กุ้งคำแรกที่เข้าไปในปากทำเอาทุกคนเกือบร้องไห้เพราะความอร่อยและเผ็ดร้อนของน้ำจิ้ม พวกเขาไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารเช่นนี้มาก่อน มันทั้งเผ็ดเข้มข้นและชาไปทั้งปากแต่ก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ เด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้เฉียวลู่ก็ทำน้ำจิ้มหวานเบาๆ ให้พวกเขา แต่ก็อร่อยมากฉินจื่อเฉินทานอาหารไปเงียบๆ แต่เขาก็ซึมซาบรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เฉียวลู่กลัวว่าเขาจะไม่กล้าหยิบกุ้งมากินเพราะเกรงใจ นางใช้มือหยิบมากองในจานของเขาสามสี่ตัว ระหว่างกินนางก็ยังสอนให้ลูกๆ ของนางแกะเปลือกกุ้งไปด้วย
“ข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
จางหย่งพูดไปกินไปน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดชา แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ไม่ต่างกันเท่าใดนักทำเอาเฉียวลู่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“พวกท่านคิดว่านี่จะสามารถทำเงินให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวลู่ถามหยั่งเชิงพวกเขาทั้งสามที่ลดระดับความเร็วในการกินให้ช้าลงเพราะเริ่มอิ่ม
“อืมข้าเห็นด้วยว่าเจ้ากุ้งนี่จะต้องขายดีอย่างแน่นอน”
แม่เฒ่าหลี่และสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ปากทุกคนแดงเห่อเพราะความเผ็ดร้อนของน้ำจิ้มที่เฉียวลู่ทำ
“เช่นนั้นเริ่มขายพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอาหย่งกับท่านน้าหลิวพวกท่านรับหน้าที่ขาย ข้ากับท่านยายจะทำหน้าที่ย่างเจ้าค่ะ ส่วนเจ้าจื่อเฉินน้อย”
ฉินจื่อเฉินหยุดกินหันไปฟังเฉียวลู่สั่งงานด้วยความตั้งใจ
“เจ้าทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์.....ข้าหมายถึงให้บอกพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านให้จับกุ้งมาขายให้ข้า เจ้าบอกพวกเขาว่าข้าให้จินละยี่สิบเหวิน”
“ขอรับ”
ฉินจื่อเฉินพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“ยี่สิบเหวินไม่แพงไปหรืออาลู่”
แม่เฒ่าหลี่เป็นคนแย้งขึ้นมาคนแรก เฉียวลู่ส่ายหน้า
“ไม่แพงหรอกเจ้าค่ะท่านยายเอาไว้เราเปิดร้านขายเมื่อใดท่านจะรู้เองว่าถูกหรือแพง ข้าเกรงว่าต่อไปจะไม่พอขายซะมากกว่า”
เฉียวลู่ทำท่าทางมั่นใจขนาดนั้นทำเอาคนทั้งสามก็เกิดความมั่นใจตามไปด้วย ที่นางมั่นใจขนาดนั้นเพราะนางคิดว่ากุ้งย่างหม่าล่าของนางนั้นไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้อย่างแน่นอน
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ จางหย่งกลับไปตัดกระบอกไม้ไผ่เอาไว้เป็นอุปกรณ์ใส่กุ้งย่าง นางนึกถึงสตรีทฟู๊ดในยุคปัจจุบันที่สามารถถือเดินกินได้อย่างสะดวกสบาย แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ตามมาช่วยด้วยพวกนางนำไม้ไผ่มาเหลาทำไม้เสียบเอาไว้ย่าง เฉียวลู่รับหน้าที่ทำน้ำจิ้มซึ่งนางออกจะโกงเล็กน้อยเพราะทุกอย่างถูกสั่งมาจากสมุดบันทึกเล่มนั้น
ฉินจื่อเฉินเดินกลับไปที่เรือนของเขาเพื่อดูท่านแม่ก่อนจากนั้นจึงไปหาเด็กๆ ที่เล่นอยู่กลางทุ่งบอกพวกเขาว่าเฉียวลู่รับซื้อกุ้ง ตอนแรกเด็กพวกนั้นไม่เชื่อว่าฉินจื่อเฉินพูดความจริง แต่อวี้หลงและอวี้ชิงที่ตามมาด้วยเป็นคนยื่นยัยพวกเด็กๆ จึงพากันยกขบวนไปจับกุ้งกันทั้งหมดเพราะอยากได้เงิน น้ำในสระบัวสูงไม่ถึงเข่าของผู้ใหญ่จึงไม่เป็นอันตรายนักเหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านต่างก็ว่ายน้ำเป็นเพราะพวกเขาล้วนเติบโตมากับแม่น้ำ
วันถัดมาหลังจากที่ทุกอย่างได้ถูกเตรียมเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เฉียวลู่และบ้านตระกูลจางนั่งเกวียนเทียมวัวแก่ของจางหย่งเดินทางไปที่อำเภอเป่ยจิงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้ทั้งอวี้หลงอวี้ชิงและฉินจื่อเฉินต่างก็ตามมาช่วยงานด้วยความกระตือรือร้น แม้ว่าเฉียวลู่จะตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมของไปขายแต่เด็กชายทั้งสองก็รีบลุกตามมาช่วย ถึงเฉียวลู่จะบอกให้พวกเขากลับไปนอนต่อแต่ความดื้อรั้นของเด็กชายที่เหมือนจะได้มาจากนางเต็มๆ ทำให้เฉียวลู่ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่ยอมให้เด็กๆ มาช่วยนาง
