“อย่าเรียกว่าร้ายสิ ต้องเรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันดีต่างหาก”
แววตาฉายแววร้ายกาจของขวัญข้าวที่ซ่อนอยู่ภายใน แผ่ออกมาโดยที่พายุไม่มีวันได้เห็นและไม่มีทางได้รู้เลย...
ร่างสมส่วนขยับโอบกระชับร่างหนาที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมพร้อมกับกระซิบบอกเบาๆ ข้างหู
“ไม่เอาสิที่รัก...อย่าคิดมากเลยนะคะ” อกอวบเข้าเบียดแขนแกร่ง โดยจงใจให้พายุหันมาสนใจตน หากแต่ผิดถนัดเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับหันมาส่งสายตาดุใส่และส่งคำพูดเสียดแทงใจ...
“ขอโทษนะครับ อย่าเรียกแบบนี้อีก แล้วก็ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พายุเอ่ยอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป จนคนที่ตระกองกอดเซเสียหลัก
“เชอะ...อย่าหวังว่าข้าวจะปล่อยคุณไปง่ายๆ นะคะ”
ขวัญข้าวมาดหมายไล่หลังด้วยความขัดใจ ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งโดยไม่คิดจะออกไปก่อน ทั้งที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่แล้วก็ตาม
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่พายุใช้เวลาในห้องน้ำคิดแต่เรื่องของตัวเองที่ทำผิดคำสัญญาไว้กับเตชิน
แม้จะผ่านผู้หญิงและผู้ชายมามากหน้าหลายตา แต่ก็อยากหยุดอยู่แค่เตชินเพียงคนเดียวที่จะคบและจริงจังด้วย แต่ทุกอย่างจะพังหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเรื่องจะไปทิศทางใด...
พายุเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว่าขวัญข้าวยังนั่งอยู่ที่เดิม และมองชายหนุ่มที่นุ่งเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ทำไมยังไม่กลับไปอีก”
“ทำไมใจร้ายแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าขวัญข้าวไม่ได้เอารถมา...”
เมื่อเจอคำถามไร้เยื่อใยของพายุ ขวัญข้าวจึงกล่าวตัดพ้อ พร้อมส่งสายตาเว้าวอน แม้ภายในใจจะโมโหลุกเป็นไฟตามนิสัยเอาแต่ใจของเธอก็ตาม แต่ก็ไม่อยากแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็น ว่านิสัยแท้จริงของเธอเป็นเช่นไร
“ก็ได้...ผมจะให้คนไปเรียกแท็กซี่ให้”
พายุตัดบท หันไปเปิดตู้เสื้อผ้าแต่งตัวตามปกติ โดยไม่สนใจคู่สนทนา ที่ยืนแข็งทื่อกับคำตอบ ว่าจะรู้สึกอย่างไร
“ทำไมทำแบบนี้” เธอตัดพ้อออกมาอย่างเหลืออด เพราะครั้งนี้เธอหวังต่อสานสัมพันธ์ใหม่อีกครั้ง แต่โดนตัดเยื่อใยจนไม่เหลือชิ้นดี...
