สองปีก่อน...
หน้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง...เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตา ในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง ยืนอยู่จุดเดิมประจำ โดยประกายตาไร้เดียงสา จับจ้องอยู่ที่หน้าจอสี่เหลี่ยม ซึ่งมีรอยยิ้มแต้มอยู่ตลอดเวลาอย่างกับว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือนั้นกำลังพูดคุยหยอกล้ออยู่กับเขา
‘ถึงแล้วนะ’ ข้อความสุดท้ายผ่านสายตาน้ำเหนือ ก่อนจะยิ้มให้กับข้อความอีกครั้ง แล้วปิดเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุดเข้ากระเป๋า
คนยืนรอยังไม่ทันขยับไปไหน รถคันหรูก็จอดเทียบริมทางเท้า ก่อนที่เพื่อนใหม่จะก้าวลงจากรถ
“วันนี้มาสายนะ”
น้ำเหนือที่ยืนรออยู่ก่อนเย้าขึ้น อีกฝ่ายส่งยิ้มแล้วตอบกลับ
“ก็อาพงศ์สิ...เก็บไฟแดงทุกรอบเลย” พูดด้วยสีหน้ากระเง้ากระงอดขณะชม้ายตามองไปยังคนขับรถคนสนิท
ในขณะที่พงศ์ลดกระจกแล้วยิ้มกว้าง ไม่ถือสากับคำพูดของเตชินเพราะรู้ว่าเป็นเพียงการหยอกเย้า
“สวัสดีครับอาพงศ์...” น้ำเหนือยกมือไหว้ทักทายผู้มีวัยสูงกว่าอย่างมีมารยาท
อาพงศ์ยกมือรับไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเต็มใบหน้า
“ผมล้อเล่นนะครับ เตชินไม่ได้มาสายหรอก แต่วันนี้พี่ชายผมมาส่ง เลยถึงไวหน่อยครับ” เสียงทุ้มนุ่มรีบบอก พงศ์ยิ้มกว้าง
“งั้นไปกันเถอะ...” เตชินเอ่ยชวนน้ำเหนือ ก่อนจะหันมาพูดกับคนขับรถที่ตัวเองเคารพเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง “ขับรถกลับดีๆ นะครับ”
แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินเข้าไปในตึกเรียน ปล่อยให้สายตาผู้สูงวัยกว่า นั่งอยู่ในรถมองตามด้วยความอุ่นใจ ก่อนจะเคลื่อนรถออกไป
ระหว่างที่เดินขึ้นบันได เตชินมีเรื่องคาใจอยู่จึงถามขึ้น “เออ นายมีพี่ชายด้วยเหรอ”
น้ำเหนือหรี่ตามอง ไม่นึกว่าเพื่อนจะอยากรู้เรื่องคนในครอบครัวตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรจึงตอบไป “มีสิ”
“เหรอ ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”
“พี่เขาไม่ได้อยู่ไทย เลยไม่อยากพูดถึง”
“ออ แล้วอยู่ประเทศอะไรล่ะ”
“อังกฤษ” น้ำเหนือตอบสีหน้าเหี่ยวแห้ง
“ไกลเหมือนกัน”
“ใช่ไกล...ออ...แล้วนายล่ะ มีพี่น้องไหม” น้ำเหนือถามกลับ
“มีสิ มีพี่ชายเหมือนกัน”
“เหรอ...”