เมื่อเจ้าวัวแก่ลากพวกเฉียวลู่มาถึงหน้าทางเข้าอำเภอเป่ยจิงก็เป็นเวลาที่ฟ้าสว่างแล้วทำให้มองเห็นบรรยากาศรอบด้านได้อย่างชัดเจน ถึงเฉียวลู่จะเคยแสดงหนังพีเรียดย้อนยุคมาบ้างแต่นี่ดูสมจริงจนทำให้นางคิดว่าตนเองอยู่ในยุคโบราณจริงๆ ซึ่งนางก็อยู่ในยุคโบราณไม่ใช่การแสดง เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ นางอยากให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้นไม่อยากให้เป็นเรื่องจริง
“พวกเราขนของลงตรงนี้เถอะเห็นทางด้านนั้นหรือไม่ตรงนั้นแหละที่เป็นตลาดเช้าของอำเภอ ทุกวันจะมีผู้คนตั้งแผงขายของมากมายในตอนเช้า จายค่าเช่าวันละยี่สิบเหวินให้ทางการเราก็สามารถขายอะไรก็ได้ที่นั่น วันนี้เรามาแต่เช้ามีโอกาสเลือกทำเลขายของที่ดีแน่นอน ไปเถอะ”
จางหย่งที่เข้ามาขายตะกร้าสานในอำเถอเป่ยจิงบ่อยๆ จึงรู้เรื่องทุกอย่างของที่นี่เป็นอย่างดีหลังจากเลือกทำเลตั้งร้านได้แล้วพวกเขาก็ก่อไฟย่างกุ้งในทันที ผ่านไปเพียงไม่นานกลิ่นหอมของกุ้งย่างก็โชยไปทั่วทั้งตลาด ทำเอาเหล้าพ่อค้าแม่ขายที่มาก่อนและทีหลังกลุ่มของเฉียวลู่ต่างกลืนน้ำลายกันถ้วนหน้า พวกเขาเข้ามามุงดูร้านของเฉียวลู่ว่าขายอะไร
ข้างโต๊ะที่ตั้งขายของ ของเฉียวลู่มีกระดาษหนึ่งแผ่นเขียนเอาไว้ว่า กุ้งย่างหม่าล่า ทั้งยังบรรยายความอร่อยของมันทำเอาบางคนที่อ่านหนังสือออกถึงกับควบคุมน้ำลายที่แทบไหลออกมาไม่ได้
ด้านล่างของคำบรรยายความอร่อยยังเขียนถึงข้อห้ามเอาไว้คือคนที่มีอาการแพ้กุ้งไม่สามารถกินได้ และยังเขียนบรรยายอาการแพ้เอาไว้ด้วย บางคนที่ไม่เคยกินกุ้งอาจจะไม่รู้ว่าตนเองมีอาการดังกล่าว เฉียวลู่สั่งยาแก้แพ้ชนิดรุนแรงเอาไว้ด้วย กินเข้าไปเพียงไม่กี่นาที่ก็เห็นผลนี่คือสิ่งที่เฉียวลู่บอกกับแม่เฒ่าหลี่ว่าให้วางใจเกี่ยวกับคนที่มีอาการแพ้ที่นางกังวล
เฉียวลู่หั่นเนื้อกุ้งเป็นชิ้นเล็กๆ เอาไว้สำหรับชิม มีบางคนอยากลอง เมื่อพวกเขาได้ลิ้มรสถึงกับน้ำตาไหลออกมาแต่ก็ไม่สามารถหยุดกินได้เพราะมันทั้งอร่อยและเผ็ดมาก เฉียวลู่ขายชุดละยี่สิบเหวินได้กุ้งแปดตัว ซึ่งนางรับซื้อจากเด็กๆ ในหมู่บ้านมาจินละยี่สิบเหวินหนึ่งจินมีกุ้งประมาณสามสิบตัวแล้วแต่ขนาด ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามกุ้งห้าสิบจินที่พวกเขานำมาก็ขายหมดเกลี้ยงไปทันที
“นี่พ่อค้า กุ้งย่างหม่าล่าของเจ้าขายหมดแล้วหรือ”
สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูดีแม้ชุดที่นางใส่ไม่ใช่ผ้าไหมแต่ท่าทางของนางที่ดูเข้มงวดนั้นมองออกว่าเป็นบ่าวรับใช้ในจวนขุนนางหรือไม่ก็ตระกูลที่ร่ำรวยของอำเภอเป่ยจิงแน่นอน
“ต้องขออภัยด้วยขอรับวันนี้กุ้งย่างหม่าล่าของเราขายหมดแล้ว”
สตรีวัยกลางคนทำหน้าผิดหวัง
“น่าเสียดายจริงๆ บ่าวรับใช้ที่จวนของข้าซื้อกุ้งย่างหม่าล่าที่ร้านท่านไปหนึ่งชุดให้นายท่านของข้าลองชิม นายท่านของข้าชอบมากจึงให้ข้าออกมาซื้อแต่ดูเหมือนจะมาไม่ทัน วันพรุ่งนี้พวกเจ้ามาขายที่นี่อีกหรือไม่”
จางหย่งพยักหน้ารับ เฉียวลู่ได้ยินที่สตรีวัยกลางคนนางนั้นพูดจึงเล็งเห็นว่าวันพรุ่งนี้อาจจะได้ลูกค้ารายใหญ่นางจึงรีบออกมาคุยด้วยตนเอง
“พี่สาวท่านนี้ความจริงหากท่านต้องการกุ้งย่างหม่าล่าก่อนใครท่านสามารถสั่งจองเอาไว้ก่อนได้นะเจ้าคะ เพียงแค่วางมัดจำเอาไว้สิบเหวินพรุ่งนี้ร้านของเราจะนำไปส่งถึงที่เลยเจ้าค่ะ พวกท่านที่มาซื้อวันนี้ไม่ทันก็สามารถสั่งจองได้เช่นกัน”