“ก็ผมบอกแล้วว่าผมไม่ว่าง” พายุเริ่มหงุดหงิด
“ไปส่งเมียที่คอนโดหน่อยไม่ได้หรือไงคะ”
ขวัญข้าวยังตื๊อ พร้อมใช้คำว่าเมียออกมาเพื่อประชดกับอาการที่พอได้ปลดปล่อยแล้วทำท่าทางรังเกียจเหมือนเธอเป็นสิ่งสกปรกโสโครก
พายุละมือจากกระดุมเสื้อ จ้องมองสาวสวยอย่างไม่พอใจ กับคำว่า ‘เมีย’ ที่เธอใช้
“คุณว่าไงนะ เราเคยตกลงกันว่าไง คุณไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าเมียกับผมนะ”
“ทำไมจะใช้ไม่ได้ ก็ขวัญข้าวเป็นเมียพายุนี่”
“คู่นอนมากกว่ามั้ง...” เขาพูดอย่างไร้เยื่อใยอีกครั้ง คนฟังได้แต่กัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ “คนที่ใช้คำว่า ‘เมีย’ กับผมได้ คือเตชินเท่านั้น”
สีหน้าจริงจัง เป็นคำประกาศชัดเจน
“...เตชินนี่คือผู้ชายกับผู้ชายหรือเปล่าคะ” ขวัญข้าวไม่เชื่อหู จนต้องย้ำถาม
“ได้ยินชัดแล้วนี่” พายุย้อน
“หา นี่คุณเปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอ” คำตอบของพายุ ทำเอาขวัญข้าวถามกลับเสียงหลง
“ความชอบไม่ได้ตั้งกฎว่าเป็นเพศชายหรือหญิง ถ้าคนคนนั้นมีใจตรงกัน”
“แต่มันจะไม่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบนะคะ”
“สมบูรณ์แบบที่ว่าเขาวัดกันตรงไหน แม่ไปทางพ่อไปทาง...เห็นเด็กกำพร้ามีตั้งครึ่งค่อนประเทศ ไม่ใช่เพราะมีพ่อแม่ เป็นผู้หญิงผู้ชายหรอกหรือ”
“แต่มันก็ไม่ทั้งหมดนี่คะ”
“แล้วจะมาตั้งบรรทัดฐานว่าครอบครัวสมบูรณ์แบบ ต้องมีพ่อเป็นเพศชาย มีแม่เป็นเพศหญิงเหรอ ถ้าแบบนั้นผมค้านหัวชนฝา”
“โอ๊ย ไว้มีลูกให้ได้ แล้วค่อยมาเถียงได้ไหมคะ”
ขวัญข้าวตัดบท แต่ใจยังถากถาง เตชิน...ก็แค่ผู้ชาย มันจะมีดีอะไรนักหนา...
“ครอบครัวมันอยู่ที่ใจ คุณไม่ต้องมากังวลแทนผมหรอก”
“หรือคะ แล้วคิดว่าคนที่พายุเอ่ยถึงอยู่ เขาจะกลับมาหาคุณไหมล่ะ”
แววตาที่แฝงไปด้วยเลศนัยถือดีกล้าท้าทายในความคิดของตัวเอง และคำพูดนั้นก็เรียกความสงสัยจากพายุได้เป็นอย่างดี
“หมายความว่าไง ทำไมเตชินจะไม่กลับมาหาผม ถามแบบนั้นเพราะคุณรู้อะไรมาใช่ไหม” น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยถาม
“ไม่รู้ ขวัญข้าวก็พูดไปงั้นแหละ เพราะหากนายเตชินอะไรนั่นมา พายุก็คงไม่คว้าใครมานอนด้วย จริงไหมล่ะ”
คำตอบนั้น ไม่ได้ทำให้คิ้วที่ขมวดผูกปมคลายออกแต่อย่างใด
ซึ่งหลายวันแล้วที่เขาพยายามโทรหา แต่เตชินก็ไม่รับสาย จะว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ใกล้ตัว แต่มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เขาโทรไป
...เป็นร้อยสาย แต่ไม่มีคนรับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ถึงอย่างงั้น คุณก็อย่ามาหาเรื่องปวดหัวให้ผม ไม่งั้นผมไม่เอาคุณไว้แน่”
พายุไม่คลายความระแวงในตัวขวัญข้าว ก็เธอโผล่มาเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังมีปัญหา
“ก็แล้วแต่เลยค่ะ ไงขวัญข้าวกลับก่อนดีกว่า...คุณมีนัดกับน้องชายไม่ใช่เหรอ”
มุมปากบางยกสูง กลบความสะใจเอาไว้
“เดี๋ยว”
“อะไรอีก”
“ต่อไปอย่ามาให้ผมเจอหน้าอีก และอย่าเข้าใกล้ผมเด็ดขาด ไม่งั้นผมจะไม่ไว้หน้าจริงๆ” พายุสั่งกำชับจริงจัง
ขวัญข้าวกลืนน้ำลายลงคอ “นี่คุณรังเกียจขวัญข้าวมากขนาดนี้เลยหรือคะ”
“ผมไม่ไว้ใจคุณมากกว่า” พายุย้ำ
“ไม่ไว้ใจ ขวัญข้าวไปทำอะไรให้คุณไม่ไว้ใจคะ”
“ผมไม่รู้...แต่อยู่ให้ห่างผมและคนของผมไว้ก็พอ”
คำพูดและสีหน้า บ่งบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้คบกับผู้ชายด้วยกันเล่นๆ...
