ตั้งแคมป์กันเหรอ...ตะวันคิดสรุป เพราะเห็นว่ามีอุปกรณ์ครบไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ อีกทั้งเห็นว่ามีเสื้อผ้าเปียกน้ำผึ่งแดดไว้“ไม่ยักรู้ว่าพี่ภาคินก็แม่นปืนกับเขาด้วย”เสียงคุ้นหูดังระรื่นมาแต่ไกล ทำให้คนได้ยินถึงกับหูอื้อ ใจเต้นแรงทันที“คุณตะวัน...” ภาคินเรียกผ่านริมฝีปาก ส่วนน้ำเหนือหน้าถอดสีแล้วขยับไปจับไหล่ของภาคินไว้ภาคินเหลือบตามองน้ำเหนือด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันมาพูดกับผู้ชายหน้าบอกบุญไม่รับตรงหน้า“ไม่ทราบว่ามีอะไรด่วนหรือเปล่า ถึงได้เดินตัดเข้ามาในอาณาเขตของคนอื่นแบบนี้.. ระวังเถอะ เจ้าของไร่อาจตาลายนึกว่าเป็นสัตว์ร้ายจะโดนเป่าเอาง่ายๆ นะครับ”“อยากเป่าก็เป่าสิ แต่ต้องเป่าทีเดียวให้ตายนะ” ในขณะที่พูดตาก็มองกร้าวไปยังหนุ่มที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังลูกชายเจ้าของไร่“ผมไม่ใจร้ายใจดำขนาดยิงคนเหมือนกันได้หรอกครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไร แค่ตกใจเสียงปืนก็เท่านั้น”“อ้อ ครับ ผมไม่ทันคิดว่าผมซ้อมมือที่ไร่ผม แล้วจะไปรบกวนคนอื่น”“ครับ บังเอิญว่าทิศทางลมมันไปทางไร่ผมกับน้องชายพอดีเลยทำให้ตกใจ ที่สำคัญคุณก็รู้ว่าน้องชายผมไปเจออะไรมา หากผมจะหวาดระแวงก็คงไม่แปลกนะครับ...แต่ตอนนี้
ปัง ปัง ปัง“ไม่ อึก...” น้ำเหนือวิ่งถลาไปหาร่างที่ทรุดลงไปบนพื้นหญ้าอย่างตกใจสุดขีดในขณะที่เตชินทรุดตัวสลบไปพร้อมภาพสุดท้าย คือร่างของพี่ชายที่เต็มไปด้วยเลือด ซึ่งถูกน้ำเหนือประคองกอดไว้ ส่วนพายุวิ่งไปดูเตชินและประคองศีรษะไม่ให้กระแทกลงบนพื้นพายุมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาดด้วยความหดหู่ใจ ความโกรธเกลียดก่อนหน้านั้นหายไปหมดสิ้น เมื่อคนที่ตัวเองประคองอยู่นั้น เจอเรื่องหนักหนาเกินกว่าจะซ้ำเติม และตัวเองก็ไม่ควรเก็บเรื่องราวในอดีตเอามาเป็นทุกข์อีกต่อไป...ช่วงชุลมุนนั้นภาคินระเบิดกระสุนใส่มือของพงศ์จนปืนกระเด็น พงศ์ลงไปนอนกุมมือร้องโอดโอยอยู่ตรงนั้นสองอาทิตย์ต่อมาตะวันเริ่มรู้สึกตัวหลังจากที่มีอาการโคม่าและผ่าตัดถึงสองครั้ง เพื่อเอากระสุนที่อยู่ใกล้จุดสำคัญออกมา และได้น้ำเหนืออยู่ดูแลไม่ห่างโดยมีเดร์เข้ามาช่วยเป็นบางครั้ง จนพายุและภาคินยอมใจอ่อนไม่ห้ามปรามและปล่อยให้ไปตามใจที่น้องชายต้องการ ส่วนพงศ์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และเข้ารับการรักษาเนื่องจากมีอาการจิตหลอน ในขณะที่เตชินยังมีอาการหวาดผวาก็ได้พายุเป็นคนดูแลในระหว่างที่ตะวันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล...“ฟื้นแล้ว” น้ำเหนือดีดตัวลุกขึ้