จบคำของเฉียวลู่ก็มีคนรุมเข้ามาสั่งจองกุ้งย่างหม่าล่าเอาไว้มากมายเพราะเกรงว่าพรุ่งนี้ตนจะมาไม่ทันเหมือนวันนี้ เฉียวลู่นึกถึงเรื่องนี้เอาไว้อยู่ก่อนแล้ว นางจึงสั่งสมุดบิลเงินสดเอาไว้พร้อมด้วยปากกา ดังนั้นที่นางต้องทำเพียงแค่เขียนจำนวนที่ลูกค้าสั่งสถานที่ส่งเงินที่จ่ายล่วงหน้าและจำนวนที่ต้องเก็บจากลูกค้าภายหลัง ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับเฉียวลู่ นางให้ต้นฉบับกับลูกค้าและเก็บใบก๊อบปี้เอาไว้กับตัว เมื่อลูกค้ารับสินค้าแล้วก็ให้เขาประทับลายนิ้วมือพร้อมเขียนชื่อป้องกันพวกที่คิดเล่นตุกติก ได้รับสินค้าแล้วแต่บอกว่ายังไม่ได้รับ ต้องขอบคุณนิยายที่นางอ่านเมื่อตอนที่อยู่โลกก่อนบางครั้งก็ได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมของคนสมัยก่อนทำให้นางได้เปิดโลกว่าไม่ใช่แค่คนในยุคปัจจุบันเท่านั้นที่ต้องระวังเอาไว้คนยุคโบราณก็เจ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน
หลังจากเก็บของขึ้นเกวียนเรียบร้อยแล้วคณะของเฉียวลู่ก็เดินทางกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวทันที ความจริงเฉียวลู่อยากจะซื้อของบางอย่างให้เด็กชายทั้งสองของนางแต่สุดท้ายเฉียวลู่ก็ต้องตัดใจเพราะนี่เป็นเงินก้อนแรกที่นางทำการค้า นางอยากจะเก็บเงินเอาไว้สร้างเรือนก่อนที่จะเข้าหน้าหนาว
จางหย่งจอดเกวียนเอาไว้ที่หน้าเรือนของเขาหลังจากที่ขนทุกอย่างลงจนหมดแล้ว เขาก็พาวัวไปผูกเอาไว้ที่คอกหลังเรือนเพื่อหาหญ้าและน้ำให้มันกิน ส่วนเฉียวลู่แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ขายของเสร็จพวกนางก็มานั่งรวมกันที่ห้องโถงกลางเรือน เฉียวลู่เทเงินออกจากถุงลงบนโต๊ะพวกนางช่วยกันนับเป็นกอง กองละหนึ่งร้อยเหวิน
“กุ้งย่างที่ขายได้วันนี้คือห้าพันเหวินเจ้าค่ะหรือก็คือห้าตำลึงเงินและยังมีเงินที่จองจากลูกค้าอีกแปดสิบชุด ชุดละสิบเหวินเท่ากับแปดร้อยเหวิน เงินส่วนนี้เอาไว้ไปรวมกับกุ้งที่ขายพรุ่งนี้นะเจ้าคะ ส่วนของวันนี้ ข้าจะหักค่าซื้อกุ้งจากเด็กๆ เมื่อวานคือจินละยี่สิบเหวิน สามสิบจินซื้อมาจากเด็กๆ เราจับกันเองยี่สิบจินดังนั้นรวมทั้งหมดคือหนึ่งพันเหวินหรือหนึ่งตำลึงเงิน”
เฉียวลู่เขียนลงในสมุดของนางที่มีอยู่ในกล่องสองสามเล่มนางจึงเอามาใช้เขียนเป็นสมุดรายรับรายจ่าย
“หักค่าถ่านค่าน้ำจิ้มกับค่าสึกหลอของอุปกรณ์ประมาณหนึ่งตำลึงเงิน ค่าแรงของพวกเราทุกคนไม่นับรวมอวี้หลงกับอวี้ชิงคนละหกสิบเหวินเท่ากับสามร้อยเหวินดังนั้นเงินห้าตำลึงจึงเหลือสองตำลึงกับอีกหกร้อยเก้าสิบแปดเหวินเจ้าค่ะ ท่านยายท่านลองอ่านบัญชีรายรับรายจ่ายของข้าดู”
แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงมองดูลายมือที่สวยงามปราณีตของเฉียวลู่แล้วพยักหน้าพร้อมกัน
“ขนาดหักค่านู่นนี่แล้วยังเหลือมากขนาดนี้ นี่มันเท่ากับเงินค่าแรงที่ทำงานทั้งเดือนเชียวนะแต่พวกเรากลับหาได้เพียงแค่วันเดียว”
แม่เฒ่าหลี่หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจนางจับมือกับลูกสะใภ้ที่ลำบากลำบนด้วยกันมานับสิบปีแต่ไม่เคยหาเงินได้มากขนาดนี้เพียงแค่วันเดียว จะนับว่าเป็นหนึ่งวันไม่ได้เพราะพวกเขาไปขายของที่อำเภอใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยามด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเอากุ้งย่างไปขายมากกว่านี้ล่ะแม่สามีลูกสะใภ้ต่างคิดเรื่องเดียวกัน เฉียวลู่มองพวกนางแล้วได้แต่ส่ายหน้าด้วยความจนใจ แค่เงินไม่กี่ตำลึงพวกนางก็หลั่งน้ำตาแล้วหรือถ้าหากให้จับเงินหลายร้อยตำลึงพวกนางไม่ลมจับกันหรือไร
โปรดช่วยเป็นกำลังใจให้กับนักเขียนไส้แห้งคนนี้ด้วยนะคะ
ขอบพระคุณ
หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน"เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ"ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ“เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เจ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเจ้าตัวเจ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเรื่องนี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเจ้าเองก็เป็นหุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเจ้าก็ต้องได้เช่นกัน”แ
