ในระหว่างที่รอจางหย่งชำแหละเจ้าหมูป่าเฉียวลู่กับหญิงชราและลูกสะใภ้ของนาง ก็นั่งคุยกันและเตรียมน้ำเอาไว้เพื่อทำความสะอาด เฉียวลู่ยังได้เล่าให้สตรีทั้งสองฟังเรื่องที่นางความจำเสื่อมเพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมา หญิงชราถึงกับหลังน้ำตาให้กับเฉียวลู่ด้วยความสงสารในชีวิตที่อาภัพของนาง
เฉียวลู่ที่เห็นหญิงชราร้องไห้นางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร เด็กเล็กร้องไห้ยังพอหลอกล่อได้ แต่ให้ปลอบใจผู้ใหญ่นางจะพูดอย่างไรดี เฉียวลู่รู้สึกปวดหัวกับความเจ้าน้ำตาของหญิงชรา แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกนางมาต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยแต่ยังคงมีคนห่วงใยนางเช่นเดิมเหมือนกับตอนที่นางอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน
“ท่านยายท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ ถึงข้าจะจำสิ่งใดไม่ได้เลยในอดีต แต่ข้าก็สามารถรับรู้ได้ว่ายังมีพวกท่านนั้นคอยเป็นห่วงเราแม่ลูกแค่ไหน ข้าไม่ได้รู้สึกกลัวอันใดเลยอาจจะดีกับข้าเสียด้วยซ้ำที่ต้องลืมเรื่องราวในอดีต”
เฉียวลู่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา มันเหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกของนางสั่งให้นางพูดแบบนั้นออกไป
“ท่านเล่าเรื่องที่หมู่บ้านนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าข้าจะจำอะไรได้บ้าง”
จากนั้นหญิงชรากับลูกสะใภ้ของนางก็ผลัดกันเล่าเรื่องราวตลอดสี่ปีที่เฉียวลู่และท่านพ่อของนางมาอยู่ที่นี่อย่างละเอียด เฉียวลู่ได้รู้ชื่อของหญิงชราสักที่ว่านางมีชื่อว่าหลี่เหมยฮวา บุตรชายของนางที่กำลังชำแหละเนื้อหมูป่าคือจางหย่งและลูกสะใภ้ของนางหลิวหง พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันสามคนจางหย่งและหลิวหงแต่งงานมาสิบกว่าปีแต่ก็ไม่มีลูกด้วยกัน แม่เฒ่าหลี่ก็ไม่ได้รังเกียจและไม่บังคับให้จางหย่งหย่ากับหลิวหง
ถึงแม้จะมีชาวบ้านมากมายต่อว่าแม่เฒ่าหลี่ก็ตามนางยังคงยืนยันเช่นเดิม สามีของแม่เฒ่าหลี่ป่วยตายจากไปนานแล้วตั้งแต่จางหย่งยังเล็ก นางต้องอดทนเลี้ยงดูบุตรชายของนางเพียงคนเดียวลำพัง
เมื่อก่อนนางถูกแม่สามีไล่ออกจากเรือนหลังจากสามีของนางตายจากไปแม่เฒ่าหลี่หอบลูกกลับมาที่บ้านเดิมของตน โชคดีที่คนหมู่บ้านมู่โฉวเป็นคนจิตใจดีพวกเขาจึงให้ความช่วยเหลือหญิงม่ายอย่างนาง แม่เฒ่าหลี่ไม่อยารบกวนบ้านเดิมของนางจึงสร้างกระท่อมอยู่กับจางหย่งสองคน
นางเข้าใจดีเรื่องแม่สามีกับลูกสะใภ้เพราะนางเคยถูกกดขี่มาก่อน ถ้าหากว่านางไม่เก่งนางและจางหย่งอาจจะกลายเป็นขี้ข้าหรือถูกใช้งานจนตายที่บ้านสกุลจางไปนานแล้ว เพราะนางยืนหยัดเพื่อบุตรชายคนเดียวของนางยอมตัดขาดบ้านสามีมาใช่ชีวิตกับบุตรชายสองคนจึงได้มีทุกวันนี้
ตอนนี้ถึงคราวที่นางจะต้องได้เป็นแม่สามีบ้าง นางจึงไม่คิดที่จะกดขี่หลิวหงเหมือนเช่นที่นางเคยประสบมาก่อน หลิวหงจึงทั้งรักและเคารพแม่สามีคนนี้ของนางมาก
หลิวหงคิดว่าเป็นความผิดของนางเองที่ไม่สามารถมีทายาทให้สามีได้ นางเคยคิดกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อให้จางหย่งแต่งงานใหม่แต่เป็นแม่เฒ่าหลี่ที่ช่วยนางเอาไว้ จากนั้นมาหลิวหงจึงคิดว่าแม่เฒ่าหลี่คือแม่แท้ๆ ของตนเพราะนางได้มอบชีวิตใหม่ให้แก่หลิวหงอีกครั้ง
“เรื่องมีทายาทหรือไม่มีล้วนเป็นลิขิตของสวรรค์ไม่มีใครสามารถฝืนได้ ถ้าหากสวรรค์ไม่ต้องการให้บุตรชายของข้ามีทายาทสืบสกุลต่อให้เขาแต่งานใหม่อีกกี่ครั้งก็ไร้ผล เช่นนั้นก็อยู่กันแบบนี้แหละ”
หลังจากฟังเรื่องเล่าของแม่เฒ่าหลี่ เฉียวลู่อยากจะตบมือให้กับนางดังๆ ท่านยายท่านเป็นคนยุคโบราณที่หัวสมัยใหม่มากท่านรู้หรือไม่
