ร่างบางสะดุ้ง หากแต่ไม่มีความเจ็บปวด “อืออ...” ขวัญข้าวส่งเสียงครางบ่งบอกถึงความพอใจ ครั้นเมื่อชายหนุ่มขยับขับทำนองเข้าออกอย่างเนิบช้าเป็นจังหวะ ริมฝีปากบางก็ครางกระเส่าเสียวซ่านรัญจวนใจ ในบทพิศวาสเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา...
ความกำหนัดบวกกับแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในเส้นเลือด ความร้อนแรงจึงมีตามมา แรงส่งกระแทกเข้าหากลางลำตัว จนคนใต้ร่างสะเทือนไหวไปตามจังหวะหากแต่พร้อมรับโดยไม่มีถอยจนการเดินทางกำลังถึงฝั่ง สติที่ยังมีอยู่น้อยนิดรีบผละจากร่างบาง โน้มตัวผ่านข้าม เพื่อควานหาสิ่งป้องกันในลิ้นชักหัวเตียง
เมื่อทุกอย่างถูกต้องเข้าที่ พายุเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก่อนจะเพิ่มความแรงกระแทกถี่ยิบ เตือนให้อีกคนรู้ว่า เขาใกล้แล้ว และไม่กี่อึดใจเขาก็กระตุกเกร็งสองสามครั้ง และคนใต้ร่างก็กระตุกเกร็งตามมาเช่นกัน
พอคลื่นทะเลแตกฟองจนพร่าพราวความสงบนิ่งจึงเข้ามาเยือน ห้องนอนที่เมื่อครู่ยังมีเสียงครวญครางดังกระหึ่มก็เงียบลงพร้อมคนบนร่างฟุบหน้าซบกับอกนุ่มหยุ่นที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะพลิกลงนอนข้างกายและดึงสิ่งป้องกันออก แล้วเหวี่ยงทิ้งไปอย่างไม่สนใจว่ามันจะไปตกที่ใด...
ลมหายใจหอบรัวเหมือนคนวิ่งออกกำลังตอนรุ่งเช้าดังแทรกผ่านความเงียบ ก่อนจะค่อยๆ แผ่วลงกลายเป็นเสียงหายใจสม่ำเสมอของเจ้าของห้อง โดยที่อีกคนยังเพ่งมองเพดานนิ่งอย่างครุ่นคิด
เมื่อทุกอย่างเงียบนิ่ง ขวัญข้าวจึงขยับเปลี่ยนท่า สายตาหวานเชื่อมมองใบหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทลงอย่างปรารถนาในตัวไม่เสื่อมคลาย ก่อนจะลุกขึ้นขยับดึงผ้าห่มที่อยู่ด้านปลายสุดของเตียงคลุมกาย นิ้วเรียวสะกิดปลายจมูกโด่ง ลากไล้ฝ่ามือเรียวไปตามแผงหน้าอกกว้างก่อนจะซบใบหน้าลงบนอกแกร่งบดเบียดร่างกายเปล่าเปลือยใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ในใจกระหยิ่มยิ้มย่องคิดว่าก่อนจะแยกจากกันเธอกับชายหนุ่มที่ตนเองหลงรักคงลุกขึ้นมาต่ออีกยกเป็นแน่ ก่อนจะหลับตามอีกคนไปในที่สุด...
เช้าอีกวัน
ก๊อก ก๊อก
น้ำเหนืออยู่ในชุดพร้อมจะออกไปข้างนอก ยืนเคาะประตูห้องพี่ชายด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เพราะวันนี้มีนัดหมายกับพี่ชายว่าจะไปซื้อของด้วยกันตอนเช้าตรู่ เพื่อเตรียมฉลองงานวันเกิด ซึ่งปีนี้คงต้องฉลองกันเพียงลำพังอีกตามเคย
เมื่อเคาะประตูเรียกไม่ได้ผล น้ำเหนือจึงเรียกซ้ำ “พี่พายุ สายแล้วนะครับ...”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ น้ำเหนือจึงเรียกซ้ำ “ตื่นหรือยังครับพี่พายุ สายแล้วนะครับ...”