ณ ธงชัยสิทธิ์เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เตชินทำเรื่องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศเรียบร้อย และกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทางในอีกสองวัน“แน่ใจนะว่าไปอยู่คนเดียวได้” ตะวันเดินเข้ามาแล้วเอามือวางไปบนไหล่น้องชาย เตชินเงยหน้าขึ้นมาแล้วฉีกยิ้มให้“อยู่ได้สิครับ ผมน้องพี่ตะวันนะ...” ดวงตากลมใสเป็นประกาย หากแต่ตะวันมองออกว่านั่นคือการพยายามแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่ใจร้องไห้...“มันเป็นไปไม่ได้แล้วใช่ไหม...” เพราะสองอาทิตย์ที่ตัวเองนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ทางนี้ก็ได้พายุเป็นคนรับหน้าที่ดูแล มันคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง...คำถามของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน สะท้อนตรงลงมากลางอก เตชินดวงตาอ่อนแสง แล้วตอบเสียงสั่นเครือ “แค่พี่เขาไม่รังเกียจผมก็ดีมากแล้ว”“อืม...อาจจะไม่ใช่เวลาที่ใช่”“แล้วเรื่องพี่ตะวันกับน้ำเหนือล่ะครับ...” เตชินเปลี่ยนเรื่อง“พี่ก็ไม่ท้อหรอก พยายามตามจีบเขาอยู่”“งั้นผมเอาใจช่วยนะครับ” แล้วสองพี่น้องก็สวมกอดส่งกำลังใจให้กันสนามบินสุวรรณภูมิ“น้ำเหนือบอกว่าจะมาส่งเหรอ” ตะวันเอ่ยถามหลังจากที่เห็นน้องชายชะเง้อคอยาวมองไปยังประตูทางเข้า“เห็นบอกว่าจะมา...” น้ำเ
ณ ไร่ตะวัน“นี่จะไม่ให้ลุกไปไหนเลยหรือไง” น้ำเหนือถามเสียงเข้ม เพราะพยายามปลดแขนที่กอดรัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกจากตัว แต่อีกฝ่ายก็ขืนไว้ไม่ยอมให้ปลดออก“ผมยังไม่อิ่มเลย”“นี่ฟ้าจะเปลี่ยนสีอยู่แล้ว ลุกขึ้นไปดูคนงานบ้างเถอะ...” ว่าแล้วก็ตีไปบนต้นแขนแข็งแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที “ไหนบอกว่าจะพามาดูไร่ นี่อะไร ขังไว้ในห้องตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”“ก็คนมันคิดถึง”“คิดถึงหรือเงี่ยน”“โธ่...ปากคอเราะรายขึ้นนะ” ว่าแล้วก็ปล่อยแขนออกจากเอวน้ำเหนือจึงดีดตัวลุกขึ้น มองร่างใหญ่ล่ำที่นอนแผ่โชว์กล้ามเนื้อแน่น ซึ่งน้ำเหนือหน้าเห่อร้อนทุกครั้งที่เห็นและสัมผัส...“ผมอยากไปดูสวนผัก...”“จะเปลี่ยนไปนอนกระท่อมไหมล่ะ บรรยากาศท่าจะดี หรือริมลำธารดีล่ะ...”รู้ว่าตะวันแกล้งพูดยั่ว ซึ่งน้ำเหนือก็ไม่ได้ใส่ใจ หากแต่สนใจกระท่อมไม้ที่ตัวเองเคยซุกหัวนอน“ยังไม่พังอีกเหรอ”ในเมื่อสภาพกระท่อมเป็นเพียงไม้ไผ่สานบางๆ และใบไม้แห้งจะทนแดดทนฝนไปได้นานเท่าไหร่กัน“ผมสั่งให้ลุงมิ่งดูแลอย่างดีเลยนะ”“เพื่อ...”“ความทรงจำผมอยู่ที่นั่นไง”“ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ผมอยากเห็นแล้ว” พูดพลางก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเดินตรงไปยังห้อ
