ร้านประจำที่ว่าก็คือร้านเบเกอรีกึ่งคาเฟ่ร้านดังร้านหนึ่ง เป็นร้านที่ตกแต่งไว้ให้ลูกค้าเข้ามาถ่ายรูปได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือน้ำเหนือผู้ชอบกินของหวานและรักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ
“ร้านประจำของเราไง” ริมฝีปากหยักคลี่ขยาย มองน้องชายคนเดียวด้วยความเอ็นดู
“ดีเลย” ว่าแล้วก็ตบไปที่หน้าท้องแบนๆ ของตัวเอง และนั่งลงรัดเข็มขัดนิรภัยเตรียมพร้อม โดยเจ้าตัวไม่รู้ว่าครั้งนี้ คือการเอาใจเพื่อหวังผลของพี่ชาย...
เมื่อถึงร้านประจำ พายุมองหาโต๊ะที่แยกเป็นส่วนตัวเล็กน้อย เมื่อได้ที่นั่งเหมาะ น้ำเหนือก็เป็นคนจัดการสั่งขนมหวานให้ตัวเองและพี่ชาย ระหว่างที่รอพนักงานมาเสิร์ฟ น้ำเหนือก็หยิบมือถือออกมากดดู ครั้นเมื่อเปิดหน้าจอมือถือก็มีเสียงข้อความไลน์เด้งรัวๆ เข้ามาจนทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามชำเลืองดู และอดเย้าแหย่ไม่ได้
“รัวมาแบบนี้แฟนชัวร์”
“เพื่อนครับ คนนี้แหละที่ผมจะแนะนำให้พี่รู้จัก” น้ำเหนือมีประกายตาจริงจังเมื่อเอ่ยถึงเพื่อนคนสำคัญ
“ผู้ชาย”
“ครับ เพื่อนคนแรกที่เข้ามหา’ลัยวันแรก ต่างคนต่างไม่มีเพื่อนเลยคลิกหากันง่าย ตอนนี้เตชินติดผมเป็นตังเมเลยครับ” ขณะที่เอ่ยถึงเพื่อนใบหน้าน้องชายดูสดใสมาก
“คงจะติดจริง นี่ยังไม่ถึงบ้าน ก็ทักมาเหมือนกลัวเพื่อนหาย” พายุกระเซ้าด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ครับ นี่เพื่อนในคณะก็จะตั้งกลุ่มคู่จิ้นให้ด้วย เพราะความติดหนึบของนายเตชินเลยครับ”
สายตาคมเข้มหันกลับจ้องมองใบหน้าหล่อของน้องชายที่ไม่เหมือนตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะน้ำเหนือได้แม่ทั้งรูปหน้า และรูปร่าง ที่สำคัญปากนิดจมูกหน่อย ติดไปค่อนข้างหวาน ซึ่งสมัยตอนเด็กๆ คนภายนอกมักมองว่าน้ำเหนือเป็นเด็กผู้หญิง
พายุดึงสายตากลับจากใบหน้าน้องชาย เมื่อพนักงานนำขนมที่สั่งไว้เข้ามาเสิร์ฟ พอพนักงานเดินห่างไปแล้วพายุก็ยื่นหน้าเข้ามาหาคนที่กำลังตักขนมเข้าปาก
“ถามหน่อย...”
น้ำเหนือชะงักก่อนจะวางช้อนลงแล้วจ้องหน้าเขาอย่างจะจับพิรุธ
“ถามอะไรครับ” น้ำเหนือกระซิบถามกลับ เหมือนกลัวคนนอกได้ยิน
“ว่าแต่...น้องเขามีแฟนยัง”
ในขณะที่ถาม หัวใจของพายุก็เต้นแรง หน้าร้อนเหมือนคนจับไข้ขึ้นมาทันที
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกใจใครสักคน และเมื่อถูกใจก็แค่เข้าหา แต่กับเด็กคนนี้ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกแปลกออกไป
ท่าทางที่ดูเป็นมิตร บวกกับรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวย น่ามองเสียจนเขาอยากจะก้าวข้ามคำว่าเพื่อนของน้องชายเลยเชียวล่ะ
ตากลมใสเหลือบมามองเขาแล้วถามเสียงเบา “เห็นเหรอครับ”
พายุเพียงพยักหน้าด้วยมาดของเสือนักล่า
“แปลว่าพี่พายุแอบมองนานแล้ว แต่ไม่ยอมออกมา เอ๊ะ มันชักจะยังไงๆ นะเนี่ย” น้ำเหนือยกยิ้มนัยน์ตาพราว
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เสียงทุ้มปรามใส่น้องชาย ทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“อย่าบอกนะ ว่าสนใจเพื่อนของน้ำเหนือ...เจ้าชู้อย่างพี่ ชิ ฝันไปเหอะ” คนเป็นน้องชายพูดก่อนจะเบ้ปากใส่
“อย่ามาใส่ความ จะกินไม่กิน...”