ในห้องเงียบจนน่าแปลกใจ น้ำเหนือจึงเรียกใหม่อีก หากครั้งนี้น้ำหนักเสียงเพิ่มขึ้นกว่าเก่า
“พี่พายุครับ ไม่ตอบผมจะเข้าไปแล้วนะครับ”
เงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงให้รู้ว่าในห้องมีคนอยู่
แปลกจริง น้ำเหนือคิดว่ามีทางเดียวคือ ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปดูเอง เพราะปกติพี่ชายไม่เคยนอนขี้เซาขนาดนี้
น้ำเหนือจับลูกบิดประตู ซึ่งมันไม่ได้ล็อก จึงเปิดเข้าไปโดยไม่ลังเล
เมื่อเข้าไปในห้อง น้ำเหนือก็มองผ้าห่มผืนหนานูนเด่นกองโตอยู่บนเตียงนอน
“เอ๊ะ...” สิ่งผิดปกติทำให้น้ำเหนือเดินตรงไป พอได้จังหวะก็กระตุกผ้าห่มออกจากร่างกายพี่ชายอย่างแรง
พรึบ
“...” น้ำเหนือตาเบิกกว้าง ยืนแข็งเป็นหินในขณะที่ม่านตาขยายกว้างจับภาพตรงหน้า สมองประมวลย้อนคิดถึงก่อนหน้านั้น ในห้องนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
น้ำเหนือยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง ส่วนเจ้าของห้องก็ยังไม่รู้สึกตัว ว่ามีคนเข้ามายืนจ้องอยู่
“พี่พายุ” น้ำเสียงที่เปล่งไม่ดังพอให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว
ครั้นพอได้สติกลับมา น้ำเหนือก็โยนผ้าห่มในมือทิ้งทับไปบนร่างเปล่าเปลือยของคนทั้งคู่ไว้
“พี่พายุ พี่ลุกขึ้นมาคุยกับเหนือให้รู้เรื่องเลยนะ ไหนบอกว่ากลับตัวกลับใจแล้วไง แล้วนี่มันอะไรกันครับ”
คนผิดหวังในตัวพี่ชายเริ่มโวยวาย
พายุเริ่มรู้สึกตัว ขยับเปลี่ยนท่า ตาปรือปรอยอย่างคนนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่สว่างโร่ ม่านตาเปิดขยายชัด เมื่อเห็นน้ำเหนือยืนอยู่ปลายเตียง
“เฮ้ย...เหนือ เข้ามานานยัง” พายุอุทานตกใจ
ในขณะที่ถาม มือก็ควานหาผ้าห่มมาคลุมตัวให้มิดชิดไปด้วย
ส่วนน้องชายก็ยืนหน้าตึงไม่พูดไม่จา
“เหนือ...” พายุมีสีหน้ากระอักกระอ่วน มองหน้าน้องชายแล้วเหลือบมองผู้หญิงที่ยังหลับอยู่ข้างกาย ก่อนจะกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ
“ครับ” ครานี้เจ้าของชื่อขานรับ แต่หน้ายังตึงเหมือนเดิม
คนรู้ตัวว่าได้ทำให้น้องชายผิดหวังหน้าจืดเจื่อน แต่ก็ฝืนพูด
“ออกไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะตามออกไป”
แอร์ยังทำหน้าที่ดีอยู่ แต่เจ้าของห้องร้อนจนเหงื่อแตกซิก
น้ำเหนือโกรธจนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน ทำได้แค่กำมือเข้าหากัน เฮอะ ให้มันได้อย่างนี้สิ น้ำเหนือถอนหายใจยาวๆ มองพี่ชายด้วยสายตาตัดพ้อ...
