เสียงพูดทำให้คนที่นอนอยู่เริ่มขยับตัวและออกอาการหงุดหงิด ตามนิสัยที่มีติดตัวอยู่เสมอ
“อื้อ หนวกหู...คนจะนอน” เจ้าของร่างอวบอั๋นไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ขยับกายส่งเสียงดังรำคาญ สองมือก็พยายามควานหาผ้าห่มที่ถูกดึงไปเมื่อครู่กลับมาห่มให้เข้าที่อีกครั้ง โดยไม่คิดสนใจหรือลืมตาขึ้นมาดู
น้ำเหนือที่ยืนมองอยู่ตลอดเวลาซัดสายตามองหญิงสาวที่พี่ชายหิ้วมานอนด้วย แล้วหันมาที่พี่ชาย
“ผมให้เวลาพี่สิบนาที” แล้วก็เดินออกจากห้องไป
เมื่อทางเลือกมีไม่มาก พายุจึงรีบหันไปปลุกคนหลับ
“ขวัญข้าวตื่น”
“อือ...อะ...อะรายย คนจะนอน...” เสียงลากยาน พร้อมกับขยับเปลี่ยนท่าอย่างรำคาญ
“ลุกขึ้น เดี๋ยวนี้เลย” เสียงเข้มสั่งย้ำ พร้อมเขย่าคนหลับให้ตื่น เพื่อไปแต่งตัว
“อือ ยังไม่อยากตื่น...ขอนอนต่ออีกครึ่งชั่วโมงนะ” ว่าแล้วก็ซุกตัวไปใต้ผ้าห่ม แต่มือหนากำแขนเรียวไว้แน่น จนขวัญข้าวรู้สึกเจ็บ
“เจ็บ จะหวงที่นอนอะไรนักหนาเนี่ย” เธอต่อว่า ส่วนความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งหน้าตึงมองคนทำ
“ลุกไปแต่งตัว ผมจะออกไปข้างนอก”
“ออกก็ออกไปสิ ขอนอนต่อจนคุณกลับมาไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ ลุกไปแต่งตัว” น้ำเสียงเขาเด็ดขาด แบบไร้ข้อต่อรอง
“ก็ได้” ขวัญข้าวสะบัดผ้าห่มอย่างหัวเสีย ก่อนจะก้าวลงจากเตียง เพื่อไปหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป...
สายตามีแต่ความกลัดกลุ้ม มองตามหลังขวัญข้าว ก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นจับหน้าผาก ความรู้สึกผิดเกาะกุมจิตใจ
“เชี่ย กูทำอะไรลงไปวะเนี่ย” ถึงจะสำนึกก็ไม่ทันแล้ว จึงได้แต่โกรธตัวเอง ทั้งที่เคยให้สัญญากับน้ำเหนือว่าจะมั่นคงกับเตชินเพียงคนเดียว
ซึ่งหลายวันมานี้เขาพยายามโทรหาเตชินอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมรับสาย
หรือเป็นเพราะเรียกร้องมากเกินไปจึงทำให้เตชินกลัว จนตีตัวออกห่าง...
“อืม...อีกครั้งนะ” เสียงทุ้มกระเส่าวอนขอ สายตาจับจ้องผิวนุ่มเนียน ที่เจ้าของดูแลและใส่ใจเป็นอย่างดี จนเขาอดไม่ได้ที่จะลากไล้นิ้วสัมผัสเล่นไปเบาๆ ตามร่างกายเปล่าเปลือย
“พะ พอก่อน...” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขวยเขินเอ่ยบอกไม่แม้จะกล้าสบตาคนขอ
“คึ คือ ไม่ดีเหรอ...” พายุหยุดนิ้วที่สัมผัส แววตาคลางแคลงใจ จ้องใบหน้าสีเรื่อในอ้อมกอด “หือ ว่าไง มันไม่ดีเหรอ...” เขาเร่งเอาคำตอบ เพราะเริ่มไม่มั่นใจ หากแต่อีกฝ่ายขยับหนี ไม่แม้จะตอบ...
จากนั้นการรอคอยที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ ทำให้ต้องหันไปพึ่งเหล้าเพื่อลืมความกลัดกลุ้มน้อยใจ จนบังเอิญพบกับขวัญข้าวความเปลี่ยวเหงาและเมามายทำให้ควบคุมความต้องการของตัวเองไว้ไม่ได้ บวกกับการท้าทายที่เต็มไปด้วยเย้ายวนของขวัญข้าวทำให้อดใจไม่ไหว ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ไปแล้ว...หลังจากที่ปล่อยให้ขวัญข้าวไปอาบน้ำแต่งตัว พายุก็ได้แต่นั่งกุมขมับ สมองตื้อจวนเจียนระเบิด เพราะไม่รู้จะเอาสิ่งใดมาล้างความผิดที่ได้กระทำลงไป จนกระทั่งหางตาตวัดมองเห็นขวัญข้าวกอดอกยืนยิ้มมองมาทางตัวเอง เหมือนคนกำลังพอใจอะไรสักอย่าง
“สนุกคุณแล้วสิ”
“แล้วไง คุณเองก็สนุกไม่ใช่หรือคะ” เธอย้อนแววตากระหยิ่ม
ครั้นนึกถึงบทรักของชายหนุ่มหลังจากที่โรมรันกันมาเกือบทั้งคืน เธอก็ได้แต่บอกตัวเองว่า เธอยังไม่อยากเสียเขาไปในตอนนี้เด็ดขาด...
