หลังจากที่ตกลงแบ่งหน้าที่กันแล้ว สองพี่น้องก็ลงมือจัดการทำหน้าที่ของตัวเองทันทีน้ำเหนือจัดการส่งข้อความ ‘เตทำไมไม่รับสาย ลืมนัดของเราแล้วเหรอ’ข้อความถูกส่งไปเมื่อพิมพ์เสร็จ น้ำเหนือรอคอยอย่างมีความหวัง ก่อนจะเหลือบตาไปมองคนนั่งข้างๆ ใจวูบโหวงแปลกๆ“เป็นไงบ้างพี่พายุ...”ใบหน้าไร้รอยยิ้มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาน้ำเหนือได้แต่ถอนหายใจทิ้ง“เดี๋ยวผมจะโทรอีกที”น้ำเหนือโทรเบอร์อีกครั้ง แต่แล้วเสียงเรียกรอสายก็ตัดไป“สายตัดไปแล้ว...” น้ำเหนือเปรยขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง“เตชินตัดสายน้ำเหนือทิ้งเหรอ”“ไม่นะ เอ๊ะ ผมก็ไม่แน่ใจ เอาแบบนี้ดีไหม เราไปรับเตชินที่บ้านเลยดีกว่า” น้ำเหนือออกความคิด“ไม่ดีหรอก ขนาดโทรไปเขายังไม่รับสายเลย” พายุเอ่ยหน้าเศร้าใจลึกๆ น้ำเหนือรู้สึกดีใจ ที่พี่ชายเลิกเที่ยวเตร่ และหันมาจริงจังกับใครสักคนแบบนี้ ที่สำคัญคนๆ นั้นก็คือเพื่อนรัก หากแต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเวลาผ่านไป ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขของคนคนเดียวกัน“ไปกันเถอะครับ” น้ำเหนือลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง หลังจากที่รอข้อความเตชินอยู่นาน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา แถมเบอร์โทร
เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่บัณฑิตใหม่จะยอมปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน โดยน้ำเหนือก็ออกไปถ่ายรูปกับเพื่อนอีกกลุ่ม เตชินจึงมองหาพี่ชายและอาพงศ์เพื่อจะถ่ายรูปกันต่อ...“มองอะไรอยู่ครับ” เตชินถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายเหมือนสนใจอะไรสักอย่างในกลุ่มเพื่อนของตนตะวันรีบเบนสายตา และปรับสีหน้าโดยไม่ตอบคำถามน้องชาย “เสร็จแล้วเหรอ”“ครับ...”“งั้นไปถ่ายรูปกัน ไปครับอาพงศ์...”อาพงศ์ที่ถูกให้เกียรติไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในครอบครัวยิ้มรับแล้วทั้งสามก็พากันไปถ่ายรูป เพื่อเก็บภาพวันดีๆ เอาไว้...แม้จะห่วง ทะนุถนอมดูแลไม่คลาดสายตา แต่คนเราพออายุเข้าวัยเบญจเพส ความรู้สึกนึกคิดของคนเราก็ต่างกันออกไป จากคนที่เคยว่านอนสอนง่าย ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พี่ชายที่มุ่งทำงานและศึกษาต่อก็ดูแลเอาใจใส่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ชะตาฟ้าลิขิต ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้...ตะวันลูบไล้ไปบนที่นอนที่ไร้ไออุ่น ประหนึ่งต้องการซึมซับความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ พร้อมกับส่งผ่านความรู้สึกของตัวเองไปยังผู้ที่เคยนอนอยู่บนเตียงนี้ขอบตาค่อยๆ ร้อนผ่าวลามไปถึงลำคอและปลายจมูกก่อนจะไปรวมตัวที่หน่วยตากลายเป็นหยดหยาดน้ำใสที่กลั่นมาจากความรู้สึกคิดถึง ริ