“ท่านน้าหลิวท่านเคยคิดที่จะรับเด็กมาเลี้ยงหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวลู่ลองถามหลิวหงเพราะนางไม่รู้ว่าที่นี่มีการรับลูกบุญธรรมหรือไม่ หากเป็นยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเรื่องลูกไม่นับว่าเป็นปัญหาเลย หลิวหงส่ายหน้า
“ข้าคิดว่าอยู่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อาจจะเหงาไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรถ้าหากรับเด็กสักคนมาเลี้ยงดูข้ากลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง เหมือนเช่นครอบครัวญาติห่างๆ ของข้า”
เฉียวลู่ฟังอย่างสนใจ เรื่องซุบซิบนินทาไม่ว่ายุคไหนผู้หญิงก็ชอบทั้งนั้น หลิวหงเล่าว่าลูกพี่ลูกน้องของบิดานางเคยรับเด็กชายมาเลี้ยงคนหนึ่งเพื่อเอาไว้สืบสกุลเพราะที่บ้านของเขามีแต่ลูกผู้หญิง พวกเขาดูแลเอาใจใส่เด็กคนนั้นเป็นอย่างดี แต่เมื่อเขาโตขึ้นกลับเนรคุณหลอกให้บิดายกสมบัติให้ทั้งหมดแล้วเอาโฉนดที่ดินไปขายที่โรงพนัน ทิ้งพ่อแม่บุญธรรมของเขาให้ไร้ที่อยู่ไร่นาก็ไม่มีถูกเจ้าคนเนรคุณคนนั้นขายไปจนหมด พวกเขาต้องสร้างกระท่อมอยู่กันสองคนในที่ดินที่ชาวบ้านบริจาคให้ โชคดีที่ยังมีบุตรสาวที่กตัญญูคอยกลับมาดูแลทั้งที่พวกนางเคยถูกบิดาละเลยและกระทำไม่ดีตอนที่ยังไม่แต่งออกไป
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินว่าลูกบุญธรรมของเขาถูกจับข้อหาลักทรัพย์และเป็นสายให้กลุ่มโจรเข้ามาปล้นบ้านเศรษฐีแต่ถูกจับได้ซะก่อน เฉียวลู่ฟังจนจบแล้วก็พยักหน้าอย่างเข้าใจในความรู้สึกที่พวกเขากลัว ถึงแม้จะบอกว่าคนทุกคนนั้นเกิดมาย่อมไม่เหมือนกัน ก็เหมือนกับนิ้วมือทั้งห้าที่ยาวไม่เท่ากัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีสิ่งไหนมาการันตีว่าหากเลี้ยงจนโตแล้วเขาจะไม่เนรคุณ คนที่มีสายเลือดเดียวกันบางคนยังสามารถขายพ่อแม่เพื่อสนองความต้องการของตนเองได้เลย
“แต่ว่านะ ตอนที่ข้าได้เห็นเด็กสองคนนี้ข้าก็คิดได้ว่าถึงจะมีคนเลวคนเนรคุณมากมาย แต่เด็กสองคนนี้ที่ถูกเจ้าเลี้ยงดูมานั้นต้องไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ ข้ามั่นใจ”
เฉียวลู่ยิ้มให้หลิวหง นางไม่กล้ารับความดีพวกนั้นเอาไว้เองคนเดียวหรอก เพราะคนที่เลี้ยงเด็กสองคนนี้คือเฉียวลู่คนก่อนที่ตอนนี้อาจจะขึ้นไปคอยมองดูการเดิบโตของเด็กๆ อยู่บนสวรรค์กับท่านพ่อของนางแล้ว เฉียวลู่เหม่อมองท้องฟ้าเหมือนกำลังมองหาบางสิ่ง อวี้หลงกับอวี้ชิงแหงนหน้ามองฟ้าเลียนแบบท่าทางของเฉียวลู่แต่พวกเขาไม่รู้ว่าท่านแม่กำลังมองหาสิ่งใด
ท่าทางน่ารักของสามแม่ลูกที่เหมือนแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันทำเอาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงหัวเราะออกมาพร้อมกันด้วยความเอ็นดู ก็พวกเขาทั้งสามคนน่ารักขนาดนี้จะไม่ให้คนรอบข้างรักและเอ็นดูพวกเขาได้อย่างไร เฉียวลู่ไม่รู้ความคิดของแม่เฒ่าหลี่ ถ้าหากนางรู้นางคงจะตอบว่าท่านยายท่านคิดมากเกินไปแล้ว
หลังจากที่นั่งรออยู่นานจางหย่งก็ชำแหละเนื้อหมูป่าและแยกชิ้นส่วนเนื้อกระดูกหนังและไขมันเรียบร้อย จางหย่งทำได้ดีทีเดียวเขาดูชำนาญมากในความคิดของเฉียวลู่ เนื้อหมูที่กองอยู่ในถังไม้แยกออกเป็นส่วนๆ ทำให้เฉียวลู่ถึงกับตกตะลึง
“ท่านอาจางนี่มันเยอะมากเลยนะเจ้าคะ ถ้าหากว่ากินไม่หมดจะไม่เน่าเอาหรือ”
แม่เฒ่าหลี่มองท่าทางตกตะลึงของเฉียวลู่ด้วยความเอ็นดูนางส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่เป็นไรมีเยอะดีกว่าไม่มีให้กินเลย ชาวบ้านที่นี่ก็ไม่ค่อยได้กินเนื้อเท่าไหร่ยากนักที่จะมีให้เห็นเยอะเพียงนี้ข้าว่าแบ่งขายให้พวกเขาสักหน่อยคงได้ที่เหลือก็ตากแห้งเอาไว้กินวันหลัง เจ้าจะได้มีทั้งอาหารและรายได้เข้ามาด้วยอย่างไรเล่า”
เฉียวลู่และทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของแม่เฒ่า หลี่ พวกเขาบ้านสกุลจางมาช่วยงานที่บ้านของเฉียวลู่โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนเป็นเพราะพวกเขาปรารถนาให้นางและลูกทั้งสองของนางกินอิ่มท้องและอยู่ได้อย่างมีความสุข เฉียวลู่พอจะมองความคิดของพวกเขาทั้งสามออกแต่นางไม่สามารถเป็นแต่เพียงผู้รับอยู่ฝ่ายเดียวได้ เช่นนั้นคนอื่นก็คงเรียกนางว่าคนเห็นแก่ตัวแล้ว