“แต่ไม่ได้อยู่ไทยเหมือนกัน” คนตอบสีหน้าสลดลงไม่ต่างกัน
น้ำเหนือยิ้มแห้ง เมื่อเจอเพื่อนที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน
“ยิ้มไว้เพื่อน เขาไป ไม่ใช่ว่าจะไม่กลับมาเนอะ” น้ำเหนือเอ่ยน้ำเสียงระรื่น ทั้งปลอบเพื่อนและก็ปลอบตัวเองไปด้วย
ดวงตากลมโตมองประสานกันแล้วยิ้มให้อย่างเข้าใจหัวอกเดียวกัน แล้วพากันมุ่งตรงไปยังห้องเรียน
ชั่วโมงเรียนคาบสุดท้ายจบลง นักศึกษาทั้งหมดก็ทยอยพากันเดินลงจากตึก น้ำเหนือกับเตชินก็ยังมีเรื่องคุยไม่หยุดปากจนกระทั่งทั้งคู่เดินมาถึงจุดที่ต้องรอรถจากทางบ้าน
“โดนบ่นเข้าหน่อยมาซะไวเลย” เตชินมองไปที่รถของตัวเอง ซึ่งนั่งมาตั้งแต่อยู่ประถม และตอนนี้จอดอยู่ที่ที่เคยจอดเป็นประจำ
“มาไวกลับไวไม่ดีหรือไง”
“ยังมีเรื่องอยากคุยกับนายอยู่เลย”
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ ตอนนี้กลับเหอะเดี๋ยวอาพงศ์รอนาน”
“งั้นถึงแล้วทักไลน์มานะ” คนยังอยากคุยต่อเอ่ยกำชับ
“ได้สิ ถึงแล้วจะทักไป” น้ำเหนือรับคำก่อนจะละสายตาจากเตชินที่เดินไปเปิดประตูรถของตัวเอง
เตชินส่งสัญญาณให้อาพงศ์รอก่อน แล้วตัวเองก็ลดกระจกลง “แล้วนายละ...” เตชินตะโกนถามเพื่อนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
เสียงนั้นทำให้น้ำเหนือหันไปมอง และพบว่ารถของเตชินยังจอดอยู่ที่เดิม
“พี่คงใกล้มาแล้วล่ะ...” หันไปตอบเพื่อนแล้วก็หันกลับไปมองบริเวณที่มีรถจอดเรียงเป็นแถวอีกรอบ “รถคงติดอะ” พูดปลอบใจตัวเอง และไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงกังวล
“ให้เราไปส่งไหม” เตชินเอ่ยอาสาด้วยความเต็มใจ
“เฮ้ย...ไม่เป็นไรหรอก นายกลับไปเหอะ”
“จะรอเป็นเพื่อน” คนหวังดีเอ่ยขัดแล้วเปิดประตูรถออกมายืนเคียงกันอีกรอบ
ความเกรงใจ ทำให้น้ำเหนือรีบบอกไป “ไม่เป็นไร”
“เป็น ไม่อยากให้ยืนรอคนเดียว” เตชินยืนยัน
น้ำเหนือถอนหายใจ “เราไม่ใช่เด็กสามขวบ...อีกอย่างเผื่ออาพงศ์ต้องรีบไปทำอย่างอื่น นายรีบกลับไปเถอะ”
“ไล่จริง”
“ไม่ได้ไล่ แต่เกรงใจ”
“จะมาเกรงจงเกรงใจอะไร”
“ไม่ได้เกรงใจนาย แต่เกรงใจอาพงศ์โน่น” ว่าแล้วทำปากบุ้ยใบ้ไปยังคนที่นั่งอยู่ในรถ
“ก็ได้ แต่นายต้องตอบไลน์เราทุกครั้งที่เราทักมานะ”
“เกินไปป่ะ”
“ก็คนมันห่วง”
“ได้ แต่ไม่ใช่ขึ้นไปนั่งบนรถปุ๊บทักมาปั๊บนะ”
คนโดนรู้ทันยิ้มกริ่มแล้ววิ่งกลับไปขึ้นรถ และก็จริงอย่างที่น้ำเหนือพูดดักไว้ เมื่อรถเคลื่อนออกไป ยังมองเห็นไฟท้ายรถ ไลน์เตชินก็ดังขึ้น...