ระหว่างนั้น รถเริ่มชะลอความเร็วลง ดวงตากลมโตที่ยังฉายแววหวาดหวั่นอยู่ก็ตวัดไปมองข้างทางทันที โดยเลิกสนใจคำพูดของชายปกปิดใบหน้า ที่ตอนนี้กำลังส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ โดยที่น้ำเหนือเองก็ไม่เข้าใจว่าไปทำอะไรให้ผู้ชายคนนี้โกรธนักหนาถึงได้จับตัวเองมา...“ที่ไหน คุณจะพาผมไปไหน...” บรรยากาศผิดหูผิดตาจนนั่งก้นไม่ติดเบาะ “จะเอาผมมาฆ่าหมกป่าหรือไง”น้ำเหนือถามเสียงสั่น เมื่อมองออกไปนอกกระจกรถ มีแต่ต้นไม้เขียวขจี และมองเห็นภูเขาที่ลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศรอบด้าน มีเพียงความเงียบสงบดูเวิ้งว้างไร้ผู้คนในป่าในดง...ความคิดที่จะมองหาคนช่วยถูกพับเก็บไปทันทีและความหวาดกลัวก็เริ่มทวีมากขึ้นเป็นลำดับในขณะที่รถจอดนิ่งสนิท แต่หัวใจของน้ำเหนือกลับเต้นรัวเร็วขึ้น จนเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุดพรายอยู่ตามไรผมและใบหน้า...เขาพามาที่นี่ทำไม หรือว่าจะเอามาฆ่าหมกป่า น้ำเหนือคิด ความกลัวเริ่มแล่นเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง แล้วขยับตัวนั่งหลังตรง ตั้งใจว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ยอมลงไปจากรถอย่างเด็ดขาด...แสงอาทิตย์เรืองรองของรุ่งอรุณสะท้อนผ่านช่องเขาที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ทุกอย่างรอบกายดูสดชื่นและอบอุ่น แต่ใครอีก
ตะวันมองมือที่จับข้อเท้าของน้ำเหนือ แล้วสะบัดมือออกอย่างไม่ออมแรง“โอ๊ย เจ็บ” ข้อเท้าที่ถูกมัดจนเป็นรอยเจ็บกว่าเดิม เมื่ออีกคนสะบัดแรง จนกระแทกไปกับขอบเบาะ“ไม่ลงใช่ไหม” เสียงทุ้มยังขู่คำรามออกมา เตรียมพร้อมจะกลับมากระชากขาอีกรอบน้ำเหนือยกขาหนีพร้อมกับบอก “ลงแล้ว” แล้วดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง กระเถิบตัวออกมาวางเท้าไปบนถนนลูกรัง“นี่คุณจะไม่แก้มัดให้ผมจริงๆ หรือไง”“เรื่องแค่นี้คงไม่ใหญ่สำหรับคุณหรอกนะ”“มาลองโดนบ้างไหมล่ะ”“ปากดี”จากที่เตรียมจะเดินออกไป ตะวันก็ต้องเดินกลับมาหาคนปากดีอีกครั้ง น้ำเหนือผวาขยับตัวลีบ“ปากดีอีกสิ” ตะคอกใส่พร้อมกับโน้มตัวเข้าหาคนที่ตัวเล็กกว่าน้ำเหนือพยายามดิ้นหนี แต่เนื้อที่จำกัด มือหนาจึงคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าเล็กแล้วออกแรงบีบ จนเจ้าของร้องลั่น“โอ๊ย เจ็บนะ...” น้ำเหนือหน้าเหยเกเสียงสั่นเพราะความเจ็บ“ถ้ายังปากดี จะเจ็บมากกว่านี้” เสียงทุ้มเหี้ยมเค้นเสียงออกมา ไม่สนเพราะเขาไม่ได้เจ็บเอง แล้วลากจนน้ำเหนือร่วงลงมาจากรถ ไร้ความปรานี“โอ๊ย อึก...” น้ำเหนือนอนจุก ตัวคู้งออยู่บนพื้น “อะ ไอ้คนเลว”น้ำเหนือผรุสวาทด้วยความโกรธเคือง น้ำตาเอ่อ ทั้งเจ็บใจและเจ็บร้าวไป
