เช้ามืดของอีกวันเฉียวลู่ตื่นขึ้นมาด้วยตนเองอย่างอัตโนมัติ ความจริงนางอยากสั่งนาฬิกาพกสักเรือเพื่อนเอาไว้ดูเวลาแต่กลัวว่าถ้าถูกคนพบเห็นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะครอบครัวของนางตอนนี้ยังไม่นับว่าจะสามารถมีสิ่งของที่มีค่าได้เลย หากมีคนคิดไม่ซื่ออยากได้ของของนางแล้วใส่ร้ายว่านางลักขโมย ต่อให้มีสิบปากด้วยสภาพของนางตอนนี้ย่อมแก้ตัวแล้วไม่มีใครเชื่อแน่
วัวเทียมเกวียนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ววันนี้ออกไปเร็วกว่าเมื่อวานเพราะเฉียวลู่คิดว่าเมื่อพวกนางขายดีต้องมีคนอยากได้ที่ขายของพวกนางแน่ และก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเกวียนจอดที่หน้าทางเข้าอำเภอทุกคนช่วยกันขนของไปที่ที่พวกเขาขายเมื่อวานแต่ปรากฎว่ามีคนที่มาตั้งร้านก่อนหน้าแล้วและดูเหมือนพวกเขาก็ขายของย่างด้วยเช่นกัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ยที่ตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องเจาะจงเลือกมาตั้งที่ของพวกเราด้วย”
หลิวหงบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย ถึงเสียงของนางจะดังจนทำให้ร้านขายปิ้งย่างร้านนั้นได้ยินแต่พวกเขาก็ทำเพียงถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปริปากตอบโต้กลับมา เฉียวลู่ดึงแขนนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปพูดอีกแล้ว ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิงไม่มีพื้นที่ให้เช่าที่กำหนดตายตัวเมื่อจ่ายค่าเช่าแล้วก็ขึ้นอยู่กับผู้เช่าว่ามาเร็วหรือช้า หากมาเร็วก็สามารถได้ที่ดีๆ มาช้าก็ได้ที่ห่างไกลซึ่งคนส่วนใหญ่ที่มาเดินซื้อของก็ไม่ค่อยเดินจนสุดถนนจึงทำให้ขายไม่ดีเท่าที่ควร
“เราไปตั้งตรงนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ชี้ไปที่ว่างที่เยื้องตรงข้ามกับร้านขายปิ้งย่างร้านนั้น จากนั้นทุกคนก็ทำหน้าที่ของตน เมื่อฟ้าสว่างมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนเฉียวลู่ก็ให้เด็กๆ ไปช่วยหลิวหงขายกุ้งย่างนางและแม่เฒ่าหลี่ทำหน้าที่ย่างกุ้งอยู่หลังร้านส่วนจางหย่งทำหน้าที่ส่งกุ้งย่างหม่าล่าตามที่ต่างๆ ที่เขียนเอาไว้บนกระดาษ จางหย่งปฏิบัติตามที่เฉียวลู่สั่งอย่างเคร่งครัดคือให้ผู้ที่รับอาหารลงชื่อและประทับลายนิ้วมือว่าได้รับอาหารแล้ว
เป็นความรอบคอบของเฉียวลู่ที่ทำเช่นนี้เพราะภายหลังร้านปิ้งย่างที่มาตั้งตรงข้ามกับร้านของเฉียวลู่จะมีเหตุการณ์ที่ลูกค้าไม่ได้รับอาหารที่สั่งจองแต่ทางร้านบอกว่าส่งไปแล้วจนทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น
หลังจากที่จางหย่งกลับมาที่ร้านก็ยุ่งยิ่งนักเพราะลูกค้าต่างมายืนรอต่อแถวเพื่อซื้อกุ้งย่างหม่าล่ายาวเหยียดจนไปถึงหน้าร้านปิ้งย่างอีกร้าน
“นี่พี่ชายถ้าร้านนั้นรอนานท่านมาลองซื้อหมูปิ้งที่ร้านข้าไปทานรองท้องก่อนดีหรือไม่”
ชายที่อยู่หลังสุดหันไปมองพ่อค้าเคราดกคนนั้นที่ออกมายืนคุยกับเขาหน้าร้าน ชายคนนั้นมีท่าทางสนใจเล็กน้อย
“ร้านของเจ้ามีน้ำจิ้มหม่าล่าเหมือนร้านนั้นหรือ”
พ่อค้าเคราดกนิ่งไป
“ไม่มี แต่ร้านของข้ามีน้ำจิ้มสูตรโบราณที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษหลายชั่วคน รับรองว่าอร่อยแน่นอนไม่เชื่อท่านลองซื้อไปทานดู”
ชายคนสุดท้ายหันไปมองหน้าเพื่อนที่มาด้วยกันจากนั้นจึงลองซื้อหมูปิ้งที่ร้านนั้นเพราะตอนนี้พวกเขาหิวมากไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวของตน
ร้านปิ้งย่างร้านนั้นนำกระบอกไม้ไผ่มาตัดครึ่งเพื่อใส่อาหารเลียนแบบร้านกุ้งย่างของเฉียวลู่แต่กระบอกไม้ไผ่ของพวกเขาขาดความปราณีตเพราะไม่ได้เหลาปากกระบอกให้เรียบเนียนและไม่ได้ต้มเพื่อฆ่าเชื้อโรคเหมือนที่เฉียวลู่ทำ ชายคนนั้นยังรู้สึกคาใจจึงยืนกินอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหนไกล หลังจากที่กัดเข้าไปคำแรกพวกเขาต้องวิ่งหาน้ำเป็นพัลวัน เพราะมันทั้งเผ็ดทั้งเค็มทำให้ริมฝีปากพวกเขาบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“นี่เจ้าคิดที่จะฆ่าลูกค้าหรือไง ก่อนเอามาขายได้ชิมน้ำจิ้มของเจ้ามาก่อนหรือไม่”
เขาตะคอกออกไปด้วยความโมโห เพราะเสียงที่ดังของชายคนนั้นจึงเรียกความสนใจของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
“เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอะไรหมูปิ้งน้ำจิ้มสูตรโบราณของข้าถึงไม่ต้องชิมข้าก็รู้ดีว่าย่อมต้องอร่อยแน่นอน ที่เจ้าพูดเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าคิดใส่ร้ายร้านของข้าเพราะถูกคนจ้างวานมาใช่หรือไม่”