เช้ามืดของอีกวันเฉียวลู่ตื่นขึ้นมาด้วยตนเองอย่างอัตโนมัติ ความจริงนางอยากสั่งนาฬิกาพกสักเรือเพื่อนเอาไว้ดูเวลาแต่กลัวว่าถ้าถูกคนพบเห็นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะครอบครัวของนางตอนนี้ยังไม่นับว่าจะสามารถมีสิ่งของที่มีค่าได้เลย หากมีคนคิดไม่ซื่ออยากได้ของของนางแล้วใส่ร้ายว่านางลักขโมย ต่อให้มีสิบปากด้วยสภาพของนางตอนนี้ย่อมแก้ตัวแล้วไม่มีใครเชื่อแน่วัวเทียมเกวียนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ววันนี้ออกไปเร็วกว่าเมื่อวานเพราะเฉียวลู่คิดว่าเมื่อพวกนางขายดีต้องมีคนอยากได้ที่ขายของพวกนางแน่ และก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเกวียนจอดที่หน้าทางเข้าอำเภอทุกคนช่วยกันขนของไปที่ที่พวกเขาขายเมื่อวานแต่ปรากฎว่ามีคนที่มาตั้งร้านก่อนหน้าแล้วและดูเหมือนพวกเขาก็ขายของย่างด้วยเช่นกัน“นี่มันอะไรกันเนี่ยที่ตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องเจาะจงเลือกมาตั้งที่ของพวกเราด้วย”หลิวหงบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย ถึงเสียงของนางจะดังจนทำให้ร้านขายปิ้งย่างร้านนั้นได้ยินแต่พวกเขาก็ทำเพียงถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปริปากตอบโต้กลับมา เฉียวลู่ดึงแขนนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปพูดอีกแล้ว ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิงไม่มีพื้นที่ให้เช่าที่กำหนดตายตัวเมื่
ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉีย
หลังจากที่ขายกุ้งย่างจนหมดแล้ววันนี้ใช้เวลานานกว่าทุกวันเล็กน้อยแต่ทุกคนต่างก็ยินดีเพราะกุ้งกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดเกลี้ยง วันนี้เฉียวลู่ไม่รับคำสั่งจองกุ้งย่างเหมือนทุกทีทั้งยังบอกลูกค้าที่มาซื้อว่าพรุ่งนี้นางไม่ได้มาขาย ทำเอาแม่เฒ่าหลี่จางหย่งและหลิวหงไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่กำลังทำ“เอาไว้เมื่อกลับไปถึงเรือนข้าจะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจเองเจ้าค่ะ วันนี้เราไปซื้อของกลับบ้านสักเล็กน้อยดีหรือไม่”ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจว่านางกำลังคิดทำอะไรแต่ทุกคนต่างก็เชื่อใจและทำตามที่เฉียวลู่พูดเป็นอย่างดี เฉียวลู่พาทุกคนมาที่ร้านขายเสื้อผ้านางซื้อชุดผ้าฝ่ายสำเร็จรูปให้ทุกคนรวมทั้งฉินจื่อเฉินและท่านแม่ของเขาด้วย ความจริงเฉียวลู่อยากซื้อของกลับบ้านให้มากกว่านี้แต่กระท่อมของนางนั้นไม่เอื้ออำนวยในการเก็บสิ่งของมีค่าเฉียวลู่ซื้อขนมดอกกุ้ยฮวาที่ร้านชื่อดังของอำเภอและอาหารที่จีหม่านโหรวกลับไปกินที่เรือนหลายอย่าง แม่เฒ่าหลี่ต้องคอยปรามเฉียวลู่ให้ประหยัดเงินเอาไว้หน่อย เพราะเงินที่เฉียวลู่ใช้นั้นล้วนเป็นเงินที่มาจากค่าแรงของนาง ส่วนเงินที่ได้กำไรที่ขายกุ้งย่างทุกวันเป็นแม่เฒ่าหลี่ที่เก็บเอาไว้ เพราะเ
เช้าวันต่อมาเฉียวลู่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อพาจางหย่งไปส่งกุ้งให้กับจีหม่านโหรว นางจะไปด้วยเพียงครั้งแรกเท่านั้นเพื่อให้พวกเขาจำหน้าจางหย่งได้จะได้รู้ว่าครั้งหน้าเขาคือผู้ที่จะมาส่งกุ้งให้จีหม่านโหรวทุกวัน นอกจากส่งกุ้งแล้วเฉียวลู่ก็มีเรื่องที่ต้องการทำอีกอย่างคือหาคนมาสร้างเรือนให้นางนั่นเอง และอุปกรณ์บางอย่างก็ต้องมาหาซื้อที่อำเภอเป่ยจิงเท่านั้นเมื่อเจ้าวัวแก่หยุดลงที่หน้าจีหม่านโหรว เฉียวลู่กระโดดลงมาจากเกวียน นางเดินตรงไปที่ผู้ดูแลที่กำลังตรวจดูผักและเนื้อของชาวบ้านที่นำมาขายให้พวกเขา“อรุนสวัสดิ์เจ้าค่ะผู้ดูแลเหวิน”เหวินซงที่กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหารรีบหันตามเสียงทักทายที่แสนหวานของเฉียวลู่ทันที“อ้อแม่นางเฉียวนั่นเอง เจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย”เฉียวลู่พยักหน้ารับ“ดูเหมือนท่านกำลังยุ่งอยู่ ข้ารอได้เจ้าค่ะ”เหวินซงส่ายหน้าไปมาไม่เป็นไรวัตถุดิบของเจ้าสำคัญกว่า มาเถอะข้าจะให้คนชั่งกุ้งของเจ้าก่อน”เหวินซงเรียกพนักงานของจีหม่านโหรวสองคนให้มาช่วยเขาชั่งกุ้งไม่นานกุ้งสามร้อยสามจินก็ถูกชั่งเรียบร้อย“สามจินนี้ถือว่าเป็นกำไรที่ข้ามอบให้พวกท่านนะเจ้าคะ”