เมื่อหลายปีก่อน ‘ตะวัน’ เห็น ‘น้ำเหนือ’ แค่เพียงไกลๆ แต่แค่นั้นเขาก็รู้สึกประทับใจขึ้นมาในทันที แต่เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง เหตุการณ์ทุกอย่างกลับพลิกผัน เด็กหนุ่มในวันนั้น กลับกลายมาเป็นศัตรูที่เขาอยากฆ่าให้ตายคามือ เพราะคิดว่าเป็นตัวการอีกคน ที่ทำให้น้องชายเขาต้องมาจบชีวิต...‘นายเหมือนทองคำที่บริสุทธิ์ แต่กลับห่อหุ้มด้วยยาพิษ และฉันจะทำลายนายทิ้ง’‘น้ำเหนือ’ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่กลับกลายมาเป็นเครื่องมือให้ ‘ตะวัน’ แก้แค้นให้น้องชายตัวเอง เพื่อเอาคืน ‘พายุ’ ที่เป็นต้นเหตุให้ ‘เตชิน’ ฆ่าตัวตาย ‘ตะวัน’ ไม่คิดว่ากวางน้อยที่เขาข่มเหงจะหลุดไปได้ หนึ่งปีต่อมา กลับพบว่า ความทรงจำส่วนหนึ่งของน้ำเหนือที่มีต่อเขาได้หายไป...ตะวันจะทำเช่นไรเมื่อสิทธิ์ของเขา กำลังถูกเพิกเฉย และทุกอย่างที่อยู่ในใจของ ‘ตะวัน’ ผู้จริงจังกับชีวิต จะได้รับการแก้ไขด้วยวิธีแบบใด แล้ว ‘น้ำเหนือ’ จะฟื้นความทรงจำส่วนหนึ่งที่หายไปกลับมาได้ไหม หรือจะปล่อยให้เรื่องราวในอดีตกลายเป็นเพียงฝันร้าย แล้วเริ่มต้นเรื่องราวดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกระนั้นหากความทรงจำของน้ำเหนือกลับมา แล้วจะยอมมองหน้าคนที่ทำลายอนาคตตัวเองได้หรือไม่
พงศ์มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเศร้าเพียงลำพังมานานเกินพอ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาด้วยความระมัดระวัง เพราะคลื่นเริ่มกระแทกเข้ามาแรงขึ้น“คุณตะวัน กลับขึ้นฝั่งเถอะ เหมือนพายุกำลังจะมา” พงศ์เอ่ยด้วยความเป็นห่วงดวงตาที่ยังฉายชัดถึงความโศกเศร้าผินมามองเขา“คนที่ยังอยู่ก็ต้องดูแลตัวเองนะครับ”พงศ์เอ่ยเตือนสติ เพราะรู้สึกหวั่นใจ เมื่อเห็นว่าตะวันยังคงจมดิ่งอยู่ในความเศร้า อีกทั้งสีหน้าและแววตายังแสดงความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา“อาพงศ์รู้จักใช่ไหม” น้ำเสียงแหบต่ำของตะวันถามขึ้นพงศ์หน้าถอดสี ลังเลกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดวงตาหรี่แคบ ตัดสินใจเปิดปากพูดแต่ไม่เต็มเสียงนัก“ครับ เป็น...” น้ำเสียงเล็ดลอดออกมาแค่นั้นก็ต้องหยุดลง“จะปกปิดไว้ทำไม บอกผมมา ผมจะไป...”ตะวันแสดงอาการเดือดดาล แต่แล้วก็กลับชะงักทำท่าเหมือนข่มอารมณ์แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้น “อาพงศ์อย่ากลัว ผมแค่อยากรู้...”“คุณตะวันครับ...” พงศ์กลืนความอึดอัด ไม่แน่ใจว่า ‘แค่อยากรู้’ ของชายหนุ่มมีความหมายเช่นไรมือเรียวหนาที่เกาะกุมรั้วเหล็ก ยกขึ้นในลักษณะห้าม“พอ...เพราะผมจะไม่ยอมให้มันอยู่อย่างเป็นสุขแน่ น้องชายผมทั้งคน”พงศ์