ชายเคราดกพูดเสร็จก็หันไปมองร้านกุ้งย่างของเฉียวลู่ทันที เฉียวลู่ที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการย่างกุ้งจึงไม่รู้ว่าที่หน้าร้านมีเรื่องเกิดขึ้น
“จ้างวานอะไรเจ้าเป็นคนชวนข้ามาซื้อหมูปิ้งที่ร้านของเจ้าเองข้าไม่ได้อยากมาซื้อเสียหน่อย เป็นเจ้าที่มาชวนข้าที่ยืนต่อแถวรอซื้อกุ้งย่างหม่าล่า ทำไม่อร่อยแล้วยังไม่ยอมรับอีกยังคิดมาใส่ความข้า ค้าขายไม่สุจริตเช่นนี้ไม่ควรมาขายของที่นี่”
ชายเคราดกไม่รู้ว่าจะเถียงชายคนนั้นต่อไปอย่างไรได้แต่พูดว่าเขาใส่ความตนเองและบอกว่าชายคนนั้นถูกคนจ้างวานมาก่อกวนร้านของเขา และเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครบุรุษทั้งสองจึงมีการวางมวยเกิดขึ้นทำให้ลูกค้าที่มาต่อแถวซื้อกุ้งย่างของเฉียวลู่ได้รับบาดเจ็บไปด้วยหลายคน
เฉียวลู่เดินออกมาดูเห็นบุรุษสองคนกำลังโดนชายร่างใหญ่สี่คนทุบตีอยู่เฉียวลู่จึงหันไปถามหลิวหงจึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางเดินเข้าไปจับบุรุษสี่คนโยนออกไปจากลูกค้าสองคนที่นอนตัวเขียวช้ำอยู่บนพื้น เสื้อผ้าของพวกเขาทั้งสกปรกและขาดวิ่นเหมือนกับพึ่งโดนรุมโทรมมาอย่างไรอย่างนั้น
“ขะ...ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ”
เพราะเฉียวลู่ย่างกุ้งอยู่หลังร้านตลอดพวกเขาเลยไม่เคยเห็นหน้านาง เมื่อได้เห็นชัดๆ พวกเขาทั้งสองถึงกับตะลึงในความงามของเฉียวลู่จนลืมความเจ็บปวดที่ได้รับมาจากมือและเท้าของเจ้าของร้านปิ้งย่างและพวกก่อนหน้านี้
“พวกท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก นี่ถือเป็นการช่วยเหลือลูกค้าร้านกุ้งย่างหม่าล่าของข้าเช่นกัน”
เมื่อได้โอกาสเฉียวลู่ก็รีบเอาดีเข้าร้านทันที นางไม่รับคำขอบคุณจากพวกเขา แต่ที่นางทำเช่นนี้นางพยายามจะสื่อว่าเป็นเพราะพวกเขาเป็นลูกค้าร้านกุ้งย่างของนาง
“เห็นหรือไม่พวกท่านดู นางจะต้องจ้างเจ้าสองคนนี้มาก่อกวนร้านของข้าอย่างแน่นอนไม่เช่นนั้นนางจะมาช่วยพวกเขาทำไม”
เฉียวลู่เลิกคิ้วมองชายเคราดกด้วยความรำคาญนี่เขาเรียกว่าเถียงแบบข้างๆ คูๆ หรือไม่นะ
“ต่อให้ไม่ใช่เขาทั้งสองคนข้าก็ช่วยอยู่ดี ร้านของข้าไม่ตอบแทนลูกค้าด้วยมือและเท้าเหมือนเช่นร้านของเจ้า อีกอย่างร้านข้ามีลูกค้าต่อแถวยาวไปจนถึงทางเข้าอำเภอเป่ยจิ่งเหตุใดข้าต้องเสียเวลาไปก่อกวนร้านปิ้งย่างที่ไร้ลูกค้าเช่นร้านของเจ้า ข้าเอาเวลาที่เสียไปไปย่างกุ้งให้ทันขายไม่ดีกว่าหรือ พวกท่านว่าใช่หรือไม่”
ลูกค้าที่มายืนรอและคนที่มาซื้อของที่ตลาดต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่
“พวกท่านทุกคนที่มาซื้อของที่นี่ทุกวันต่างก็เห็นว่าเมื่อวานข้าขายกุ้งย่างที่ตรงนั้นที่พวกเขาตั้งร้านและยังขายไม่ถึงหนึ่งชั่วยามพวกข้าก็เก็บของกลับแล้ว แต่วันนี้เรามาเร็วกว่าเมื่อวานเสียอีกถ้าหากว่าเจ้าไม่โง่หรือตาบอดเจ้าก็คงรู้ว่าเมื่อวานข้าขายกุ้งย่างตรงนั้น แต่พวกเจ้าก็ยังจงใจมาตั้งร้านก่อนและยังมาขายปิ้งย่างเหมือนร้านข้าอีก เช่นนี้จะให้ข้าคิดอย่างไรใครกันแน่ที่ต้องการก่อกวน ข้าเป็นคนรักความสงบจึงไม่สนใจจะต่อว่าเจ้า ตลาดแห่งนี้เป็นของพ่อค้าแม่ค้าทุกคนที่จ่ายค่าเช่า จะจองพื้นที่ขายตรงไหนก็ได้ทั้งนั้นนั่นเป็นสิทธิ์ของคนที่มาก่อนและข้าก็ยอมรับกฎข้อนั้น แต่เจ้ามาขายของที่นี่กลับทำร้ายลูกค้าที่มาใช้จ่ายซื้อของและอาจทำให้พวกข้าที่เป็นคนค้าขายถูกมองไม่ดีไปด้วย”
ชายเคราดกส่งเสียงอึกอักเพราะไม่รู้จะโต้แย้งคำพูดของเฉียวลู่อย่างไร พ่อค้าแม่ค้าต่างรุมประณามบุรุษสี่คนที่ทำร้ายลูกค้าชายทั้งสองคน
“หุบปากข้าไม่สนพวกเขาผิดเองที่มาต่อว่าหมูปิ้งน้ำจิ้มสูตรโบราณของข้าว่าไม่อร่อยพวกเขาสองคนสมควรโดนแล้ว”
เฉียวลู่เดินไปที่โต๊ะวางหมูปิ้งของร้านปิ้งย่าง นางหยิบหนึ่งไม้ขึ้นมาให้ทุกคนดู
“ถ้าหากเป็นข้าข้าจะยอมรับการติท้วงนั้น ดีเสียอีกที่มีคนกินอาหารของข้าแล้วติชมข้าจะได้นำมันมาปรับปรุงรสชาติอาหารของข้าให้ดียิ่งกว่าเดิม แต่เจ้าเป็นคนขายอาหารกลับทำร้ายคนเช่นนี้ข้าว่าเจ้าน่าจะไปเป็นผู้คุมนักโทษในคุกใต้ดินดีกว่ามาทำอาหารนะชอบใช้กำลังขนาดนี้”
เมื่อเฉียวลู่พูดจบคนที่มามุงดูต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ชายเคราดกพุ่งตัวเข้าหาเฉียวลู่อย่างหมดความอดทน
“ปากดีนักนะเป็นเพียงสตรีตัวแค่นี้ข้าบีบเจ้าทีเดียวก็ตายคามือข้าแล้ว”
จางหย่งที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเข้ามาช่วยเฉียวลู่ทันทีเมื่อเขาเห็นชายเคราดกพุ่งเข้าหานาง
“อาลู่ระวัง!!!”