“คุณมันร้าย” พายุจิกตาค่อนขอด เพราะคำพูดของขวัญข้าวเมื่อคืน ทำให้เขาตกหลุมและขาดความยับยั้งชั่งใจ...
‘ทำไมมาดื่มคนเดียวล่ะคะ เอ๊ะ หรือว่าไม่มีใครคบ หรือฝีมือตก...’
‘อย่ามารู้ดี’ เมื่อเห็นว่าคนที่เดินมาทักเป็นคนคุ้นเคยกันดีมาก่อน พายุก็ตอกกลับไปอย่างไม่ถนอมน้ำใจนัก
‘รู้ดี จนถึงแก่นของคุณเลยนะพายุ ไม่เชื่อจะลองทบทวนดูอีกครั้งไหมล่ะ หรือว่าไม่กล้า เห็นว่าพักหลังๆ มานี่ ไม่ค่อยได้เห็นคุณปล่อยลายเลยนะ’ ระหว่างที่พูดมือของเธอก็ลูบไล้ไปตามจุดอ่อนไหว ซึ่งขวัญข้าวรู้ดีว่าจุดอ่อนของพายุอยู่ตรงไหน
‘ผมก็เป็นผมเหมือนเดิมนั่นแหละ’ ปากก็พูดไป ร่างกายก็ตื่นรับสัมผัสไปด้วย
‘ไม่เชื่อจนกว่าจะพิสูจน์’ ริมฝีปากบางคลี่ขยายมองใบหน้าหนุ่มหล่อที่หลับตาพริ้ม
แล้วมันก็จบลงด้วยการพิสูจน์...
“อย่าเรียกว่าร้ายสิ ต้องเรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันดีต่างหาก”แววตาฉายแววร้ายกาจของขวัญข้าวที่ซ่อนอยู่ภายใน แผ่ออกมาโดยที่พายุไม่มีวันได้เห็นและไม่มีทางได้รู้เลย...ร่างสมส่วนขยับโอบกระชับร่างหนาที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมพร้อมกับกระซิบบอกเบาๆ ข้างหู“ไม่เอาสิที่รัก...อย่าคิดมากเลยนะคะ” อกอวบเข้าเบียดแขนแกร่ง โดยจงใจให้พายุหันมาสนใจตน หากแต่ผิดถนัดเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับหันมาส่งสายตาดุใส่และส่งคำพูดเสียดแทงใจ...“ขอโทษนะครับ อย่าเรียกแบบนี้อีก แล้วก็ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พายุเอ่ยอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป จนคนที่ตระกองกอดเซเสียหลัก“เชอะ...อย่าหวังว่าข้าวจะปล่อยคุณไปง่ายๆ นะคะ”ขวัญข้าวมาดหมายไล่หลังด้วยความขัดใจ ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งโดยไม่คิดจะออกไปก่อน ทั้งที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่แล้วก็ตามผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่พายุใช้เวลาในห้องน้ำคิดแต่เรื่องของตัวเองที่ทำผิดคำสัญญาไว้กับเตชินแม้จะผ่านผู้หญิงและผู้ชายมามากหน้าหลายตา แต่ก็อยากหยุดอยู่แค่เตชินเพียงคนเดียวที่จะคบและจริงจังด้วย แต่ทุกอย่างจะพังหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเรื่องจะไปทิศทางใด...พายุเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว
น้ำเหนือหันมองหญิงสาวที่เดินปรี่ออกไปจากบ้านโดยไม่คิดทักทาย จนกระทั่งพี่ชายเดินหน้ามู่ทู่ออกมา“ไปกันหรือยัง”คำถามเหมือนคนไม่ได้ทำอะไรผิดของพายุ ทำให้น้ำเหนือนั่งจ้องหน้านิ่ง จนอีกฝ่ายร้อนตัว“พี่ขอโทษ...”“เก็บคำขอโทษไว้ไปพูดกับเตชินเถอะครับ”“พี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ”“ทำแล้วมารู้สึกผิดเนี่ยนะ...ขอถามอะไรพี่หน่อยเถอะครับ”พายุรู้ว่าน้องจะถามเรื่องอะไร จึงเตรียมใจรับฟัง ส่วนน้ำเหนือมองสบตาพี่ชายอย่างมุ่งหวัง ก่อนจะมองเลยไปทางที่ผู้หญิงเดินหายไป ด้วยความเหนื่อยหน่าย“พี่คิดว่าการที่ผิดสัญญากับใครสักคน มันทำให้พี่สุขแค่ไหน แค่ชั่วครู่ที่ได้ปลดปล่อยเหรอ”คำถามทำให้พายุได้แต่อ้ำอึ้ง ด้วยสำนึกผิด“...แล้วพี่คิดบ้างไหม ว่าความสุขของพี่มันคือความเจ็บปวดของคนที่พี่บอกว่ารักเขาคนเดียว ยอมเขาแค่คนเดียว หรือจริงๆ แล้วมันก็แค่ลมปากที่พี่พูดออกมาแต่ว่ามันไม่จริง”“พี่...พี่ขอโทษ”“คำขอโทษของพี่มันง่ายเกินไปหรือเปล่าครับ อย่างที่พี่เพิ่งได้ปลดปล่อยแค่อารมณ์สั้นๆ นั่นหรือเปล่าครับ”คำถามของน้ำเหนือทำให้พายุนิ่งอึ้งเขาไม่ได้โกรธน้องชายที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว หากแต่กลับกันเขาเห็นใจน้องชายตัวเองมากกว