เฉียวลู่แบ่งเนื้อและมันบางส่วนให้ครอบครัวสกุลจาง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธแต่เฉียวลู่ที่เป็นคนรั้นนั้นมีหรือจะยอม จนกระทั้งแม่เฒ่าหลี่พยักหน้าให้ลูกสะใภ้ของนางรับเอาไว้
จางหย่งเป็นผู้ทำหน้าที่ไปปรึกษาขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าหมู่บ้านให้ไปป่าวประกาศเรื่องขายเนื้อหมูป่าให้ชาวบ้านได้รู้ และเฉียวลู่ยังบอกอีกว่าจะขายให้ชาวบ้านในราคาที่ถูกกว่าที่ตลาดในตัวอำเภอสี่เฉียนต่อหนึ่งชั่ง เพียงไม่นานชาวบ้านก็หลั่งไหลมาที่กระท่อมของเฉียวลู่เต็มไปหมด เพราะช่วงนี้เป็นช่วงหลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลแล้วจึงทำให้ทุกคนกำลังว่างงาน ชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านจึงมาออกันที่หน้ากระท่อมของเฉียวลู่
“คนทั้งหมู่บ้านมีเยอะขนาดนี้เชียว”
เฉียวลู่มองเหล่าชาวบ้านที่มามากมาย แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงสะใภ้ทำหน้าที่ช่วยเฉียวลู่ขายเนื้อหมูป่า ชาวบ้านบางคนที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเฉียวลู่เลยสักครั้งตั้งแต่ที่นางย้ายมาอยู่ที่นี่ วันนี้หลังจากที่ได้เนื้อหมูป่าราคาถูกพวกนางต่างก็ยิ้มแย้มชวนเฉียวลู่พูดคุยอย่างถูกคอ
เฉียวลู่คนก่อนอาจจะมีความเหนียมอายไม่ค่อยกล้าพูดคุยหรือสู้หน้าผู้คนเท่าใดนักหากไม่ได้สนิทกัน แต่ผิดกับเฉียวลู่คนนี้ที่สามารถแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะนางเป็นถึงนางเอกแถวหน้าของวงการเรื่องรับมือคนหมู่มากสำหรับนางแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร เฉียวลู่ส่งยิ้มแบบฉบับนางเอกไปให้พวกเขาด้วยความเคยชิน
ถึงแม่เฉียวลู่จะยังดูผอมแห้งเพราะร่างกายขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานแต่เมื่อนางส่งยิ้มให้พวกเขา ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่ารอยยิ้มของนางทำให้โลกใบนี้สว่างสดใสได้อย่างน่าประหลาด
บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นตามติดนางเป็นเงา ถึงแม้เฉียวลู่จะบอกเด็กชายทั้งสองให้ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่พวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า ท่าทางที่ดื้อรั้นของเด็กทั้งสองนั้นไม่ต่างจากเฉียวลู่เลย“ลูกสองคนไม่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จริงๆ หรือจ๊ะดูพวกเขาสิท่าทางสนุกเชียว”เฉียวลู่ยังคงพยายามคะยั้นคะยอให้อวี้หลงกับอวี้ชิงออกไปเล่นด้านนนอกกับเด็กคนอื่นๆ เด็กสองคนยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นและเอาแต่ตามติดเฉียวลู่เหมือนกับกลัวว่านางจะหายไป“พี่สาวท่านพอจะแบ่งกระดูกหมูป่าให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”เฉียวลู่และเด็กชายทั้งสองหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง เฉียวลู่จำไม่ได้ว่าเด็กชายที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งคนนี้เป็นใคร“เจ้า...คือ”เฉียวลู่ถามเด็กชายและยิ้มให้เขาอย่างใจดี เด็กชายคนนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่งดงามของเฉียวลู่ถึงกับทำให้เขาอายจนแทบม้วนตัวเองเป็นก้อนกลม“ข้า...ชื่อฉินจื่อเฉินบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของท่านลุงจางข้าไม่มีเงินมาซื้อเนื้อหมูป่าแต่ข้ามีมันเทศท่านจะสามารถแลกกระดูกกับมันเทศของข้าได้หรือไม่”เด็กชายที่อายุราวเจ็ดแปดขวบมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางอึดอัดเขากลัวว่าจ
เฉียวลู่หันไปมองต้นไม่ต้นนั้นที่ล้มนอนอยู่ ในหัวของนางวางแผนบางอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังเฉียวลู่อวี้หลงกับอวี้ชิงหันกลับมามองตากันแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเหมือนกับว่าเพียงพวกเขามองหน้ากันก็สามารถสื่อความนึกคิดถึงกันและกันได้แล้วเฉียวลู่ให้อวี้ชิงจุดไฟให้นางจากนั้นก็ทำอาหารง่ายๆ ที่เฉียวลู่พอจะทำได้กินกัน หลังจากนั้นนางก็อาบน้ำให้เด็กชายทั้งสองและตัวเองแล้วจึงพาเด็กชายนอนกลางวัน ในความคิดของเฉียวลู่คือเป็นเด็กก็ต้องนอนให้มากๆ จะได้โตเร็วๆ ตอนเย็นเฉียวลู่ยังคงทำอาหารแบบง่ายๆ อีกครั้งในหัวของนางตอนนี้คือจะต้องสั่งหนังสือทำอาหารสักเล่ม ไม่อย่างนั้นหากต้องกินอาหารที่นางทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กๆ อาจจะเบื่อเอาได้รุ่งเช้าสิ่งแรกที่เฉียวลู่นึกถึงคือหนังสือเล่มนั้น นางต้องสั่งของที่จำเป็นที่ต้องได้ใช้ในวันนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เฉียวลู่เขียนไฟแช็กลงไปในกระดาษ รอหลังจากหมึกซึมลงไปไฟแช็กเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็โผล่มาแทนที่จากนั้นสิ่งของอย่างที่สองที่เฉียวลู่นึกถึงคือเงิน บางทีนางอาจจะสั่งอะไรที่เป็นสิ่งของมีค่าที่สามารถขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินของที่นี่ได้ และไม่ว่าจะยุคสมัยไหนสิ่งของที่มีค
ผ่านไปหลายวันเฉียวลู่ยังคงขึ้นเขาทุกวันและตัดต้นไม้ซ่อนเอาไว้เพื่อรอเวลาในการสร้างกระท่อมของนางใหม่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้สึกตื่นเต้นกับมันคือสมุดบันทึกเล่มนั้นของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฉียวลู่ทำงานจนลืมไปว่านางต้องสั่งของทุกวันแต่นางกลับลืมไปเสียสนิท ทำให้วันต่อมาเมื่อเฉียวลู่เปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้งข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือ สามารถสั่งได้สี่ครั้งนั่นหมายความว่าต่อให้เฉียวลู่ไม่ได้สั่งอะไรในสมุดเล่มนั้นมันก็จะสามารถทบมาอีกวันได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้นางไม่เสียสิทธิ์ของตน ถึงจะไม่ได้สั่งของอะไรมาก็ตามช่วงนี้สิ่งที่เฉียวลู่สั่งมาทุกๆ วันคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่อ่อนโยนสำหรับเด็กทุกอย่างที่เฉียวลู่สั่งมาล้วนคำนึงถึงเด็กทั้งสองเป็นอันดับแรก ตอนนี้นางพอจะเข้าใจเจ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วว่ามันต้องการอะไรดูเหมือนเจ้าสมุดเล่มนี้ต้องการให้เฉียวลู่อาศัยอยู่ที่นี่โดยที่พึ่งพาตนเองหมายถึงไม่สามารถสั่งอะไรก็ตามที่ทำให้นางรวยทางลัดโดยที่ไม่ต้องทำงานเหมือนกับว่ามันรู้ทุกอย่างที่เฉียวลู่คิด ตอนแรกที่เฉียวลู่เข้าใจในเจตนารมณ์ของมันทำเอานางหัวเสียไปหลายวัน ให้ของวิ
วันต่อมาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงลูกสะใภ้ของนางมาหาเฉียวลู่ที่กระท่อมน้อยแต่เช้าเพราะเรื่องที่พวกเขาคุยกันเอาไว้เมื่อวานตอนเย็น“อวี้หลงอวี้ชิงจ๊ะลูกทั้งสองช่วยอะไรแม่บางอย่างได้หรือไม่”เด็กชายพยักหน้าพร้อมกันอย่างกระตือรือร้นแสดงท่าทางอยากช่วยเฉียวลู่อย่างเต็มที่“ไปบ้านสกุลฉินที่แม่พาลูกทั้งสองไปเมื่อวานจำได้หรือไม่ เรียกพี่ชายจื่อเฉินมาที่นี่แม่มีเรื่องคุยกับเขาลูกสองคนทำได้ไหม”เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองด้วยความอ่อนโยน อวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าให้นางอีกครั้งจากนั้นจึงวิ่งหายไปทางหมู่บ้าน เฉียวลู่หันมาสนใจแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสอง“ท่านยายท่านน้าหลิวท่านทานกุ้งไปเมื่อวานนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างท่านคิดว่ามันอร่อยหรือไม่”แม่สามีลูกสะใภ้ที่นั่งข้างกันพยักหน้ารัวๆ จะไม่อร่อยได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขายังเกรงใจกันและกันที่จะกินอาหารที่เฉียวลู่นำมาส่งหลังจากที่กินคำแรกไปแล้วต่างคนต่างแย่งชิงไม่สนความเป็นผู้อาวุโสและผู้น้อยแล้ว เฉียวลู่พยักหน้าและยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างพอใจ“เช่นนั้นพวกท่านคิดว่ามันจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่ เท่าที่ข้าดูเหมือนว่าคนที่นี่ไม่นิยมกินพวกกุ้งเท่าไหร่นะเจ้าคะ มันถึงได้มีเ