เฉียวลู่ใช้ฝ่ามือผลักจ่างหย่งออกเบาๆ จากนั้นจึงใช้ฝ่าเท้ายันชายเคราดกเต็มแรง ร่างใหญ่ของเขาที่สูงกว่าเฉียวลู่ถึงสองศีรษะลอยละลิ่วไปไกล
“พี่ใหญ่!!!”
บุรุษสามคนรีบวิ่งไปช่วยชายเคราดกที่นอนแอ้งแม้งขาชี้ฟ้าสลบเหมือดไปแล้ว ที่หน้าอกของเขายังมีรอยเท้าของเฉียวลู่ประทับอยู่
“เจ้า!!! หญิงแพศยากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายพี่ใหญ่ของข้า”
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากสีดำครึ่งหน้าแลดูลึกลับด้านหลังของเขามีผู้ติดตามสองคนยืนอยู่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบอยู่บนเหลาอาหารจีหม่านโหรว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ขยับตัวหรือเอ่ยสิ่งใดคล้ายกำลังมองเรื่องราวของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน แต่กำปั้นที่อยู่ในแขนเสื้อของเขากำเข้าหากันแน่นจนเปียกเพราะชื้นเหงื่อ เป็นนางจริงหรือเหตุใดนางถึงได้เปลี่ยนไปมากเพียงนี้ ใกล้กันมีเด็กชายฝาแฝดที่อายุราวสามสี่ขวบยืนอยู่สายตาของพวกเขากำลังมองนางด้วยความเป็นห่วง บุรุษหน้ากากดำมองเด็กทั้งสองคนอย่างไม่กะพริบตา
“รนหาที่จริงๆ”
บุรุษร่างใหญ่ทั้งสามคนคำรามเสียงดังพร้อมวิ่งตรงมาที่เฉียวลู่พร้อมกัน เฉียวลู่ทั้งเตะทั้งต่อยบุรุษสามคนจนเหงื่อท่วมตัว เมื่อนางหยุดมือพวกเขาก็ลงไปนอนกลิ้งคลุกฝุ่นเรียบร้อยแล้ว นางลากคนทั้งสี่ออกไปทิ้งไว้ที่หน้าตลาด ก่อนเดินออกมานางยังพูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย
“ครั้งนี้ถือว่าพวกเจ้าโชคดีที่ข้าอารมณ์ดี ถ้าหากว่ากล้ามาก่อกวนที่ร้านของข้าอีกครั้งข้าจะตามไปที่บ้านของพวกเจ้า รับรองว่าตอนที่พวกเจ้าตายไปพวกเจ้าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น”
เฉียวลู่พูดเบาๆ กับชายทั้งสี่ไม่ให้ใครได้ยิน บุรุษทั้งสี่เห็นแววตาของเฉียวลู่ที่ดูเหมือนพวกฆาตกรโรคจิตพวกเขาต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ใครจะไปรู้ว่าสตรีตัวเล็กๆ จะสามารถทุบตีบุรุษสี่คนที่ตัวใหญ่กว่านางถึงเท่าตัวจนเละเช่นนี้ ก่อนเฉียวลู่ผละจากมานางมองขึ้นไปบนเหลาอาหารที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางเข้าอำเภอเป่ยจิง เพราะนางรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่กำลังมองมาที่นาง
ดวงตาดำขลับแต่ดูลึกลับคู่นั้นประสานสายตากับเฉียวลู่ นางไม่นึกเกรงกลัวสายตาของเขาที่กำลังมองมาสักนิดเมื่อเขาไม่หลบสายตาจากนาง นางก็ไม่คิดหลบเช่นกันคนทั้งสองประสานสายตากันอยู่อย่างนั้นจนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด แรงเขย่าเบาๆ ที่ชายเสื้อของนางทำให้เฉียวลู่ละสายตาจากเขาแล้วหันกลับมามองข้างตัว อวี้หลงและอวี้ชิงมาตามเฉียวลู่เพราะไม่เห็นนางกลับมาที่ร้านเสียทีเด็กชายทั้งสองจึงนึกเป็นห่วง
“มาตามแม่หรือจ๊ะเจ้าก้อนน้อยทั้งสอง ไปเถอะเราไปขายกุ้งย่างต่อกันเถอะ”
อวี้หลงกับอวี้ชิงที่ตอนนี้ทั้งขาวทั้งอ้วนเพราะการขุนด้วยอาหารหลากชนิดของเฉียวลู่รวมทั้งนมอัดเม็ดวิตามินต่างๆ สำหรับเด็กที่นางสั่งมาจากในสมุดบันทึกให้พวกเขาได้กิน บุรุษทั้งสี่ที่เห็นความอ่อนโยนออกมาจากสายตาของเฉียวลู่ต่างก็ตกตะลึงนี่ ยังใช่สตรีผู้นั้นที่ทุบตีพวกเขาก่อนหน้านี้อยู่หรือไม่ เมื่อครู่นางยังใช้สายตาของฆาตกรจัดการพวกเขาตอนนี้นางกลับเปลี่ยนไปเป็นสตรีที่อ่อนโยนเมื่อพูดคุยกับเด็กชายทั้งสอง นางเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็วช่างเป็นสตรีที่น่ากลัวจริงๆ พวกเขาไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว
บุรุษทั้งสี่รีบลากสังขารที่บอบช้ำของตนกลับไปที่ร้านหมูปิ้งแล้วรีบเก็บของจากไปทันที เฉียวลู่ไม่รู้ความคิดของพวกเขานางกลับมาย่างกุ้งช่วยแม่เฒ่าหลี่อีกครั้ง ไม่นานจากนั้นกุ้งย่างหนึ่งร้อยห้าสิบจินก็ขายหมดเกลี้ยงและยังได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้าอีกห้าสิบชุด
ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉีย
หลังจากที่ขายกุ้งย่างจนหมดแล้ววันนี้ใช้เวลานานกว่าทุกวันเล็กน้อยแต่ทุกคนต่างก็ยินดีเพราะกุ้งกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดเกลี้ยง วันนี้เฉียวลู่ไม่รับคำสั่งจองกุ้งย่างเหมือนทุกทีทั้งยังบอกลูกค้าที่มาซื้อว่าพรุ่งนี้นางไม่ได้มาขาย ทำเอาแม่เฒ่าหลี่จางหย่งและหลิวหงไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่กำลังทำ“เอาไว้เมื่อกลับไปถึงเรือนข้าจะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจเองเจ้าค่ะ วันนี้เราไปซื้อของกลับบ้านสักเล็กน้อยดีหรือไม่”ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจว่านางกำลังคิดทำอะไรแต่ทุกคนต่างก็เชื่อใจและทำตามที่เฉียวลู่พูดเป็นอย่างดี เฉียวลู่พาทุกคนมาที่ร้านขายเสื้อผ้านางซื้อชุดผ้าฝ่ายสำเร็จรูปให้ทุกคนรวมทั้งฉินจื่อเฉินและท่านแม่ของเขาด้วย ความจริงเฉียวลู่อยากซื้อของกลับบ้านให้มากกว่านี้แต่กระท่อมของนางนั้นไม่เอื้ออำนวยในการเก็บสิ่งของมีค่าเฉียวลู่ซื้อขนมดอกกุ้ยฮวาที่ร้านชื่อดังของอำเภอและอาหารที่จีหม่านโหรวกลับไปกินที่เรือนหลายอย่าง แม่เฒ่าหลี่ต้องคอยปรามเฉียวลู่ให้ประหยัดเงินเอาไว้หน่อย เพราะเงินที่เฉียวลู่ใช้นั้นล้วนเป็นเงินที่มาจากค่าแรงของนาง ส่วนเงินที่ได้กำไรที่ขายกุ้งย่างทุกวันเป็นแม่เฒ่าหลี่ที่เก็บเอาไว้ เพราะเ
เช้าวันต่อมาเฉียวลู่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อพาจางหย่งไปส่งกุ้งให้กับจีหม่านโหรว นางจะไปด้วยเพียงครั้งแรกเท่านั้นเพื่อให้พวกเขาจำหน้าจางหย่งได้จะได้รู้ว่าครั้งหน้าเขาคือผู้ที่จะมาส่งกุ้งให้จีหม่านโหรวทุกวัน นอกจากส่งกุ้งแล้วเฉียวลู่ก็มีเรื่องที่ต้องการทำอีกอย่างคือหาคนมาสร้างเรือนให้นางนั่นเอง และอุปกรณ์บางอย่างก็ต้องมาหาซื้อที่อำเภอเป่ยจิงเท่านั้นเมื่อเจ้าวัวแก่หยุดลงที่หน้าจีหม่านโหรว เฉียวลู่กระโดดลงมาจากเกวียน นางเดินตรงไปที่ผู้ดูแลที่กำลังตรวจดูผักและเนื้อของชาวบ้านที่นำมาขายให้พวกเขา“อรุนสวัสดิ์เจ้าค่ะผู้ดูแลเหวิน”เหวินซงที่กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหารรีบหันตามเสียงทักทายที่แสนหวานของเฉียวลู่ทันที“อ้อแม่นางเฉียวนั่นเอง เจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย”เฉียวลู่พยักหน้ารับ“ดูเหมือนท่านกำลังยุ่งอยู่ ข้ารอได้เจ้าค่ะ”เหวินซงส่ายหน้าไปมาไม่เป็นไรวัตถุดิบของเจ้าสำคัญกว่า มาเถอะข้าจะให้คนชั่งกุ้งของเจ้าก่อน”เหวินซงเรียกพนักงานของจีหม่านโหรวสองคนให้มาช่วยเขาชั่งกุ้งไม่นานกุ้งสามร้อยสามจินก็ถูกชั่งเรียบร้อย“สามจินนี้ถือว่าเป็นกำไรที่ข้ามอบให้พวกท่านนะเจ้าคะ”
เฉียวลู่เขียนสูตรอาหารที่ปรุงจากกุ้งให้เถ้าแก่จีคือ หม่าล่าต้ม ผัดโป๊ยเซียนที่นางทำให้เด็กๆ กินวันแรกและข้าวอบจักรพรรดิ โชคดีที่นางอ่านมาก่อน จากนั้นนางก็ตามผู้ช่วยเหวินไปที่ครัวด้านล่างทำอาหารสองสามอย่างที่ทำจากกุ้งให้เถ้าแก่จีชิม แต่ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเหวินไม่ได้ยกอาหารไปที่ห้องของเถ้าแก่จีที่ชั้นสอง แต่ผู้ช่วยเหวินยกถาดอาหารไปที่ห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสามแทน เฉียวลู่ไม่ค่อยเข้าใจนักแต่นางก็ไม่สนใจว่าเขาจะยกไปให้ใครชิมเพราะนางได้รับค่าสูตรอาหารมาแล้วผู้ช่วยเหวินเข้าไปในห้องนั้นสักพักจากนั้นจึงออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับถาดที่มีผ้าไหมสีแดงคลุมอยู่ เฉียวลู่ที่ยืนรออยู่ก็ใช้สายตาถามผู้ช่วยเหวินว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ช่วยเหวินยิ้มให้เฉียวลู่อย่างใจดีจากนั้นจึงเปิดผ้าที่คลุมถาดออก ตั๋วเงินสองร้อยตำลึงวางอยู่บนนั้นพร้อมทั้งก้อนเงินอีกหลายสิบก้อน“นี่เป็นรางวัลที่มอบให้กับเจ้าผู้ที่ทำอาหารได้ถูกปากนายท่าน แม่นางเฉียวเจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ท่านผู้นั้นมาพักอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีพ่อครัวคนไหนทำอาหารที่นายท่านเอ่ยชมสักครั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านั้นเป็นคนแรก”เฉียวลู่อึ้งไปสักพักนางไม่
