พงศ์มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเศร้าเพียงลำพังมานานเกินพอ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาด้วยความระมัดระวัง เพราะคลื่นเริ่มกระแทกเข้ามาแรงขึ้น
“คุณตะวัน กลับขึ้นฝั่งเถอะ เหมือนพายุกำลังจะมา” พงศ์เอ่ยด้วยความเป็นห่วง
ดวงตาที่ยังฉายชัดถึงความโศกเศร้าผินมามองเขา
“คนที่ยังอยู่ก็ต้องดูแลตัวเองนะครับ”
พงศ์เอ่ยเตือนสติ เพราะรู้สึกหวั่นใจ เมื่อเห็นว่าตะวันยังคงจมดิ่งอยู่ในความเศร้า อีกทั้งสีหน้าและแววตายังแสดงความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา
“อาพงศ์รู้จักใช่ไหม” น้ำเสียงแหบต่ำของตะวันถามขึ้น
พงศ์หน้าถอดสี ลังเลกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดวงตาหรี่แคบ ตัดสินใจเปิดปากพูดแต่ไม่เต็มเสียงนัก
“ครับ เป็น...” น้ำเสียงเล็ดลอดออกมาแค่นั้นก็ต้องหยุดลง
“จะปกปิดไว้ทำไม บอกผมมา ผมจะไป...”
ตะวันแสดงอาการเดือดดาล แต่แล้วก็กลับชะงักทำท่าเหมือนข่มอารมณ์แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้น “อาพงศ์อย่ากลัว ผมแค่อยากรู้...”
“คุณตะวันครับ...” พงศ์กลืนความอึดอัด ไม่แน่ใจว่า ‘แค่อยากรู้’ ของชายหนุ่มมีความหมายเช่นไร
มือเรียวหนาที่เกาะกุมรั้วเหล็ก ยกขึ้นในลักษณะห้าม
“พอ...เพราะผมจะไม่ยอมให้มันอยู่อย่างเป็นสุขแน่ น้องชายผมทั้งคน”
พงศ์ก้มลงต่ำ ทำได้แค่ถอนหายใจ เก็บเอาคำพูดและความคิดไว้ในใจ ขอให้สิ่งที่ชายหนุ่มคิดจะทำ อย่าให้มันร้ายแรงเกินไป เพราะคนอย่างเขา ก็ทนดูความผิดพลาดของผู้ชายที่ตัวเองดูแลมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่ได้เช่นกัน
พงศ์กลืนน้ำลายลงคอ ภาพเหตุการณ์ครั้งนั้น ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด...ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและจบลงอย่างเจ็บปวด ยากที่จะเรียกทุกอย่างกลับคืนมาได้
ในวันที่ฟ้าไร้เมฆหมอก รถเก๋งคันหรูสีแดงใหม่เอี่ยมวิ่งเข้ามาจอดหน้ามุข ผ่านด่านยามหน้าตึกมา เพราะเจ้าของรถคุ้นเคยกับคนในบ้านนี้เป็นอย่างดี
“จะไปไหนหรือครับคุณเตชิน” พงศ์ผู้หวังดีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นเตชินคุณหนูของตนวิ่งออกจากตัวตึก จนต้องรีบก้าวยาวๆ ตามออกมาเพื่อให้ทัน
เตชินเดินลิ่วไม่ตอบ เพราะใจมุ่งไปยังรถที่เข้ามาจอดไม่ถึงเสี้ยวนาที
“คุณเตชินครับ...” ครานี้พงศ์เรียกซ้ำ โดยสายตาสำรวจไปบนตัวชายหนุ่มที่แต่งตัวจัดเต็มกว่าวันไหนๆ ทั้งทรงผมที่เชตไว้ ใบหน้าที่เสริมบำรุงไว้บางเบา หากเพิ่มความน่ามองมากขึ้นไปอีก ซึ่งผิดวิสัยจากคนแต่งตัวง่ายๆ ไม่เสียเวลามาจัดแต่งตัวอย่างเช่นวันนี้ และหากมีธุระข้างนอก จะเรียกใช้ตนเองเสมอ
“วันนี้ผมจะออกไปเที่ยวกับน้ำเหนือนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกในที่สุด
“ครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” เพราะไม่เคยออกไปไหนห่างสายตานอกจากไปมหาวิทยาลัย พงศ์จึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ยิ่งเห็นว่ามีชายหนุ่มอีกคนนอกจากน้ำเหนือ พงศ์ก็ยิ่งห่วงหนัก
“สวัสดีครับ พี่ชายน้ำเหนือเองครับ”
น้ำเหนือเปิดประตูออกมา แล้วทักทายผู้สูงวัยกว่า พร้อมกับแนะนำคนขับรถซึ่งก็คือพายุ ที่รับอาสาพาออกไปข้างนอกเอง
พงศ์รับไหว้แล้วมองคนด้านในรถอีกครั้ง ครานี้พายุเปิดประตูลงมาแล้วยกมือไหว้เป็นมารยาท
“สวัสดีครับ ผมพายุพี่ชายน้ำเหนือครับ” พายุแนะนำตัว
พงศ์ยิ้มบางๆ ตอบรับ
“ไปนะครับ อาพงศ์ไม่ต้องน้อยใจ ไว้รอบหน้า ผมจะใช้บริการรถอาพงศ์แน่นอนนะครับ”
ใบหน้าคนบอกเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งพงศ์ไม่กล้าขัด เมื่อคุณหนูมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ซึ่งมันดีกว่าให้นั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองยามอยู่เพียงลำพังอย่างเหงาๆ
ก่อนจะหันมองสองพี่น้องที่ดูแลเตชินเป็นอย่างดี โดยพายุกุลีกุจอเดินอ้อมมาเปิดปิดประตูรถให้ ซึ่งก็ทำหน้าที่แทนพงศ์ก็ว่าได้
พงศ์ยอมรับว่าน้ำเหนือนิสัยดี สงบเสงี่ยมให้เกียรติคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้คนอย่างเขารักและเอ็นดู หากแต่ผู้ชายอีกคนที่ดูสำอางแต่งตัวเนี้ยบไม่มีที่ติ แถมมีสายตากรุ้มกริ่มเวลามองเตชิน มันทำให้คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างพงศ์ ตะขิดตะขวงใจ
แม้ไม่อยากคิดอคติ แต่สายตาของผู้ชายที่มองผู้ชายด้วยกันมันมองออก ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไรกับคนของตน...