พายุไม่อยากพูดอะไรให้เข้าตัวอีก จึงเปลี่ยนเรื่อง
“กินครับกิน” น้ำเหนือบอกแล้วรีบตักขนมหวานเข้าปาก แต่ก็ยังไม่วายคอยชำเลืองมองมาจนเขาต้องถลึงตาใส่...
ปัจจุบัน
กรามหนาบดเข้าหากันจนเกิดเสียง ด้วยความโกรธแค้นแน่นในอก ลมหายใจกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงโทสะ เลือดในกายสูบฉีดเหมือนคนกำลังตื่นระทึก หลงอยู่ในป่าใหญ่ไร้เข็มทิศนำทาง
หัวใจเต้นแรงและรัวเร็วจนตะวันคิดว่าหากปล่อยให้อารมณ์พุ่งขึ้นอยู่อย่างนี้ เขาคงต้องช็อกตายเสียก่อน คิดได้ดังนั้นตะวันจึงผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ จนเกือบเป็นปกติและสบถออกมาแทน
“เวรเอ๊ย เพื่อน เขาทำกันขนาดนี้เลยหรือวะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดสบถลั่น
“จัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย ผมจะไปลากคอมันมาเค้นถามให้ได้”
“คุณตะวันจะทำอะไรกับสองพี่น้องนั่นหรือครับ พอจะบอกผมได้ไหม” พงศ์ถามสีหน้าตื่นๆ
“ไม่เอาให้ถึงตายหรอก หรือจะให้ตายตกตามกันไปดี”
น้ำเสียงของตะวันนั้นแข็งกร้าว นัยน์ตาฉายชัดถึงความเคียดแค้นคนที่ตนเองกำลังกล่าวถึง
คนใกล้ตัวที่ยืนฟังอยู่นั้นหน้าถอดสี หากเป็นดั่งคำที่ชายหนุ่มพูด ความยุ่งยากคงตามมา...
ณ บ้านวิสิฐกุลในห้องนอนที่กำลังกลายเป็นไฟ โดยเจ้าของห้องพาร่างที่กำลังมึนเมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มโดยมีร่างนุ่มนิ่มล้มทาบทับลงมา“เบาๆ สิคร้า...” เสียงนุ่มลากยานเอ่ยปราม เมื่อมือเจ้าของห้องขย้ำบั้นท้ายลูบไล้ฝ่ามือสอดแทรกเข้าด้านในเสื้อรัดรูปตัวบางอย่างกระหายสัมผัสเนื้อแท้“อื้อ...” เสียงคล้ายรำคาญดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนา เมื่อมืออีกฝ่ายจับมือซุกซนของเขาไว้เสียงหวานกระเส่าเอ่ยบอก ก่อนจะก้มลงไป ใช้ริมฝีปากปรนเปรอให้อย่างรู้หน้าที่“อืม...” เสียงทุ้มดังพอใจ แล้วปลุกปลอบตอบรับกันอย่างดูดดื่มเหมือนของคุ้นเคยที่ห่างหายกันมานานแรมปี“อื้อ อย่ารีบสิคะ” เสียงหวานของสาวสวยร่างสมส่วนร้องห้ามเมื่อมือหนาพยายามดึงรั้งเสื้อผ้าบางๆ ของเธอออกอย่างรวดเร็ว จนกลัวว่ามันจะฉีกขาดติดมือเขาไปเสียก่อน“ผมจะไม่ไหวแล้วนะ” เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกทั้งที่เปลือกตาเกือบปรือมองไม่ไหว แต่ความต้องการของคนหนุ่มกำลังลุกโชนอย่างหนัก เขาทนรอตั้งแต่อยู่ในรถและตอนนี้เมื่อถึงที่หมายเขาไม่อยากรอช้าอีกต่อ“อือ รอก่อน เดี๋ยวจัดให้นะคะ” เธอกระซิบข้างติ่งหูขาวสะอาด ก่อนจะกัดเบาๆ อย่างหยอกเอินพายุสะดุ้งขนชี้ชัน
ร่างบางสะดุ้ง หากแต่ไม่มีความเจ็บปวด “อืออ...” ขวัญข้าวส่งเสียงครางบ่งบอกถึงความพอใจ ครั้นเมื่อชายหนุ่มขยับขับทำนองเข้าออกอย่างเนิบช้าเป็นจังหวะ ริมฝีปากบางก็ครางกระเส่าเสียวซ่านรัญจวนใจ ในบทพิศวาสเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา...ความกำหนัดบวกกับแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในเส้นเลือด ความร้อนแรงจึงมีตามมา แรงส่งกระแทกเข้าหากลางลำตัว จนคนใต้ร่างสะเทือนไหวไปตามจังหวะหากแต่พร้อมรับโดยไม่มีถอยจนการเดินทางกำลังถึงฝั่ง สติที่ยังมีอยู่น้อยนิดรีบผละจากร่างบาง โน้มตัวผ่านข้าม เพื่อควานหาสิ่งป้องกันในลิ้นชักหัวเตียงเมื่อทุกอย่างถูกต้องเข้าที่ พายุเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก่อนจะเพิ่มความแรงกระแทกถี่ยิบ เตือนให้อีกคนรู้ว่า เขาใกล้แล้ว และไม่กี่อึดใจเขาก็กระตุกเกร็งสองสามครั้ง และคนใต้ร่างก็กระตุกเกร็งตามมาเช่นกันพอคลื่นทะเลแตกฟองจนพร่าพราวความสงบนิ่งจึงเข้ามาเยือน ห้องนอนที่เมื่อครู่ยังมีเสียงครวญครางดังกระหึ่มก็เงียบลงพร้อมคนบนร่างฟุบหน้าซบกับอกนุ่มหยุ่นที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะพลิกลงนอนข้างกายและดึงสิ่งป้องกันออก แล้วเหวี่ยงทิ้งไปอย่างไม่สนใจว่ามันจะไปตกที่ใด...ลมหายใจหอบรัวเหมือนคนวิ่งออกกำลังตอนรุ่ง
เสียงพูดทำให้คนที่นอนอยู่เริ่มขยับตัวและออกอาการหงุดหงิด ตามนิสัยที่มีติดตัวอยู่เสมอ“อื้อ หนวกหู...คนจะนอน” เจ้าของร่างอวบอั๋นไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ขยับกายส่งเสียงดังรำคาญ สองมือก็พยายามควานหาผ้าห่มที่ถูกดึงไปเมื่อครู่กลับมาห่มให้เข้าที่อีกครั้ง โดยไม่คิดสนใจหรือลืมตาขึ้นมาดูน้ำเหนือที่ยืนมองอยู่ตลอดเวลาซัดสายตามองหญิงสาวที่พี่ชายหิ้วมานอนด้วย แล้วหันมาที่พี่ชาย“ผมให้เวลาพี่สิบนาที” แล้วก็เดินออกจากห้องไปเมื่อทางเลือกมีไม่มาก พายุจึงรีบหันไปปลุกคนหลับ“ขวัญข้าวตื่น”“อือ...อะ...อะรายย คนจะนอน...” เสียงลากยาน พร้อมกับขยับเปลี่ยนท่าอย่างรำคาญ“ลุกขึ้น เดี๋ยวนี้เลย” เสียงเข้มสั่งย้ำ พร้อมเขย่าคนหลับให้ตื่น เพื่อไปแต่งตัว“อือ ยังไม่อยากตื่น...ขอนอนต่ออีกครึ่งชั่วโมงนะ” ว่าแล้วก็ซุกตัวไปใต้ผ้าห่ม แต่มือหนากำแขนเรียวไว้แน่น จนขวัญข้าวรู้สึกเจ็บ“เจ็บ จะหวงที่นอนอะไรนักหนาเนี่ย” เธอต่อว่า ส่วนความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งหน้าตึงมองคนทำ“ลุกไปแต่งตัว ผมจะออกไปข้างนอก”“ออกก็ออกไปสิ ขอนอนต่อจนคุณกลับมาไม่ได้หรือไง”“ไม่ได้ ลุกไปแต่งตัว” น้ำเสียงเขาเด็ดขาด แบบไร้ข้อต่อรอง“ก็ไ
“อย่าเรียกว่าร้ายสิ ต้องเรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันดีต่างหาก”แววตาฉายแววร้ายกาจของขวัญข้าวที่ซ่อนอยู่ภายใน แผ่ออกมาโดยที่พายุไม่มีวันได้เห็นและไม่มีทางได้รู้เลย...ร่างสมส่วนขยับโอบกระชับร่างหนาที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมพร้อมกับกระซิบบอกเบาๆ ข้างหู“ไม่เอาสิที่รัก...อย่าคิดมากเลยนะคะ” อกอวบเข้าเบียดแขนแกร่ง โดยจงใจให้พายุหันมาสนใจตน หากแต่ผิดถนัดเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับหันมาส่งสายตาดุใส่และส่งคำพูดเสียดแทงใจ...“ขอโทษนะครับ อย่าเรียกแบบนี้อีก แล้วก็ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พายุเอ่ยอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป จนคนที่ตระกองกอดเซเสียหลัก“เชอะ...