สองเดือนผ่านไปอากาศที่หมู่บ้านมู่โฉวเริ่มหนาวแล้วเพราะอยู่ท่ามกลางหุบเขาจึงทำให้มวลอากาศเย็นถูกพัดมาจากในป่าทำให้ที่นี่หนาวเย็นมากกว่าในอำเภอ เรือนของเฉียวลู่สร้างเสร็จก่อนกำหนดถึงสิบวันนั่นเพราะหลังจากที่คนงานกลับไปหมดแล้วเฉียวลู่ก็แอบมาแบกต้นไม่ที่นางตัดซ่อนเอาไว้มากองรวมกับต้นไม้ที่คนงานของนายช่างอู๋ตัดเอาไว้ทำให้พวกเขาย่นระยะเวลาที่ต้องเดินขึ้นลงเขาไปกว่าสิบวันเฉียวลู่ย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนไม้ซุงที่ดูแปลกตาของนางแล้ว ชาวบ้านต่างก็อยากมาชื่นชมบ้านใหม่ที่ไม่เหมือนใครของนาง เวลาที่เหลืออีกสิบวันเฉียวลู่จ้างให้นายช่างขุดบ่อน้ำและทำรั้วรอบที่ดินยี่สิบหมู่ของนางความสูงขนาดสามเมตร นางให้เหตุผลว่าที่นางทำรั้วสูงเช่นนี้เพราะนางเป็นสตรีที่อาศัยอยู่กับลูกลำพังดังนั้นจึงต้องระวังเรื่องความปลอดภัยเอาไว้ก่อนวันนี้เป็นวันจัดงานขึ้นบ้านใหม่ของเฉียวลู่ นางให้แม่เฒ่าหลี่เชิญคนทั้งหมู่บ้านมาร่วมยินดี และฝากให้จางหย่งเชิญนายช่างอู๋และฮูหยินมาร่วมงานด้วย ส่วนตัวนางนั้นเป็นผู้เชิญเถ้าแก่จีและผู้ช่วยเหวินด้วยตัวเองเสียงแสดงความยินดีของชาวบ้านทำให้เฉียวลู่ยิ้มหน้าบาน อาหารทั้งหมดถูกสั่งมาจากจีหม่านโหรว
นายช่างอู๋เมื่อเห็นแบบทั้งหมดที่เฉียวลู่วาดเขาก็ยิ่งตกใจมากกว่าครั้งแรกที่เห็นแบบบ้านที่นางวาดให้เขา ตอนนี้นายช่างอู๋ไม่คิดลังเลแล้วและได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าเขาจะพูดเรื่องนี้กับเฉียวลู่ ครั้งแรกเขายังลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะกลัวว่านางจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้เขาไม่มีความลังเลในจิตใจเลยสักนิดเดียว“แม่นางเฉียวเจ้าคิดที่จะร่วมมือทำการค้ากับข้าหรือไม่ แบบทั้งหมดที่เจ้าให้ข้ามาข้าจะทำให้เจ้าแบบไม่คิดเงินสักตำลึง”เฉียวลู่คำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่านายช่างอู๋จะต้องคุยเรื่องนี้กับนาง แต่เฉียวลู่ที่ยังไม่ทันได้รับปากก็ถูกนายช่างอู๋ชิงพูดขึ้นมาก่อน“ข้าจะให้เจ้าสิบส่วนในผลงานที่ข้าทำออกมาต่อหนึ่งชิ้น และข้าอยากจะขออนุญาตเจ้าให้ข้านำแบบบ้านของเจ้าไปสร้างได้หรือไม่เจ้าสามารถเรียกร้องมาได้เลยว่าเจ้าต้องการกี่ส่วน หรือเจ้าคิดว่าสิบส่วนนั้นน้อยเกินไป”เฉียวลู่เห็นนายช่างอู๋ที่ร้อนรนเช่นนั้นนางก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน ตลอดสองเดือนที่นายช่างอู๋และลูกน้องของเขามาสร้างเรือให้นางเฉียวลู่เห็นแล้วว่านายช่างคนนี้เป็นคนใจกว้างกับผู้อื่นและซื่อสัตย์เหมาะแก่การทำธุรกิจด้วยยิ่งนัก“หยุดก่อนนายช่างอู๋ข้าไม่ได้จะ
เต้าหู้ขายหมดแล้ว เฉียวลู่ให้ทุกคนเก็บของรอนางไปก่อนนางตรงไปที่จีหม่านโหรวทันที เมื่อไปถึงผู้ช่วยเหวินนั่งรอนางอยู่ที่ด้านในโรงเตี๊ยมก่อนแล้ว“สวัสดีผู้ช่วยเหวินอาหารที่ข้าส่งมาไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง”เฉียวลู่ยิ้มตาหยีให้เขา นางคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบเช่นไร“แม่นางเฉียวอาหารที่เจ้าส่งมานั้นเรียกว่าอะไรหรือ มันทั้งนุ่มจนแทบละลายในปากทั้งอร่อยเข้มข้นเจ้าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไรเจ้าช่วยบอกข้าที”เฉียวลู่ยังไม่ได้ตอบผู้ช่วยเหวินนางมองไปรอบๆ เหมือนกำลังมองหาบางอย่าง“เถ้าแก่จีไม่อยู่หรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าจะส่งเต้าหู้มาให้เขาชิมเสียหน่อย”ผู้ช่วยเหวินส่งยิ้มแห้งๆ ให้นางความจริงเถ้าแก่ไม่อยู่ที่อำเภอเป่ยจิงสักพักแล้วเพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ลิ้มรสอาหารรสเลิศเช่นนี้อย่างไรเล่า“ไม่อยู่ขอรับ แต่ว่าอีกไม่กี่วันท่านก็คงจะกลับมาถึงตอนนั้นแม่นางเอาเต้าหู้มาให้นายท่านชิมอีกครั้งได้หรือไม่”เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง ช่างเถอะเอาไว้คราวหน้าก็ได้ เงินอยู่ตรงหน้านี้แล้วถึงอย่างไรมันก็คงไม่มีทางหนีไปไหนได้หรอก“เช่นนั้นเอาไว้ครั้งหน้าข้ามาใหม่ อาหารที่ส่งมาท่านชอบก็ดีแล้วอย่าลืมบอก
ตั้งแต่ที่เต้าหู้ได้วางขาย ทุกวันจางหย่งและหลิวหงจะเป็นผู้นำเต้าหู้ไปขายวันละสองร้อยจินนั่นสุดความสามารถที่พวกเขาสามารถทำได้แล้ว ถึงแม้ว่าเถ้าแก่จีจะกลับมาแล้วแต่นางก็ส่งให้จีหม่านโหรวได้แค่หนึ่งร้อยจินต่อวันเท่านั้นเฉียวลู่แม่เฒ่าหลี่ฉินอี้เหยาและฉินจื่อเฉินทำเต้าหู้รออยู่ที่หมู่บ้านมู่โฉว ก่อนจางหย่งกลับมาเขาก็ต้องออกไปหาซื้อถั่วเหลืองที่หมู่บ้านที่ห่างออกไป เพราะหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ นั้นจางหย่งไปรับซื้อมาหมดจนแล้ว“ดูเหมือนถั่วเหลืองที่เรามีจะสามารถทำเต้าหู้ได้อีกไม่ถึงห้าวันแล้วนะเจ้าคะ หากให้ท่านอาหย่งไปไกลมากกว่านี้ข้าเกรงว่ามันจะไม่คุ้มยิ่งช่วงนี้หิมะเริ่มตกหนักขึ้นทุกวันอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ อีกอย่างสงสารเจ้าแก่ด้วยมันต้องออกเดินทั้งที่อากาศหนาวเช่นนี้ข้ากลัวว่ามันจะทนไม่ไหว”แม่เฒ่าหลี่เองก็คิดเรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้วแต่นางยังมีโอกาสได้คุยกับเฉียวลู่ในเรื่องนี้“จริงดั่งที่อาลู่พูดเงินทองสามารถหาได้ตลอดถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เอาอย่างนี้เถอะเราก็ขายเต้าหู้แค่หมดถั่วเหลืองชุดนี้ รอให้อากาศดีกว่านี้ค่อยมาคิดหาทางกันใหม่พวกเจ้าว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่หันไปถามลูกชายลูกสะใภ้ของตนที่ท
หลังจากที่ทุกอย่างถูกเปิดเผยฉินเจี่ยซินและองค์ชายสามถูกลงโทษประหารชีวิต ฉินอี้เหยาได้ขึ้นนั่งตำแหน่งเดิมของตนส่วนฉิน จื่อเฉินหลังจากที่พิสูจน์ว่าเป็นพระโอรสของเซียวฮ่องเต้แล้วเขาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทเซียวฮ่องเต้ได้ตกรางวัลมากมายให้เฉียวลู่นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดทั้งวันเพราะตอนนี้นางเป็นเศรษฐีแล้ว ฉีหมิงเยี่ยนมองท่าทางเหมือนคนเสียสติของนางแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ สตรีผู้นี้ไม่สนใจตำแหน่งท่านหญิงแต่กลับขอเปลี่ยนเป็นเงินแทนทำเอาขุนนางทั้งหลายถึงกับอึ้ง เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรกับนางดีเฉียวลู่พาบุตรชายทั้งสองของนางเที่ยวเล่นที่เมืองหลวงถึงสองเดือนตอนนี้ถึงเวลาที่นางต้องกลับไปที่เรือนน้อยเชิงเขาของนางแล้ว“พี่อาลู่ท่านจะไปแล้วจริงหรือ”องค์หญิงเซียวหมิ่นงอแงไม่อยากให้นางกลับไปวันทั้งวันเอาแต่ตามติดนางไม่ห่าง ทำเอาฉีหมิงเยี่ยนหงุดหงิดจนอยากจะจับนางยัดใส่ถังไม้ถ่วงน้ำทะเล แต่วันนี้เป็นวันที่ฉีหมิงเยี่ยนอารมณ์ดีที่สุดเพราะพวกเขากำลังจะกลับไปที่อำเภอเป่ยจิง“ข้ามีเรื่องต้องทำมากมายอยู่เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนท่านไม่ได้เอาอย่างนี้ ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสข้าจะพาท่านเที่ยวอำเภอเป่ยจิงดี
เฉียวลู่ถูกเรียกตัวเข้าพบฮ่องเต้นางเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังทั้งยังบอกเล่าจุดที่น่าสงสัยที่ควรตามสืบ ผ่านไปอีกหลายวันเรื่องของนักฆ่าที่ตามสังหารองค์หญิงเซียวหมิ่นยังคงเงียบ นางรู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก เขาเป็นถึงฮ่องเต้ที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินนี้แค่ตามสืบว่าใครว่าจ้างมือสังหารยังทำไม่ได้เชียวหรือ ทำไม่ได้หรือไม่ทำกันแน่กลางดึกในวังหลวงชายชุดดำปีนเข้าไปด้านในตำหนักชางอี้ ฝีเท้าของเขาแผ่วเบาและรวดเร็วเหมือนถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ห้องนอนที่อยู่ด้านข้างของห้องนอนองค์หญิงเซียวหมิ่น ฉินอี้เหยาที่กำลังหลับลึกถูกฝ่ามือของใครบางคนปิดปากเอาไว้ นางรู้สึกตัวแต่ไม่สามารถขยับตัวได้“เหยาเอ๋อ”เสียงเรียกชื่อเบาๆ ของนางทำให้ฉินอี้เหยาหยุดดิ้น เมื่อสายตาชินกับความมืดนางจึงได้รู้ว่าใครกันที่เข้ามาในห้องนอนของนาง“ท่านพ่อ”ฉินอี้เหยากอดชายชุดดำที่อุกอาจบุกเข้ามาในวังหลวงอย่างไม่กลัวตาย ที่เขาทำเช่นนี้เพราะต้องการยืนยันให้แน่ใจว่านางกำนัลที่เขาเห็นในท้องพระโรงใช่นางหรือไม่ ฉินอี้เหยากลั้นเสียงร้องไห้จนสั่นไปทั้งร่าง นางรู้สึกอุ่นใจที่ครอบครัวของนางยังไม่ทอดทิ้ง“พ่อมาที่นี่เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าตัวจริง เ
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่หวงมามาได้รับข้อความจากคนของฉีหมิงเยี่ยนที่เป็นสายลับอยู่ในวังหลวง นางก็ใช้ตราของตำหนักองค์หญิงพานางกำนัลออกมาด้วยสองคน หวงมาๆ ให้รถม้าวิ่งวนไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา จากนั้นจึงให้คนขับรถม้ามาที่เรือนหลังเล็กที่อยู่ใกล้สำนักศึกษา“หวงมามา”องค์หญิงเซียวหมิ่นเรียกนางด้วยความดีใจเหมือนได้พบญาติผู้ใหญ่อีกครั้ง หวงมามากอดนางร้องไห้“องค์หญิงเหตุใดหนีออกจากวังเช่นนี้ ท่านไม่กลัวว่าบ่าวแก่ๆ คนนี้จะหัวใจวายตายหรือเพคะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นหลังจากที่โดนนักฆ่าตามสังหารตอนนี้นางก็ได้รู้แล้วว่าตนเองนั้นทำผิดมหันต์แค่ไหน ไม่คิดดื้อดึงถกเถียงกับหวงมามาอีกแล้ว“ข้าผิดไปแล้วต่อไปจะทำอะไรข้าจะคิดให้มากกว่านี้”หวงมามาเมื่อตั้งสติได้ก็หันไปมองเฉียวลู่และบุรุษที่มีใบหน้าธรรมดา ด้านหลังของพวกเขามีสตรีที่งดงามนางหนึ่งยืนอยู่นางไม่มีวันลืมใบหน้านั้นได้เด็ดขาด“ฮองเฮาเป็นไปได้อย่างไร”หวงมามารีบเข้าไปคุกเข่าให้นางทันที ฉินอี้เหยารีบเข้าไปประคองหวงมามาให้ลุกขึ้น“ข้าหาใช่ฮองเฮาอีกแล้ว หวงมามาท่านอย่าได้คุกเข่าให้ข้าเลย”หวงมามายังไม่ได้สติกลับมา แปดปีกว่าที่ฝ่าบาทตามหานางแต่คนท
เฉียวลู่พาเด็กๆ ไปฝากแม่เฒ่าหลี่เอาไว้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เด็กชายทั้งสองชินกับเรื่องพวกนี้แล้วเพราะเมื่อก่อนท่านแม่ก็ทำเช่นนี้ในบางครั้งที่นางต้องไปทำธุระที่อำเภอเป่ยจิง ฉินอี้เหยากอดฉินจื่อเฉินเอาไว้นางร้องไห้ออกมาเบาๆ พร้อมกับร่ำลาบุตรชาย“เฉินเอ๋อแม่จะกลับมารับลูกเมื่อเรื่องทั้งหมดคลี่คลายแล้ว ลูกรอแม่อยู่กับท่านยายหลี่เป็นเด็กดีรู้หรือไม่”ฉินจื่อเฉินพยักหน้าขอบตาแดงก่ำแต่เขาก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา เพราะกลัวว่าท่านแม่จะเป็นกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องแยกจากนาง ฉินจื่อเฉินรู้สึกโดดเดี่ยวเขาอยากตามไปด้วยแต่ท่านแม่บอกว่าครั้งนี้มันอันตราย เขาจึงต้องทำตามที่ท่านแม่สั่งเมื่อทุกคนล่ำลาเสร็จแล้วเฉียวลู่ฝากทุกอย่างของนางเอาไว้ที่แม่เฒ่าหลี่นางไม่ได้บอกอะไรมากมายแต่แม่เฒ่าหลี่ก็สามารถรับรู้ได้ว่า การที่เฉียวลู่ไม่บอกอะไรนางเลยอาจเป็นเพราะกลัวพวกนางเป็นอันตราย เฉียวลู่และคนคุ้มกันอีกสองสามคนนั่งเกวียนออกไปจากหมู่บ้านก่อนทำเหมือนออกไปค้าขายดั่งเช่นทุกวันส่วนองค์หญิงเซียวหมิ่นและฉินอี้เหยาถูกองครักษ์ของฉีหมิงเยี่ยนพาแยกเข้าเมืองหลวงไปอีกทางเพื่อให้คนของฉินฮองเฮาแยกออกจากกัน ฟ้าสว่างมากแล้วจ
เฉียวลู่รู้สึกหนักใจอยู่เหมือนกัน ถึงตัวนางจะมีกำลังมากแต่ให้สู้กับนักฆ่ามืออาชีพนางย่อมไม่สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้ดูเหมือนมีเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยพวกนางได้คือฉีหมิงเยี่ยน“พวกท่านกลับไปก่อนข้าจะลองหาทางช่วยพวกท่านเอง”หลังจากฉินอี้เหยาและองค์หญิงเซียวหมิ่นกลับไปเฉียวลู่จึงเรียกองครักษ์เงาออกมา“พวกเจ้าสองคนไปเฝ้าดูเรือนของพี่อี้เหยาเอาไว้ถึงแม่ว่าข้าจะคิดว่านักฆ่าน่าจะยังไม่กลับมาในเร็วๆ นี้แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนจะดีกว่า”องครักษ์เงาสองคนคารวะเฉียวลู่แล้วทะยานหายไป เฉียวลู่เดินไปดูเด็กชายทั้งสองที่ยังนอนหลับอยู่ในห้องของนาง จากนั้นนางจึงเดินไปที่ห้องของฉีหมิงเยี่ยน เฉียวลู่เคาะประตูเบาๆ“เข้ามา”เสียงทุ้มดังออกมาจากด้านใน เฉียวลู่ผลักประตูเปิดเอาไว้ นางเดินไปหาเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง“มีเรื่องอันใด”นางมีท่าทีลังเลเล็กน้อย“ท่านคงได้ยินทั้งหมดแล้วกระมัง ท่านพอจะช่วยเหลือพวกนางได้หรือไม่”เฉียวลู่พูดเสียงเบาเหมือนกับไม่มีความมั่นใจในตนเองเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเขาเขาจะไม่ช่วยก็ไม่มีใครสามารถว่าเขาได้ อีกอย่างเมื่อวานเหมือนนางจะโมโหเขาเพราะเรื่ององค์หญิงเ
รุ่งเช้าเฉียวลู่ตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบที่นอนท่าเดียวทั้งคืน เมื่อนางตื่นเต็มก็ตาพบว่าตนเองนอนอยู่ในห้องนอนของตนเองที่อยู่ในยุคปัจจุบัน“อะไรกันเรากลับมาได้แล้วหรือ”เฉียวลู่รีบเปิดประตูห้องวิ่งลงมาข้างล่างเพื่อเช็คให้แน่ใจ คุณพ่อที่นั่งดื่มกาแฟอยู่หน้าทีวีดูข่าวเช้า ส่วนคุณแม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวกลิ่นหอมฉุยของโจ๊กโชยมาทำให้เฉียวลู่แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝันไป เรากลับมาได้แล้ว“แม่คะพ่อคะหนูกลับมาแล้ว”ท่าทางร่าเริงของเฉียวลู่เรียกรอยยิ้มของคุณแม่ของเธอ“กลับมาแล้วอะไรกันเด็กคนนี้ละเมออะไรอยู่ ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วลงมาทานข้าวได้แล้ว”เฉียวลู่ยิ้มตาหยีแล้ววิ่งกลับขึ้นไปบนห้องนอนทำตามคำสั่งของคุณแม่“เรากลับมาแล้วจริงๆ ด้วย”เฉียวลู่อาบน้ำและฮำเพลงอย่างอารมณ์ดี เมื่อแต่งตัวเสร็จเธอก็เดินลงมาทานอาหารพร้อมหน้าครอบครัว ระหว่างที่กำลังทานโจ๊กเฉียวลู่มองพ่อแม่ที่กำลังคุยกันอย่างหวานชื่น เป็นเรื่องปกติสำหรับครอบครัวของเฉียวลู่ เพราะเธอเห็นพ่อกับแม่แสดงความรักต่อกันแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ บางครั้งเธอยังรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงของแถมที่เกิดจากความรักของทั