...หากวันนั้นไม่ใจอ่อนปล่อยไปเพราะคิดว่าเป็นเรื่องหนุ่มๆ คงจะไม่เลยเถิดจนเกิดเป็นเรื่องเศร้าอยู่ในตอนนี้...
“เป็นพี่ชายคุณน้ำเหนือเพื่อนสนิทของคุณเตชินครับ” ในเมื่อมาถึงจุดนี้ พงศ์จึงตัดสินใจบอกเล่าความจริง...
สองปีก่อน...หน้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง...เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตา ในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง ยืนอยู่จุดเดิมประจำ โดยประกายตาไร้เดียงสา จับจ้องอยู่ที่หน้าจอสี่เหลี่ยม ซึ่งมีรอยยิ้มแต้มอยู่ตลอดเวลาอย่างกับว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือนั้นกำลังพูดคุยหยอกล้ออยู่กับเขา‘ถึงแล้วนะ’ ข้อความสุดท้ายผ่านสายตาน้ำเหนือ ก่อนจะยิ้มให้กับข้อความอีกครั้ง แล้วปิดเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุดเข้ากระเป๋าคนยืนรอยังไม่ทันขยับไปไหน รถคันหรูก็จอดเทียบริมทางเท้า ก่อนที่เพื่อนใหม่จะก้าวลงจากรถ“วันนี้มาสายนะ”น้ำเหนือที่ยืนรออยู่ก่อนเย้าขึ้น อีกฝ่ายส่งยิ้มแล้วตอบกลับ“ก็อาพงศ์สิ...เก็บไฟแดงทุกรอบเลย” พูดด้วยสีหน้ากระเง้ากระงอดขณะชม้ายตามองไปยังคนขับรถคนสนิทในขณะที่พงศ์ลดกระจกแล้วยิ้มกว้าง ไม่ถือสากับคำพูดของเตชินเพราะรู้ว่าเป็นเพียงการหยอกเย้า“สวัสดีครับอาพงศ์...” น้ำเหนือยกมือไหว้ทักทายผู้มีวัยสูงกว่าอย่างมีมารยาทอาพงศ์ยกมือรับไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเต็มใบหน้า“ผมล้อเล่นนะครับ เตชินไม่ได้มาสายหรอก แต่วันนี้พี่ชายผมมาส่ง เลยถึงไวหน่อยครับ” เสียงทุ้มนุ่มรีบบอก พงศ์ยิ้มกว้าง“งั้นไปกันเถอะ...” เตชินเอ่ยชว
รถเบนซ์สีดำคันใหม่เอี่ยมแล่นหายไปจากถนนสายหลัก น้ำเหนือหันมาสนใจหน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ เพื่อค้นหาชื่อพี่ชายตัวดี...นัดไม่เคยเป็นนัด ในใจก็ค่อนขอดพี่ชาย นิ้วก็ไม่เป็นใจ กดผิดกดถูก พอใจหงุดหงิดสมาธิก็หาย ครั้นพอนิ้วสัมผัสปุ่มชื่อ เสียงกระแอมไอก็ดังมาจากด้านหลังแม้จำน้ำเสียงได้แต่น้ำเหนือก็อดสะดุ้งไม่ได้ เพราะดังมาแบบไม่ทันตั้งตัว“พี่พายุ ตกใจหมดเลย...” บ่นใส่พี่ชายตาก็จิกมองหน้าง้ำ“ขวัญอ่อนไปได้”พี่ชายผู้เพียบพร้อมไปทั้งหน้าตาและรูปร่างเอ่ยแซวพร้อมฉีกยิ้มให้น้องชาย“ขวัญไม่อ่อนหรอกครับ แต่คิดว่าพี่แกล้งให้ผมรอ แล้วตัวเองก็หนีกลับไป” เสียงเง้างอดตัดพ้อคนตรงหน้าคนโดนตัดพ้อยักไหล่แล้วยิ้มกว้าง “กลับพรุ่งนี้”เมื่อได้คำตอบ คนฟังก็ถอนหายใจ “ยังไม่หายคิดถึงเลย...” น้ำเสียงและสีหน้ายังคงตัดพ้อต่อไป “แล้วนี่มาไวหน่อยก็ไม่ได้ จะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก”“เหรอ ไหนละ?” แล้วทำทีมองไปรอบๆ“กลับไปแล้ว”“อ้าว เสียดายจัง ว่าแต่เพื่อนแน่นะ”“แน่สิครับ”“แล้วผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ” พี่ชายทำตาโตถามกลับ“แล้วพี่สนใจผู้หญิงหรือผู้ชายมากกว่ากันล่ะครับ”คนโดนย้อนถามอย่างพายุถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนจะตอบไปต
ร้านประจำที่ว่าก็คือร้านเบเกอรีกึ่งคาเฟ่ร้านดังร้านหนึ่ง เป็นร้านที่ตกแต่งไว้ให้ลูกค้าเข้ามาถ่ายรูปได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือน้ำเหนือผู้ชอบกินของหวานและรักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ“ร้านประจำของเราไง” ริมฝีปากหยักคลี่ขยาย มองน้องชายคนเดียวด้วยความเอ็นดู“ดีเลย” ว่าแล้วก็ตบไปที่หน้าท้องแบนๆ ของตัวเอง และนั่งลงรัดเข็มขัดนิรภัยเตรียมพร้อม โดยเจ้าตัวไม่รู้ว่าครั้งนี้ คือการเอาใจเพื่อหวังผลของพี่ชาย...เมื่อถึงร้านประจำ พายุมองหาโต๊ะที่แยกเป็นส่วนตัวเล็กน้อย เมื่อได้ที่นั่งเหมาะ น้ำเหนือก็เป็นคนจัดการสั่งขนมหวานให้ตัวเองและพี่ชาย ระหว่างที่รอพนักงานมาเสิร์ฟ น้ำเหนือก็หยิบมือถือออกมากดดู ครั้นเมื่อเปิดหน้าจอมือถือก็มีเสียงข้อความไลน์เด้งรัวๆ เข้ามาจนทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามชำเลืองดู และอดเย้าแหย่ไม่ได้“รัวมาแบบนี้แฟนชัวร์”“เพื่อนครับ คนนี้แหละที่ผมจะแนะนำให้พี่รู้จัก” น้ำเหนือมีประกายตาจริงจังเมื่อเอ่ยถึงเพื่อนคนสำคัญ“ผู้ชาย”“ครับ เพื่อนคนแรกที่เข้ามหา’ลัยวันแรก ต่างคนต่างไม่มีเพื่อนเลยคลิกหากันง่าย ตอนนี้เตชินติดผมเป็นตังเมเลยครับ” ขณะที่เอ่ยถึงเพื่อนใบหน้าน้องชายดูสดใสมาก“คงจะติดจริง น
ณ บ้านวิสิฐกุลในห้องนอนที่กำลังกลายเป็นไฟ โดยเจ้าของห้องพาร่างที่กำลังมึนเมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มโดยมีร่างนุ่มนิ่มล้มทาบทับลงมา“เบาๆ สิคร้า...” เสียงนุ่มลากยานเอ่ยปราม เมื่อมือเจ้าของห้องขย้ำบั้นท้ายลูบไล้ฝ่ามือสอดแทรกเข้าด้านในเสื้อรัดรูปตัวบางอย่างกระหายสัมผัสเนื้อแท้“อื้อ...” เสียงคล้ายรำคาญดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนา เมื่อมืออีกฝ่ายจับมือซุกซนของเขาไว้เสียงหวานกระเส่าเอ่ยบอก ก่อนจะก้มลงไป ใช้ริมฝีปากปรนเปรอให้อย่างรู้หน้าที่“อืม...” เสียงทุ้มดังพอใจ แล้วปลุกปลอบตอบรับกันอย่างดูดดื่มเหมือนของคุ้นเคยที่ห่างหายกันมานานแรมปี“อื้อ อย่ารีบสิคะ” เสียงหวานของสาวสวยร่างสมส่วนร้องห้ามเมื่อมือหนาพยายามดึงรั้งเสื้อผ้าบางๆ ของเธอออกอย่างรวดเร็ว จนกลัวว่ามันจะฉีกขาดติดมือเขาไปเสียก่อน“ผมจะไม่ไหวแล้วนะ” เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกทั้งที่เปลือกตาเกือบปรือมองไม่ไหว แต่ความต้องการของคนหนุ่มกำลังลุกโชนอย่างหนัก เขาทนรอตั้งแต่อยู่ในรถและตอนนี้เมื่อถึงที่หมายเขาไม่อยากรอช้าอีกต่อ“อือ รอก่อน เดี๋ยวจัดให้นะคะ” เธอกระซิบข้างติ่งหูขาวสะอาด ก่อนจะกัดเบาๆ อย่างหยอกเอินพายุสะดุ้งขนชี้ชัน
ร่างบางสะดุ้ง หากแต่ไม่มีความเจ็บปวด “อืออ...” ขวัญข้าวส่งเสียงครางบ่งบอกถึงความพอใจ ครั้นเมื่อชายหนุ่มขยับขับทำนองเข้าออกอย่างเนิบช้าเป็นจังหวะ ริมฝีปากบางก็ครางกระเส่าเสียวซ่านรัญจวนใจ ในบทพิศวาสเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา...ความกำหนัดบวกกับแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในเส้นเลือด ความร้อนแรงจึงมีตามมา แรงส่งกระแทกเข้าหากลางลำตัว จนคนใต้ร่างสะเทือนไหวไปตามจังหวะหากแต่พร้อมรับโดยไม่มีถอยจนการเดินทางกำลังถึงฝั่ง สติที่ยังมีอยู่น้อยนิดรีบผละจากร่างบาง โน้มตัวผ่านข้าม เพื่อควานหาสิ่งป้องกันในลิ้นชักหัวเตียงเมื่อทุกอย่างถูกต้องเข้าที่ พายุเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก่อนจะเพิ่มความแรงกระแทกถี่ยิบ เตือนให้อีกคนรู้ว่า เขาใกล้แล้ว และไม่กี่อึดใจเขาก็กระตุกเกร็งสองสามครั้ง และคนใต้ร่างก็กระตุกเกร็งตามมาเช่นกันพอคลื่นทะเลแตกฟองจนพร่าพราวความสงบนิ่งจึงเข้ามาเยือน ห้องนอนที่เมื่อครู่ยังมีเสียงครวญครางดังกระหึ่มก็เงียบลงพร้อมคนบนร่างฟุบหน้าซบกับอกนุ่มหยุ่นที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะพลิกลงนอนข้างกายและดึงสิ่งป้องกันออก แล้วเหวี่ยงทิ้งไปอย่างไม่สนใจว่ามันจะไปตกที่ใด...ลมหายใจหอบรัวเหมือนคนวิ่งออกกำลังตอนรุ่ง