ด้วยความหวาดระแวง น้ำเหนือดันตัวเองลุกขึ้นจากแอ่งน้ำ ในขณะที่สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ‘เสือมีจริงหรือเปล่าวะ...’ เริ่มไม่ไว้ใจ เพราะรอบๆ เห็นแต่ต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมจนดูอึมครึมและวังเวงแม้จะเจ็บแปลบตรงข้อเท้า ก็พยายามฝืนจนยืนขึ้น แล้วกัดฟันทนกระโดดออกจากแอ่งน้ำ มายืนหอบเหนื่อยอยู่บนพื้นแห้ง เมื่อรู้สึกหายเหนื่อย ก็กระโดดหย็องๆ ออกไปริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง“มีอะไรให้เจอที่แย่กว่านี้ไหมเนี่ย” น้ำเหนือบ่นตัดพ้อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านไม้ทั้งหลังที่อยู่เบื้องหน้า หากใจล่องลอยไปถึงพี่ชาย‘ป่านนี้พี่พายุคงตามหาให้วุ่นแล้วสิ...’ น้ำเหนือคิดอย่างกังวลความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวทำให้น้ำเหนือทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้ง แล้วมองไปยังตัวบ้านที่ใครอีกคนเดินหายเข้าไปเมื่อครู่ก่อน และยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาใหม่แม้จะปวดแขนและข้อมือ น้ำเหนือก็พยายามขยับแขนที่ถูกมัดไพล่หลังไปมา หมายจะให้เชือกคลายตัวออก แต่ก็กัดฟันทนจนที่สุดเชือกก็เริ่มคลายออก พยายามอีกเป็นครู่เชือกก็หลุดออกเมื่อมือทั้งสองข้างเป็นอิสระน้ำเหนือก็รีบแก้เชือกที่มัดข้อเท้าจนได้ริมฝีปากแห้งซีดยิ้มอย่างดีใจ...ตอนนี้
เมื่อข้อมือเป็นอิสระ น้ำเหนือก็รีบวิ่งจ้ำอ้าวไปตามทาง โดยไม่หันกลับมามองหลัง ในใจก็แช่งชักหักกระดูกคนหยาบคายไปด้วย เชอะ เจ็บให้ตายไปเลย“ร้ายนักนะ...เดี๋ยวได้เจอดี” เสียงเหี้ยมเอ่ยลอดไรฟัน พยายามปรับสภาพร่างกายให้กลับมาเป็นปกติโดยไว และเมื่อร่างกายคืนสภาพเดิมตะวันก็ออกวิ่งไล่ตามเพียงก้าวเดียวของตะวัน แต่เท่ากับสองก้าวของคนตัวเล็กอย่างน้ำเหนือ อีกทั้งข้อเท้าที่บวมแผลก็ยังเป็นอุปสรรค จึงทำให้ไปได้ไม่ไวอย่างที่คิดหวัง ไม่นานก็โดนตะครุบตัวไว้ได้“เฮ้ย อึก”แล้วพากันล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้นหญ้าเปียกแฉะด้วยกันทั้งคู่“ปล่อยกู ไม่งั้นกูจะไม่เกรงใจแล้วนะ”น้ำเหนือที่ยังพอมีแรงดิ้นตะโกนบอก หากแต่เจ้าของวงแขนสวมกอดและรัดรึงไว้แน่น ประหนึ่งงูเหลือมรัดเหยื่อก็ไม่ปาน“ทำไม อ่อนปวกเปียกอย่างนายจะทำอะไรได้”“เออ” แล้วออกแรงสลัดจนแขนข้างหนึ่งเป็นอิสระผลัวะสิ้นเสียง มือข้างที่เป็นอิสระก็ปล่อยหมัดไร้ช่องโหว่ ไปปะทะซีกหน้าข้างขวาของตะวันเต็มแรง จนเขาหน้าหัน และมึนชาไปครู่หนึ่งหลังจากที่หายมึน ตะวันก็หันมามองใบหน้าเรื่อแดงช้าๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปลดสายมาสก์บนใบหน้าตัวเองออกข้างหนึ่ง แล้วถมน้ำลายลงพื้น ปราก