รถเบนซ์สีดำคันใหม่เอี่ยมแล่นหายไปจากถนนสายหลัก น้ำเหนือหันมาสนใจหน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ เพื่อค้นหาชื่อพี่ชายตัวดี...นัดไม่เคยเป็นนัด ในใจก็ค่อนขอดพี่ชาย นิ้วก็ไม่เป็นใจ กดผิดกดถูก พอใจหงุดหงิดสมาธิก็หาย ครั้นพอนิ้วสัมผัสปุ่มชื่อ เสียงกระแอมไอก็ดังมาจากด้านหลังแม้จำน้ำเสียงได้แต่น้ำเหนือก็อดสะดุ้งไม่ได้ เพราะดังมาแบบไม่ทันตั้งตัว“พี่พายุ ตกใจหมดเลย...” บ่นใส่พี่ชายตาก็จิกมองหน้าง้ำ“ขวัญอ่อนไปได้”พี่ชายผู้เพียบพร้อมไปทั้งหน้าตาและรูปร่างเอ่ยแซวพร้อมฉีกยิ้มให้น้องชาย“ขวัญไม่อ่อนหรอกครับ แต่คิดว่าพี่แกล้งให้ผมรอ แล้วตัวเองก็หนีกลับไป” เสียงเง้างอดตัดพ้อคนตรงหน้าคนโดนตัดพ้อยักไหล่แล้วยิ้มกว้าง “กลับพรุ่งนี้”เมื่อได้คำตอบ คนฟังก็ถอนหายใจ “ยังไม่หายคิดถึงเลย...” น้ำเสียงและสีหน้ายังคงตัดพ้อต่อไป “แล้วนี่มาไวหน่อยก็ไม่ได้ จะแนะนำเพื่อนให้รู้จัก”“เหรอ ไหนละ?” แล้วทำทีมองไปรอบๆ“กลับไปแล้ว”“อ้าว เสียดายจัง ว่าแต่เพื่อนแน่นะ”“แน่สิครับ”“แล้วผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ” พี่ชายทำตาโตถามกลับ“แล้วพี่สนใจผู้หญิงหรือผู้ชายมากกว่ากันล่ะครับ”คนโดนย้อนถามอย่างพายุถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนจะตอบไปต
ร้านประจำที่ว่าก็คือร้านเบเกอรีกึ่งคาเฟ่ร้านดังร้านหนึ่ง เป็นร้านที่ตกแต่งไว้ให้ลูกค้าเข้ามาถ่ายรูปได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือน้ำเหนือผู้ชอบกินของหวานและรักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ“ร้านประจำของเราไง” ริมฝีปากหยักคลี่ขยาย มองน้องชายคนเดียวด้วยความเอ็นดู“ดีเลย” ว่าแล้วก็ตบไปที่หน้าท้องแบนๆ ของตัวเอง และนั่งลงรัดเข็มขัดนิรภัยเตรียมพร้อม โดยเจ้าตัวไม่รู้ว่าครั้งนี้ คือการเอาใจเพื่อหวังผลของพี่ชาย...เมื่อถึงร้านประจำ พายุมองหาโต๊ะที่แยกเป็นส่วนตัวเล็กน้อย เมื่อได้ที่นั่งเหมาะ น้ำเหนือก็เป็นคนจัดการสั่งขนมหวานให้ตัวเองและพี่ชาย ระหว่างที่รอพนักงานมาเสิร์ฟ น้ำเหนือก็หยิบมือถือออกมากดดู ครั้นเมื่อเปิดหน้าจอมือถือก็มีเสียงข้อความไลน์เด้งรัวๆ เข้ามาจนทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามชำเลืองดู และอดเย้าแหย่ไม่ได้“รัวมาแบบนี้แฟนชัวร์”“เพื่อนครับ คนนี้แหละที่ผมจะแนะนำให้พี่รู้จัก” น้ำเหนือมีประกายตาจริงจังเมื่อเอ่ยถึงเพื่อนคนสำคัญ“ผู้ชาย”“ครับ เพื่อนคนแรกที่เข้ามหา’ลัยวันแรก ต่างคนต่างไม่มีเพื่อนเลยคลิกหากันง่าย ตอนนี้เตชินติดผมเป็นตังเมเลยครับ” ขณะที่เอ่ยถึงเพื่อนใบหน้าน้องชายดูสดใสมาก“คงจะติดจริง น