เสียงพูดทำให้คนที่นอนอยู่เริ่มขยับตัวและออกอาการหงุดหงิด ตามนิสัยที่มีติดตัวอยู่เสมอ“อื้อ หนวกหู...คนจะนอน” เจ้าของร่างอวบอั๋นไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ขยับกายส่งเสียงดังรำคาญ สองมือก็พยายามควานหาผ้าห่มที่ถูกดึงไปเมื่อครู่กลับมาห่มให้เข้าที่อีกครั้ง โดยไม่คิดสนใจหรือลืมตาขึ้นมาดูน้ำเหนือที่ยืนมองอยู่ตลอดเวลาซัดสายตามองหญิงสาวที่พี่ชายหิ้วมานอนด้วย แล้วหันมาที่พี่ชาย“ผมให้เวลาพี่สิบนาที” แล้วก็เดินออกจากห้องไปเมื่อทางเลือกมีไม่มาก พายุจึงรีบหันไปปลุกคนหลับ“ขวัญข้าวตื่น”“อือ...อะ...อะรายย คนจะนอน...” เสียงลากยาน พร้อมกับขยับเปลี่ยนท่าอย่างรำคาญ“ลุกขึ้น เดี๋ยวนี้เลย” เสียงเข้มสั่งย้ำ พร้อมเขย่าคนหลับให้ตื่น เพื่อไปแต่งตัว“อือ ยังไม่อยากตื่น...ขอนอนต่ออีกครึ่งชั่วโมงนะ” ว่าแล้วก็ซุกตัวไปใต้ผ้าห่ม แต่มือหนากำแขนเรียวไว้แน่น จนขวัญข้าวรู้สึกเจ็บ“เจ็บ จะหวงที่นอนอะไรนักหนาเนี่ย” เธอต่อว่า ส่วนความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งหน้าตึงมองคนทำ“ลุกไปแต่งตัว ผมจะออกไปข้างนอก”“ออกก็ออกไปสิ ขอนอนต่อจนคุณกลับมาไม่ได้หรือไง”“ไม่ได้ ลุกไปแต่งตัว” น้ำเสียงเขาเด็ดขาด แบบไร้ข้อต่อรอง“ก็ไ
“อย่าเรียกว่าร้ายสิ ต้องเรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันดีต่างหาก”แววตาฉายแววร้ายกาจของขวัญข้าวที่ซ่อนอยู่ภายใน แผ่ออกมาโดยที่พายุไม่มีวันได้เห็นและไม่มีทางได้รู้เลย...ร่างสมส่วนขยับโอบกระชับร่างหนาที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมพร้อมกับกระซิบบอกเบาๆ ข้างหู“ไม่เอาสิที่รัก...อย่าคิดมากเลยนะคะ” อกอวบเข้าเบียดแขนแกร่ง โดยจงใจให้พายุหันมาสนใจตน หากแต่ผิดถนัดเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับหันมาส่งสายตาดุใส่และส่งคำพูดเสียดแทงใจ...“ขอโทษนะครับ อย่าเรียกแบบนี้อีก แล้วก็ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พายุเอ่ยอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป จนคนที่ตระกองกอดเซเสียหลัก“เชอะ...อย่าหวังว่าข้าวจะปล่อยคุณไปง่ายๆ นะคะ”ขวัญข้าวมาดหมายไล่หลังด้วยความขัดใจ ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งโดยไม่คิดจะออกไปก่อน ทั้งที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่แล้วก็ตามผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่พายุใช้เวลาในห้องน้ำคิดแต่เรื่องของตัวเองที่ทำผิดคำสัญญาไว้กับเตชินแม้จะผ่านผู้หญิงและผู้ชายมามากหน้าหลายตา แต่ก็อยากหยุดอยู่แค่เตชินเพียงคนเดียวที่จะคบและจริงจังด้วย แต่ทุกอย่างจะพังหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเรื่องจะไปทิศทางใด...พายุเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว
น้ำเหนือหันมองหญิงสาวที่เดินปรี่ออกไปจากบ้านโดยไม่คิดทักทาย จนกระทั่งพี่ชายเดินหน้ามู่ทู่ออกมา“ไปกันหรือยัง”คำถามเหมือนคนไม่ได้ทำอะไรผิดของพายุ ทำให้น้ำเหนือนั่งจ้องหน้านิ่ง จนอีกฝ่ายร้อนตัว“พี่ขอโทษ...”“เก็บคำขอโทษไว้ไปพูดกับเตชินเถอะครับ”“พี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ”“ทำแล้วมารู้สึกผิดเนี่ยนะ...ขอถามอะไรพี่หน่อยเถอะครับ”พายุรู้ว่าน้องจะถามเรื่องอะไร จึงเตรียมใจรับฟัง ส่วนน้ำเหนือมองสบตาพี่ชายอย่างมุ่งหวัง ก่อนจะมองเลยไปทางที่ผู้หญิงเดินหายไป ด้วยความเหนื่อยหน่าย“พี่คิดว่าการที่ผิดสัญญากับใครสักคน มันทำให้พี่สุขแค่ไหน แค่ชั่วครู่ที่ได้ปลดปล่อยเหรอ”คำถามทำให้พายุได้แต่อ้ำอึ้ง ด้วยสำนึกผิด“...แล้วพี่คิดบ้างไหม ว่าความสุขของพี่มันคือความเจ็บปวดของคนที่พี่บอกว่ารักเขาคนเดียว ยอมเขาแค่คนเดียว หรือจริงๆ แล้วมันก็แค่ลมปากที่พี่พูดออกมาแต่ว่ามันไม่จริง”“พี่...พี่ขอโทษ”“คำขอโทษของพี่มันง่ายเกินไปหรือเปล่าครับ อย่างที่พี่เพิ่งได้ปลดปล่อยแค่อารมณ์สั้นๆ นั่นหรือเปล่าครับ”คำถามของน้ำเหนือทำให้พายุนิ่งอึ้งเขาไม่ได้โกรธน้องชายที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว หากแต่กลับกันเขาเห็นใจน้องชายตัวเองมากกว
ณ ไร่ตะวัน“นี่จะไม่ให้ลุกไปไหนเลยหรือไง” น้ำเหนือถามเสียงเข้ม เพราะพยายามปลดแขนที่กอดรัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกจากตัว แต่อีกฝ่ายก็ขืนไว้ไม่ยอมให้ปลดออก“ผมยังไม่อิ่มเลย”“นี่ฟ้าจะเปลี่ยนสีอยู่แล้ว ลุกขึ้นไปดูคนงานบ้างเถอะ...” ว่าแล้วก็ตีไปบนต้นแขนแข็งแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที “ไหนบอกว่าจะพามาดูไร่ นี่อะไร ขังไว้ในห้องตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”“ก็คนมันคิดถึง”“คิดถึงหรือเงี่ยน”“โธ่...ปากคอเราะรายขึ้นนะ” ว่าแล้วก็ปล่อยแขนออกจากเอวน้ำเหนือจึงดีดตัวลุกขึ้น มองร่างใหญ่ล่ำที่นอนแผ่โชว์กล้ามเนื้อแน่น ซึ่งน้ำเหนือหน้าเห่อร้อนทุกครั้งที่เห็นและสัมผัส...“ผมอยากไปดูสวนผัก...”“จะเปลี่ยนไปนอนกระท่อมไหมล่ะ บรรยากาศท่าจะดี หรือริมลำธารดีล่ะ...”รู้ว่าตะวันแกล้งพูดยั่ว ซึ่งน้ำเหนือก็ไม่ได้ใส่ใจ หากแต่สนใจกระท่อมไม้ที่ตัวเองเคยซุกหัวนอน“ยังไม่พังอีกเหรอ”ในเมื่อสภาพกระท่อมเป็นเพียงไม้ไผ่สานบางๆ และใบไม้แห้งจะทนแดดทนฝนไปได้นานเท่าไหร่กัน“ผมสั่งให้ลุงมิ่งดูแลอย่างดีเลยนะ”“เพื่อ...”“ความทรงจำผมอยู่ที่นั่นไง”“ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ผมอยากเห็นแล้ว” พูดพลางก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเดินตรงไปยังห้อ
ณ ธงชัยสิทธิ์เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เตชินทำเรื่องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศเรียบร้อย และกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทางในอีกสองวัน“แน่ใจนะว่าไปอยู่คนเดียวได้” ตะวันเดินเข้ามาแล้วเอามือวางไปบนไหล่น้องชาย เตชินเงยหน้าขึ้นมาแล้วฉีกยิ้มให้“อยู่ได้สิครับ ผมน้องพี่ตะวันนะ...” ดวงตากลมใสเป็นประกาย หากแต่ตะวันมองออกว่านั่นคือการพยายามแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่ใจร้องไห้...“มันเป็นไปไม่ได้แล้วใช่ไหม...” เพราะสองอาทิตย์ที่ตัวเองนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ทางนี้ก็ได้พายุเป็นคนรับหน้าที่ดูแล มันคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง...คำถามของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน สะท้อนตรงลงมากลางอก เตชินดวงตาอ่อนแสง แล้วตอบเสียงสั่นเครือ “แค่พี่เขาไม่รังเกียจผมก็ดีมากแล้ว”“อืม...อาจจะไม่ใช่เวลาที่ใช่”“แล้วเรื่องพี่ตะวันกับน้ำเหนือล่ะครับ...” เตชินเปลี่ยนเรื่อง“พี่ก็ไม่ท้อหรอก พยายามตามจีบเขาอยู่”“งั้นผมเอาใจช่วยนะครับ” แล้วสองพี่น้องก็สวมกอดส่งกำลังใจให้กันสนามบินสุวรรณภูมิ“น้ำเหนือบอกว่าจะมาส่งเหรอ” ตะวันเอ่ยถามหลังจากที่เห็นน้องชายชะเง้อคอยาวมองไปยังประตูทางเข้า“เห็นบอกว่าจะมา...” น้ำเ
ปัง ปัง ปัง“ไม่ อึก...” น้ำเหนือวิ่งถลาไปหาร่างที่ทรุดลงไปบนพื้นหญ้าอย่างตกใจสุดขีดในขณะที่เตชินทรุดตัวสลบไปพร้อมภาพสุดท้าย คือร่างของพี่ชายที่เต็มไปด้วยเลือด ซึ่งถูกน้ำเหนือประคองกอดไว้ ส่วนพายุวิ่งไปดูเตชินและประคองศีรษะไม่ให้กระแทกลงบนพื้นพายุมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาดด้วยความหดหู่ใจ ความโกรธเกลียดก่อนหน้านั้นหายไปหมดสิ้น เมื่อคนที่ตัวเองประคองอยู่นั้น เจอเรื่องหนักหนาเกินกว่าจะซ้ำเติม และตัวเองก็ไม่ควรเก็บเรื่องราวในอดีตเอามาเป็นทุกข์อีกต่อไป...ช่วงชุลมุนนั้นภาคินระเบิดกระสุนใส่มือของพงศ์จนปืนกระเด็น พงศ์ลงไปนอนกุมมือร้องโอดโอยอยู่ตรงนั้นสองอาทิตย์ต่อมาตะวันเริ่มรู้สึกตัวหลังจากที่มีอาการโคม่าและผ่าตัดถึงสองครั้ง เพื่อเอากระสุนที่อยู่ใกล้จุดสำคัญออกมา และได้น้ำเหนืออยู่ดูแลไม่ห่างโดยมีเดร์เข้ามาช่วยเป็นบางครั้ง จนพายุและภาคินยอมใจอ่อนไม่ห้ามปรามและปล่อยให้ไปตามใจที่น้องชายต้องการ ส่วนพงศ์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และเข้ารับการรักษาเนื่องจากมีอาการจิตหลอน ในขณะที่เตชินยังมีอาการหวาดผวาก็ได้พายุเป็นคนดูแลในระหว่างที่ตะวันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล...“ฟื้นแล้ว” น้ำเหนือดีดตัวลุกขึ้
ตั้งแคมป์กันเหรอ...ตะวันคิดสรุป เพราะเห็นว่ามีอุปกรณ์ครบไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ อีกทั้งเห็นว่ามีเสื้อผ้าเปียกน้ำผึ่งแดดไว้“ไม่ยักรู้ว่าพี่ภาคินก็แม่นปืนกับเขาด้วย”เสียงคุ้นหูดังระรื่นมาแต่ไกล ทำให้คนได้ยินถึงกับหูอื้อ ใจเต้นแรงทันที“คุณตะวัน...” ภาคินเรียกผ่านริมฝีปาก ส่วนน้ำเหนือหน้าถอดสีแล้วขยับไปจับไหล่ของภาคินไว้ภาคินเหลือบตามองน้ำเหนือด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันมาพูดกับผู้ชายหน้าบอกบุญไม่รับตรงหน้า“ไม่ทราบว่ามีอะไรด่วนหรือเปล่า ถึงได้เดินตัดเข้ามาในอาณาเขตของคนอื่นแบบนี้.. ระวังเถอะ เจ้าของไร่อาจตาลายนึกว่าเป็นสัตว์ร้ายจะโดนเป่าเอาง่ายๆ นะครับ”“อยากเป่าก็เป่าสิ แต่ต้องเป่าทีเดียวให้ตายนะ” ในขณะที่พูดตาก็มองกร้าวไปยังหนุ่มที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังลูกชายเจ้าของไร่“ผมไม่ใจร้ายใจดำขนาดยิงคนเหมือนกันได้หรอกครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไร แค่ตกใจเสียงปืนก็เท่านั้น”“อ้อ ครับ ผมไม่ทันคิดว่าผมซ้อมมือที่ไร่ผม แล้วจะไปรบกวนคนอื่น”“ครับ บังเอิญว่าทิศทางลมมันไปทางไร่ผมกับน้องชายพอดีเลยทำให้ตกใจ ที่สำคัญคุณก็รู้ว่าน้องชายผมไปเจออะไรมา หากผมจะหวาดระแวงก็คงไม่แปลกนะครับ...แต่ตอนนี้