แล้วสิ่งที่น้ำเหนือไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ เมื่อมือหนากระชากจนเสื้อที่กระดุมขาดอยู่แล้ว ขาดติดมือไปอีก แล้วจับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของตนให้นอนคว่ำหน้าลงไปบนพื้นหญ้า จากนั้นเสื้อที่ถูกกระชากขาด กลับกลายมาเป็นสิ่งอำนวยให้อีกฝ่าย เมื่อเขาใช้มันมาปิดตาเจ้าของเสื้อไว้“อึก ปล่อยกู” น้ำเหนือเปล่งเสียงตวาดลั่น แต่คนที่นั่งคร่อมกลับกดแผ่นหลังไว้ด้วยแรงทั้งหมดลงมา จนเจ็บจุกหายใจไม่ออก“หากยังปากดีฉันจะปิดปากนายด้วยรองเท้า” เสียงทุ้มเหี้ยมบอก ในขณะที่มือกำลังดึงทึ้งกางเกงของน้ำเหนือให้ร่นลงจนเห็นร่องก้น“ไอ้เลว จะทำอะไร อย่านะ อย่า อึก...” น้ำเสียงสิ้นหวังเอ่ยดังแม้ไม่เห็น แต่การสัมผัสของอีกฝ่ายทำให้น้ำเหนือรับรู้ได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เมื่อมือหนาเริ่มเคล้าคลึงไปที่ก้นและสลับกับจูบไปบนแผ่นหลัง“เป็นเด็กดีนะ...” เสียงทุ้มราบเอ่ยออกมาเบาๆ สายตามองไล้ไปบนผิวนวลเนียน โดยมืออีกข้างกดที่ลำคออีกฝ่ายไว้แน่นไม่ปล่อย“อึก อย่า...อย่าทำอะไรผมแบบนี้...” เสียงสั่นเทาเอ่ยแกมขอร้อง แต่ตอนนี้ร่างกายของตะวันตอบสนองกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจึงไม่สนคำใด...มือหนายังคงลูบคลึงไปตามสัดส่วนที่น่าสัม
หลังจากที่ปล่อยให้อีกฝ่ายตักตวงจนพอใจ น้ำเหนือก็นอนสะอื้นไห้อยู่ในท่าเดิมอย่างนั้น จนกระทั่งอีกคนจับร่างที่เกือบล่อนจ้อนพลิกหงาย ซึ่งปรากฎรอยแดงเถือกไปทั่วตัวตะวันมองร่างกายที่ไร้เสื้อผ้าด้วยสายตาหยามเหยียด หากแต่เพียงครู่ เมื่อได้สัมผัสร่างกายของคนใต้ร่าง ส่วนอ่อนไหวของเขาก็สนองกลับมาอีกครั้งในทันที“บ้าเอ๊ย” ตะวันสบถ ก่อนที่ทุกอย่างจะขาดสะบั้น เขาก้มลงไปหาริมฝีปากที่กัดแน่นจนห้อเลือด แล้วใช้ซี่ฟันงับริมฝีปากล่างเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายเปิดปาก“อือ อึก...” เสียงทุ้มแผ่วขาดหาย เมื่อปลายลิ้นร้อนชื้นของตะวันรุกล้ำเข้าไปแม้จะรุนแรงแต่น้ำเหนือก็เริ่มโอนอ่อนไปกับสัมผัสที่ชำนิชำนาญของอีกฝ่าย และเมื่อเวลาผ่านไป การเล้าโลมให้อีกฝ่ายคล้อยตามก็มีตามมาครั้งที่สองจึงเป็นการร่วมรัก ที่ทำให้ทั้งคู่ไปถึงจุดหมายปลายทางพร้อมกัน...“ไปอาบน้ำซะ แล้วอย่าคิดหนี”เจ้าของคำสั่ง โยนเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่กับกางเกงบ๊อกเซอร์ให้น้ำเหนือฝืนใจรับเสื้อผ้ามา แล้วพาร่างที่บอบช้ำเข้าไปทำความสะอาดในห้องน้ำ“ไอ้คนเลว...” ทั้งโกรธทั้งเกลียดและขยะแขยง จนไม่อยากอยู่ร่วมชายคา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า การเอามือไปถูๆ ตามร่างกาย