เสียงพูดทำให้คนที่นอนอยู่เริ่มขยับตัวและออกอาการหงุดหงิด ตามนิสัยที่มีติดตัวอยู่เสมอ“อื้อ หนวกหู...คนจะนอน” เจ้าของร่างอวบอั๋นไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ขยับกายส่งเสียงดังรำคาญ สองมือก็พยายามควานหาผ้าห่มที่ถูกดึงไปเมื่อครู่กลับมาห่มให้เข้าที่อีกครั้ง โดยไม่คิดสนใจหรือลืมตาขึ้นมาดูน้ำเหนือที่ยืนมองอยู่ตลอดเวลาซัดสายตามองหญิงสาวที่พี่ชายหิ้วมานอนด้วย แล้วหันมาที่พี่ชาย“ผมให้เวลาพี่สิบนาที” แล้วก็เดินออกจากห้องไปเมื่อทางเลือกมีไม่มาก พายุจึงรีบหันไปปลุกคนหลับ“ขวัญข้าวตื่น”“อือ...อะ...อะรายย คนจะนอน...” เสียงลากยาน พร้อมกับขยับเปลี่ยนท่าอย่างรำคาญ“ลุกขึ้น เดี๋ยวนี้เลย” เสียงเข้มสั่งย้ำ พร้อมเขย่าคนหลับให้ตื่น เพื่อไปแต่งตัว“อือ ยังไม่อยากตื่น...ขอนอนต่ออีกครึ่งชั่วโมงนะ” ว่าแล้วก็ซุกตัวไปใต้ผ้าห่ม แต่มือหนากำแขนเรียวไว้แน่น จนขวัญข้าวรู้สึกเจ็บ“เจ็บ จะหวงที่นอนอะไรนักหนาเนี่ย” เธอต่อว่า ส่วนความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งหน้าตึงมองคนทำ“ลุกไปแต่งตัว ผมจะออกไปข้างนอก”“ออกก็ออกไปสิ ขอนอนต่อจนคุณกลับมาไม่ได้หรือไง”“ไม่ได้ ลุกไปแต่งตัว” น้ำเสียงเขาเด็ดขาด แบบไร้ข้อต่อรอง“ก็ไ
“อย่าเรียกว่าร้ายสิ ต้องเรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันดีต่างหาก”แววตาฉายแววร้ายกาจของขวัญข้าวที่ซ่อนอยู่ภายใน แผ่ออกมาโดยที่พายุไม่มีวันได้เห็นและไม่มีทางได้รู้เลย...ร่างสมส่วนขยับโอบกระชับร่างหนาที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิมพร้อมกับกระซิบบอกเบาๆ ข้างหู“ไม่เอาสิที่รัก...อย่าคิดมากเลยนะคะ” อกอวบเข้าเบียดแขนแกร่ง โดยจงใจให้พายุหันมาสนใจตน หากแต่ผิดถนัดเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับหันมาส่งสายตาดุใส่และส่งคำพูดเสียดแทงใจ...“ขอโทษนะครับ อย่าเรียกแบบนี้อีก แล้วก็ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว” พายุเอ่ยอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป จนคนที่ตระกองกอดเซเสียหลัก“เชอะ...อย่าหวังว่าข้าวจะปล่อยคุณไปง่ายๆ นะคะ”ขวัญข้าวมาดหมายไล่หลังด้วยความขัดใจ ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งโดยไม่คิดจะออกไปก่อน ทั้งที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่แล้วก็ตามผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่พายุใช้เวลาในห้องน้ำคิดแต่เรื่องของตัวเองที่ทำผิดคำสัญญาไว้กับเตชินแม้จะผ่านผู้หญิงและผู้ชายมามากหน้าหลายตา แต่ก็อยากหยุดอยู่แค่เตชินเพียงคนเดียวที่จะคบและจริงจังด้วย แต่ทุกอย่างจะพังหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเรื่องจะไปทิศทางใด...พายุเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว
น้ำเหนือหันมองหญิงสาวที่เดินปรี่ออกไปจากบ้านโดยไม่คิดทักทาย จนกระทั่งพี่ชายเดินหน้ามู่ทู่ออกมา“ไปกันหรือยัง”คำถามเหมือนคนไม่ได้ทำอะไรผิดของพายุ ทำให้น้ำเหนือนั่งจ้องหน้านิ่ง จนอีกฝ่ายร้อนตัว“พี่ขอโทษ...”“เก็บคำขอโทษไว้ไปพูดกับเตชินเถอะครับ”“พี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ”“ทำแล้วมารู้สึกผิดเนี่ยนะ...ขอถามอะไรพี่หน่อยเถอะครับ”พายุรู้ว่าน้องจะถามเรื่องอะไร จึงเตรียมใจรับฟัง ส่วนน้ำเหนือมองสบตาพี่ชายอย่างมุ่งหวัง ก่อนจะมองเลยไปทางที่ผู้หญิงเดินหายไป ด้วยความเหนื่อยหน่าย“พี่คิดว่าการที่ผิดสัญญากับใครสักคน มันทำให้พี่สุขแค่ไหน แค่ชั่วครู่ที่ได้ปลดปล่อยเหรอ”คำถามทำให้พายุได้แต่อ้ำอึ้ง ด้วยสำนึกผิด“...แล้วพี่คิดบ้างไหม ว่าความสุขของพี่มันคือความเจ็บปวดของคนที่พี่บอกว่ารักเขาคนเดียว ยอมเขาแค่คนเดียว หรือจริงๆ แล้วมันก็แค่ลมปากที่พี่พูดออกมาแต่ว่ามันไม่จริง”“พี่...พี่ขอโทษ”“คำขอโทษของพี่มันง่ายเกินไปหรือเปล่าครับ อย่างที่พี่เพิ่งได้ปลดปล่อยแค่อารมณ์สั้นๆ นั่นหรือเปล่าครับ”คำถามของน้ำเหนือทำให้พายุนิ่งอึ้งเขาไม่ได้โกรธน้องชายที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว หากแต่กลับกันเขาเห็นใจน้องชายตัวเองมากกว
หลังจากที่ตกลงแบ่งหน้าที่กันแล้ว สองพี่น้องก็ลงมือจัดการทำหน้าที่ของตัวเองทันทีน้ำเหนือจัดการส่งข้อความ ‘เตทำไมไม่รับสาย ลืมนัดของเราแล้วเหรอ’ข้อความถูกส่งไปเมื่อพิมพ์เสร็จ น้ำเหนือรอคอยอย่างมีความหวัง ก่อนจะเหลือบตาไปมองคนนั่งข้างๆ ใจวูบโหวงแปลกๆ“เป็นไงบ้างพี่พายุ...”ใบหน้าไร้รอยยิ้มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาน้ำเหนือได้แต่ถอนหายใจทิ้ง“เดี๋ยวผมจะโทรอีกที”น้ำเหนือโทรเบอร์อีกครั้ง แต่แล้วเสียงเรียกรอสายก็ตัดไป“สายตัดไปแล้ว...” น้ำเหนือเปรยขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง“เตชินตัดสายน้ำเหนือทิ้งเหรอ”“ไม่นะ เอ๊ะ ผมก็ไม่แน่ใจ เอาแบบนี้ดีไหม เราไปรับเตชินที่บ้านเลยดีกว่า” น้ำเหนือออกความคิด“ไม่ดีหรอก ขนาดโทรไปเขายังไม่รับสายเลย” พายุเอ่ยหน้าเศร้าใจลึกๆ น้ำเหนือรู้สึกดีใจ ที่พี่ชายเลิกเที่ยวเตร่ และหันมาจริงจังกับใครสักคนแบบนี้ ที่สำคัญคนๆ นั้นก็คือเพื่อนรัก หากแต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเวลาผ่านไป ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขของคนคนเดียวกัน“ไปกันเถอะครับ” น้ำเหนือลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง หลังจากที่รอข้อความเตชินอยู่นาน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา แถมเบอร์โทร
เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่บัณฑิตใหม่จะยอมปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน โดยน้ำเหนือก็ออกไปถ่ายรูปกับเพื่อนอีกกลุ่ม เตชินจึงมองหาพี่ชายและอาพงศ์เพื่อจะถ่ายรูปกันต่อ...“มองอะไรอยู่ครับ” เตชินถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายเหมือนสนใจอะไรสักอย่างในกลุ่มเพื่อนของตนตะวันรีบเบนสายตา และปรับสีหน้าโดยไม่ตอบคำถามน้องชาย “เสร็จแล้วเหรอ”“ครับ...”“งั้นไปถ่ายรูปกัน ไปครับอาพงศ์...”อาพงศ์ที่ถูกให้เกียรติไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในครอบครัวยิ้มรับแล้วทั้งสามก็พากันไปถ่ายรูป เพื่อเก็บภาพวันดีๆ เอาไว้...แม้จะห่วง ทะนุถนอมดูแลไม่คลาดสายตา แต่คนเราพออายุเข้าวัยเบญจเพส ความรู้สึกนึกคิดของคนเราก็ต่างกันออกไป จากคนที่เคยว่านอนสอนง่าย ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พี่ชายที่มุ่งทำงานและศึกษาต่อก็ดูแลเอาใจใส่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ชะตาฟ้าลิขิต ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้...ตะวันลูบไล้ไปบนที่นอนที่ไร้ไออุ่น ประหนึ่งต้องการซึมซับความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ พร้อมกับส่งผ่านความรู้สึกของตัวเองไปยังผู้ที่เคยนอนอยู่บนเตียงนี้ขอบตาค่อยๆ ร้อนผ่าวลามไปถึงลำคอและปลายจมูกก่อนจะไปรวมตัวที่หน่วยตากลายเป็นหยดหยาดน้ำใสที่กลั่นมาจากความรู้สึกคิดถึง ริ
ระหว่างนั้น รถเริ่มชะลอความเร็วลง ดวงตากลมโตที่ยังฉายแววหวาดหวั่นอยู่ก็ตวัดไปมองข้างทางทันที โดยเลิกสนใจคำพูดของชายปกปิดใบหน้า ที่ตอนนี้กำลังส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ โดยที่น้ำเหนือเองก็ไม่เข้าใจว่าไปทำอะไรให้ผู้ชายคนนี้โกรธนักหนาถึงได้จับตัวเองมา...“ที่ไหน คุณจะพาผมไปไหน...” บรรยากาศผิดหูผิดตาจนนั่งก้นไม่ติดเบาะ “จะเอาผมมาฆ่าหมกป่าหรือไง”น้ำเหนือถามเสียงสั่น เมื่อมองออกไปนอกกระจกรถ มีแต่ต้นไม้เขียวขจี และมองเห็นภูเขาที่ลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศรอบด้าน มีเพียงความเงียบสงบดูเวิ้งว้างไร้ผู้คนในป่าในดง...ความคิดที่จะมองหาคนช่วยถูกพับเก็บไปทันทีและความหวาดกลัวก็เริ่มทวีมากขึ้นเป็นลำดับในขณะที่รถจอดนิ่งสนิท แต่หัวใจของน้ำเหนือกลับเต้นรัวเร็วขึ้น จนเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุดพรายอยู่ตามไรผมและใบหน้า...เขาพามาที่นี่ทำไม หรือว่าจะเอามาฆ่าหมกป่า น้ำเหนือคิด ความกลัวเริ่มแล่นเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง แล้วขยับตัวนั่งหลังตรง ตั้งใจว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ยอมลงไปจากรถอย่างเด็ดขาด...แสงอาทิตย์เรืองรองของรุ่งอรุณสะท้อนผ่านช่องเขาที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทุกอย่างรอบกายดูสดชื่นและอบอุ่น แต่ใครอีก