สองวันต่อมา ตะวันทนการรบเร้าของเตชินไม่ไหวจึงเล่าเรื่องตนเองกับน้ำเหนือให้ฟังจนหมด“พี่ตะวัน พี่ทำกับเพื่อนผมแบบนั้นได้ไง”เตชินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างน้ำเหนือกับพี่ชายของตัวเองก็รับไม่ได้“พี่ทำแบบนั้นทำไม แล้วนี่พี่จะเอายังไงต่อ...ไม่สิ ผมอยากไปขอโทษน้ำเหนือ” เตชินร้อนใจกลัวความบาดหมางครั้งนี้จะทำให้ความเป็นเพื่อนขาดสะบั้นลงส่วนเรื่องพายุ เตชินเตรียมใจไว้แล้วว่า ความรู้สึกคงไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ โดยเฉพาะพายุ คงยากที่จะกลับมามองหน้าตัวเองได้อีก...“ตอนนี้ พี่ไม่อยากให้เตชินอยู่ห่างพี่เลยนะ”“ผมก็ไม่อยากห่างพี่เหมือนกัน ผมกลัว...”“พี่ขอโทษ...” ดึงตัวน้องชายเข้ามากอดปลอบน้องชายและปลอบใจตัวเอง...“ผมก็ขอโทษพี่เหมือนกัน ที่สร้างเรื่องยุ่งยากมาให้...แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงน้ำเหนือมาก จะเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”“เขาอาจจะเกลียดพี่ไปแล้ว...” ตะวันเปรยขึ้น เสียงเศร้าเตชินรับรู้ได้ว่าพี่ชายตนรู้สึกผิดจริงๆ เพราะคนอย่างนายตะวันไม่เคยทำอะไรฝืนใจตัวเอง“ถึงยังไงผมก็อยากไปเจอน้ำเหนือก่อนจะเดินทาง”เตชินตัดสินใจแล้วว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แต่ต้องรอให้เรื่องทุ
พงศ์เส้นเลือดตรงขมับบวมเต็ง เมื่อเห็นเตชินแสดงสีหน้าเจ็บปวดขณะมองชายอดีตคนรักที่เสมือนหนามยอกอก...เวลาผ่านไป ใจของเตชินก็ยังอยู่กับมันพงศ์คิดอย่างแค้นเคืองเลือดหึงขึ้นหน้า แล้วด้วยความโกรธแค้น จึงคิดหาทางเอาคืนอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ ดวงตาคมกล้ามองไปใต้เสื้อแจ็กเก็ตสีดำของชายฉกรรจ์ที่ยืนแนบข้างจดจ้องอยู่ที่บางอย่างตรงเข็มขัด เมื่อได้จังหวะ ก็เข้าไปกระแทกไหล่จนอีกฝ่ายเสียหลักยื่นมือไปคว้าสิ่งที่เล็งไว้มาถือได้สำเร็จอย่างมั่นเหมาะความอลหม่านเกิดขึ้นเมื่อปลายกระบอกปืนจ่อไปยังพายุ ส่วนลูกน้องอีกคนรีบดึงอาวุธของตัวเองออกมาแล้วเล็งตรงไปยังพงศ์ทันทีทุกคนต่างตะลึงตกใจ พายุหน้าถอดสีแต่ทำใจดีสู้เสือตะวันร้อนใจ กลัวเรื่องบานปลายใหญ่โต โดยที่ไม่อยากให้มีการสูญเสียไม่ว่าเรื่องใด ตัดสินใจเดินตรงไปหาพงศ์ ในขณะที่พายุกำลังพูดโต้“จะยิงผมเหรอ...ผมผิดอะไร ในเมื่อผมแพ้พวกอาพงศ์แล้วนี่ น้องชายของผมก็โดนลากไปแก้แค้นทั้งที่ไม่ผิด แล้วผมกับน้ำเหนือสมควรได้รับสิ่งที่ธงชัยสิทธิ์ทำงั้นเหรอ...”คำพูดของพายุทำให้ทุกคนในที่นั้นตะลึงงัน ส่วนภาคินเดินเข้ามาจับแขนเพื่อนไว้เพื่อส่งกำลังใจให้ หากแต่อาพงศ์ยกยิ้มสะใจ“กู
จากคนเงียบๆ และดูสุขุมของพงศ์ทำให้ป้าปุกที่อยู่ด้วยกันมานานก็สังเกตเห็นอาการหงุดหงิดเช่นนี้มาหลายวัน แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว...“ทำไมไม่กินข้าวอีก” หลังจากที่กลับมาจากดูว่าปุกและอิงนั่งรถแท็กซี่ออกไปแล้ว พงศ์เห็นว่ากับข้าวที่เขาเป็นคนยกมาให้ยังไม่พร่องไปเลย“ผมกินไม่ลง...อาพงศ์แก้มัดผมเถอะนะ” น้ำเสียงเว้าวอน แต่พงศ์คนใส่ใจและอบอุ่นคนเดิมไม่มีแล้ว“ไม่ รีบกินจะได้ไปกันเสียที” เขาตอบเสียงสะบัดจากที่สีหน้าเศร้าหงอย ก็ตื่นพรืด ร้องถามเสียงหลง “ไปไหน อาพงศ์จะเอาผมไปไหน...ผมไม่ไป ป้าปุก ป้าปุกช่วยผมด้วยป้า...” เตชินตะโกนร้องเรียกพร้อมกับขยับลงจากเตียงตุบเพราะขาทั้งสองถูกมัดไว้จึงร่วงลงมานอนอยู่บนพื้น เตชินกัดริมฝีปากกลั้นความเจ็บเอาไว้จนห้อเลือดพงศ์มองอย่างดูแคลน “อยากเรียกใครก็เชิญ”ประโยคที่ท้าทายและไม่เกรงกลัว ทำให้เตชินเงียบเสียง ตาหรี่มองคนตรงหน้า “ลุงทำอะไรกับพวกเขา”“แค่ไล่ให้กลับบ้าน” สีหน้าราบเรียบไม่แสดงอาการเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นเตชินที่หน้าตื่นตกใจ“ไล่กลับบ้าน ไล่ทำไม”“ไม่ต้องถามมาก จะกินไม่กิน”“ไม่ ตอบผมมาสิ ว่าไล่ป้าปุกทำไม”“ไม่ต้องถา
