแม้ร่างกายของนางจะก้าวเดินได้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีวันพบเจอกับสิ่งใดได้ นอกจากความมืด และ ความว่างเปล่า“หลันซู่ถง”“ผู้ใด ผู้ใดกันที่เรียกข้า” นางเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับหันมองไปรอบๆทิศทางเพื่อมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ยังคงมีแต่ความมืดทั่วสารทิศ“เจ้าไม่ต้องมองหาข้า เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้าได้”“เช่นนั้นท่านคือผู้ใด ทำไมข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้าคือผู้ควบคุมประตูมิติ และมีส่วนทำให้วิญญาณของเจ้าเขาร่างผิดมิติ”“เช่นนั้นท่านต้องรีบพาข้ากลับมิติเดิมได้แล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าอยู่ผิดมิติเช่นนี้ไม่ได้”นางคิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีเหตุอันใดสักอย่างที่ทำให้วิญญาณของนางเข้ามาอยู่ในร่างผิดมิติ“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการกลับไปยังมิติเดิม เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเข้าฝันเจ้าเพื่อแจ้งสิ่งต่างๆทั้งหมดแก่เจ้าเสียก่อนอย่างไรเล่า”“ท่านถึงกับเข้าฝันข้าใ
ตอนที่ 8 เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรเป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่นางโดนกักตัวให้อยู่แต่ในจวน มิสามารถก้าวออกจากจวนสกุลฉู่ได้เลย เหล่าสาวใช้และบ่าวชายในจวนต่างก็พากันจับตาดูนางเป็นพิเศษ ชนิดที่ว่าจะขยับตัวเดินไปไหน ก็จะค่อยตามนางอยู่เงียบๆ จนนางรู้สึกอึดอัดไปหมดอึดอัดที่ต้องการเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งวันนี้นางต้องปิดประตูเรือนและขังตนเองไว้เพื่อลดความอึดอัดจากสายตาผู้อื่นสองวันมานี้ในหัวของนางวนเวียนคิดเกี่ยวกับวิธีการหนีออกจากจวนมิรู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็มิได้วิธีดีๆที่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย“เห้อ” นางถอนหายใจออกมาอย่างคิดมิตก หรือว่านางควรจะเลิกคิดดี และก็ยอมรับสภาพของตนเองในยามนี้แทนอาหารทุกมื้อก็มีพร้อม เสื้อผ้าอาภรณ์มิคาดตกบกพร่อง มีสาวใช้คอยปรนนิบัติอย่างดี นางในมิตินี้มีทุกอย่าง ยกเว้นอิสระนางมิสามารถทนอยู่อย่างนี้ได้แน่ๆในมิติที่นางจากมา นางมีอิสระในการใช้ชีวิตหากไร้ซึ่งอิสระนางย่อมมิสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขแน่ๆใช่แล้ว สิ่งที่นางควรทำยามนี้คือการปรับตัว และหากอยากได้อิสระของนางคืนมา สิ่งเดียวที่จะทำให้อิสระของนางกลับมาอีกครั้งคงมีเพียง ฉู่ฉางซานผู้เดียวเท่านั
ตอนที่ 7 เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้นเห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลยมิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข
ตอนที่ 6 ที่มาของเหตุอลวนใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วยในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อันแน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดี
ตอนที่ 5 หอเลิศรส“หานอี้ บุรุษที่พวกเราเดินสวนทางด้วยใกล้ๆกับทางไปเรือนท่านแม่สามีนั้นใช่สามีข้าไหม”หลันซู่ถงในร่างของหลิวซู่ซู่เอ่ยถามหานอี้สาวใช้คนสนิทของตน เมื่อนึกไปถึงยามที่นางกำลังจะเดินไปยังเรือนใหญ่ของท่านแม่สามี ระหว่างทางได้สวนทางเข้ากับบุรุษสองคนซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่มีลักษณะเย็นชาแต่ก็ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งแบบที่นางมองไปที่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างกับบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก“ใช่เจ้าค่ะ ท่านผู้นั้นก็คือท่านเขยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินคำตอบของสาวใช้คนสนิท นางก็อดนึกไปถึงใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางมิได้บุรุษผู้นี้หากเพื่อนรักของเธอในมิติที่แล้วอย่างเฟ่งเสี่ยวซ่ง มาเห็นคงต้องถูกเรียกว่าแรร์ไอเทมมิต่างกันกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นแน่นอน จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเธอเคยเห็นคุณหมอเฟิงฉางเหอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จึงจำใบหน้าของมิค่อยได้เท่าไหร่ แต่นางกับมีความรู้สึกว่า บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอในมิตินี้ มีส่วนคล้ายกับคุณหมอเฟิงฉางเหอผู้นั้นอยู่มิน้อยเลยทีเดียวมันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าเขาจะเป็นคนผู้เดียวกัน
ตอนที่ 4 ยามตายมิเคียงคู่ยามอยู่มิเคียงข้างเป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วที่เธอฟื้นขึ้นมาให้มิติที่คล้ายกับจีนโบราณ วันแรกเธอจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้นอนพักเต็มอิ่มจนร่างกายฟื้นฟูขึ้นได้มากแล้ว ความทรงจำของเธอในมิติเดิมที่เธออยู่ยามที่เธอคือ หลันซู่ถงก็คืนกลับมารวมไปถึงความทรงจำของตัวเธอในมิตินี้ด้วยซึ่งก็คือหลิวซู่ซู่ซึ่งเธอที่เป็นเจ้าของร่างในชาตินี้ได้ตายลงไปแล้วโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่างจึงทำให้เธอ มาเขาร่างของตัวเองในอีกมิติหนึ่งแทนที่จะกลับไปยังร่างที่มิติเดิมของตัวเองครั้งแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในอดีตเหมือนในซีรี่ส์ที่เธอเคยดูอยู่บ้าง แต่มันกับไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเมื่อเธอลองเรียบๆเคียงๆถามสาวใช้ของเธอในร่างของหลิวซู่ซู่ผู้นี้ดูแล้วกับกลายเป็นว่าแคว้นที่เธอมาอยู่ ณ เวลานี้เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศที่เธอเคยเรียนมาแม้แต่น้อยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือใบหน้ารูปร่างต่างๆของหลิวซู่ซู่ในมิตินี้เหมือนกับเธอทุกอย่าง ที่จะต่างกันคงเป็นนิสัยและความเป็นอยู่ต่างๆเสียเท่านั้นในความทรงจำต่างๆในร่างของหลิวซู่ซู่ซึ่ง
ตอนที่ 3 หลิวซู่ซู่ผู้ฟื้นคืน‘อือ’เสียงบิดขี้เกียจของหลันซู่ถงดังขึ้น เธอรู้สึกเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เธอรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากลืมตาตื่นเลยเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามีเสียงคนดังขึ้นมาเสียก่อนเธอก็คงจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งแล้ว“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูรู้สึกตัวแล้วรึเจ้าคะ”เสียงที่ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นบวกกับแรงจับที่ข้อมือ ทำให้หลันซู่ถงที่กำลังจะเข้าห้วงนิทราอีกครั้งจำเป็นต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้านแต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจจนอดที่จะร้องออกมาไม่ได้“เฮ้ยๆๆๆๆ!!!”เธอร้องออกมาก่อนจะคลานไปซุกอยู่ที่มุมเตียงด้านในอย่างตกใจ“คุณหนูๆ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”ผู้หญิงที่แต่งตัวประหลาดๆคล้ายๆกับสมัยก่อนเอ่ยถามเธอ อีกทั้งพยายามทีจะดึกผ้าห่มที่เธอใช้คลุมตัวออกไปด้วย“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าค่ะบอกบ่าวเถิดเจ้าคะ”หานอี้เอ่ยถามคุณหนูคนงามของตนอย่างเป็นห่วง คุณหนูของนางอยู่ๆเมื่อสามวันก่อนก็เป็นลมล้มป่วยไม่ได้สติ จนกระทั่งผ่านมาหลายวัน วันนี้ถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้“คุณหนูอะไรของเธอ ฉันไม่ใช่คุณหนูอะไรนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน!!!” เธอเอ่ยขึ้นเสียงดัง ก่อนจะใช้จั
ตอนที่ 2 หลันซู่ถงคนดี (คนซวย) 2018 รอดแล้ว!!!เป็นคำเดียวที่ดังเข้ามาในหัวของเธอในขณะนี้เมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตกลงไปเจ็บตัวอย่างที่คิดเอาไว้ตอนนี้เหมือนว่าร่างกายของเธอยังถูกใครสักคนจับเอาไว้อย่างดีอยู่เลย เธอลืมตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงแม่เพื่อนสนิทตัวดีที่อาจจะเจ็บเพิ่มเพราะรถเข็นเลื่อนตกลงไปแบบนั้นคิดได้ดังนั้นเธอก็ดันตัวเองออกมาจากตัวของคนที่ช่วยเธอซึ่งเธอยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำเพราะความสูงของเขาและเธอค่อนข้างแตกต่างกันอยู่พอสมควรเธอยืนเต็มความสูงแล้วแต่กลับอยู่แค่เพียงระดับหน้าอกของเขาเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เธอควรห่วงก็คือเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอ เธอเลยพักเรื่องที่จะจดจำหน้าของผู้มีพระคุณเอาไว้เสียก่อนและรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเธอว่าเป็นอะไรรึเปล่า “เสี่ยวซ่งแกเป็นอะไรรึเปล่า”เธอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเดิม เพิ่มเติมคือรอบๆรถเข็นของเพื่อนเธอมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนยืนรุมกันอยู่“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ทุกคนช่วยกันจับรถเข็นของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยตอบเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณผู้คนทั้ง