หลังจากที่ตกลงแบ่งหน้าที่กันแล้ว สองพี่น้องก็ลงมือจัดการทำหน้าที่ของตัวเองทันทีน้ำเหนือจัดการส่งข้อความ ‘เตทำไมไม่รับสาย ลืมนัดของเราแล้วเหรอ’ข้อความถูกส่งไปเมื่อพิมพ์เสร็จ น้ำเหนือรอคอยอย่างมีความหวัง ก่อนจะเหลือบตาไปมองคนนั่งข้างๆ ใจวูบโหวงแปลกๆ“เป็นไงบ้างพี่พายุ...”ใบหน้าไร้รอยยิ้มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาน้ำเหนือได้แต่ถอนหายใจทิ้ง“เดี๋ยวผมจะโทรอีกที”น้ำเหนือโทรเบอร์อีกครั้ง แต่แล้วเสียงเรียกรอสายก็ตัดไป“สายตัดไปแล้ว...” น้ำเหนือเปรยขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง“เตชินตัดสายน้ำเหนือทิ้งเหรอ”“ไม่นะ เอ๊ะ ผมก็ไม่แน่ใจ เอาแบบนี้ดีไหม เราไปรับเตชินที่บ้านเลยดีกว่า” น้ำเหนือออกความคิด“ไม่ดีหรอก ขนาดโทรไปเขายังไม่รับสายเลย” พายุเอ่ยหน้าเศร้าใจลึกๆ น้ำเหนือรู้สึกดีใจ ที่พี่ชายเลิกเที่ยวเตร่ และหันมาจริงจังกับใครสักคนแบบนี้ ที่สำคัญคนๆ นั้นก็คือเพื่อนรัก หากแต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเวลาผ่านไป ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขของคนคนเดียวกัน“ไปกันเถอะครับ” น้ำเหนือลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง หลังจากที่รอข้อความเตชินอยู่นาน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา แถมเบอร์โทร
เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่บัณฑิตใหม่จะยอมปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน โดยน้ำเหนือก็ออกไปถ่ายรูปกับเพื่อนอีกกลุ่ม เตชินจึงมองหาพี่ชายและอาพงศ์เพื่อจะถ่ายรูปกันต่อ...“มองอะไรอยู่ครับ” เตชินถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายเหมือนสนใจอะไรสักอย่างในกลุ่มเพื่อนของตนตะวันรีบเบนสายตา และปรับสีหน้าโดยไม่ตอบคำถามน้องชาย “เสร็จแล้วเหรอ”“ครับ...”“งั้นไปถ่ายรูปกัน ไปครับอาพงศ์...”อาพงศ์ที่ถูกให้เกียรติไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในครอบครัวยิ้มรับแล้วทั้งสามก็พากันไปถ่ายรูป เพื่อเก็บภาพวันดีๆ เอาไว้...แม้จะห่วง ทะนุถนอมดูแลไม่คลาดสายตา แต่คนเราพออายุเข้าวัยเบญจเพส ความรู้สึกนึกคิดของคนเราก็ต่างกันออกไป จากคนที่เคยว่านอนสอนง่าย ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พี่ชายที่มุ่งทำงานและศึกษาต่อก็ดูแลเอาใจใส่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ชะตาฟ้าลิขิต ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้...ตะวันลูบไล้ไปบนที่นอนที่ไร้ไออุ่น ประหนึ่งต้องการซึมซับความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ พร้อมกับส่งผ่านความรู้สึกของตัวเองไปยังผู้ที่เคยนอนอยู่บนเตียงนี้ขอบตาค่อยๆ ร้อนผ่าวลามไปถึงลำคอและปลายจมูกก่อนจะไปรวมตัวที่หน่วยตากลายเป็นหยดหยาดน้ำใสที่กลั่นมาจากความรู้สึกคิดถึง ริ