ตะวันมองมือที่จับข้อเท้าของน้ำเหนือ แล้วสะบัดมือออกอย่างไม่ออมแรง“โอ๊ย เจ็บ” ข้อเท้าที่ถูกมัดจนเป็นรอยเจ็บกว่าเดิม เมื่ออีกคนสะบัดแรง จนกระแทกไปกับขอบเบาะ“ไม่ลงใช่ไหม” เสียงทุ้มยังขู่คำรามออกมา เตรียมพร้อมจะกลับมากระชากขาอีกรอบน้ำเหนือยกขาหนีพร้อมกับบอก “ลงแล้ว” แล้วดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง กระเถิบตัวออกมาวางเท้าไปบนถนนลูกรัง“นี่คุณจะไม่แก้มัดให้ผมจริงๆ หรือไง”“เรื่องแค่นี้คงไม่ใหญ่สำหรับคุณหรอกนะ”“มาลองโดนบ้างไหมล่ะ”“ปากดี”จากที่เตรียมจะเดินออกไป ตะวันก็ต้องเดินกลับมาหาคนปากดีอีกครั้ง น้ำเหนือผวาขยับตัวลีบ“ปากดีอีกสิ” ตะคอกใส่พร้อมกับโน้มตัวเข้าหาคนที่ตัวเล็กกว่าน้ำเหนือพยายามดิ้นหนี แต่เนื้อที่จำกัด มือหนาจึงคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าเล็กแล้วออกแรงบีบ จนเจ้าของร้องลั่น“โอ๊ย เจ็บนะ...” น้ำเหนือหน้าเหยเกเสียงสั่นเพราะความเจ็บ“ถ้ายังปากดี จะเจ็บมากกว่านี้” เสียงทุ้มเหี้ยมเค้นเสียงออกมา ไม่สนเพราะเขาไม่ได้เจ็บเอง แล้วลากจนน้ำเหนือร่วงลงมาจากรถ ไร้ความปรานี“โอ๊ย อึก...” น้ำเหนือนอนจุก ตัวคู้งออยู่บนพื้น “อะ ไอ้คนเลว”น้ำเหนือผรุสวาทด้วยความโกรธเคือง น้ำตาเอ่อ ทั้งเจ็บใจและเจ็บร้าวไป
ด้วยความหวาดระแวง น้ำเหนือดันตัวเองลุกขึ้นจากแอ่งน้ำ ในขณะที่สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ‘เสือมีจริงหรือเปล่าวะ...’ เริ่มไม่ไว้ใจ เพราะรอบๆ เห็นแต่ต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมจนดูอึมครึมและวังเวงแม้จะเจ็บแปลบตรงข้อเท้า ก็พยายามฝืนจนยืนขึ้น แล้วกัดฟันทนกระโดดออกจากแอ่งน้ำ มายืนหอบเหนื่อยอยู่บนพื้นแห้ง เมื่อรู้สึกหายเหนื่อย ก็กระโดดหย็องๆ ออกไปริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง“มีอะไรให้เจอที่แย่กว่านี้ไหมเนี่ย” น้ำเหนือบ่นตัดพ้อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านไม้ทั้งหลังที่อยู่เบื้องหน้า หากใจล่องลอยไปถึงพี่ชาย‘ป่านนี้พี่พายุคงตามหาให้วุ่นแล้วสิ...’ น้ำเหนือคิดอย่างกังวลความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวทำให้น้ำเหนือทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้ง แล้วมองไปยังตัวบ้านที่ใครอีกคนเดินหายเข้าไปเมื่อครู่ก่อน และยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาใหม่แม้จะปวดแขนและข้อมือ น้ำเหนือก็พยายามขยับแขนที่ถูกมัดไพล่หลังไปมา หมายจะให้เชือกคลายตัวออก แต่ก็กัดฟันทนจนที่สุดเชือกก็เริ่มคลายออก พยายามอีกเป็นครู่เชือกก็หลุดออกเมื่อมือทั้งสองข้างเป็นอิสระน้ำเหนือก็รีบแก้เชือกที่มัดข้อเท้าจนได้ริมฝีปากแห้งซีดยิ้มอย่างดีใจ...ตอนนี้