ณ บ้านวิสิฐกุลในห้องนอนที่กำลังกลายเป็นไฟ โดยเจ้าของห้องพาร่างที่กำลังมึนเมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มโดยมีร่างนุ่มนิ่มล้มทาบทับลงมา“เบาๆ สิคร้า...” เสียงนุ่มลากยานเอ่ยปราม เมื่อมือเจ้าของห้องขย้ำบั้นท้ายลูบไล้ฝ่ามือสอดแทรกเข้าด้านในเสื้อรัดรูปตัวบางอย่างกระหายสัมผัสเนื้อแท้“อื้อ...” เสียงคล้ายรำคาญดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนา เมื่อมืออีกฝ่ายจับมือซุกซนของเขาไว้เสียงหวานกระเส่าเอ่ยบอก ก่อนจะก้มลงไป ใช้ริมฝีปากปรนเปรอให้อย่างรู้หน้าที่“อืม...” เสียงทุ้มดังพอใจ แล้วปลุกปลอบตอบรับกันอย่างดูดดื่มเหมือนของคุ้นเคยที่ห่างหายกันมานานแรมปี“อื้อ อย่ารีบสิคะ” เสียงหวานของสาวสวยร่างสมส่วนร้องห้ามเมื่อมือหนาพยายามดึงรั้งเสื้อผ้าบางๆ ของเธอออกอย่างรวดเร็ว จนกลัวว่ามันจะฉีกขาดติดมือเขาไปเสียก่อน“ผมจะไม่ไหวแล้วนะ” เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกทั้งที่เปลือกตาเกือบปรือมองไม่ไหว แต่ความต้องการของคนหนุ่มกำลังลุกโชนอย่างหนัก เขาทนรอตั้งแต่อยู่ในรถและตอนนี้เมื่อถึงที่หมายเขาไม่อยากรอช้าอีกต่อ“อือ รอก่อน เดี๋ยวจัดให้นะคะ” เธอกระซิบข้างติ่งหูขาวสะอาด ก่อนจะกัดเบาๆ อย่างหยอกเอินพายุสะดุ้งขนชี้ชัน
ร่างบางสะดุ้ง หากแต่ไม่มีความเจ็บปวด “อืออ...” ขวัญข้าวส่งเสียงครางบ่งบอกถึงความพอใจ ครั้นเมื่อชายหนุ่มขยับขับทำนองเข้าออกอย่างเนิบช้าเป็นจังหวะ ริมฝีปากบางก็ครางกระเส่าเสียวซ่านรัญจวนใจ ในบทพิศวาสเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา...ความกำหนัดบวกกับแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในเส้นเลือด ความร้อนแรงจึงมีตามมา แรงส่งกระแทกเข้าหากลางลำตัว จนคนใต้ร่างสะเทือนไหวไปตามจังหวะหากแต่พร้อมรับโดยไม่มีถอยจนการเดินทางกำลังถึงฝั่ง สติที่ยังมีอยู่น้อยนิดรีบผละจากร่างบาง โน้มตัวผ่านข้าม เพื่อควานหาสิ่งป้องกันในลิ้นชักหัวเตียงเมื่อทุกอย่างถูกต้องเข้าที่ พายุเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก่อนจะเพิ่มความแรงกระแทกถี่ยิบ เตือนให้อีกคนรู้ว่า เขาใกล้แล้ว และไม่กี่อึดใจเขาก็กระตุกเกร็งสองสามครั้ง และคนใต้ร่างก็กระตุกเกร็งตามมาเช่นกันพอคลื่นทะเลแตกฟองจนพร่าพราวความสงบนิ่งจึงเข้ามาเยือน ห้องนอนที่เมื่อครู่ยังมีเสียงครวญครางดังกระหึ่มก็เงียบลงพร้อมคนบนร่างฟุบหน้าซบกับอกนุ่มหยุ่นที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะพลิกลงนอนข้างกายและดึงสิ่งป้องกันออก แล้วเหวี่ยงทิ้งไปอย่างไม่สนใจว่ามันจะไปตกที่ใด...ลมหายใจหอบรัวเหมือนคนวิ่งออกกำลังตอนรุ่ง