ระหว่างนั้น รถเริ่มชะลอความเร็วลง ดวงตากลมโตที่ยังฉายแววหวาดหวั่นอยู่ก็ตวัดไปมองข้างทางทันที โดยเลิกสนใจคำพูดของชายปกปิดใบหน้า ที่ตอนนี้กำลังส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ โดยที่น้ำเหนือเองก็ไม่เข้าใจว่าไปทำอะไรให้ผู้ชายคนนี้โกรธนักหนาถึงได้จับตัวเองมา...“ที่ไหน คุณจะพาผมไปไหน...” บรรยากาศผิดหูผิดตาจนนั่งก้นไม่ติดเบาะ “จะเอาผมมาฆ่าหมกป่าหรือไง”น้ำเหนือถามเสียงสั่น เมื่อมองออกไปนอกกระจกรถ มีแต่ต้นไม้เขียวขจี และมองเห็นภูเขาที่ลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศรอบด้าน มีเพียงความเงียบสงบดูเวิ้งว้างไร้ผู้คนในป่าในดง...ความคิดที่จะมองหาคนช่วยถูกพับเก็บไปทันทีและความหวาดกลัวก็เริ่มทวีมากขึ้นเป็นลำดับในขณะที่รถจอดนิ่งสนิท แต่หัวใจของน้ำเหนือกลับเต้นรัวเร็วขึ้น จนเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุดพรายอยู่ตามไรผมและใบหน้า...เขาพามาที่นี่ทำไม หรือว่าจะเอามาฆ่าหมกป่า น้ำเหนือคิด ความกลัวเริ่มแล่นเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง แล้วขยับตัวนั่งหลังตรง ตั้งใจว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ยอมลงไปจากรถอย่างเด็ดขาด...แสงอาทิตย์เรืองรองของรุ่งอรุณสะท้อนผ่านช่องเขาที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทุกอย่างรอบกายดูสดชื่นและอบอุ่น แต่ใครอีก
ตะวันมองมือที่จับข้อเท้าของน้ำเหนือ แล้วสะบัดมือออกอย่างไม่ออมแรง“โอ๊ย เจ็บ” ข้อเท้าที่ถูกมัดจนเป็นรอยเจ็บกว่าเดิม เมื่ออีกคนสะบัดแรง จนกระแทกไปกับขอบเบาะ“ไม่ลงใช่ไหม” เสียงทุ้มยังขู่คำรามออกมา เตรียมพร้อมจะกลับมากระชากขาอีกรอบน้ำเหนือยกขาหนีพร้อมกับบอก “ลงแล้ว” แล้วดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง กระเถิบตัวออกมาวางเท้าไปบนถนนลูกรัง“นี่คุณจะไม่แก้มัดให้ผมจริงๆ หรือไง”“เรื่องแค่นี้คงไม่ใหญ่สำหรับคุณหรอกนะ”“มาลองโดนบ้างไหมล่ะ”“ปากดี”จากที่เตรียมจะเดินออกไป ตะวันก็ต้องเดินกลับมาหาคนปากดีอีกครั้ง น้ำเหนือผวาขยับตัวลีบ“ปากดีอีกสิ” ตะคอกใส่พร้อมกับโน้มตัวเข้าหาคนที่ตัวเล็กกว่าน้ำเหนือพยายามดิ้นหนี แต่เนื้อที่จำกัด มือหนาจึงคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าเล็กแล้วออกแรงบีบ จนเจ้าของร้องลั่น“โอ๊ย เจ็บนะ...” น้ำเหนือหน้าเหยเกเสียงสั่นเพราะความเจ็บ“ถ้ายังปากดี จะเจ็บมากกว่านี้” เสียงทุ้มเหี้ยมเค้นเสียงออกมา ไม่สนเพราะเขาไม่ได้เจ็บเอง แล้วลากจนน้ำเหนือร่วงลงมาจากรถ ไร้ความปรานี“โอ๊ย อึก...” น้ำเหนือนอนจุก ตัวคู้งออยู่บนพื้น “อะ ไอ้คนเลว”น้ำเหนือผรุสวาทด้วยความโกรธเคือง น้ำตาเอ่อ ทั้งเจ็บใจและเจ็บร้าวไป
ด้วยความหวาดระแวง น้ำเหนือดันตัวเองลุกขึ้นจากแอ่งน้ำ ในขณะที่สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ‘เสือมีจริงหรือเปล่าวะ...’ เริ่มไม่ไว้ใจ เพราะรอบๆ เห็นแต่ต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมจนดูอึมครึมและวังเวงแม้จะเจ็บแปลบตรงข้อเท้า ก็พยายามฝืนจนยืนขึ้น แล้วกัดฟันทนกระโดดออกจากแอ่งน้ำ มายืนหอบเหนื่อยอยู่บนพื้นแห้ง เมื่อรู้สึกหายเหนื่อย ก็กระโดดหย็องๆ ออกไปริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง“มีอะไรให้เจอที่แย่กว่านี้ไหมเนี่ย” น้ำเหนือบ่นตัดพ้อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านไม้ทั้งหลังที่อยู่เบื้องหน้า หากใจล่องลอยไปถึงพี่ชาย‘ป่านนี้พี่พายุคงตามหาให้วุ่นแล้วสิ...’ น้ำเหนือคิดอย่างกังวลความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวทำให้น้ำเหนือทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้ง แล้วมองไปยังตัวบ้านที่ใครอีกคนเดินหายเข้าไปเมื่อครู่ก่อน และยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาใหม่แม้จะปวดแขนและข้อมือ น้ำเหนือก็พยายามขยับแขนที่ถูกมัดไพล่หลังไปมา หมายจะให้เชือกคลายตัวออก แต่ก็กัดฟันทนจนที่สุดเชือกก็เริ่มคลายออก พยายามอีกเป็นครู่เชือกก็หลุดออกเมื่อมือทั้งสองข้างเป็นอิสระน้ำเหนือก็รีบแก้เชือกที่มัดข้อเท้าจนได้ริมฝีปากแห้งซีดยิ้มอย่างดีใจ...ตอนนี้