น้ำเหนือหันมองหญิงสาวที่เดินปรี่ออกไปจากบ้านโดยไม่คิดทักทาย จนกระทั่งพี่ชายเดินหน้ามู่ทู่ออกมา“ไปกันหรือยัง”คำถามเหมือนคนไม่ได้ทำอะไรผิดของพายุ ทำให้น้ำเหนือนั่งจ้องหน้านิ่ง จนอีกฝ่ายร้อนตัว“พี่ขอโทษ...”“เก็บคำขอโทษไว้ไปพูดกับเตชินเถอะครับ”“พี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ”“ทำแล้วมารู้สึกผิดเนี่ยนะ...ขอถามอะไรพี่หน่อยเถอะครับ”พายุรู้ว่าน้องจะถามเรื่องอะไร จึงเตรียมใจรับฟัง ส่วนน้ำเหนือมองสบตาพี่ชายอย่างมุ่งหวัง ก่อนจะมองเลยไปทางที่ผู้หญิงเดินหายไป ด้วยความเหนื่อยหน่าย“พี่คิดว่าการที่ผิดสัญญากับใครสักคน มันทำให้พี่สุขแค่ไหน แค่ชั่วครู่ที่ได้ปลดปล่อยเหรอ”คำถามทำให้พายุได้แต่อ้ำอึ้ง ด้วยสำนึกผิด“...แล้วพี่คิดบ้างไหม ว่าความสุขของพี่มันคือความเจ็บปวดของคนที่พี่บอกว่ารักเขาคนเดียว ยอมเขาแค่คนเดียว หรือจริงๆ แล้วมันก็แค่ลมปากที่พี่พูดออกมาแต่ว่ามันไม่จริง”“พี่...พี่ขอโทษ”“คำขอโทษของพี่มันง่ายเกินไปหรือเปล่าครับ อย่างที่พี่เพิ่งได้ปลดปล่อยแค่อารมณ์สั้นๆ นั่นหรือเปล่าครับ”คำถามของน้ำเหนือทำให้พายุนิ่งอึ้งเขาไม่ได้โกรธน้องชายที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว หากแต่กลับกันเขาเห็นใจน้องชายตัวเองมากกว
หลังจากที่ตกลงแบ่งหน้าที่กันแล้ว สองพี่น้องก็ลงมือจัดการทำหน้าที่ของตัวเองทันทีน้ำเหนือจัดการส่งข้อความ ‘เตทำไมไม่รับสาย ลืมนัดของเราแล้วเหรอ’ข้อความถูกส่งไปเมื่อพิมพ์เสร็จ น้ำเหนือรอคอยอย่างมีความหวัง ก่อนจะเหลือบตาไปมองคนนั่งข้างๆ ใจวูบโหวงแปลกๆ“เป็นไงบ้างพี่พายุ...”ใบหน้าไร้รอยยิ้มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาน้ำเหนือได้แต่ถอนหายใจทิ้ง“เดี๋ยวผมจะโทรอีกที”น้ำเหนือโทรเบอร์อีกครั้ง แต่แล้วเสียงเรียกรอสายก็ตัดไป“สายตัดไปแล้ว...” น้ำเหนือเปรยขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง“เตชินตัดสายน้ำเหนือทิ้งเหรอ”“ไม่นะ เอ๊ะ ผมก็ไม่แน่ใจ เอาแบบนี้ดีไหม เราไปรับเตชินที่บ้านเลยดีกว่า” น้ำเหนือออกความคิด“ไม่ดีหรอก ขนาดโทรไปเขายังไม่รับสายเลย” พายุเอ่ยหน้าเศร้าใจลึกๆ น้ำเหนือรู้สึกดีใจ ที่พี่ชายเลิกเที่ยวเตร่ และหันมาจริงจังกับใครสักคนแบบนี้ ที่สำคัญคนๆ นั้นก็คือเพื่อนรัก หากแต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเวลาผ่านไป ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขของคนคนเดียวกัน“ไปกันเถอะครับ” น้ำเหนือลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง หลังจากที่รอข้อความเตชินอยู่นาน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา แถมเบอร์โทร
เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่บัณฑิตใหม่จะยอมปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน โดยน้ำเหนือก็ออกไปถ่ายรูปกับเพื่อนอีกกลุ่ม เตชินจึงมองหาพี่ชายและอาพงศ์เพื่อจะถ่ายรูปกันต่อ...“มองอะไรอยู่ครับ” เตชินถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายเหมือนสนใจอะไรสักอย่างในกลุ่มเพื่อนของตนตะวันรีบเบนสายตา และปรับสีหน้าโดยไม่ตอบคำถามน้องชาย “เสร็จแล้วเหรอ”“ครับ...”“งั้นไปถ่ายรูปกัน ไปครับอาพงศ์...”อาพงศ์ที่ถูกให้เกียรติไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในครอบครัวยิ้มรับแล้วทั้งสามก็พากันไปถ่ายรูป เพื่อเก็บภาพวันดีๆ เอาไว้...แม้จะห่วง ทะนุถนอมดูแลไม่คลาดสายตา แต่คนเราพออายุเข้าวัยเบญจเพส ความรู้สึกนึกคิดของคนเราก็ต่างกันออกไป จากคนที่เคยว่านอนสอนง่าย ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พี่ชายที่มุ่งทำงานและศึกษาต่อก็ดูแลเอาใจใส่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ชะตาฟ้าลิขิต ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้...ตะวันลูบไล้ไปบนที่นอนที่ไร้ไออุ่น ประหนึ่งต้องการซึมซับความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ พร้อมกับส่งผ่านความรู้สึกของตัวเองไปยังผู้ที่เคยนอนอยู่บนเตียงนี้ขอบตาค่อยๆ ร้อนผ่าวลามไปถึงลำคอและปลายจมูกก่อนจะไปรวมตัวที่หน่วยตากลายเป็นหยดหยาดน้ำใสที่กลั่นมาจากความรู้สึกคิดถึง ริ
ระหว่างนั้น รถเริ่มชะลอความเร็วลง ดวงตากลมโตที่ยังฉายแววหวาดหวั่นอยู่ก็ตวัดไปมองข้างทางทันที โดยเลิกสนใจคำพูดของชายปกปิดใบหน้า ที่ตอนนี้กำลังส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ โดยที่น้ำเหนือเองก็ไม่เข้าใจว่าไปทำอะไรให้ผู้ชายคนนี้โกรธนักหนาถึงได้จับตัวเองมา...“ที่ไหน คุณจะพาผมไปไหน...” บรรยากาศผิดหูผิดตาจนนั่งก้นไม่ติดเบาะ “จะเอาผมมาฆ่าหมกป่าหรือไง”น้ำเหนือถามเสียงสั่น เมื่อมองออกไปนอกกระจกรถ มีแต่ต้นไม้เขียวขจี และมองเห็นภูเขาที่ลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศรอบด้าน มีเพียงความเงียบสงบดูเวิ้งว้างไร้ผู้คนในป่าในดง...ความคิดที่จะมองหาคนช่วยถูกพับเก็บไปทันทีและความหวาดกลัวก็เริ่มทวีมากขึ้นเป็นลำดับในขณะที่รถจอดนิ่งสนิท แต่หัวใจของน้ำเหนือกลับเต้นรัวเร็วขึ้น จนเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุดพรายอยู่ตามไรผมและใบหน้า...เขาพามาที่นี่ทำไม หรือว่าจะเอามาฆ่าหมกป่า น้ำเหนือคิด ความกลัวเริ่มแล่นเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง แล้วขยับตัวนั่งหลังตรง ตั้งใจว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ยอมลงไปจากรถอย่างเด็ดขาด...แสงอาทิตย์เรืองรองของรุ่งอรุณสะท้อนผ่านช่องเขาที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทุกอย่างรอบกายดูสดชื่นและอบอุ่น แต่ใครอีก