กุ้งคำแรกที่เข้าไปในปากทำเอาทุกคนเกือบร้องไห้เพราะความอร่อยและเผ็ดร้อนของน้ำจิ้ม พวกเขาไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารเช่นนี้มาก่อน มันทั้งเผ็ดเข้มข้นและชาไปทั้งปากแต่ก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ เด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้เฉียวลู่ก็ทำน้ำจิ้มหวานเบาๆ ให้พวกเขา แต่ก็อร่อยมากฉินจื่อเฉินทานอาหารไปเงียบๆ แต่เขาก็ซึมซาบรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เฉียวลู่กลัวว่าเขาจะไม่กล้าหยิบกุ้งมากินเพราะเกรงใจ นางใช้มือหยิบมากองในจานของเขาสามสี่ตัว ระหว่างกินนางก็ยังสอนให้ลูกๆ ของนางแกะเปลือกกุ้งไปด้วย“ข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”จางหย่งพูดไปกินไปน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดชา แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ไม่ต่างกันเท่าใดนักทำเอาเฉียวลู่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน“พวกท่านคิดว่านี่จะสามารถทำเงินให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”เฉียวลู่ถามหยั่งเชิงพวกเขาทั้งสามที่ลดระดับความเร็วในการกินให้ช้าลงเพราะเริ่มอิ่ม“อืมข้าเห็นด้วยว่าเจ้ากุ้งนี่จะต้องขายดีอย่างแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่และสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ปากทุกคนแดงเห่อเพราะความเผ็ดร้อนของน้ำจิ้มที่เฉียวลู่ทำ“เช่นนั้นเริ่มขายพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอาหย่งกับท่านน้าหลิวพวกท่านรับหน้าท
หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน"เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ"ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ“เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เจ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเจ้าตัวเจ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเรื่องนี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเจ้าเองก็เป็นหุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเจ้าก็ต้องได้เช่นกัน”แ
เช้ามืดของอีกวันเฉียวลู่ตื่นขึ้นมาด้วยตนเองอย่างอัตโนมัติ ความจริงนางอยากสั่งนาฬิกาพกสักเรือเพื่อนเอาไว้ดูเวลาแต่กลัวว่าถ้าถูกคนพบเห็นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะครอบครัวของนางตอนนี้ยังไม่นับว่าจะสามารถมีสิ่งของที่มีค่าได้เลย หากมีคนคิดไม่ซื่ออยากได้ของของนางแล้วใส่ร้ายว่านางลักขโมย ต่อให้มีสิบปากด้วยสภาพของนางตอนนี้ย่อมแก้ตัวแล้วไม่มีใครเชื่อแน่วัวเทียมเกวียนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ววันนี้ออกไปเร็วกว่าเมื่อวานเพราะเฉียวลู่คิดว่าเมื่อพวกนางขายดีต้องมีคนอยากได้ที่ขายของพวกนางแน่ และก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเกวียนจอดที่หน้าทางเข้าอำเภอทุกคนช่วยกันขนของไปที่ที่พวกเขาขายเมื่อวานแต่ปรากฎว่ามีคนที่มาตั้งร้านก่อนหน้าแล้วและดูเหมือนพวกเขาก็ขายของย่างด้วยเช่นกัน“นี่มันอะไรกันเนี่ยที่ตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องเจาะจงเลือกมาตั้งที่ของพวกเราด้วย”หลิวหงบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย ถึงเสียงของนางจะดังจนทำให้ร้านขายปิ้งย่างร้านนั้นได้ยินแต่พวกเขาก็ทำเพียงถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปริปากตอบโต้กลับมา เฉียวลู่ดึงแขนนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปพูดอีกแล้ว ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิงไม่มีพื้นที่ให้เช่าที่กำหนดตายตัวเมื่
ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉีย
ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉีย
เช้ามืดของอีกวันเฉียวลู่ตื่นขึ้นมาด้วยตนเองอย่างอัตโนมัติ ความจริงนางอยากสั่งนาฬิกาพกสักเรือเพื่อนเอาไว้ดูเวลาแต่กลัวว่าถ้าถูกคนพบเห็นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะครอบครัวของนางตอนนี้ยังไม่นับว่าจะสามารถมีสิ่งของที่มีค่าได้เลย หากมีคนคิดไม่ซื่ออยากได้ของของนางแล้วใส่ร้ายว่านางลักขโมย ต่อให้มีสิบปากด้วยสภาพของนางตอนนี้ย่อมแก้ตัวแล้วไม่มีใครเชื่อแน่วัวเทียมเกวียนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ววันนี้ออกไปเร็วกว่าเมื่อวานเพราะเฉียวลู่คิดว่าเมื่อพวกนางขายดีต้องมีคนอยากได้ที่ขายของพวกนางแน่ และก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเกวียนจอดที่หน้าทางเข้าอำเภอทุกคนช่วยกันขนของไปที่ที่พวกเขาขายเมื่อวานแต่ปรากฎว่ามีคนที่มาตั้งร้านก่อนหน้าแล้วและดูเหมือนพวกเขาก็ขายของย่างด้วยเช่นกัน“นี่มันอะไรกันเนี่ยที่ตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องเจาะจงเลือกมาตั้งที่ของพวกเราด้วย”หลิวหงบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย ถึงเสียงของนางจะดังจนทำให้ร้านขายปิ้งย่างร้านนั้นได้ยินแต่พวกเขาก็ทำเพียงถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปริปากตอบโต้กลับมา เฉียวลู่ดึงแขนนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปพูดอีกแล้ว ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิงไม่มีพื้นที่ให้เช่าที่กำหนดตายตัวเมื่
หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน"เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ"ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ“เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เจ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเจ้าตัวเจ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเรื่องนี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเจ้าเองก็เป็นหุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเจ้าก็ต้องได้เช่นกัน”แ
กุ้งคำแรกที่เข้าไปในปากทำเอาทุกคนเกือบร้องไห้เพราะความอร่อยและเผ็ดร้อนของน้ำจิ้ม พวกเขาไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารเช่นนี้มาก่อน มันทั้งเผ็ดเข้มข้นและชาไปทั้งปากแต่ก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ เด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้เฉียวลู่ก็ทำน้ำจิ้มหวานเบาๆ ให้พวกเขา แต่ก็อร่อยมากฉินจื่อเฉินทานอาหารไปเงียบๆ แต่เขาก็ซึมซาบรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เฉียวลู่กลัวว่าเขาจะไม่กล้าหยิบกุ้งมากินเพราะเกรงใจ นางใช้มือหยิบมากองในจานของเขาสามสี่ตัว ระหว่างกินนางก็ยังสอนให้ลูกๆ ของนางแกะเปลือกกุ้งไปด้วย“ข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”จางหย่งพูดไปกินไปน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดชา แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ไม่ต่างกันเท่าใดนักทำเอาเฉียวลู่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน“พวกท่านคิดว่านี่จะสามารถทำเงินให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”เฉียวลู่ถามหยั่งเชิงพวกเขาทั้งสามที่ลดระดับความเร็วในการกินให้ช้าลงเพราะเริ่มอิ่ม“อืมข้าเห็นด้วยว่าเจ้ากุ้งนี่จะต้องขายดีอย่างแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่และสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ปากทุกคนแดงเห่อเพราะความเผ็ดร้อนของน้ำจิ้มที่เฉียวลู่ทำ“เช่นนั้นเริ่มขายพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอาหย่งกับท่านน้าหลิวพวกท่านรับหน้าท