เฉียวลู่เขียนสูตรอาหารที่ปรุงจากกุ้งให้เถ้าแก่จีคือ หม่าล่าต้ม ผัดโป๊ยเซียนที่นางทำให้เด็กๆ กินวันแรกและข้าวอบจักรพรรดิ โชคดีที่นางอ่านมาก่อน จากนั้นนางก็ตามผู้ช่วยเหวินไปที่ครัวด้านล่างทำอาหารสองสามอย่างที่ทำจากกุ้งให้เถ้าแก่จีชิม แต่ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเหวินไม่ได้ยกอาหารไปที่ห้องของเถ้าแก่จีที่ชั้นสอง แต่ผู้ช่วยเหวินยกถาดอาหารไปที่ห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสามแทน เฉียวลู่ไม่ค่อยเข้าใจนักแต่นางก็ไม่สนใจว่าเขาจะยกไปให้ใครชิมเพราะนางได้รับค่าสูตรอาหารมาแล้วผู้ช่วยเหวินเข้าไปในห้องนั้นสักพักจากนั้นจึงออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับถาดที่มีผ้าไหมสีแดงคลุมอยู่ เฉียวลู่ที่ยืนรออยู่ก็ใช้สายตาถามผู้ช่วยเหวินว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ช่วยเหวินยิ้มให้เฉียวลู่อย่างใจดีจากนั้นจึงเปิดผ้าที่คลุมถาดออก ตั๋วเงินสองร้อยตำลึงวางอยู่บนนั้นพร้อมทั้งก้อนเงินอีกหลายสิบก้อน“นี่เป็นรางวัลที่มอบให้กับเจ้าผู้ที่ทำอาหารได้ถูกปากนายท่าน แม่นางเฉียวเจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ท่านผู้นั้นมาพักอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีพ่อครัวคนไหนทำอาหารที่นายท่านเอ่ยชมสักครั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านั้นเป็นคนแรก”เฉียวลู่อึ้งไปสักพักนางไม่
สองเดือนผ่านไปอากาศที่หมู่บ้านมู่โฉวเริ่มหนาวแล้วเพราะอยู่ท่ามกลางหุบเขาจึงทำให้มวลอากาศเย็นถูกพัดมาจากในป่าทำให้ที่นี่หนาวเย็นมากกว่าในอำเภอ เรือนของเฉียวลู่สร้างเสร็จก่อนกำหนดถึงสิบวันนั่นเพราะหลังจากที่คนงานกลับไปหมดแล้วเฉียวลู่ก็แอบมาแบกต้นไม่ที่นางตัดซ่อนเอาไว้มากองรวมกับต้นไม้ที่คนงานของนายช่างอู๋ตัดเอาไว้ทำให้พวกเขาย่นระยะเวลาที่ต้องเดินขึ้นลงเขาไปกว่าสิบวันเฉียวลู่ย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนไม้ซุงที่ดูแปลกตาของนางแล้ว ชาวบ้านต่างก็อยากมาชื่นชมบ้านใหม่ที่ไม่เหมือนใครของนาง เวลาที่เหลืออีกสิบวันเฉียวลู่จ้างให้นายช่างขุดบ่อน้ำและทำรั้วรอบที่ดินยี่สิบหมู่ของนางความสูงขนาดสามเมตร นางให้เหตุผลว่าที่นางทำรั้วสูงเช่นนี้เพราะนางเป็นสตรีที่อาศัยอยู่กับลูกลำพังดังนั้นจึงต้องระวังเรื่องความปลอดภัยเอาไว้ก่อนวันนี้เป็นวันจัดงานขึ้นบ้านใหม่ของเฉียวลู่ นางให้แม่เฒ่าหลี่เชิญคนทั้งหมู่บ้านมาร่วมยินดี และฝากให้จางหย่งเชิญนายช่างอู๋และฮูหยินมาร่วมงานด้วย ส่วนตัวนางนั้นเป็นผู้เชิญเถ้าแก่จีและผู้ช่วยเหวินด้วยตัวเองเสียงแสดงความยินดีของชาวบ้านทำให้เฉียวลู่ยิ้มหน้าบาน อาหารทั้งหมดถูกสั่งมาจากจีหม่านโหรว
นายช่างอู๋เมื่อเห็นแบบทั้งหมดที่เฉียวลู่วาดเขาก็ยิ่งตกใจมากกว่าครั้งแรกที่เห็นแบบบ้านที่นางวาดให้เขา ตอนนี้นายช่างอู๋ไม่คิดลังเลแล้วและได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าเขาจะพูดเรื่องนี้กับเฉียวลู่ ครั้งแรกเขายังลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะกลัวว่านางจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้เขาไม่มีความลังเลในจิตใจเลยสักนิดเดียว“แม่นางเฉียวเจ้าคิดที่จะร่วมมือทำการค้ากับข้าหรือไม่ แบบทั้งหมดที่เจ้าให้ข้ามาข้าจะทำให้เจ้าแบบไม่คิดเงินสักตำลึง”เฉียวลู่คำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่านายช่างอู๋จะต้องคุยเรื่องนี้กับนาง แต่เฉียวลู่ที่ยังไม่ทันได้รับปากก็ถูกนายช่างอู๋ชิงพูดขึ้นมาก่อน“ข้าจะให้เจ้าสิบส่วนในผลงานที่ข้าทำออกมาต่อหนึ่งชิ้น และข้าอยากจะขออนุญาตเจ้าให้ข้านำแบบบ้านของเจ้าไปสร้างได้หรือไม่เจ้าสามารถเรียกร้องมาได้เลยว่าเจ้าต้องการกี่ส่วน หรือเจ้าคิดว่าสิบส่วนนั้นน้อยเกินไป”เฉียวลู่เห็นนายช่างอู๋ที่ร้อนรนเช่นนั้นนางก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน ตลอดสองเดือนที่นายช่างอู๋และลูกน้องของเขามาสร้างเรือให้นางเฉียวลู่เห็นแล้วว่านายช่างคนนี้เป็นคนใจกว้างกับผู้อื่นและซื่อสัตย์เหมาะแก่การทำธุรกิจด้วยยิ่งนัก“หยุดก่อนนายช่างอู๋ข้าไม่ได้จะ