ตะวันมองมือที่จับข้อเท้าของน้ำเหนือ แล้วสะบัดมือออกอย่างไม่ออมแรง“โอ๊ย เจ็บ” ข้อเท้าที่ถูกมัดจนเป็นรอยเจ็บกว่าเดิม เมื่ออีกคนสะบัดแรง จนกระแทกไปกับขอบเบาะ“ไม่ลงใช่ไหม” เสียงทุ้มยังขู่คำรามออกมา เตรียมพร้อมจะกลับมากระชากขาอีกรอบน้ำเหนือยกขาหนีพร้อมกับบอก “ลงแล้ว” แล้วดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง กระเถิบตัวออกมาวางเท้าไปบนถนนลูกรัง“นี่คุณจะไม่แก้มัดให้ผมจริงๆ หรือไง”“เรื่องแค่นี้คงไม่ใหญ่สำหรับคุณหรอกนะ”“มาลองโดนบ้างไหมล่ะ”“ปากดี”จากที่เตรียมจะเดินออกไป ตะวันก็ต้องเดินกลับมาหาคนปากดีอีกครั้ง น้ำเหนือผวาขยับตัวลีบ“ปากดีอีกสิ” ตะคอกใส่พร้อมกับโน้มตัวเข้าหาคนที่ตัวเล็กกว่าน้ำเหนือพยายามดิ้นหนี แต่เนื้อที่จำกัด มือหนาจึงคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าเล็กแล้วออกแรงบีบ จนเจ้าของร้องลั่น“โอ๊ย เจ็บนะ...” น้ำเหนือหน้าเหยเกเสียงสั่นเพราะความเจ็บ“ถ้ายังปากดี จะเจ็บมากกว่านี้” เสียงทุ้มเหี้ยมเค้นเสียงออกมา ไม่สนเพราะเขาไม่ได้เจ็บเอง แล้วลากจนน้ำเหนือร่วงลงมาจากรถ ไร้ความปรานี“โอ๊ย อึก...” น้ำเหนือนอนจุก ตัวคู้งออยู่บนพื้น “อะ ไอ้คนเลว”น้ำเหนือผรุสวาทด้วยความโกรธเคือง น้ำตาเอ่อ ทั้งเจ็บใจและเจ็บร้าวไป
ด้วยความหวาดระแวง น้ำเหนือดันตัวเองลุกขึ้นจากแอ่งน้ำ ในขณะที่สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ‘เสือมีจริงหรือเปล่าวะ...’ เริ่มไม่ไว้ใจ เพราะรอบๆ เห็นแต่ต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมจนดูอึมครึมและวังเวงแม้จะเจ็บแปลบตรงข้อเท้า ก็พยายามฝืนจนยืนขึ้น แล้วกัดฟันทนกระโดดออกจากแอ่งน้ำ มายืนหอบเหนื่อยอยู่บนพื้นแห้ง เมื่อรู้สึกหายเหนื่อย ก็กระโดดหย็องๆ ออกไปริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง“มีอะไรให้เจอที่แย่กว่านี้ไหมเนี่ย” น้ำเหนือบ่นตัดพ้อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านไม้ทั้งหลังที่อยู่เบื้องหน้า หากใจล่องลอยไปถึงพี่ชาย‘ป่านนี้พี่พายุคงตามหาให้วุ่นแล้วสิ...’ น้ำเหนือคิดอย่างกังวลความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวทำให้น้ำเหนือทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้ง แล้วมองไปยังตัวบ้านที่ใครอีกคนเดินหายเข้าไปเมื่อครู่ก่อน และยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาใหม่แม้จะปวดแขนและข้อมือ น้ำเหนือก็พยายามขยับแขนที่ถูกมัดไพล่หลังไปมา หมายจะให้เชือกคลายตัวออก แต่ก็กัดฟันทนจนที่สุดเชือกก็เริ่มคลายออก พยายามอีกเป็นครู่เชือกก็หลุดออกเมื่อมือทั้งสองข้างเป็นอิสระน้ำเหนือก็รีบแก้เชือกที่มัดข้อเท้าจนได้ริมฝีปากแห้งซีดยิ้มอย่างดีใจ...ตอนนี้