เมื่อข้อมือเป็นอิสระ น้ำเหนือก็รีบวิ่งจ้ำอ้าวไปตามทาง โดยไม่หันกลับมามองหลัง ในใจก็แช่งชักหักกระดูกคนหยาบคายไปด้วย เชอะ เจ็บให้ตายไปเลย“ร้ายนักนะ...เดี๋ยวได้เจอดี” เสียงเหี้ยมเอ่ยลอดไรฟัน พยายามปรับสภาพร่างกายให้กลับมาเป็นปกติโดยไว และเมื่อร่างกายคืนสภาพเดิมตะวันก็ออกวิ่งไล่ตามเพียงก้าวเดียวของตะวัน แต่เท่ากับสองก้าวของคนตัวเล็กอย่างน้ำเหนือ อีกทั้งข้อเท้าที่บวมแผลก็ยังเป็นอุปสรรค จึงทำให้ไปได้ไม่ไวอย่างที่คิดหวัง ไม่นานก็โดนตะครุบตัวไว้ได้“เฮ้ย อึก”แล้วพากันล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้นหญ้าเปียกแฉะด้วยกันทั้งคู่“ปล่อยกู ไม่งั้นกูจะไม่เกรงใจแล้วนะ”น้ำเหนือที่ยังพอมีแรงดิ้นตะโกนบอก หากแต่เจ้าของวงแขนสวมกอดและรัดรึงไว้แน่น ประหนึ่งงูเหลือมรัดเหยื่อก็ไม่ปาน“ทำไม อ่อนปวกเปียกอย่างนายจะทำอะไรได้”“เออ” แล้วออกแรงสลัดจนแขนข้างหนึ่งเป็นอิสระผลัวะสิ้นเสียง มือข้างที่เป็นอิสระก็ปล่อยหมัดไร้ช่องโหว่ ไปปะทะซีกหน้าข้างขวาของตะวันเต็มแรง จนเขาหน้าหัน และมึนชาไปครู่หนึ่งหลังจากที่หายมึน ตะวันก็หันมามองใบหน้าเรื่อแดงช้าๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปลดสายมาสก์บนใบหน้าตัวเองออกข้างหนึ่ง แล้วถมน้ำลายลงพื้น ปราก
ณ ไร่ตะวัน“นี่จะไม่ให้ลุกไปไหนเลยหรือไง” น้ำเหนือถามเสียงเข้ม เพราะพยายามปลดแขนที่กอดรัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกจากตัว แต่อีกฝ่ายก็ขืนไว้ไม่ยอมให้ปลดออก“ผมยังไม่อิ่มเลย”“นี่ฟ้าจะเปลี่ยนสีอยู่แล้ว ลุกขึ้นไปดูคนงานบ้างเถอะ...” ว่าแล้วก็ตีไปบนต้นแขนแข็งแรง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เปลี่ยนท่าที “ไหนบอกว่าจะพามาดูไร่ นี่อะไร ขังไว้ในห้องตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”“ก็คนมันคิดถึง”“คิดถึงหรือเงี่ยน”“โธ่...ปากคอเราะรายขึ้นนะ” ว่าแล้วก็ปล่อยแขนออกจากเอวน้ำเหนือจึงดีดตัวลุกขึ้น มองร่างใหญ่ล่ำที่นอนแผ่โชว์กล้ามเนื้อแน่น ซึ่งน้ำเหนือหน้าเห่อร้อนทุกครั้งที่เห็นและสัมผัส...“ผมอยากไปดูสวนผัก...”“จะเปลี่ยนไปนอนกระท่อมไหมล่ะ บรรยากาศท่าจะดี หรือริมลำธารดีล่ะ...”รู้ว่าตะวันแกล้งพูดยั่ว ซึ่งน้ำเหนือก็ไม่ได้ใส่ใจ หากแต่สนใจกระท่อมไม้ที่ตัวเองเคยซุกหัวนอน“ยังไม่พังอีกเหรอ”ในเมื่อสภาพกระท่อมเป็นเพียงไม้ไผ่สานบางๆ และใบไม้แห้งจะทนแดดทนฝนไปได้นานเท่าไหร่กัน“ผมสั่งให้ลุงมิ่งดูแลอย่างดีเลยนะ”“เพื่อ...”“ความทรงจำผมอยู่ที่นั่นไง”“ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ผมอยากเห็นแล้ว” พูดพลางก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเดินตรงไปยังห้อ