หลังจากที่ทุกอย่างถูกเปิดเผยฉินเจี่ยซินและองค์ชายสามถูกลงโทษประหารชีวิต ฉินอี้เหยาได้ขึ้นนั่งตำแหน่งเดิมของตนส่วนฉิน จื่อเฉินหลังจากที่พิสูจน์ว่าเป็นพระโอรสของเซียวฮ่องเต้แล้วเขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทเซียวฮ่องเต้ได้ตกรางวัลมากมายให้เฉียวลู่นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดทั้งวันเพราะตอนนี้นางเป็นเศรษฐีแล้ว ฉีหมิงเยี่ยนมองท่าทางเหมือนคนเสียสติของนางแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ สตรีผู้นี้ไม่สนใจตำแหน่งท่านหญิงแต่กลับขอเปลี่ยนเป็นเงินแทนทำเอาขุนนางทั้งหลายถึงกับอึ้ง เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรกับนางดีเฉียวลู่พาบุตรชายทั้งสองของนางเที่ยวเล่นที่เมืองหลวงถึงสองเดือนตอนนี้ถึงเวลาที่นางต้องกลับไปที่เรือนน้อยเชิงเขาของนางแล้ว“พี่อาลู่ท่านจะไปแล้วจริงหรือ”องค์หญิงเซียวหมิ่นงอแงไม่อยากให้นางกลับไปวันทั้งวันเอาแต่ตามติดนางไม่ห่าง ทำเอาฉีหมิงเยี่ยนหงุดหงิดจนอยากจะจับนางยัดใส่ถังไม้ถ่วงน้ำทะเล แต่วันนี้เป็นวันที่ฉีหมิงเยี่ยนอารมณ์ดีที่สุดเพราะพวกเขากำลังจะกลับไปที่อำเภอเป่ยจิง“ข้ามีเรื่องต้องทำมากมายอยู่เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนท่านไม่ได้เอาอย่างนี้ ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสข้าจะพาท่านเที่ยวอำเภอเป่ยจิงดี
เฉียวลู่ถูกเรียกตัวเข้าพบฮ่องเต้นางเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังทั้งยังบอกเล่าจุดที่น่าสงสัยที่ควรตามสืบ ผ่านไปอีกหลายวันเรื่องของนักฆ่าที่ตามสังหารองค์หญิงเซียวหมิ่นยังคงเงียบ นางรู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก เขาเป็นถึงฮ่องเต้ที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินนี้แค่ตามสืบว่าใครว่าจ้างมือสังหารยังทำไม่ได้เชียวหรือ ทำไม่ได้หรือไม่ทำกันแน่กลางดึกในวังหลวงชายชุดดำปีนเข้าไปด้านในตำหนักชางอี้ ฝีเท้าของเขาแผ่วเบาและรวดเร็วเหมือนถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ห้องนอนที่อยู่ด้านข้างของห้องนอนองค์หญิงเซียวหมิ่น ฉินอี้เหยาที่กำลังหลับลึกถูกฝ่ามือของใครบางคนปิดปากเอาไว้ นางรู้สึกตัวแต่ไม่สามารถขยับตัวได้“เหยาเอ๋อ”เสียงเรียกชื่อเบาๆ ของนางทำให้ฉินอี้เหยาหยุดดิ้น เมื่อสายตาชินกับความมืดนางจึงได้รู้ว่าใครกันที่เข้ามาในห้องนอนของนาง“ท่านพ่อ”ฉินอี้เหยากอดชายชุดดำที่อุกอาจบุกเข้ามาในวังหลวงอย่างไม่กลัวตาย ที่เขาทำเช่นนี้เพราะต้องการยืนยันให้แน่ใจว่านางกำนัลที่เขาเห็นในท้องพระโรงใช่นางหรือไม่ ฉินอี้เหยากลั้นเสียงร้องไห้จนสั่นไปทั้งร่าง นางรู้สึกอุ่นใจที่ครอบครัวของนางยังไม่ทอดทิ้ง“พ่อมาที่นี่เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าตัวจริง เ
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่หวงมามาได้รับข้อความจากคนของฉีหมิงเยี่ยนที่เป็นสายลับอยู่ในวังหลวง นางก็ใช้ตราของตำหนักองค์หญิงพานางกำนัลออกมาด้วยสองคน หวงมาๆ ให้รถม้าวิ่งวนไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา จากนั้นจึงให้คนขับรถม้ามาที่เรือนหลังเล็กที่อยู่ใกล้สำนักศึกษา“หวงมามา”องค์หญิงเซียวหมิ่นเรียกนางด้วยความดีใจเหมือนได้พบญาติผู้ใหญ่อีกครั้ง หวงมามากอดนางร้องไห้“องค์หญิงเหตุใดหนีออกจากวังเช่นนี้ ท่านไม่กลัวว่าบ่าวแก่ๆ คนนี้จะหัวใจวายตายหรือเพคะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นหลังจากที่โดนนักฆ่าตามสังหารตอนนี้นางก็ได้รู้แล้วว่าตนเองนั้นทำผิดมหันต์แค่ไหน ไม่คิดดื้อดึงถกเถียงกับหวงมามาอีกแล้ว“ข้าผิดไปแล้วต่อไปจะทำอะไรข้าจะคิดให้มากกว่านี้”หวงมามาเมื่อตั้งสติได้ก็หันไปมองเฉียวลู่และบุรุษที่มีใบหน้าธรรมดา ด้านหลังของพวกเขามีสตรีที่งดงามนางหนึ่งยืนอยู่นางไม่มีวันลืมใบหน้านั้นได้เด็ดขาด“ฮองเฮาเป็นไปได้อย่างไร”หวงมามารีบเข้าไปคุกเข่าให้นางทันที ฉินอี้เหยารีบเข้าไปประคองหวงมามาให้ลุกขึ้น“ข้าหาใช่ฮองเฮาอีกแล้ว หวงมามาท่านอย่าได้คุกเข่าให้ข้าเลย”หวงมามายังไม่ได้สติกลับมา แปดปีกว่าที่ฝ่าบาทตามหานางแต่คนท