เมื่อข้อมือเป็นอิสระ น้ำเหนือก็รีบวิ่งจ้ำอ้าวไปตามทาง โดยไม่หันกลับมามองหลัง ในใจก็แช่งชักหักกระดูกคนหยาบคายไปด้วย เชอะ เจ็บให้ตายไปเลย“ร้ายนักนะ...เดี๋ยวได้เจอดี” เสียงเหี้ยมเอ่ยลอดไรฟัน พยายามปรับสภาพร่างกายให้กลับมาเป็นปกติโดยไว และเมื่อร่างกายคืนสภาพเดิมตะวันก็ออกวิ่งไล่ตามเพียงก้าวเดียวของตะวัน แต่เท่ากับสองก้าวของคนตัวเล็กอย่างน้ำเหนือ อีกทั้งข้อเท้าที่บวมแผลก็ยังเป็นอุปสรรค จึงทำให้ไปได้ไม่ไวอย่างที่คิดหวัง ไม่นานก็โดนตะครุบตัวไว้ได้“เฮ้ย อึก”แล้วพากันล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้นหญ้าเปียกแฉะด้วยกันทั้งคู่“ปล่อยกู ไม่งั้นกูจะไม่เกรงใจแล้วนะ”น้ำเหนือที่ยังพอมีแรงดิ้นตะโกนบอก หากแต่เจ้าของวงแขนสวมกอดและรัดรึงไว้แน่น ประหนึ่งงูเหลือมรัดเหยื่อก็ไม่ปาน“ทำไม อ่อนปวกเปียกอย่างนายจะทำอะไรได้”“เออ” แล้วออกแรงสลัดจนแขนข้างหนึ่งเป็นอิสระผลัวะสิ้นเสียง มือข้างที่เป็นอิสระก็ปล่อยหมัดไร้ช่องโหว่ ไปปะทะซีกหน้าข้างขวาของตะวันเต็มแรง จนเขาหน้าหัน และมึนชาไปครู่หนึ่งหลังจากที่หายมึน ตะวันก็หันมามองใบหน้าเรื่อแดงช้าๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปลดสายมาสก์บนใบหน้าตัวเองออกข้างหนึ่ง แล้วถมน้ำลายลงพื้น ปราก
แล้วสิ่งที่น้ำเหนือไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ เมื่อมือหนากระชากจนเสื้อที่กระดุมขาดอยู่แล้ว ขาดติดมือไปอีก แล้วจับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของตนให้นอนคว่ำหน้าลงไปบนพื้นหญ้า จากนั้นเสื้อที่ถูกกระชากขาด กลับกลายมาเป็นสิ่งอำนวยให้อีกฝ่าย เมื่อเขาใช้มันมาปิดตาเจ้าของเสื้อไว้“อึก ปล่อยกู” น้ำเหนือเปล่งเสียงตวาดลั่น แต่คนที่นั่งคร่อมกลับกดแผ่นหลังไว้ด้วยแรงทั้งหมดลงมา จนเจ็บจุกหายใจไม่ออก“หากยังปากดีฉันจะปิดปากนายด้วยรองเท้า” เสียงทุ้มเหี้ยมบอก ในขณะที่มือกำลังดึงทึ้งกางเกงของน้ำเหนือให้ร่นลงจนเห็นร่องก้น“ไอ้เลว จะทำอะไร อย่านะ อย่า อึก...” น้ำเสียงสิ้นหวังเอ่ยดังแม้ไม่เห็น แต่การสัมผัสของอีกฝ่ายทำให้น้ำเหนือรับรู้ได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เมื่อมือหนาเริ่มเคล้าคลึงไปที่ก้นและสลับกับจูบไปบนแผ่นหลัง“เป็นเด็กดีนะ...” เสียงทุ้มราบเอ่ยออกมาเบาๆ สายตามองไล้ไปบนผิวนวลเนียน โดยมืออีกข้างกดที่ลำคออีกฝ่ายไว้แน่นไม่ปล่อย“อึก อย่า...อย่าทำอะไรผมแบบนี้...” เสียงสั่นเทาเอ่ยแกมขอร้อง แต่ตอนนี้ร่างกายของตะวันตอบสนองกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจึงไม่สนคำใด...มือหนายังคงลูบคลึงไปตามสัดส่วนที่น่าสัม