เฉียวลู่เมื่อกลับไปถึงเรือนของตนก็พบพ่อลูกที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถง นางเข้าไปกอดและหอมเจ้าหัวไชเท้าน้อยทั้งสองจากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องไป นางไม่แม้แต่จะทักทายบิดาของบุตรชายนางสักนิดเรื่องนักฆ่าที่พวกเขาพบที่จีหม่านโหรวได้ถูกถ่ายทอดให้ฉีหมิงเยี่ยนได้รู้ เขาขมวดคิ้วมุ่นแต่ไม่ใช่เรื่องของนักฆ่าแต่เป็นเรื่องของเฉียวลู่ ดูเหมือนว่าไม่ใช่เพียงนิสัยของนางเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ตอนนี้เฉียวลู่แทบจะไม่เหมือนคนเดิมที่เขาเคยรู้จักในอดีต หากไม่ใช่ใบหน้าของนางที่เหมือนเดิมแล้ว เขาคงคิดว่านางเป็นคนอื่นที่ปลอมตัวมา“จับตาดูนางเอาไว้ให้ดี มีสิ่งใดผิดปกติให้รีบมารายงานข้า”เฉียวลู่กลับออกมาจากห้องนอนของตน นางเดินผ่านห้องโถงเข้าครัวไปอุ่นอาหารในครัวที่นางวานแม่เฒ่าหลี่เอาไว้ ฉีหมิงเยี่ยนเข้ามาอยู่ในเรือนนี้หลายวันแล้วถึงเฉียวลู่จะไม่ค่อยพูดกับเขาแต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาพบกันในครั้งแรก แต่วันนี้บรรยากาศกลับแตกต่างไปจากเดิมถึงแม้นางจะยังคงทำทุกอย่างดั่งเช่นทุกวัน แต่เขารู้สึกได้ว่านางเย็นชากับเขายิ่งกว่าเดิม ฉีหมิงเยี่ยนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางเพราะเขาไม่รู้ว่าเฉียวล
เถ้าแก่ร้านเฟยหย่ารีบวิ่งตามออกมาด้านนอกแต่รถม้าที่เฉียวลู่และฉินอี้เหยานั่งมาได้ขับออกไปแล้ว“น่าเสียดายนักสุดท้ายแล้วนางมีของดีเก็บเอาไว้แต่ไม่ยอมเอาออกมาเสนอขายให้ข้าช่างเป็นสตรีที่น่ากลัวจริงๆ”เถ้าแก่สั่งให้พนักงานในร้านเฟยหย่าทุกคนจำใบหน้าของเฉียวลู่และฉินอี้เหยาไว้ นางมาที่นี่อีกเมื่อใดให้ไปตามเขามาทันที เฉียวลู่สั่งให้เฉิงรุ่ยที่ทำหน้าที่ขับรถม้าจอดรอที่หน้าจีหม่านโหรวนางมีของฝากมาให้เถ้าแก่จีและผู้ช่วยเหวินเมื่อฉินอี้เหยาเดินตามเฉียวลู่เข้าไปด้านใน แต่แล้วนางก็ต้องชะงักไปเหมือนกับว่านางเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นซ้อนทับกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม ฉินอี้เหยาอยากเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูให้ชัดเจน แต่แล้วก็มีชายชุดดำที่ไม่รู้ที่มาพุ่งกระบี่เข้าหาเด็กหนุ่มผู้นั้นเฉียวลู่ที่รู้ตัวก่อนได้เขวี้ยงเก้าอี้ไปขวางกระบี่เอาไว้ทำให้กระบี่พลาดเป้าไปโดนแขนของเขาแทน เด็กหนุ่มล้มลงเพราะถูกแทงที่แขน ผมที่ถูกผูกเอาไว้ได้คลายออกฉินอี้เหยาจำได้ทันทีว่าเขาเป็นใครองค์หญิงน้อยที่ชอบมาเที่ยวที่ตำหนักรัชทายาทเมื่อตอนที่นางยังเยาว์แต่เหตุใดนางถึงแต่งกายเป็นชายแล้วมาอยู
ผ่านไปแปดปีกว่ายังตามหาพวกนางแม่ลูกไม่พบ ถึงฝ่าบาทจะไม่เคยตรัสถึงเรื่องนี้เลยสักครั้งแต่นางก็รู้ดีว่าภายในใจของพระองค์นั้นมีเพียงคุณหนูใหญฉินเพียงคนเดียว ต่อให้เขาแต่งตั้งนางที่เป็นคุณหนูรองขึ้นเป็นฮองเฮาแทนฉินอี้เหยาเพราะต้องการตอบแทนความภักดีของตระกูลฉิน แต่ในสายตาของฝ่าบาทนางเป็นเพียงตัวแทนของคนที่พระองค์รักเท่านั้นฉินเจี่ยซินรู้สึกโกรธแค้นคนที่อาจจะตายไปแล้วถึงแปดปีที่ยังคงยึดครองพื้นที่ภายในใจของฮ่องเต้เอาไว้ นางได้พบเขาครั้งแรกในวันงานปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ฉิน ความสง่างามและน่าเกรงขามของเขาช่างแตกต่างจากบุรุษทั่วไปที่นางได้พบยิ่งนั่นทำให้ฉินเจี่ยซินตกหลุมรักองค์รัชทายาทเซียวยิ่นตั้งแต่แรกพบ แต่ผ่านไปไม่นานก็มีพระราชโองการจากฮ่องเต้ส่งมาที่จวนแม่ทัพฉินขอหมั้นหมายคุณหนูใหญ่ฉินกับองค์รัชทายาท ฉินเจี่ยซินทั้งโมโหทั้งโกรธแค้นเพราะเหตุใด นางเองก็เป็นบุตรสาวของแม่ทัพฉินเช่นกันทำไมสิ่งดีๆ ทุกอย่างถึงตกเป็นของคนที่เกิดก่อนนางเพียงไม่กี่เดือนเช่นฉินอี้เหยา และนั่นเป็นจุดเริ่มตนของแผนการแย่งชิงทุกสิ่งที่เป็นของฉินอี้เหยามาฉินเจี่ยซินได้รู้เรื่องที่องค์ชายสามลอบติดต่อกับต่างแคว้นอย่างลับๆ