ณ ธงชัยสิทธิ์เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เตชินทำเรื่องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศเรียบร้อย และกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทางในอีกสองวัน“แน่ใจนะว่าไปอยู่คนเดียวได้” ตะวันเดินเข้ามาแล้วเอามือวางไปบนไหล่น้องชาย เตชินเงยหน้าขึ้นมาแล้วฉีกยิ้มให้“อยู่ได้สิครับ ผมน้องพี่ตะวันนะ...” ดวงตากลมใสเป็นประกาย หากแต่ตะวันมองออกว่านั่นคือการพยายามแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่ใจร้องไห้...“มันเป็นไปไม่ได้แล้วใช่ไหม...” เพราะสองอาทิตย์ที่ตัวเองนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ทางนี้ก็ได้พายุเป็นคนรับหน้าที่ดูแล มันคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง...คำถามของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน สะท้อนตรงลงมากลางอก เตชินดวงตาอ่อนแสง แล้วตอบเสียงสั่นเครือ “แค่พี่เขาไม่รังเกียจผมก็ดีมากแล้ว”“อืม...อาจจะไม่ใช่เวลาที่ใช่”“แล้วเรื่องพี่ตะวันกับน้ำเหนือล่ะครับ...” เตชินเปลี่ยนเรื่อง“พี่ก็ไม่ท้อหรอก พยายามตามจีบเขาอยู่”“งั้นผมเอาใจช่วยนะครับ” แล้วสองพี่น้องก็สวมกอดส่งกำลังใจให้กันสนามบินสุวรรณภูมิ“น้ำเหนือบอกว่าจะมาส่งเหรอ” ตะวันเอ่ยถามหลังจากที่เห็นน้องชายชะเง้อคอยาวมองไปยังประตูทางเข้า“เห็นบอกว่าจะมา...” น้ำเ
ปัง ปัง ปัง“ไม่ อึก...” น้ำเหนือวิ่งถลาไปหาร่างที่ทรุดลงไปบนพื้นหญ้าอย่างตกใจสุดขีดในขณะที่เตชินทรุดตัวสลบไปพร้อมภาพสุดท้าย คือร่างของพี่ชายที่เต็มไปด้วยเลือด ซึ่งถูกน้ำเหนือประคองกอดไว้ ส่วนพายุวิ่งไปดูเตชินและประคองศีรษะไม่ให้กระแทกลงบนพื้นพายุมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาดด้วยความหดหู่ใจ ความโกรธเกลียดก่อนหน้านั้นหายไปหมดสิ้น เมื่อคนที่ตัวเองประคองอยู่นั้น เจอเรื่องหนักหนาเกินกว่าจะซ้ำเติม และตัวเองก็ไม่ควรเก็บเรื่องราวในอดีตเอามาเป็นทุกข์อีกต่อไป...ช่วงชุลมุนนั้นภาคินระเบิดกระสุนใส่มือของพงศ์จนปืนกระเด็น พงศ์ลงไปนอนกุมมือร้องโอดโอยอยู่ตรงนั้นสองอาทิตย์ต่อมาตะวันเริ่มรู้สึกตัวหลังจากที่มีอาการโคม่าและผ่าตัดถึงสองครั้ง เพื่อเอากระสุนที่อยู่ใกล้จุดสำคัญออกมา และได้น้ำเหนืออยู่ดูแลไม่ห่างโดยมีเดร์เข้ามาช่วยเป็นบางครั้ง จนพายุและภาคินยอมใจอ่อนไม่ห้ามปรามและปล่อยให้ไปตามใจที่น้องชายต้องการ ส่วนพงศ์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และเข้ารับการรักษาเนื่องจากมีอาการจิตหลอน ในขณะที่เตชินยังมีอาการหวาดผวาก็ได้พายุเป็นคนดูแลในระหว่างที่ตะวันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล...“ฟื้นแล้ว” น้ำเหนือดีดตัวลุกขึ้
ตั้งแคมป์กันเหรอ...ตะวันคิดสรุป เพราะเห็นว่ามีอุปกรณ์ครบไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ อีกทั้งเห็นว่ามีเสื้อผ้าเปียกน้ำผึ่งแดดไว้“ไม่ยักรู้ว่าพี่ภาคินก็แม่นปืนกับเขาด้วย”เสียงคุ้นหูดังระรื่นมาแต่ไกล ทำให้คนได้ยินถึงกับหูอื้อ ใจเต้นแรงทันที“คุณตะวัน...” ภาคินเรียกผ่านริมฝีปาก ส่วนน้ำเหนือหน้าถอดสีแล้วขยับไปจับไหล่ของภาคินไว้ภาคินเหลือบตามองน้ำเหนือด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันมาพูดกับผู้ชายหน้าบอกบุญไม่รับตรงหน้า“ไม่ทราบว่ามีอะไรด่วนหรือเปล่า ถึงได้เดินตัดเข้ามาในอาณาเขตของคนอื่นแบบนี้.. ระวังเถอะ เจ้าของไร่อาจตาลายนึกว่าเป็นสัตว์ร้ายจะโดนเป่าเอาง่ายๆ นะครับ”“อยากเป่าก็เป่าสิ แต่ต้องเป่าทีเดียวให้ตายนะ” ในขณะที่พูดตาก็มองกร้าวไปยังหนุ่มที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังลูกชายเจ้าของไร่“ผมไม่ใจร้ายใจดำขนาดยิงคนเหมือนกันได้หรอกครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไร แค่ตกใจเสียงปืนก็เท่านั้น”“อ้อ ครับ ผมไม่ทันคิดว่าผมซ้อมมือที่ไร่ผม แล้วจะไปรบกวนคนอื่น”“ครับ บังเอิญว่าทิศทางลมมันไปทางไร่ผมกับน้องชายพอดีเลยทำให้ตกใจ ที่สำคัญคุณก็รู้ว่าน้องชายผมไปเจออะไรมา หากผมจะหวาดระแวงก็คงไม่แปลกนะครับ...แต่ตอนนี้
สองวันต่อมา ตะวันทนการรบเร้าของเตชินไม่ไหวจึงเล่าเรื่องตนเองกับน้ำเหนือให้ฟังจนหมด“พี่ตะวัน พี่ทำกับเพื่อนผมแบบนั้นได้ไง”เตชินได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างน้ำเหนือกับพี่ชายของตัวเองก็รับไม่ได้“พี่ทำแบบนั้นทำไม แล้วนี่พี่จะเอายังไงต่อ...ไม่สิ ผมอยากไปขอโทษน้ำเหนือ” เตชินร้อนใจกลัวความบาดหมางครั้งนี้จะทำให้ความเป็นเพื่อนขาดสะบั้นลงส่วนเรื่องพายุ เตชินเตรียมใจไว้แล้วว่า ความรู้สึกคงไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ โดยเฉพาะพายุ คงยากที่จะกลับมามองหน้าตัวเองได้อีก...“ตอนนี้ พี่ไม่อยากให้เตชินอยู่ห่างพี่เลยนะ”“ผมก็ไม่อยากห่างพี่เหมือนกัน ผมกลัว...”“พี่ขอโทษ...” ดึงตัวน้องชายเข้ามากอดปลอบน้องชายและปลอบใจตัวเอง...“ผมก็ขอโทษพี่เหมือนกัน ที่สร้างเรื่องยุ่งยากมาให้...แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงน้ำเหนือมาก จะเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”“เขาอาจจะเกลียดพี่ไปแล้ว...” ตะวันเปรยขึ้น เสียงเศร้าเตชินรับรู้ได้ว่าพี่ชายตนรู้สึกผิดจริงๆ เพราะคนอย่างนายตะวันไม่เคยทำอะไรฝืนใจตัวเอง“ถึงยังไงผมก็อยากไปเจอน้ำเหนือก่อนจะเดินทาง”เตชินตัดสินใจแล้วว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แต่ต้องรอให้เรื่องทุ
พงศ์เส้นเลือดตรงขมับบวมเต็ง เมื่อเห็นเตชินแสดงสีหน้าเจ็บปวดขณะมองชายอดีตคนรักที่เสมือนหนามยอกอก...เวลาผ่านไป ใจของเตชินก็ยังอยู่กับมันพงศ์คิดอย่างแค้นเคืองเลือดหึงขึ้นหน้า แล้วด้วยความโกรธแค้น จึงคิดหาทางเอาคืนอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ ดวงตาคมกล้ามองไปใต้เสื้อแจ็กเก็ตสีดำของชายฉกรรจ์ที่ยืนแนบข้างจดจ้องอยู่ที่บางอย่างตรงเข็มขัด เมื่อได้จังหวะ ก็เข้าไปกระแทกไหล่จนอีกฝ่ายเสียหลักยื่นมือไปคว้าสิ่งที่เล็งไว้มาถือได้สำเร็จอย่างมั่นเหมาะความอลหม่านเกิดขึ้นเมื่อปลายกระบอกปืนจ่อไปยังพายุ ส่วนลูกน้องอีกคนรีบดึงอาวุธของตัวเองออกมาแล้วเล็งตรงไปยังพงศ์ทันทีทุกคนต่างตะลึงตกใจ พายุหน้าถอดสีแต่ทำใจดีสู้เสือตะวันร้อนใจ กลัวเรื่องบานปลายใหญ่โต โดยที่ไม่อยากให้มีการสูญเสียไม่ว่าเรื่องใด ตัดสินใจเดินตรงไปหาพงศ์ ในขณะที่พายุกำลังพูดโต้“จะยิงผมเหรอ...ผมผิดอะไร ในเมื่อผมแพ้พวกอาพงศ์แล้วนี่ น้องชายของผมก็โดนลากไปแก้แค้นทั้งที่ไม่ผิด แล้วผมกับน้ำเหนือสมควรได้รับสิ่งที่ธงชัยสิทธิ์ทำงั้นเหรอ...”คำพูดของพายุทำให้ทุกคนในที่นั้นตะลึงงัน ส่วนภาคินเดินเข้ามาจับแขนเพื่อนไว้เพื่อส่งกำลังใจให้ หากแต่อาพงศ์ยกยิ้มสะใจ“กู
จากคนเงียบๆ และดูสุขุมของพงศ์ทำให้ป้าปุกที่อยู่ด้วยกันมานานก็สังเกตเห็นอาการหงุดหงิดเช่นนี้มาหลายวัน แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว...“ทำไมไม่กินข้าวอีก” หลังจากที่กลับมาจากดูว่าปุกและอิงนั่งรถแท็กซี่ออกไปแล้ว พงศ์เห็นว่ากับข้าวที่เขาเป็นคนยกมาให้ยังไม่พร่องไปเลย“ผมกินไม่ลง...อาพงศ์แก้มัดผมเถอะนะ” น้ำเสียงเว้าวอน แต่พงศ์คนใส่ใจและอบอุ่นคนเดิมไม่มีแล้ว“ไม่ รีบกินจะได้ไปกันเสียที” เขาตอบเสียงสะบัดจากที่สีหน้าเศร้าหงอย ก็ตื่นพรืด ร้องถามเสียงหลง “ไปไหน อาพงศ์จะเอาผมไปไหน...