เสียงพูดทำให้คนที่นอนอยู่เริ่มขยับตัวและออกอาการหงุดหงิด ตามนิสัยที่มีติดตัวอยู่เสมอ“อื้อ หนวกหู...คนจะนอน” เจ้าของร่างอวบอั๋นไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ขยับกายส่งเสียงดังรำคาญ สองมือก็พยายามควานหาผ้าห่มที่ถูกดึงไปเมื่อครู่กลับมาห่มให้เข้าที่อีกครั้ง โดยไม่คิดสนใจหรือลืมตาขึ้นมาดูน้ำเหนือที่ยืนมองอยู่ตลอดเวลาซัดสายตามองหญิงสาวที่พี่ชายหิ้วมานอนด้วย แล้วหันมาที่พี่ชาย“ผมให้เวลาพี่สิบนาที” แล้วก็เดินออกจากห้องไปเมื่อทางเลือกมีไม่มาก พายุจึงรีบหันไปปลุกคนหลับ“ขวัญข้าวตื่น”“อือ...อะ...อะรายย คนจะนอน...” เสียงลากยาน พร้อมกับขยับเปลี่ยนท่าอย่างรำคาญ“ลุกขึ้น เดี๋ยวนี้เลย” เสียงเข้มสั่งย้ำ พร้อมเขย่าคนหลับให้ตื่น เพื่อไปแต่งตัว“อือ ยังไม่อยากตื่น...ขอนอนต่ออีกครึ่งชั่วโมงนะ” ว่าแล้วก็ซุกตัวไปใต้ผ้าห่ม แต่มือหนากำแขนเรียวไว้แน่น จนขวัญข้าวรู้สึกเจ็บ“เจ็บ จะหวงที่นอนอะไรนักหนาเนี่ย” เธอต่อว่า ส่วนความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งหน้าตึงมองคนทำ“ลุกไปแต่งตัว ผมจะออกไปข้างนอก”“ออกก็ออกไปสิ ขอนอนต่อจนคุณกลับมาไม่ได้หรือไง”“ไม่ได้ ลุกไปแต่งตัว” น้ำเสียงเขาเด็ดขาด แบบไร้ข้อต่อรอง“ก็ไ
“อย่าเรียกว่าร้ายสิ ต้องเรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันดีต่างหาก”แววตาฉายแววร้ายกาจของขวัญข้าวที่ซ่อนอยู่ภายใน แผ่ออกมาโดยที่พายุไม่มีวันได้เห็นและไม่มีทางได้รู้เลย...ร่างสมส่วนขยับโอบกระชับร่างหนาที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมพร้อมกับกระซิบบอกเบาๆ ข้างหู“ไม่เอาสิที่รัก...อย่าคิดมากเลยนะคะ” อกอวบเข้าเบียดแขนแกร่ง โดยจงใจให้พายุหันมาสนใจตน หากแต่ผิดถนัดเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับหันมาส่งสายตาดุใส่และส่งคำพูดเสียดแทงใจ...“ขอโทษนะครับ อย่าเรียกแบบนี้อีก แล้วก็ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พายุเอ่ยอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป จนคนที่ตระกองกอดเซเสียหลัก“เชอะ...อย่าหวังว่าข้าวจะปล่อยคุณไปง่ายๆ นะคะ”ขวัญข้าวมาดหมายไล่หลังด้วยความขัดใจ ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งโดยไม่คิดจะออกไปก่อน ทั้งที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่แล้วก็ตามผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่พายุใช้เวลาในห้องน้ำคิดแต่เรื่องของตัวเองที่ทำผิดคำสัญญาไว้กับเตชินแม้จะผ่านผู้หญิงและผู้ชายมามากหน้าหลายตา แต่ก็อยากหยุดอยู่แค่เตชินเพียงคนเดียวที่จะคบและจริงจังด้วย แต่ทุกอย่างจะพังหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเรื่องจะไปทิศทางใด...พายุเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว
น้ำเหนือหันมองหญิงสาวที่เดินปรี่ออกไปจากบ้านโดยไม่คิดทักทาย จนกระทั่งพี่ชายเดินหน้ามู่ทู่ออกมา“ไปกันหรือยัง”คำถามเหมือนคนไม่ได้ทำอะไรผิดของพายุ ทำให้น้ำเหนือนั่งจ้องหน้านิ่ง จนอีกฝ่ายร้อนตัว“พี่ขอโทษ...”“เก็บคำขอโทษไว้ไปพูดกับเตชินเถอะครับ”“พี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ”“ทำแล้วมารู้สึกผิดเนี่ยนะ...ขอถามอะไรพี่หน่อยเถอะครับ”พายุรู้ว่าน้องจะถามเรื่องอะไร จึงเตรียมใจรับฟัง ส่วนน้ำเหนือมองสบตาพี่ชายอย่างมุ่งหวัง ก่อนจะมองเลยไปทางที่ผู้หญิงเดินหายไป ด้วยความเหนื่อยหน่าย“พี่คิดว่าการที่ผิดสัญญากับใครสักคน มันทำให้พี่สุขแค่ไหน แค่ชั่วครู่ที่ได้ปลดปล่อยเหรอ”คำถามทำให้พายุได้แต่อ้ำอึ้ง ด้วยสำนึกผิด“...แล้วพี่คิดบ้างไหม ว่าความสุขของพี่มันคือความเจ็บปวดของคนที่พี่บอกว่ารักเขาคนเดียว ยอมเขาแค่คนเดียว หรือจริงๆ แล้วมันก็แค่ลมปากที่พี่พูดออกมาแต่ว่ามันไม่จริง”“พี่...พี่ขอโทษ”“คำขอโทษของพี่มันง่ายเกินไปหรือเปล่าครับ อย่างที่พี่เพิ่งได้ปลดปล่อยแค่อารมณ์สั้นๆ นั่นหรือเปล่าครับ”คำถามของน้ำเหนือทำให้พายุนิ่งอึ้งเขาไม่ได้โกรธน้องชายที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว หากแต่กลับกันเขาเห็นใจน้องชายตัวเองมากกว
หลังจากที่ตกลงแบ่งหน้าที่กันแล้ว สองพี่น้องก็ลงมือจัดการทำหน้าที่ของตัวเองทันทีน้ำเหนือจัดการส่งข้อความ ‘เตทำไมไม่รับสาย ลืมนัดของเราแล้วเหรอ’ข้อความถูกส่งไปเมื่อพิมพ์เสร็จ น้ำเหนือรอคอยอย่างมีความหวัง ก่อนจะเหลือบตาไปมองคนนั่งข้างๆ ใจวูบโหวงแปลกๆ“เป็นไงบ้างพี่พายุ...”ใบหน้าไร้รอยยิ้มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาน้ำเหนือได้แต่ถอนหายใจทิ้ง“เดี๋ยวผมจะโทรอีกที”น้ำเหนือโทรเบอร์อีกครั้ง แต่แล้วเสียงเรียกรอสายก็ตัดไป“สายตัดไปแล้ว...” น้ำเหนือเปรยขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง“เตชินตัดสายน้ำเหนือทิ้งเหรอ”“ไม่นะ เอ๊ะ ผมก็ไม่แน่ใจ เอาแบบนี้ดีไหม เราไปรับเตชินที่บ้านเลยดีกว่า” น้ำเหนือออกความคิด“ไม่ดีหรอก ขนาดโทรไปเขายังไม่รับสายเลย” พายุเอ่ยหน้าเศร้าใจลึกๆ น้ำเหนือรู้สึกดีใจ ที่พี่ชายเลิกเที่ยวเตร่ และหันมาจริงจังกับใครสักคนแบบนี้ ที่สำคัญคนๆ นั้นก็คือเพื่อนรัก หากแต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเวลาผ่านไป ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขของคนคนเดียวกัน“ไปกันเถอะครับ” น้ำเหนือลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง หลังจากที่รอข้อความเตชินอยู่นาน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา แถมเบอร์โทร