วันต่อมาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงลูกสะใภ้ของนางมาหาเฉียวลู่ที่กระท่อมน้อยแต่เช้าเพราะเรื่องที่พวกเขาคุยกันเอาไว้เมื่อวานตอนเย็น“อวี้หลงอวี้ชิงจ๊ะลูกทั้งสองช่วยอะไรแม่บางอย่างได้หรือไม่”เด็กชายพยักหน้าพร้อมกันอย่างกระตือรือร้นแสดงท่าทางอยากช่วยเฉียวลู่อย่างเต็มที่“ไปบ้านสกุลฉินที่แม่พาลูกทั้งสองไปเมื่อวานจำได้หรือไม่ เรียกพี่ชายจื่อเฉินมาที่นี่แม่มีเรื่องคุยกับเขาลูกสองคนทำได้ไหม”เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองด้วยความอ่อนโยน อวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าให้นางอีกครั้งจากนั้นจึงวิ่งหายไปทางหมู่บ้าน เฉียวลู่หันมาสนใจแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสอง“ท่านยายท่านน้าหลิวท่านทานกุ้งไปเมื่อวานนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างท่านคิดว่ามันอร่อยหรือไม่”แม่สามีลูกสะใภ้ที่นั่งข้างกันพยักหน้ารัวๆ จะไม่อร่อยได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขายังเกรงใจกันและกันที่จะกินอาหารที่เฉียวลู่นำมาส่งหลังจากที่กินคำแรกไปแล้วต่างคนต่างแย่งชิงไม่สนความเป็นผู้อาวุโสและผู้น้อยแล้ว เฉียวลู่พยักหน้าและยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างพอใจ“เช่นนั้นพวกท่านคิดว่ามันจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่ เท่าที่ข้าดูเหมือนว่าคนที่นี่ไม่นิยมกินพวกกุ้งเท่าไหร่นะเจ้าคะ มันถึงได้มีเ
ผ่านไปหลายวันเฉียวลู่ยังคงขึ้นเขาทุกวันและตัดต้นไม้ซ่อนเอาไว้เพื่อรอเวลาในการสร้างกระท่อมของนางใหม่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้สึกตื่นเต้นกับมันคือสมุดบันทึกเล่มนั้นของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฉียวลู่ทำงานจนลืมไปว่านางต้องสั่งของทุกวันแต่นางกลับลืมไปเสียสนิท ทำให้วันต่อมาเมื่อเฉียวลู่เปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้งข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือ สามารถสั่งได้สี่ครั้งนั่นหมายความว่าต่อให้เฉียวลู่ไม่ได้สั่งอะไรในสมุดเล่มนั้นมันก็จะสามารถทบมาอีกวันได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้นางไม่เสียสิทธิ์ของตน ถึงจะไม่ได้สั่งของอะไรมาก็ตามช่วงนี้สิ่งที่เฉียวลู่สั่งมาทุกๆ วันคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่อ่อนโยนสำหรับเด็กทุกอย่างที่เฉียวลู่สั่งมาล้วนคำนึงถึงเด็กทั้งสองเป็นอันดับแรก ตอนนี้นางพอจะเข้าใจเจ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วว่ามันต้องการอะไรดูเหมือนเจ้าสมุดเล่มนี้ต้องการให้เฉียวลู่อาศัยอยู่ที่นี่โดยที่พึ่งพาตนเองหมายถึงไม่สามารถสั่งอะไรก็ตามที่ทำให้นางรวยทางลัดโดยที่ไม่ต้องทำงานเหมือนกับว่ามันรู้ทุกอย่างที่เฉียวลู่คิด ตอนแรกที่เฉียวลู่เข้าใจในเจตนารมณ์ของมันทำเอานางหัวเสียไปหลายวัน ให้ของวิ
เฉียวลู่หันไปมองต้นไม่ต้นนั้นที่ล้มนอนอยู่ ในหัวของนางวางแผนบางอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังเฉียวลู่อวี้หลงกับอวี้ชิงหันกลับมามองตากันแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเหมือนกับว่าเพียงพวกเขามองหน้ากันก็สามารถสื่อความนึกคิดถึงกันและกันได้แล้วเฉียวลู่ให้อวี้ชิงจุดไฟให้นางจากนั้นก็ทำอาหารง่ายๆ ที่เฉียวลู่พอจะทำได้กินกัน หลังจากนั้นนางก็อาบน้ำให้เด็กชายทั้งสองและตัวเองแล้วจึงพาเด็กชายนอนกลางวัน ในความคิดของเฉียวลู่คือเป็นเด็กก็ต้องนอนให้มากๆ จะได้โตเร็วๆ ตอนเย็นเฉียวลู่ยังคงทำอาหารแบบง่ายๆ อีกครั้งในหัวของนางตอนนี้คือจะต้องสั่งหนังสือทำอาหารสักเล่ม ไม่อย่างนั้นหากต้องกินอาหารที่นางทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กๆ อาจจะเบื่อเอาได้รุ่งเช้าสิ่งแรกที่เฉียวลู่นึกถึงคือหนังสือเล่มนั้น นางต้องสั่งของที่จำเป็นที่ต้องได้ใช้ในวันนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เฉียวลู่เขียนไฟแช็กลงไปในกระดาษ รอหลังจากหมึกซึมลงไปไฟแช็กเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็โผล่มาแทนที่จากนั้นสิ่งของอย่างที่สองที่เฉียวลู่นึกถึงคือเงิน บางทีนางอาจจะสั่งอะไรที่เป็นสิ่งของมีค่าที่สามารถขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินของที่นี่ได้ และไม่ว่าจะยุคสมัยไหนสิ่งของที่มีค
บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นตามติดนางเป็นเงา ถึงแม้เฉียวลู่จะบอกเด็กชายทั้งสองให้ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่พวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า ท่าทางที่ดื้อรั้นของเด็กทั้งสองนั้นไม่ต่างจากเฉียวลู่เลย“ลูกสองคนไม่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จริงๆ หรือจ๊ะดูพวกเขาสิท่าทางสนุกเชียว”เฉียวลู่ยังคงพยายามคะยั้นคะยอให้อวี้หลงกับอวี้ชิงออกไปเล่นด้านนนอกกับเด็กคนอื่นๆ เด็กสองคนยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นและเอาแต่ตามติดเฉียวลู่เหมือนกับกลัวว่านางจะหายไป“พี่สาวท่านพอจะแบ่งกระดูกหมูป่าให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”เฉียวลู่และเด็กชายทั้งสองหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง เฉียวลู่จำไม่ได้ว่าเด็กชายที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งคนนี้เป็นใคร“เจ้า...คือ”เฉียวลู่ถามเด็กชายและยิ้มให้เขาอย่างใจดี เด็กชายคนนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่งดงามของเฉียวลู่ถึงกับทำให้เขาอายจนแทบม้วนตัวเองเป็นก้อนกลม“ข้า...ชื่อฉินจื่อเฉินบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของท่านลุงจางข้าไม่มีเงินมาซื้อเนื้อหมูป่าแต่ข้ามีมันเทศท่านจะสามารถแลกกระดูกกับมันเทศของข้าได้หรือไม่”เด็กชายที่อายุราวเจ็ดแปดขวบมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางอึดอัดเขากลัวว่าจ
ในระหว่างที่รอจางหย่งชำแหละเจ้าหมูป่าเฉียวลู่กับหญิงชราและลูกสะใภ้ของนาง ก็นั่งคุยกันและเตรียมน้ำเอาไว้เพื่อทำความสะอาด เฉียวลู่ยังได้เล่าให้สตรีทั้งสองฟังเรื่องที่นางความจำเสื่อมเพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมา หญิงชราถึงกับหลังน้ำตาให้กับเฉียวลู่ด้วยความสงสารในชีวิตที่อาภัพของนางเฉียวลู่ที่เห็นหญิงชราร้องไห้นางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร เด็กเล็กร้องไห้ยังพอหลอกล่อได้ แต่ให้ปลอบใจผู้ใหญ่นางจะพูดอย่างไรดี เฉียวลู่รู้สึกปวดหัวกับความเจ้าน้ำตาของหญิงชรา แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกนางมาต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยแต่ยังคงมีคนห่วงใยนางเช่นเดิมเหมือนกับตอนที่นางอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน“ท่านยายท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ ถึงข้าจะจำสิ่งใดไม่ได้เลยในอดีต แต่ข้าก็สามารถรับรู้ได้ว่ายังมีพวกท่านนั้นคอยเป็นห่วงเราแม่ลูกแค่ไหน ข้าไม่ได้รู้สึกกลัวอันใดเลยอาจจะดีกับข้าเสียด้วยซ้ำที่ต้องลืมเรื่องราวในอดีต”เฉียวลู่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา มันเหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกของนางสั่งให้นางพูดแบบนั้นออกไป“ท่านเล่าเรื่องที่หมู่บ้านนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าข้าจะจำอะไรได้บ้าง”จากนั้นห