เฉียวลู่พาเด็กๆ ไปฝากแม่เฒ่าหลี่เอาไว้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เด็กชายทั้งสองชินกับเรื่องพวกนี้แล้วเพราะเมื่อก่อนท่านแม่ก็ทำเช่นนี้ในบางครั้งที่นางต้องไปทำธุระที่อำเภอเป่ยจิง ฉินอี้เหยากอดฉินจื่อเฉินเอาไว้นางร้องไห้ออกมาเบาๆ พร้อมกับร่ำลาบุตรชาย“เฉินเอ๋อแม่จะกลับมารับลูกเมื่อเรื่องทั้งหมดคลี่คลายแล้ว ลูกรอแม่อยู่กับท่านยายหลี่เป็นเด็กดีรู้หรือไม่”ฉินจื่อเฉินพยักหน้าขอบตาแดงก่ำแต่เขาก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา เพราะกลัวว่าท่านแม่จะเป็นกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องแยกจากนาง ฉินจื่อเฉินรู้สึกโดดเดี่ยวเขาอยากตามไปด้วยแต่ท่านแม่บอกว่าครั้งนี้มันอันตราย เขาจึงต้องทำตามที่ท่านแม่สั่งเมื่อทุกคนล่ำลาเสร็จแล้วเฉียวลู่ฝากทุกอย่างของนางเอาไว้ที่แม่เฒ่าหลี่นางไม่ได้บอกอะไรมากมายแต่แม่เฒ่าหลี่ก็สามารถรับรู้ได้ว่า การที่เฉียวลู่ไม่บอกอะไรนางเลยอาจเป็นเพราะกลัวพวกนางเป็นอันตราย เฉียวลู่และคนคุ้มกันอีกสองสามคนนั่งเกวียนออกไปจากหมู่บ้านก่อนทำเหมือนออกไปค้าขายดั่งเช่นทุกวันส่วนองค์หญิงเซียวหมิ่นและฉินอี้เหยาถูกองครักษ์ของฉีหมิงเยี่ยนพาแยกเข้าเมืองหลวงไปอีกทางเพื่อให้คนของฉินฮองเฮาแยกออกจากกัน ฟ้าสว่างมากแล้วจ
เฉียวลู่รู้สึกหนักใจอยู่เหมือนกัน ถึงตัวนางจะมีกำลังมากแต่ให้สู้กับนักฆ่ามืออาชีพนางย่อมไม่สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้ดูเหมือนมีเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยพวกนางได้คือฉีหมิงเยี่ยน“พวกท่านกลับไปก่อนข้าจะลองหาทางช่วยพวกท่านเอง”หลังจากฉินอี้เหยาและองค์หญิงเซียวหมิ่นกลับไปเฉียวลู่จึงเรียกองครักษ์เงาออกมา“พวกเจ้าสองคนไปเฝ้าดูเรือนของพี่อี้เหยาเอาไว้ถึงแม่ว่าข้าจะคิดว่านักฆ่าน่าจะยังไม่กลับมาในเร็วๆ นี้แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนจะดีกว่า”องครักษ์เงาสองคนคารวะเฉียวลู่แล้วทะยานหายไป เฉียวลู่เดินไปดูเด็กชายทั้งสองที่ยังนอนหลับอยู่ในห้องของนาง จากนั้นนางจึงเดินไปที่ห้องของฉีหมิงเยี่ยน เฉียวลู่เคาะประตูเบาๆ“เข้ามา”เสียงทุ้มดังออกมาจากด้านใน เฉียวลู่ผลักประตูเปิดเอาไว้ นางเดินไปหาเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง“มีเรื่องอันใด”นางมีท่าทีลังเลเล็กน้อย“ท่านคงได้ยินทั้งหมดแล้วกระมัง ท่านพอจะช่วยเหลือพวกนางได้หรือไม่”เฉียวลู่พูดเสียงเบาเหมือนกับไม่มีความมั่นใจในตนเองเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเขาเขาจะไม่ช่วยก็ไม่มีใครสามารถว่าเขาได้ อีกอย่างเมื่อวานเหมือนนางจะโมโหเขาเพราะเรื่ององค์หญิงเ
รุ่งเช้าเฉียวลู่ตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบที่นอนท่าเดียวทั้งคืน เมื่อนางตื่นเต็มก็ตาพบว่าตนเองนอนอยู่ในห้องนอนของตนเองที่อยู่ในยุคปัจจุบัน“อะไรกันเรากลับมาได้แล้วหรือ”เฉียวลู่รีบเปิดประตูห้องวิ่งลงมาข้างล่างเพื่อเช็คให้แน่ใจ คุณพ่อที่นั่งดื่มกาแฟอยู่หน้าทีวีดูข่าวเช้า ส่วนคุณแม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวกลิ่นหอมฉุยของโจ๊กโชยมาทำให้เฉียวลู่แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝันไป เรากลับมาได้แล้ว“แม่คะพ่อคะหนูกลับมาแล้ว”ท่าทางร่าเริงของเฉียวลู่เรียกรอยยิ้มของคุณแม่ของเธอ“กลับมาแล้วอะไรกันเด็กคนนี้ละเมออะไรอยู่ ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วลงมาทานข้าวได้แล้ว”เฉียวลู่ยิ้มตาหยีแล้ววิ่งกลับขึ้นไปบนห้องนอนทำตามคำสั่งของคุณแม่“เรากลับมาแล้วจริงๆ ด้วย”เฉียวลู่อาบน้ำและฮำเพลงอย่างอารมณ์ดี เมื่อแต่งตัวเสร็จเธอก็เดินลงมาทานอาหารพร้อมหน้าครอบครัว ระหว่างที่กำลังทานโจ๊กเฉียวลู่มองพ่อแม่ที่กำลังคุยกันอย่างหวานชื่น เป็นเรื่องปกติสำหรับครอบครัวของเฉียวลู่ เพราะเธอเห็นพ่อกับแม่แสดงความรักต่อกันแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ บางครั้งเธอยังรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงของแถมที่เกิดจากความรักของทั