“กว่าจะมาได้...แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนอีก” พอเห็นว่าคนที่ตัวเองตั้งตารอเดินผ่านประตูเข้ามา อีกทั้งแต่งตัวเหมือนเตรียมจะออกข้างนอก ก็ถามเสียงขุ่นสีหน้าไม่พอใจ“อาพงศ์วุ่นวายกับผมเกินไปแล้วนะ...อย่าให้ผมรู้สึกไม่ดีกับอามากไปกว่านี้เลยนะครับ ผมขอร้อง...” เตชินเอ่ยเสียงเศร้าแกมขอร้อง หากแต่ผู้สูงวัยกว่ากลับยืนนิ่งเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่พูด เตชินจึงพูดต่อ “เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมขอให้มันจบไปได้ไหมครับ...ผมไม่อยากให้อาพงศ์มาจมอยู่กับเรื่องที่เราได้ทำผิดพลาดไป อาจจะเป็นผมที่วางตัวไม่ดี ผมขอโทษอาพงศ์ด้วยนะครับ” เตชินเป็นฝ่ายยอมรับผิดเสียเองเพื่อตัดจบทุกปัญหาหากแต่คนสูงวัยกว่ากลับยิ้มร้าย “มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ...ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะนั้นเยียบเย็นจนน่ากลัวเตชินขนลุกซู่ ประหวั่นกับอาการและท่าทางที่เปลี่ยนไปของอาพงศ์ ไม่มีแล้วสายตาและคำพูดที่อบอุ่นใจอย่างเมื่อก่อนเตชินถอยหลัง รู้สึกหวาดกลัวท่าทางแปลกๆ ของอาพงศ์ที่ตอนนี้เหมือนคนไร้สติไปเสียแล้ว“มานี่...มาดูอะไรนี่ อาอุตส่าห์ไปทำมาเลยนะ” มืออาพงศ์คว้าหมับที่ข้อมือเล็กกระชากอย่างแรงจนร่างเตชินเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด“อาพงศ์ปล่อย
เตซินสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แล้วดึงชายผ้าห่มคลุมใบหน้าอย่างรำคาญเมื่อได้ยินดังอยู่ใกล้ๆ แต่แรงขยับทำให้จากที่ไม่อยากตื่น ตาก็สว่างโร่ เมื่อรับรู้ได้ว่าบนเตียงตัวเอง มีคนอื่นนอนอยู่ด้วย ใจพลันคิด เมื่อคืนพี่พายุไม่ได้กลับไปนอนบ้านเหรอ...ดึงผ้าห่มออกจากศีรษะแล้วมองไปยังคนข้างๆ“เฮ้ย อาพงศ์” แล้วรีบเลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อมองสำรวจร่างกายใต้ผ้าห่มของตัวเองเตชินตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเสื้ออาภรณ์ใดๆ บนร่างกายไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว“ใช่ครับ...” พงศ์ตอบสีหน้าราบเรียบ หากแต่เตชินหน้าบิดเบี้ยวเหยเก แล้วมองสำรวจไปรอบห้องด้วยแววตาตื่นตระหนก และพบว่าเสื้อผ้าของตัวเองวางกองอยู่บนพื้นอย่างไม่ไยดี และใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นเสื้ออีกชุด ซึ่งไม่ต้องบอกว่าเป็นของใคร...“หมายความว่าไง อาพงศ์ทำอะไรผมเมื่อคืน”ไม่อยากเดา และไม่อยากยอมรับความจริงเสียงทุ้มหนักหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยถาม “ทำไม รับไม่ได้เหรอ เมื่อคืนคุณเตชินยังบอกว่าชอบอยู่เลย” แล้วยกมือถือในมือขึ้นสูงอีกครั้งเตชินหน้าตื่นแล้วค่อยๆ กลายเป็นสีเรื่อ เมื่อจำได้เลือนรางว่ามันรู้สึกดีจริงๆ ในตอนนั้น“นี่อาพงศ์ถ่ายภาพผมเก็บไว้หรือครับ” แล้วรีบเบี่ยงตัวหลบ“ก็เอาไว้ดูต