ผมไม่ไป ป้าปุก ป้าปุกช่วยผมด้วยป้า...” เตชินตะโกนร้องเรียกพร้อมกับขยับลงจากเตียงตุบเพราะขาทั้งสองถูกมัดไว้จึงร่วงลงมานอนอยู่บนพื้น เตชินกัดริมฝีปากกลั้นความเจ็บเอาไว้จนห้อเลือดพงศ์มองอย่างดูแคลน “อยากเรียกใครก็เชิญ”ประโยคที่ท้าทายและไม่เกรงกลัว ทำให้เตชินเงียบเสียง ตาหรี่มองคนตรงหน้า “ลุงทำอะไรกับพวกเขา”“แค่ไล่ให้กลับบ้าน” สีหน้าราบเรียบไม่แสดงอาการเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นเตชินที่หน้าตื่นตกใจ“ไล่กลับบ้าน ไล่ทำไม”“ไม่ต้องถามมาก จะกินไม่กิน”“ไม่ ตอบผมมาสิ ว่าไล่ป้าปุกทำไม”“ไม่ต้องถา
“กว่าจะมาได้...แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนอีก” พอเห็นว่าคนที่ตัวเองตั้งตารอเดินผ่านประตูเข้ามา อีกทั้งแต่งตัวเหมือนเตรียมจะออกข้างนอก ก็ถามเสียงขุ่นสีหน้าไม่พอใจ“อาพงศ์วุ่นวายกับผมเกินไปแล้วนะ...อย่าให้ผมรู้สึกไม่ดีกับอามากไปกว่านี้เลยนะครับ ผมขอร้อง...” เตชินเอ่ยเสียงเศร้าแกมขอร้อง หากแต่ผู้สูงวัยกว่ากลับยืนนิ่งเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่พูด เตชินจึงพูดต่อ “เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมขอให้มันจบไปได้ไหมครับ...ผมไม่อยากให้อาพงศ์มาจมอยู่กับเรื่องที่เราได้ทำผิดพลาดไป อาจจะเป็นผมที่วางตัวไม่ดี ผมขอโทษอาพงศ์ด้วยนะครับ” เตชินเป็นฝ่ายยอมรับผิดเสียเองเพื่อตัดจบทุกปัญหาหากแต่คนสูงวัยกว่ากลับยิ้มร้าย “มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ...ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะนั้นเยียบเย็นจนน่ากลัวเตชินขนลุกซู่ ประหวั่นกับอาการและท่าทางที่เปลี่ยนไปของอาพงศ์ ไม่มีแล้วสายตาและคำพูดที่อบอุ่นใจอย่างเมื่อก่อนเตชินถอยหลัง รู้สึกหวาดกลัวท่าทางแปลกๆ ของอาพงศ์ที่ตอนนี้เหมือนคนไร้สติไปเสียแล้ว“มานี่...มาดูอะไรนี่ อาอุตส่าห์ไปทำมาเลยนะ” มืออาพงศ์คว้าหมับที่ข้อมือเล็กกระชากอย่างแรงจนร่างเตชินเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด“อาพงศ์ปล่อย
เตซินสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แล้วดึงชายผ้าห่มคลุมใบหน้าอย่างรำคาญเมื่อได้ยินดังอยู่ใกล้ๆ แต่แรงขยับทำให้จากที่ไม่อยากตื่น ตาก็สว่างโร่ เมื่อรับรู้ได้ว่าบนเตียงตัวเอง มีคนอื่นนอนอยู่ด้วย ใจพลันคิด เมื่อคืนพี่พายุไม่ได้กลับไปนอนบ้านเหรอ...ดึงผ้าห่มออกจากศีรษะแล้วมองไปยังคนข้างๆ“เฮ้ย อาพงศ์” แล้วรีบเลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อมองสำรวจร่างกายใต้ผ้าห่มของตัวเองเตชินตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเสื้ออาภรณ์ใดๆ บนร่างกายไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว“ใช่ครับ...” พงศ์ตอบสีหน้าราบเรียบ หากแต่เตชินหน้าบิดเบี้ยวเหยเก แล้วมองสำรวจไปรอบห้องด้วยแววตาตื่นตระหนก และพบว่าเสื้อผ้าของตัวเองวางกองอยู่บนพื้นอย่างไม่ไยดี และใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นเสื้ออีกชุด ซึ่งไม่ต้องบอกว่าเป็นของใคร...“หมายความว่าไง อาพงศ์ทำอะไรผมเมื่อคืน”ไม่อยากเดา และไม่อยากยอมรับความจริงเสียงทุ้มหนักหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยถาม “ทำไม รับไม่ได้เหรอ เมื่อคืนคุณเตชินยังบอกว่าชอบอยู่เลย” แล้วยกมือถือในมือขึ้นสูงอีกครั้งเตชินหน้าตื่นแล้วค่อยๆ กลายเป็นสีเรื่อ เมื่อจำได้เลือนรางว่ามันรู้สึกดีจริงๆ ในตอนนั้น“นี่อาพงศ์ถ่ายภาพผมเก็บไว้หรือครับ” แล้วรีบเบี่ยงตัวหลบ“ก็เอาไว้ดูต