เฉียวลู่เมื่อกลับไปถึงเรือนของตนก็พบพ่อลูกที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถง นางเข้าไปกอดและหอมเจ้าหัวไชเท้าน้อยทั้งสองจากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องไป นางไม่แม้แต่จะทักทายบิดาของบุตรชายนางสักนิดเรื่องนักฆ่าที่พวกเขาพบที่จีหม่านโหรวได้ถูกถ่ายทอดให้ฉีหมิงเยี่ยนได้รู้ เขาขมวดคิ้วมุ่นแต่ไม่ใช่เรื่องของนักฆ่าแต่เป็นเรื่องของเฉียวลู่ ดูเหมือนว่าไม่ใช่เพียงนิสัยของนางเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ตอนนี้เฉียวลู่แทบจะไม่เหมือนคนเดิมที่เขาเคยรู้จักในอดีต หากไม่ใช่ใบหน้าของนางที่เหมือนเดิมแล้ว เขาคงคิดว่านางเป็นคนอื่นที่ปลอมตัวมา“จับตาดูนางเอาไว้ให้ดี มีสิ่งใดผิดปกติให้รีบมารายงานข้า”เฉียวลู่กลับออกมาจากห้องนอนของตน นางเดินผ่านห้องโถงเข้าครัวไปอุ่นอาหารในครัวที่นางวานแม่เฒ่าหลี่เอาไว้ ฉีหมิงเยี่ยนเข้ามาอยู่ในเรือนนี้หลายวันแล้วถึงเฉียวลู่จะไม่ค่อยพูดกับเขาแต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาพบกันในครั้งแรก แต่วันนี้บรรยากาศกลับแตกต่างไปจากเดิมถึงแม้นางจะยังคงทำทุกอย่างดั่งเช่นทุกวัน แต่เขารู้สึกได้ว่านางเย็นชากับเขายิ่งกว่าเดิม ฉีหมิงเยี่ยนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางเพราะเขาไม่รู้ว่าเฉียวล
เถ้าแก่ร้านเฟยหย่ารีบวิ่งตามออกมาด้านนอกแต่รถม้าที่เฉียวลู่และฉินอี้เหยานั่งมาได้ขับออกไปแล้ว“น่าเสียดายนักสุดท้ายแล้วนางมีของดีเก็บเอาไว้แต่ไม่ยอมเอาออกมาเสนอขายให้ข้าช่างเป็นสตรีที่น่ากลัวจริงๆ”เถ้าแก่สั่งให้พนักงานในร้านเฟยหย่าทุกคนจำใบหน้าของเฉียวลู่และฉินอี้เหยาไว้ นางมาที่นี่อีกเมื่อใดให้ไปตามเขามาทันที เฉียวลู่สั่งให้เฉิงรุ่ยที่ทำหน้าที่ขับรถม้าจอดรอที่หน้าจีหม่านโหรวนางมีของฝากมาให้เถ้าแก่จีและผู้ช่วยเหวินเมื่อฉินอี้เหยาเดินตามเฉียวลู่เข้าไปด้านใน แต่แล้วนางก็ต้องชะงักไปเหมือนกับว่านางเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นซ้อนทับกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม ฉินอี้เหยาอยากเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูให้ชัดเจน แต่แล้วก็มีชายชุดดำที่ไม่รู้ที่มาพุ่งกระบี่เข้าหาเด็กหนุ่มผู้นั้นเฉียวลู่ที่รู้ตัวก่อนได้เขวี้ยงเก้าอี้ไปขวางกระบี่เอาไว้ทำให้กระบี่พลาดเป้าไปโดนแขนของเขาแทน เด็กหนุ่มล้มลงเพราะถูกแทงที่แขน ผมที่ถูกผูกเอาไว้ได้คลายออกฉินอี้เหยาจำได้ทันทีว่าเขาเป็นใครองค์หญิงน้อยที่ชอบมาเที่ยวที่ตำหนักรัชทายาทเมื่อตอนที่นางยังเยาว์แต่เหตุใดนางถึงแต่งกายเป็นชายแล้วมาอยู
ผ่านไปแปดปีกว่ายังตามหาพวกนางแม่ลูกไม่พบ ถึงฝ่าบาทจะไม่เคยตรัสถึงเรื่องนี้เลยสักครั้งแต่นางก็รู้ดีว่าภายในใจของพระองค์นั้นมีเพียงคุณหนูใหญฉินเพียงคนเดียว ต่อให้เขาแต่งตั้งนางที่เป็นคุณหนูรองขึ้นเป็นฮองเฮาแทนฉินอี้เหยาเพราะต้องการตอบแทนความภักดีของตระกูลฉิน แต่ในสายตาของฝ่าบาทนางเป็นเพียงตัวแทนของคนที่พระองค์รักเท่านั้นฉินเจี่ยซินรู้สึกโกรธแค้นคนที่อาจจะตายไปแล้วถึงแปดปีที่ยังคงยึดครองพื้นที่ภายในใจของฮ่องเต้เอาไว้ นางได้พบเขาครั้งแรกในวันงานปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ฉิน ความสง่างามและน่าเกรงขามของเขาช่างแตกต่างจากบุรุษทั่วไปที่นางได้พบยิ่งนั่นทำให้ฉินเจี่ยซินตกหลุมรักองค์รัชทายาทเซียวยิ่นตั้งแต่แรกพบ แต่ผ่านไปไม่นานก็มีพระราชโองการจากฮ่องเต้ส่งมาที่จวนแม่ทัพฉินขอหมั้นหมายคุณหนูใหญ่ฉินกับองค์รัชทายาท ฉินเจี่ยซินทั้งโมโหทั้งโกรธแค้นเพราะเหตุใด นางเองก็เป็นบุตรสาวของแม่ทัพฉินเช่นกันทำไมสิ่งดีๆ ทุกอย่างถึงตกเป็นของคนที่เกิดก่อนนางเพียงไม่กี่เดือนเช่นฉินอี้เหยา และนั่นเป็นจุดเริ่มตนของแผนการแย่งชิงทุกสิ่งที่เป็นของฉินอี้เหยามาฉินเจี่ยซินได้รู้เรื่องที่องค์ชายสามลอบติดต่อกับต่างแคว้นอย่างลับๆ