อย่าหวังว่าข้าวจะปล่อยคุณไปง่ายๆ นะคะ”ขวัญข้าวมาดหมายไล่หลังด้วยความขัดใจ ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งโดยไม่คิดจะออกไปก่อน ทั้งที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่แล้วก็ตามผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่พายุใช้เวลาในห้องน้ำคิดแต่เรื่องของตัวเองที่ทำผิดคำสัญญาไว้กับเตชินแม้จะผ่านผู้หญิงและผู้ชายมามากหน้าหลายตา แต่ก็อยากหยุดอยู่แค่เตชินเพียงคนเดียวที่จะคบและจริงจังด้วย แต่ทุกอย่างจะพังหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเรื่องจะไปทิศทางใด...พายุเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว
น้ำเหนือหันมองหญิงสาวที่เดินปรี่ออกไปจากบ้านโดยไม่คิดทักทาย จนกระทั่งพี่ชายเดินหน้ามู่ทู่ออกมา“ไปกันหรือยัง”คำถามเหมือนคนไม่ได้ทำอะไรผิดของพายุ ทำให้น้ำเหนือนั่งจ้องหน้านิ่ง จนอีกฝ่ายร้อนตัว“พี่ขอโทษ...”“เก็บคำขอโทษไว้ไปพูดกับเตชินเถอะครับ”“พี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ”“ทำแล้วมารู้สึกผิดเนี่ยนะ...ขอถามอะไรพี่หน่อยเถอะครับ”พายุรู้ว่าน้องจะถามเรื่องอะไร จึงเตรียมใจรับฟัง ส่วนน้ำเหนือมองสบตาพี่ชายอย่างมุ่งหวัง ก่อนจะมองเลยไปทางที่ผู้หญิงเดินหายไป ด้วยความเหนื่อยหน่าย“พี่คิดว่าการที่ผิดสัญญากับใครสักคน มันทำให้พี่สุขแค่ไหน แค่ชั่วครู่ที่ได้ปลดปล่อยเหรอ”คำถามทำให้พายุได้แต่อ้ำอึ้ง ด้วยสำนึกผิด“...แล้วพี่คิดบ้างไหม ว่าความสุขของพี่มันคือความเจ็บปวดของคนที่พี่บอกว่ารักเขาคนเดียว ยอมเขาแค่คนเดียว หรือจริงๆ แล้วมันก็แค่ลมปากที่พี่พูดออกมาแต่ว่ามันไม่จริง”“พี่...พี่ขอโทษ”“คำขอโทษของพี่มันง่ายเกินไปหรือเปล่าครับ อย่างที่พี่เพิ่งได้ปลดปล่อยแค่อารมณ์สั้นๆ นั่นหรือเปล่าครับ”คำถามของน้ำเหนือทำให้พายุนิ่งอึ้งเขาไม่ได้โกรธน้องชายที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว หากแต่กลับกันเขาเห็นใจน้องชายตัวเองมากกว
หลังจากที่ตกลงแบ่งหน้าที่กันแล้ว สองพี่น้องก็ลงมือจัดการทำหน้าที่ของตัวเองทันทีน้ำเหนือจัดการส่งข้อความ ‘เตทำไมไม่รับสาย ลืมนัดของเราแล้วเหรอ’ข้อความถูกส่งไปเมื่อพิมพ์เสร็จ น้ำเหนือรอคอยอย่างมีความหวัง ก่อนจะเหลือบตาไปมองคนนั่งข้างๆ ใจวูบโหวงแปลกๆ“เป็นไงบ้างพี่พายุ...”ใบหน้าไร้รอยยิ้มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาน้ำเหนือได้แต่ถอนหายใจทิ้ง“เดี๋ยวผมจะโทรอีกที”น้ำเหนือโทรเบอร์อีกครั้ง แต่แล้วเสียงเรียกรอสายก็ตัดไป“สายตัดไปแล้ว...” น้ำเหนือเปรยขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง“เตชินตัดสายน้ำเหนือทิ้งเหรอ”“ไม่นะ เอ๊ะ ผมก็ไม่แน่ใจ เอาแบบนี้ดีไหม เราไปรับเตชินที่บ้านเลยดีกว่า” น้ำเหนือออกความคิด“ไม่ดีหรอก ขนาดโทรไปเขายังไม่รับสายเลย” พายุเอ่ยหน้าเศร้าใจลึกๆ น้ำเหนือรู้สึกดีใจ ที่พี่ชายเลิกเที่ยวเตร่ และหันมาจริงจังกับใครสักคนแบบนี้ ที่สำคัญคนๆ นั้นก็คือเพื่อนรัก หากแต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเวลาผ่านไป ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขของคนคนเดียวกัน“ไปกันเถอะครับ” น้ำเหนือลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง หลังจากที่รอข้อความเตชินอยู่นาน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา แถมเบอร์โทร
เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่บัณฑิตใหม่จะยอมปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน โดยน้ำเหนือก็ออกไปถ่ายรูปกับเพื่อนอีกกลุ่ม เตชินจึงมองหาพี่ชายและอาพงศ์เพื่อจะถ่ายรูปกันต่อ...“มองอะไรอยู่ครับ” เตชินถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายเหมือนสนใจอะไรสักอย่างในกลุ่มเพื่อนของตนตะวันรีบเบนสายตา และปรับสีหน้าโดยไม่ตอบคำถามน้องชาย “เสร็จแล้วเหรอ”“ครับ...”“งั้นไปถ่ายรูปกัน ไปครับอาพงศ์...”อาพงศ์ที่ถูกให้เกียรติไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในครอบครัวยิ้มรับแล้วทั้งสามก็พากันไปถ่ายรูป เพื่อเก็บภาพวันดีๆ เอาไว้...แม้จะห่วง ทะนุถนอมดูแลไม่คลาดสายตา แต่คนเราพออายุเข้าวัยเบญจเพส ความรู้สึกนึกคิดของคนเราก็ต่างกันออกไป จากคนที่เคยว่านอนสอนง่าย ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พี่ชายที่มุ่งทำงานและศึกษาต่อก็ดูแลเอาใจใส่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ชะตาฟ้าลิขิต ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้...ตะวันลูบไล้ไปบนที่นอนที่ไร้ไออุ่น ประหนึ่งต้องการซึมซับความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ พร้อมกับส่งผ่านความรู้สึกของตัวเองไปยังผู้ที่เคยนอนอยู่บนเตียงนี้ขอบตาค่อยๆ ร้อนผ่าวลามไปถึงลำคอและปลายจมูกก่อนจะไปรวมตัวที่หน่วยตากลายเป็นหยดหยาดน้ำใสที่กลั่นมาจากความรู้สึกคิดถึง ริ
ระหว่างนั้น รถเริ่มชะลอความเร็วลง ดวงตากลมโตที่ยังฉายแววหวาดหวั่นอยู่ก็ตวัดไปมองข้างทางทันที โดยเลิกสนใจคำพูดของชายปกปิดใบหน้า ที่ตอนนี้กำลังส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ โดยที่น้ำเหนือเองก็ไม่เข้าใจว่าไปทำอะไรให้ผู้ชายคนนี้โกรธนักหนาถึงได้จับตัวเองมา...“ที่ไหน คุณจะพาผมไปไหน...” บรรยากาศผิดหูผิดตาจนนั่งก้นไม่ติดเบาะ “จะเอาผมมาฆ่าหมกป่าหรือไง”น้ำเหนือถามเสียงสั่น เมื่อมองออกไปนอกกระจกรถ มีแต่ต้นไม้เขียวขจี และมองเห็นภูเขาที่ลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศรอบด้าน มีเพียงความเงียบสงบดูเวิ้งว้างไร้ผู้คนในป่าในดง...ความคิดที่จะมองหาคนช่วยถูกพับเก็บไปทันทีและความหวาดกลัวก็เริ่มทวีมากขึ้นเป็นลำดับในขณะที่รถจอดนิ่งสนิท แต่หัวใจของน้ำเหนือกลับเต้นรัวเร็วขึ้น จนเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุดพรายอยู่ตามไรผมและใบหน้า...เขาพามาที่นี่ทำไม หรือว่าจะเอามาฆ่าหมกป่า น้ำเหนือคิด ความกลัวเริ่มแล่นเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง แล้วขยับตัวนั่งหลังตรง ตั้งใจว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ยอมลงไปจากรถอย่างเด็ดขาด...แสงอาทิตย์เรืองรองของรุ่งอรุณสะท้อนผ่านช่องเขาที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทุกอย่างรอบกายดูสดชื่นและอบอุ่น แต่ใครอีก