สองปีก่อน...หน้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง...เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตา ในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง ยืนอยู่จุดเดิมประจำ โดยประกายตาไร้เดียงสา จับจ้องอยู่ที่หน้าจอสี่เหลี่ยม ซึ่งมีรอยยิ้มแต้มอยู่ตลอดเวลาอย่างกับว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือนั้นกำลังพูดคุยหยอกล้ออยู่กับเขา‘ถึงแล้วนะ’ ข้อความสุดท้ายผ่านสายตาน้ำเหนือ ก่อนจะยิ้มให้กับข้อความอีกครั้ง แล้วปิดเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุดเข้ากระเป๋าคนยืนรอยังไม่ทันขยับไปไหน รถคันหรูก็จอดเทียบริมทางเท้า ก่อนที่เพื่อนใหม่จะก้าวลงจากรถ“วันนี้มาสายนะ”น้ำเหนือที่ยืนรออยู่ก่อนเย้าขึ้น อีกฝ่ายส่งยิ้มแล้วตอบกลับ“ก็อาพงศ์สิ...เก็บไฟแดงทุกรอบเลย” พูดด้วยสีหน้ากระเง้ากระงอดขณะชม้ายตามองไปยังคนขับรถคนสนิทในขณะที่พงศ์ลดกระจกแล้วยิ้มกว้าง ไม่ถือสากับคำพูดของเตชินเพราะรู้ว่าเป็นเพียงการหยอกเย้า“สวัสดีครับอาพงศ์...” น้ำเหนือยกมือไหว้ทักทายผู้มีวัยสูงกว่าอย่างมีมารยาทอาพงศ์ยกมือรับไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเต็มใบหน้า“ผมล้อเล่นนะครับ เตชินไม่ได้มาสายหรอก แต่วันนี้พี่ชายผมมาส่ง เลยถึงไวหน่อยครับ” เสียงทุ้มนุ่มรีบบอก พงศ์ยิ้มกว้าง“งั้นไปกันเถอะ...” เตชินเอ่ยชว
รถเบนซ์สีดำคันใหม่เอี่ยมแล่นหายไปจากถนนสายหลัก น้ำเหนือหันมาสนใจหน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ เพื่อค้นหาชื่อพี่ชายตัวดี...นัดไม่เคยเป็นนัด ในใจก็ค่อนขอดพี่ชาย นิ้วก็ไม่เป็นใจ กดผิดกดถูก พอใจหงุดหงิดสมาธิก็หาย ครั้นพอนิ้วสัมผัสปุ่มชื่อ เสียงกระแอมไอก็ดังมาจากด้านหลังแม้จำน้ำเสียงได้แต่น้ำเหนือก็อดสะดุ้งไม่ได้ เพราะดังมาแบบไม่ทันตั้งตัว“พี่พายุ ตกใจหมดเลย...” บ่นใส่พี่ชายตาก็จิกมองหน้าง้ำ“ขวัญอ่อนไปได้”พี่ชายผู้เพียบพร้อมไปทั้งหน้าตาและรูปร่างเอ่ยแซวพร้อมฉีกยิ้มให้น้องชาย“ขวัญไม่อ่อนหรอกครับ แต่คิดว่าพี่แกล้งให้ผมรอ แล้วตัวเองก็หนีกลับไป” เสียงเง้างอดตัดพ้อคนตรงหน้าคนโดนตัดพ้อยักไหล่แล้วยิ้มกว้าง “กลับพรุ่งนี้”เมื่อได้คำตอบ คนฟังก็ถอนหายใจ “ยังไม่หายคิดถึงเลย...” น้ำเสียงและสีหน้ายังคงตัดพ้อต่อไป “แล้วนี่มาไวหน่อยก็ไม่ได้ จะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก”“เหรอ ไหนละ?” แล้วทำทีมองไปรอบๆ“กลับไปแล้ว”“อ้าว เสียดายจัง ว่าแต่เพื่อนแน่นะ”“แน่สิครับ”“แล้วผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ” พี่ชายทำตาโตถามกลับ“แล้วพี่สนใจผู้หญิงหรือผู้ชายมากกว่ากันล่ะครับ”คนโดนย้อนถามอย่างพายุถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนจะตอบไปต