หลังจากที่ขายกุ้งย่างจนหมดแล้ววันนี้ใช้เวลานานกว่าทุกวันเล็กน้อยแต่ทุกคนต่างก็ยินดีเพราะกุ้งกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดเกลี้ยง วันนี้เฉียวลู่ไม่รับคำสั่งจองกุ้งย่างเหมือนทุกทีทั้งยังบอกลูกค้าที่มาซื้อว่าพรุ่งนี้นางไม่ได้มาขาย ทำเอาแม่เฒ่าหลี่จางหย่งและหลิวหงไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่กำลังทำ
“เอาไว้เมื่อกลับไปถึงเรือนข้าจะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจเองเจ้าค่ะ วันนี้เราไปซื้อของกลับบ้านสักเล็กน้อยดีหรือไม่”
ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจว่านางกำลังคิดทำอะไรแต่ทุกคนต่างก็เชื่อใจและทำตามที่เฉียวลู่พูดเป็นอย่างดี เฉียวลู่พาทุกคนมาที่ร้านขายเสื้อผ้านางซื้อชุดผ้าฝ่ายสำเร็จรูปให้ทุกคนรวมทั้งฉินจื่อเฉินและท่านแม่ของเขาด้วย ความจริงเฉียวลู่อยากซื้อของกลับบ้านให้มากกว่านี้แต่กระท่อมของนางนั้นไม่เอื้ออำนวยในการเก็บสิ่งของมีค่า
เฉียวลู่ซื้อขนมดอกกุ้ยฮวาที่ร้านชื่อดังของอำเภอและอาหารที่จีหม่านโหรวกลับไปกินที่เรือนหลายอย่าง แม่เฒ่าหลี่ต้องคอยปรามเฉียวลู่ให้ประหยัดเงินเอาไว้หน่อย เพราะเงินที่เฉียวลู่ใช้นั้นล้วนเป็นเงินที่มาจากค่าแรงของนาง ส่วนเงินที่ได้กำไรที่ขายกุ้งย่างทุกวันเป็นแม่เฒ่าหลี่ที่เก็บเอาไว้ เพราะเรือนสกุลจางนั้นแข็งแรงมั่นคงมากกว่ากระท่อมน้อยของเฉียวลู่ ต่อให้เชื่อว่าคนในหมู่บ้านมู่โฉวนั้นมีแต่คนดีแต่เรื่องเงินทองนั้นไม่ควรไว้ใจใคร ยิ่งช่วงนี้พวกเขาค้าขายดีเช่นนี้ต้องมีคนนึกอิจฉาตาร้อนบ้างไม่มากก็น้อย
เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดที่หน้าเรือนสกุลจางทุกคนก็ยังคงทำหน้าที่ของตนเช่นเดิมจนกระทั่งเมื่อถึงเวลารับประทานอาหารที่วันนี้เฉียวลู่เป็นเจ้ามือ ถึงแม้แม่เฒ่าหลี่บอกว่านางจะช่วยจ่ายค่าอาหารแต่เฉียวลู่ก็ไม่ยินยอม
หลังจากที่ประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเฉียวลู่ก็ได้เล่าเรื่องที่นางไปพบเถ้าแก่ใหญ่ของจีหม่านโหรวให้ทุกคนฟัง ทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่ล้อมวงกันอยู่ต่างก็นั่งเงียบไม่มีใครปริพูดสิ่งใดออกมาเลย เฉียวลู่คิดไว้แล้วว่าเหตุการณ์จะต้องออกมาประมาณนี้ แต่ที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อทุกคน วันนี้เป็นวันที่สิบพอดีที่พวกเขาขายกุ้งย่างสามารถแบ่งเงินกำไรที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้าได้แล้ว
“พวกท่านโกรธที่ข้าขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าให้จีหม่านโหรวหรือไม่เจ้าค่ะ”
เฉียวลู่หันไปมองทีละคนเพื่อดูการแสดงออกของพวกเขา แต่ไม่มีใครต่อว่าเฉียวลู่เลยสักคนนั่นหมายความว่าทุกคนที่นี่สามารถเชื่อใจได้ พวกเขาไม่เห็นแก่เงินทองมากกว่ามิตรภาพที่มีให้กัน
“สูตรเป็นของเจ้าที่พวกเรามีวันนี้ก็เพราะเจ้าเราจะกล้าต่อว่าเจ้าได้อย่างไรอาลู่”
แม่เฒ่าหลี่ลูบผมที่นุ่มสลวยและดำขลับของนางที่ถูกบำรุงเป็นอย่างดีทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่เฒ่าหลี่ แม้แต่เจ้าหัวไชเท้าน้อยทั้งสองของนางก็พยักหน้าตามทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าพวกผู้ใหญ่คุยเรื่องอะไรกัน พวกเขาต่างถอนหายใจออกมาพร้อมกันจะบอกว่าไม่ผิดหวังเลยก็ไม่ใช่แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อเฉียวลู่ขายสูตรไปแล้วเช่นนั้นก็แค่หาอย่างอื่นทำต่อไป เงินที่พวกเขาได้หลายวันมานี้นั้นมากกว่าที่พวกเขาหามาทั้งปีเสียอีกต้องขอบคุณนางถึงจะถูก
“พวกท่านอย่าพึ่งคิดว่าตนเองจะว่างงานนะเจ้าคะ ข้ายังมีงานให้พวกท่านทำอยู่ พวกท่านจะยุ่งจนแทบไม่มีเวลากินข้าวเลยล่ะเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ยิ้มตาหยีให้พวกเขา ทุกคนต่างนึกสงสัยในคำพูดของนางแต่พวกเขาก็รอฟังอธิบายอย่างตั้งใจ ก่อนที่นางจะมอบหมายงานอย่างอื่นให้พวกเขาทำเฉียวลู่แบ่งกำไรของการขายกุ้งย่างให้ทุกคนก่อน
“กุ้งย่างที่ขายมาทั้งหมดสิบวันหากไม่นับรวมเงินที่ขายวันแรกห้าตำลึงจะได้ทั้งหมดคือหนึ่งร้อยสี่สิบสามตำลึงกับอีกเจ็ดร้อยเหวินหักค่าแรงของพวกเราห้าคนวันละสามร้อยเหวินเก้าวันเป็นเงินสองตำลึงกับอีกเจ็ดร้อยเหวินดังนั้นกำไรทั้งหมดอยู่ที่หนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดตำลึงเจ้าค่ะ”
ทุกคนตกตะลึงยกเว้นเฉียวลู่ที่เป็นคนทำบัญชีและแม่เฒ่าหลี่ที่เป็นคนเก็บเงิน เฉียวลู่แบ่งตั๋วเงินออกเป็นสองส่วนให้บ้านสกุลจางเจ็ดสิบตำลึงกับห้าร้อยเหวินนางและฉินจื่อเฉินคนละสามสิบห้ากับอีกสองร้อยห้าสิบเหวิน ฉินจื่อเฉินไม่กล้ารับเงินที่มากมายเช่นนี้จากเฉียวลู่ เขาทำงานแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นในแต่ละวันได้รับเงินค่าแรงเท่าผู้ใหญ่แล้วยังมากินข้าวที่บ้านสกุลจางอีกด้วยเช่นนี้แล้วเขาจะกล้ารับมาได้อย่างไร เฉียวลู่มองออกในความคิดของฉินจื่อเฉินนางยัดตั๋วเงินใส่ในมือของเด็กชายส่วนอีกสองร้อยห้าสิบเหวินนางดันมันไปทางแม่เฒ่าหลี่พร้อมกับเงินของนาง
“นี่ถือว่าเป็นค่าอาหารของพวกข้าที่มากินที่นี่ทุกวันท่านยายท่านรับไปเถอะ”
จากนั้นเฉียวลู่จึงหันมาหาฉินจื่อเฉินอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรเช่นนี้เจ้าคงไม่รู้สึกติดค้างบ้านสกุลจางแล้วใช่หรือไม่ ตัวเจ้าเองก็ทำงานเช่นเดียวกับพวกเราทุกคนเงินนี้เจ้าสมควรได้รับ เอาล่ะเลิกปฏิเสธแล้วเรามาคุยเรื่องงานกันต่อ”
ฉินจื่อเฉินพยักหน้ารับเบาๆ แม่เฒ่าหลี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเงินห้าร้อยเหวินที่เฉียวลู่ยื่นให้นาง ต่อให้นางปฏิเสธไปเจ้าเด็กนี่ก็คงหาทางนำมันมาให้นางอยู่ดีรับๆ ไปจะได้จบเรื่องแม่เฒ่าหลี่คิดในใจ
“เรื่องงานที่ข้าบอกให้พวกท่านทำคือ รับซื้อกุ้งเจ้าค่ะจากนี้ท่านอาจางจะต้องนำกุ้งไปส่งให้จีหม่านโหรวสามร้อยจินทุกวันในตอนเช้ามืด พวกท่านทำหน้าที่รับซื้อกุ้งในราคาจินละยี่สิบเหวินแล้วนำไปขายให้จีหม่านโหรวจินละสี่สิบเหวินพวกท่านจะได้รับส่วนต่างหกตำลึงทุกวัน หากที่หมู่บ้านของเราไม่สามารถจับกุ้งได้วันละสามร้อยจินท่านอาจางท่านก็ต้องไปที่หมู่บ้านข้างๆ บอกให้พวกเขาจับกุ้งมาขายให้ท่าน จินละยี่สิบเหวินข้าคิดว่าราคานี้จะต้องมีแต่คนแย่งกันเอามาขายให้ท่าน เป็นอย่างไรไม่ต้องลำบากไปขายกุ้งย่างให้เหนื่อยท่านก็แค่ขับเกวียนไปรับเท่านั้น อีกอย่างถึงอย่างไรหน้าหนาวพวกเราก็ต้องหยุดขายกุ้งย่างหม่าล่าอยู่แล้วกว่าจะถึงตอนนั้นข้าคิดว่าคงเก็บเงินได้เยอะอยู่”
คนบ้านสกุลจางพยักหน้ารัวทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฉียวลู่จึงต้องหยุดขายกุ้งย่างหม่าล่า ที่นางทำเช่นนี้เพื่อพวกเขานั่นเอง
“ยังไม่หมดนะเจ้าคะ”
เฉียวลู่หยิบตั๋วเงินใบละสิบตำลึงสิบใบออกมาจากแขนเสื้อแล้วแบ่งออกเป็นสามส่วน
“นี่เป็นเงินที่ขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าเจ้าค่ะเราจะแบ่งออกเป็นสามส่วนพวกท่านคิดว่าอย่างไร”
แม่เฒ่าหลี่ส่ายหน้า
“อาลู่เจ้าทำเพื่อพวกเรามากมายเพียงนี้เงินขายสูตรนี้เจ้าก็เก็บเอาไว้เองเถอะอย่าเอามาแบ่งให้พวกเราเลย เจ้าอยากสร้างเรือนเป็นของตนเองไม่ใช่หรือเก็บเอาไว้เถอะเจ้าจำเป็นต้องใช้มัน”
ฉินจื่อเฉินเองก็ดันตั๋วเงินส่วนของตนมาที่เฉียวลู่
“ข้าก็ไม่ขอรับไว้ขอรับ”
เขาเป็นคนที่พูดไม่เก่งแต่ทุกอย่างในตอนนี้นั้นเขาอยากจะขอบคุณเฉียวลู่อีกเป็นพันเป็นหมื่นครั้งที่นางฉุดดึงเขาขึ้นมาจากความยากจนข้นแค้น เงินที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้ไม่รู้ว่าถ้าหากให้เขาหาเองไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้มา
“ได้เจ้าค่ะเช่นนั้นข้าก็จะขอรับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจ”
ความจริงแล้วที่เฉียวลู่ทำเช่นนี้จุดประสงค์หลักของนางคือไม่อยากอยู่หน้าเตาย่างกุ้งทุกวันนั่นเอง จากนี้นางก็ไม่ต้องเอาหน้างามๆ ของนางไปอังอยู่บนเตาย่างตลอดเวลาแล้ว ดีไม่ดีหากยังต้องย่างกุ้งเช่นนี้ต่อไปทุกวัน ใบหน้าของนางเกิดมีฝ้ากระขึ้นมานางจะทำอย่างไร เฉียวลู่ที่รักสวยรักงามนั้นไม่ชอบที่สุดคือใบหน้าของตนมีตำหนิแม้แต่จุดเล็กๆ ก็ไม่ได้
หลังจากที่แยกย้ายกันไปเถ้าแก่จางที่ใครๆ ในหมู่บ้านต่างก็เรียกเขาเช่นนั้นขับเกวียนไปที่หมู่บ้านสกุลหลิวพร้อมกับหลิวหงภรรยาของเขาเพื่อไปบอกข่าวเรื่องการรับซื้อกุ้งแก่บ้านพ่อตาก่อนใคร เมื่อเกวียนวัวของจางหย่งจอดลงที่หน้าเรือนที่ทรุดโทรมของบ้านเดิมของหลิวหง ทั้งสองคนก็ตะโกนเรียกคนในบ้านสักพัก เด็กชายอายุราวสิบขวบเดินมาเปิดประตูให้พวกเขาทั้งสองคน
“เสี่ยวซานท่านปู่ท่านย่าไม่อยู่หรือเหตุใดที่เรือนถึงได้เงียบเพียงนี้”
หลิวซานส่ายหน้า
“ที่เรือนมีเพียงท่านย่าและข้าขอรับท่านปู่ท่านพ่อท่านแม่พี่ใหญ่พี่รองไปรับจ้างทำงานหมู่บ้านข้างๆ”
หลิวหงพยักหน้าจากนั้นจึงหันไปมองสามี จางหย่งไม่คิดอยู่ที่นี่นานเพราะเขาจะต้องรีบไปที่หมู่บ้านอื่นด้วยดังนั้นจึงเดินไปหาแม่ยายที่นั่งสานตะกร้าอยู่ในเรือน
“อ้าวอาหงอาหย่งพวกเจ้ามาได้อย่างไร มาๆ นั่งก่อนเสี่ยวซานไปหาน้ำมาให้ท่านน้ากับน้าเขยของเจ้าหน่อยเร็ว”
จางหย่งไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้เขาจึงพูดเข้าเรื่องเลย
“ท่านแม่ยายขอรับเอาไว้ครั้งหน้าเถอะ ตอนนี้ข้ากับอาหงกำลังรีบที่ข้ามาวันนี้ข้าจะมาบอกพวกท่านว่าที่บ้านของข้ารับซื้อกุ้งจึงอยากให้ท่านไปตามท่านพ่อตากับพี่ใหญ่มาช่วยขอรับท่านช่วยให้คนไปตามพวกขามาได้หรือไม่ ข้าอยากให้ท่านรับซื้อกุ้งจากชาวบ้านจินละยี่สิบเหวินท่านนำไปขายให้ข้าสามสิบเหวินท่านทำได้หรือไม่ นี่เงินห้าตำลึงท่านเก็บเอาไว้เป็นทุนสำหรับรับซื้อกุ้งจากชาวบ้าน ท่านแม่ต้องเลือกซื้อกุ้งที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เท่านั้นนะขอรับเล็กกว่านี้ไม่รับซื้อ เอาไว้ตอนเย็นข้าจะแวะมาดูอีกครั้ง”
จางหย่งเอากุ้งตัวอย่างจากที่หลืออยู่ในเรือนของเขาใส่ถังไม้มาด้วย เสี่ยวซานเอาถังไม้ใส่น้ำมาเล็กน้อยใส่กุ้งตัวนั้นเอาไว้ จากนั้นจางหย่งและหลิวหงจึงขับเกวียนจากไป
“เสี่ยวซานไปตามท่านปู่กับท่านพ่อของเจ้ากลับมาเร็วเข้า”
แม่ยายของจางหย่งพึ่งจะได้สติกลับมาหลังจากที่จางหย่งและหลิวหงจากไปแล้ว จางหย่งขับเกวียนไปหาสหายที่เขาไว้ใจและเคยทำงานร่วมกันที่หมู่บ้านข้างๆ อีกสองสามหมู่บ้านและได้บอกข่าวเรื่องรับซื้อกุ้งเช่นเดียวกับที่เขาบอกแม่ยายก่อนหน้านี้และได้ทิ้งเงินทุนเอาไว้ให้เช่นเดียวกันแต่สำหรับคนอื่นจางหย่งรับซื้อในราคายี่สิบห้าเหวินต่อหนึ่งจิน ที่เขาทำเช่นนั้นเพราะต้องการช่วยเหลือครอบครัวบ้านเดิมของภรรยาของตน
เมื่อถึงตอนเย็นจางหย่งให้แม่เฒ่าหลี่กับฉินจื่อเฉินทำหน้าที่รับซื้อกุ้งอยู่ที่หมู่บ้านมู่โฉวเหมือนเช่นทุกวัน เขาและหลิวหงขับเกวียนวัวไปรับกุ้งที่ฝากให้บ้านแม่ยายรับซื้อเอาไว้ เมื่อมาถึงหมู่บ้านสกุลหลิวกุ้งเป็นๆ สองร้อยจินได้ถูกเตรียมเอาไว้ให้จางหย่งเรียบร้อยแล้ว
กุ้งสดสองร้อยจิน จินละสามสิบเหวินเป็นเงินหกตำลึง จางหย่งจ่ายเงินให้บ้านสกุลหลิวห้าตำลึงห้าร้อยเหวินหักต้นทุนที่เขาให้ไปห้าร้อยเหวิน และครั้งต่อไปเขาก็จะทำเช่นนี้จนกว่าจะครบห้าตำลึง เขาได้อธิบายให้พ่อตาเข้าใจ ทุกคนบ้านสกุลหลิวต่างก็ขอบคุณลูกเขยคนนี้เพราะต่อให้คนทั้งบ้านทำงานช่วยกันทั้งวันก็ไม่มีทางหาเงินห้าร้อยเหวินมาได้แน่
จางหย่งไปรับกุ้งจากอีกสองหมู่บ้านจากนั้นจึงขับเกวียนกลับมาที่หมู่บ้านมู่โฉวอีกครั้ง เขากลับมาถึงหน้าเรือนก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แม่เฒ่าหลี่ยืนอยู่กับเฉียวลู่ที่หน้าเรือนเพื่อรอคนทั้งสอง
“มาแล้วเจ้าค่ะท่านยาย”
เฉียวลู่ชี้ให้แม่เฒ่าหลี่ดู เมื่อวัวแก่หยุดอยู่ที่หน้าเรือนทุกคนช่วยกันขนถังใส่กุ้งเข้าไปในเรือนคนละไม้คนละมือจากนั้นจึงกลับไปพักผ่อนที่เรือนของตน ฉินจื่อเฉินกลับเรือนของเขาที่อยู่ติดกับเรือนสกุลจาง พบว่าท่านแม่ที่นอนป่วยอยู่ตลอดได้ออกมานั่งเขาที่ใต้ต้นอู๋ถงหน้าเรือน
“ท่านแม่มืดแล้วอากาศเย็นนักท่านออกมาตากลมทำไมเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะขอรับ”
เด็กชายรีบวิ่งมาหามารดาของตนด้วยความเป็นห่วง ฉินอี้เหยาได้ยินเสียงจอแจของชาวบ้านที่มาขายกุ้งทุกวันตัวนางเองถ้าหากแข็งแรงกว่านี้สักนิดก็อยากจะทำงานหาเงินช่วยบุตรชายเช่นกัน มีใจอยากทำงานแต่ร่างกายของนางไม่เอื้ออำนวย ตั้งแต่ที่บุตรชายของนางไปทำงานกับเฉียวลู่เขาก็มีเงินซื้อยาและอาหารมาให้นางทำให้อาการป่วยนานปีของฉินอี้เหยาดีวันดีคืน วันนี้นางจึงอยากออกมารอฉินจื่อเฉินที่หน้าเรือนบ้าง
“เด็กโง่ดูไม่ออกหรือว่าแม่นั้นอาการดีขึ้นมากเพียงไรดูสิเมื่อก่อนแม่มีแรงเดินเช่นนี้หรือไม่ เจ้าไม่ต้องห่วงแม่มากมายเพียงนั้นก็ได้”
ฉินอี้เหยาลูบผมบุตรชายของนางด้วยความรักใคร่ สายตาที่แสนอ่อนโยนของนางทำให้ฉินจื่อเฉินรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ สายตาของท่านแม่เหมือนสายตาของพี่เฉียวลู่ที่มองไปที่เจ้าหัวไชเท้าน้อยทั้งสองเลย เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านแม่ก็รักเขาเหมือนที่พี่เฉียวลู่รักเจ้าแฝดใช่หรือไม่ มิน่าเล่าเจ้าแฝดถึงได้เอาแต่คอยวนเวียนอยู่รอบกายพี่เฉียวลู่ไม่ห่างเพราะเขารู้ว่าพี่เฉียวลู่รักพวกเขามากเพียงใด ดั่งเช่นที่ท่านแม่ก็รักเขามากเช่นกันฉินจื่อเฉินคิดในใจ
ท่านแม่ขอรับพี่เฉียวลู่ซื้อเสื้อผ้าให้ท่านกับข้าคนละหนึ่งชุดด้วยนะขอรับ”
ฉินจื่อเฉินรีบนำชุดผ้าฝ้ายสีน้ำทะเลส่งให้ฉินอี้เหยาดู นางลูบเนื้อผ้าที่หยาบเล็กน้อยแต่นุ่มนวลเมื่อใส่ในหน้าหนาวสามารถให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดี แม้ไม่ใช่ชุดผ้าไหมชั้นดีเหมือนที่นางเคยสวมใส่เมื่อก่อน แต่มันกลับทำให้หัวใจของฉินอี้เหยารู้สึกดีและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เฉียวลู่สตรีนางนี้ถึงแม้ไม่เคยพบกันสักครั้งนางกลับให้ความช่วยเหลือพวกเขาแม่ลูกโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ คนที่ดีเช่นนี้ยังมีหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้อีกหรือ นางจะสามารถกลับมาเชื่อใจผู้คนได้อีกหรือไม่นะ ฉินอี้เหยามองไปที่ชุดผ้าฝ้ายสีน้ำทะเลด้วยสายตาโศกเศร้า เฉียวลู่สักวันข้าจะต้องตอบแทนน้ำใจของเจ้าที่ช่วยเหลือข้าแม่ลูกในวันนี้แน่นอน
เฉียวลู่ที่กลับไปที่เรือนของนางแล้วนั้นทำอาหารง่ายๆ ให้เจ้าแฝดของนางทานจากนั้นจึงอาบน้ำพาลูกๆ ของนางเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะพรุ่งนี้นางมีงานสำคัญที่ต้องทำรออยู่
เช้าวันต่อมาเฉียวลู่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อพาจางหย่งไปส่งกุ้งให้กับจีหม่านโหรว นางจะไปด้วยเพียงครั้งแรกเท่านั้นเพื่อให้พวกเขาจำหน้าจางหย่งได้จะได้รู้ว่าครั้งหน้าเขาคือผู้ที่จะมาส่งกุ้งให้จีหม่านโหรวทุกวัน นอกจากส่งกุ้งแล้วเฉียวลู่ก็มีเรื่องที่ต้องการทำอีกอย่างคือหาคนมาสร้างเรือนให้นางนั่นเอง และอุปกรณ์บางอย่างก็ต้องมาหาซื้อที่อำเภอเป่ยจิงเท่านั้นเมื่อเจ้าวัวแก่หยุดลงที่หน้าจีหม่านโหรว เฉียวลู่กระโดดลงมาจากเกวียน นางเดินตรงไปที่ผู้ดูแลที่กำลังตรวจดูผักและเนื้อของชาวบ้านที่นำมาขายให้พวกเขา“อรุนสวัสดิ์เจ้าค่ะผู้ดูแลเหวิน”เหวินซงที่กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหารรีบหันตามเสียงทักทายที่แสนหวานของเฉียวลู่ทันที“อ้อแม่นางเฉียวนั่นเอง เจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย”เฉียวลู่พยักหน้ารับ“ดูเหมือนท่านกำลังยุ่งอยู่ ข้ารอได้เจ้าค่ะ”เหวินซงส่ายหน้าไปมาไม่เป็นไรวัตถุดิบของเจ้าสำคัญกว่า มาเถอะข้าจะให้คนชั่งกุ้งของเจ้าก่อน”เหวินซงเรียกพนักงานของจีหม่านโหรวสองคนให้มาช่วยเขาชั่งกุ้งไม่นานกุ้งสามร้อยสามจินก็ถูกชั่งเรียบร้อย“สามจินนี้ถือว่าเป็นกำไรที่ข้ามอบให้พวกท่านนะเจ้าคะ”
เฉียวลู่เขียนสูตรอาหารที่ปรุงจากกุ้งให้เถ้าแก่จีคือ หม่าล่าต้ม ผัดโป๊ยเซียนที่นางทำให้เด็กๆ กินวันแรกและข้าวอบจักรพรรดิ โชคดีที่นางอ่านมาก่อน จากนั้นนางก็ตามผู้ช่วยเหวินไปที่ครัวด้านล่างทำอาหารสองสามอย่างที่ทำจากกุ้งให้เถ้าแก่จีชิม แต่ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเหวินไม่ได้ยกอาหารไปที่ห้องของเถ้าแก่จีที่ชั้นสอง แต่ผู้ช่วยเหวินยกถาดอาหารไปที่ห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสามแทน เฉียวลู่ไม่ค่อยเข้าใจนักแต่นางก็ไม่สนใจว่าเขาจะยกไปให้ใครชิมเพราะนางได้รับค่าสูตรอาหารมาแล้วผู้ช่วยเหวินเข้าไปในห้องนั้นสักพักจากนั้นจึงออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับถาดที่มีผ้าไหมสีแดงคลุมอยู่ เฉียวลู่ที่ยืนรออยู่ก็ใช้สายตาถามผู้ช่วยเหวินว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ช่วยเหวินยิ้มให้เฉียวลู่อย่างใจดีจากนั้นจึงเปิดผ้าที่คลุมถาดออก ตั๋วเงินสองร้อยตำลึงวางอยู่บนนั้นพร้อมทั้งก้อนเงินอีกหลายสิบก้อน“นี่เป็นรางวัลที่มอบให้กับเจ้าผู้ที่ทำอาหารได้ถูกปากนายท่าน แม่นางเฉียวเจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ท่านผู้นั้นมาพักอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีพ่อครัวคนไหนทำอาหารที่นายท่านเอ่ยชมสักครั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านั้นเป็นคนแรก”เฉียวลู่อึ้งไปสักพักนางไม่
สองเดือนผ่านไปอากาศที่หมู่บ้านมู่โฉวเริ่มหนาวแล้วเพราะอยู่ท่ามกลางหุบเขาจึงทำให้มวลอากาศเย็นถูกพัดมาจากในป่าทำให้ที่นี่หนาวเย็นมากกว่าในอำเภอ เรือนของเฉียวลู่สร้างเสร็จก่อนกำหนดถึงสิบวันนั่นเพราะหลังจากที่คนงานกลับไปหมดแล้วเฉียวลู่ก็แอบมาแบกต้นไม่ที่นางตัดซ่อนเอาไว้มากองรวมกับต้นไม้ที่คนงานของนายช่างอู๋ตัดเอาไว้ทำให้พวกเขาย่นระยะเวลาที่ต้องเดินขึ้นลงเขาไปกว่าสิบวันเฉียวลู่ย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนไม้ซุงที่ดูแปลกตาของนางแล้ว ชาวบ้านต่างก็อยากมาชื่นชมบ้านใหม่ที่ไม่เหมือนใครของนาง เวลาที่เหลืออีกสิบวันเฉียวลู่จ้างให้นายช่างขุดบ่อน้ำและทำรั้วรอบที่ดินยี่สิบหมู่ของนางความสูงขนาดสามเมตร นางให้เหตุผลว่าที่นางทำรั้วสูงเช่นนี้เพราะนางเป็นสตรีที่อาศัยอยู่กับลูกลำพังดังนั้นจึงต้องระวังเรื่องความปลอดภัยเอาไว้ก่อนวันนี้เป็นวันจัดงานขึ้นบ้านใหม่ของเฉียวลู่ นางให้แม่เฒ่าหลี่เชิญคนทั้งหมู่บ้านมาร่วมยินดี และฝากให้จางหย่งเชิญนายช่างอู๋และฮูหยินมาร่วมงานด้วย ส่วนตัวนางนั้นเป็นผู้เชิญเถ้าแก่จีและผู้ช่วยเหวินด้วยตัวเองเสียงแสดงความยินดีของชาวบ้านทำให้เฉียวลู่ยิ้มหน้าบาน อาหารทั้งหมดถูกสั่งมาจากจีหม่านโหรว
นายช่างอู๋เมื่อเห็นแบบทั้งหมดที่เฉียวลู่วาดเขาก็ยิ่งตกใจมากกว่าครั้งแรกที่เห็นแบบบ้านที่นางวาดให้เขา ตอนนี้นายช่างอู๋ไม่คิดลังเลแล้วและได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าเขาจะพูดเรื่องนี้กับเฉียวลู่ ครั้งแรกเขายังลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะกลัวว่านางจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้เขาไม่มีความลังเลในจิตใจเลยสักนิดเดียว“แม่นางเฉียวเจ้าคิดที่จะร่วมมือทำการค้ากับข้าหรือไม่ แบบทั้งหมดที่เจ้าให้ข้ามาข้าจะทำให้เจ้าแบบไม่คิดเงินสักตำลึง”เฉียวลู่คำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่านายช่างอู๋จะต้องคุยเรื่องนี้กับนาง แต่เฉียวลู่ที่ยังไม่ทันได้รับปากก็ถูกนายช่างอู๋ชิงพูดขึ้นมาก่อน“ข้าจะให้เจ้าสิบส่วนในผลงานที่ข้าทำออกมาต่อหนึ่งชิ้น และข้าอยากจะขออนุญาตเจ้าให้ข้านำแบบบ้านของเจ้าไปสร้างได้หรือไม่เจ้าสามารถเรียกร้องมาได้เลยว่าเจ้าต้องการกี่ส่วน หรือเจ้าคิดว่าสิบส่วนนั้นน้อยเกินไป”เฉียวลู่เห็นนายช่างอู๋ที่ร้อนรนเช่นนั้นนางก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน ตลอดสองเดือนที่นายช่างอู๋และลูกน้องของเขามาสร้างเรือให้นางเฉียวลู่เห็นแล้วว่านายช่างคนนี้เป็นคนใจกว้างกับผู้อื่นและซื่อสัตย์เหมาะแก่การทำธุรกิจด้วยยิ่งนัก“หยุดก่อนนายช่างอู๋ข้าไม่ได้จะ
เต้าหู้ขายหมดแล้ว เฉียวลู่ให้ทุกคนเก็บของรอนางไปก่อนนางตรงไปที่จีหม่านโหรวทันที เมื่อไปถึงผู้ช่วยเหวินนั่งรอนางอยู่ที่ด้านในโรงเตี๊ยมก่อนแล้ว“สวัสดีผู้ช่วยเหวินอาหารที่ข้าส่งมาไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง”เฉียวลู่ยิ้มตาหยีให้เขา นางคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบเช่นไร“แม่นางเฉียวอาหารที่เจ้าส่งมานั้นเรียกว่าอะไรหรือ มันทั้งนุ่มจนแทบละลายในปากทั้งอร่อยเข้มข้นเจ้าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไรเจ้าช่วยบอกข้าที”เฉียวลู่ยังไม่ได้ตอบผู้ช่วยเหวินนางมองไปรอบๆ เหมือนกำลังมองหาบางอย่าง“เถ้าแก่จีไม่อยู่หรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าจะส่งเต้าหู้มาให้เขาชิมเสียหน่อย”ผู้ช่วยเหวินส่งยิ้มแห้งๆ ให้นางความจริงเถ้าแก่ไม่อยู่ที่อำเภอเป่ยจิงสักพักแล้วเพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ลิ้มรสอาหารรสเลิศเช่นนี้อย่างไรเล่า“ไม่อยู่ขอรับ แต่ว่าอีกไม่กี่วันท่านก็คงจะกลับมาถึงตอนนั้นแม่นางเอาเต้าหู้มาให้นายท่านชิมอีกครั้งได้หรือไม่”เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง ช่างเถอะเอาไว้คราวหน้าก็ได้ เงินอยู่ตรงหน้านี้แล้วถึงอย่างไรมันก็คงไม่มีทางหนีไปไหนได้หรอก“เช่นนั้นเอาไว้ครั้งหน้าข้ามาใหม่ อาหารที่ส่งมาท่านชอบก็ดีแล้วอย่าลืมบอก
ตั้งแต่ที่เต้าหู้ได้วางขาย ทุกวันจางหย่งและหลิวหงจะเป็นผู้นำเต้าหู้ไปขายวันละสองร้อยจินนั่นสุดความสามารถที่พวกเขาสามารถทำได้แล้ว ถึงแม้ว่าเถ้าแก่จีจะกลับมาแล้วแต่นางก็ส่งให้จีหม่านโหรวได้แค่หนึ่งร้อยจินต่อวันเท่านั้นเฉียวลู่แม่เฒ่าหลี่ฉินอี้เหยาและฉินจื่อเฉินทำเต้าหู้รออยู่ที่หมู่บ้านมู่โฉว ก่อนจางหย่งกลับมาเขาก็ต้องออกไปหาซื้อถั่วเหลืองที่หมู่บ้านที่ห่างออกไป เพราะหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ นั้นจางหย่งไปรับซื้อมาหมดจนแล้ว“ดูเหมือนถั่วเหลืองที่เรามีจะสามารถทำเต้าหู้ได้อีกไม่ถึงห้าวันแล้วนะเจ้าคะ หากให้ท่านอาหย่งไปไกลมากกว่านี้ข้าเกรงว่ามันจะไม่คุ้มยิ่งช่วงนี้หิมะเริ่มตกหนักขึ้นทุกวันอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ อีกอย่างสงสารเจ้าแก่ด้วยมันต้องออกเดินทั้งที่อากาศหนาวเช่นนี้ข้ากลัวว่ามันจะทนไม่ไหว”แม่เฒ่าหลี่เองก็คิดเรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้วแต่นางยังมีโอกาสได้คุยกับเฉียวลู่ในเรื่องนี้“จริงดั่งที่อาลู่พูดเงินทองสามารถหาได้ตลอดถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เอาอย่างนี้เถอะเราก็ขายเต้าหู้แค่หมดถั่วเหลืองชุดนี้ รอให้อากาศดีกว่านี้ค่อยมาคิดหาทางกันใหม่พวกเจ้าว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่หันไปถามลูกชายลูกสะใภ้ของตนที่ท
เฉียวลู่ใช้อ่างไม้สำหรับล้างหน้าใส่น้ำและน้ำปุ๋ยหมักที่นางสั่งเอาไว้ตามอัตราส่วนที่อ่านพบในหนังสือ จากนั้นนำตะกร้าไม้ไผ่นึ่งที่มีลักษณะคล้ายฝาชีครอบอาหารที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสามสิบเซนติเมตรวางลงไป นำใยนุ่นชุบน้ำวางลงไปก่อนแล้วโรยด้วยเมล็ดผักบุ้งที่เริ่มแตกหน่อด้านบนนางเอาขี้เลื่อยที่เหลือจากการสร้างเรือนของนางมาโรยทับจากนั้นจึงใช้อ่างล้างหน้าอีกใบปิดด้านบนเอาไว้ส่วนถั่วเขียวที่แตกหน่อแล้วนางโรยมันลงไปในตะกร้าไม้ไผ่นึ่งด้านล่างไม่ได้ใส่น้ำด้านบนปิดทับด้วยฝ้าฝ้ายชุบน้ำและปิดทับด้วยอ่างล้างหน้าอีกครั้ง“เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะ เราแค่ต้องคอยรดน้ำมันทุกวันวันละสองถึงสามครั้ง อุณหภูมิห้องต้องไม่เย็นจนเกินไปดังนั้นห้องนี้จึงเหมาะสมที่สุด”อ่างล้างหน้าหลายใบถูกวางเรียงเอาไว้ที่มุมห้องโถงอย่างเป็นระเบียบ วันต่อมาเมื่อจางหย่งไปส่งเต้าหู้ที่จีหม่านโหรวเขาก็ได้รับข่าวดีว่าที่โกดังเก็บของของเถ้าแก่จีมีถั่วเหลืองอยู่สี่พันชั่ง นั่นมันเยอะมากจนสามารถทำเต้าหู้ขายได้ไปจนถึงปีใหม่เลยนะเถ้าแก่จีให้คนของเขานำถั่วเหลืองมาส่งที่หมู่บ้านมู่โฉวในวันต่อมา ทำให้ไม่ต้องหยุดส่งเต้าหู้ให้จีหม่านโหรว ส่ว
ผ่านไปสามวันต้นกล้าของผักบุ้งและถั่วเขียวก็โตขึ้นอย่างงอกงาม ถั่วเขียวที่งอกออกมานางบอกว่าชื่อของมันคือถั่วงอก ทุกคนต่างก็รอคอยที่จะลิ้มรสเจ้าถั่วเขียวงอกพวกนี้“ถึงจะแค่สามวันแต่มันก็สามารถกินได้แล้ว วันนี้ข้าจะทำอาหารที่แสนโอชะให้ทุกคนได้ทานกัน”เจ้าหัวไชเท้าน้อยของนางที่ตอนนี้กำลังพูดเจื้อยแจ้วต่างจากเมื่อก่อนกำลังกระโดดโลดเต้นดีใจที่ท่านแม่จะทำของอร่อยให้พวกเขาทาน“ท่านแม่ทำอาหารให้หลงเอ๋อทาน”แฝดคนพี่อวดแฝดคนน้อง“ท่านแม่ทำให้ชิงเอ๋อทานต่างหาก” .จากนั้นไม่นานเสียงเล็กๆ สองเสียงก็เถียงกันไปเถียงกันมาภายในห้องโถง คนที่ทำการหย่าศึกของสองพี่น้องคือฉินจื่อเฉินที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงไปเรียบร้อยแล้ว อวี้หลงกับอวี้ชิงกำลังจะเข้าสี่ขวบหลังปีใหม่ส่วนฉินจื่อเฉินก็เก้าขวบในปีหน้า ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาแล้วหลังจากปีใหม่ ถึงเขาจะเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่นแต่เพราะเขาเป็นเด็กฉลาดบวกกับฉินอี้เหยาสอนหนังสือให้ตั้งแต่ยังเล็กเพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ด้อยไปกว่าเด็กที่เข้าเรียนก่อนอย่างแน่นอนเฉียวลู่มองห้องโถงที่มีเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าหัวไชเท้าน้อยของนางแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโ
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี
หลังอาบน้ำเสร็จสองสามีภรรยานอนกอดกันอยู่บนเตียง ฉีหมิงเยี่ยนลูบหลังนางเบาๆ พร้อมทั้งเอ่ยบางอย่างจนทำให้เฉียวลู่ที่กำลังเคลิ้มใกล้หลับต้องตื่นเต็มตา“ข้าให้คนไปสืบเรื่องของซูหลีมาแล้ว บุรุษที่นางติดพันในช่วงนี้คือคุณชายตระกูลกั๋ว คนผู้นี้พึ่งมีตัวตนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ได้ยินมาว่าใต้เท้ากั๋วมีบุตรชายที่หายสาบสูญไปพึ่งจะหาพบ อาลู่เขายังเป็นคนที่เสิ่นฮองเฮามีความสัมพันธ์ด้วย ข้าเกรงว่าแม้แต่องค์ชายใหญ่ก็คงจะไม่ใช่พระโอรสของฮ่องเต้ เจ้าควรจะเตือนเรื่องนี้แก่นาง”เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เตือนนางหรือ อย่าว่าแต่เตือนนางเลยแม้แต่ใบหน้าของนางข้ายังไม่ได้พบแล้วจะพูดเรื่องนี้กับนางได้อย่างไร เฉียวลู่คิดอย่างปวดหัวสามวันต่อมา งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ฉีเหวินจิ้ง เฉียวลู่เข้าร่วมในฐานะพระชายาของชินอ๋อง เหล่าขุนนางและราชทูตที่มาร่วมอวยพรต่างให้ความสนใจทั้งสองคน พระชายาชินอ๋องผู้นี้ไม่ค่อยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเท่าใดนักงานนี้ถือว่าเป็นงานแรกอย่างเป็นทางการสำหรับนางก็ว่าได้ อีกอย่างที่พวกเขาให้ความสนใจในตัวนางก็เพราะฉีหมิงเยี่ยน ก่อนหน้านี้ระดมทหารหลายพันนายออกกวาดล้างโจรสลัดเพื่อแก
องค์หญิงเซียวหมิ่นหลังจากที่กลับมาที่พักรับรองของราชทูตแคว้นเซียวนางก็ขังตนเองเอาไว้ภายในห้อง เจ็ดวันแล้วที่นางไม่ยอมออกไปไหน ทั้งๆ ที่ผ่านมานางดีอกดีใจที่ตนเองได้พบกับเฉียวลู่อีกครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนนางจะมีเรื่องยุ่งยากบางอย่างภายในใจ นางกำนัลคนสนิทของนางไม่เคยเห็นองค์หญิงของตนเป็นเช่นนี้มาก่อนนางจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก“องค์หญิง หลายวันนี้อุดอู้อยู่แต่ในห้อง พระองค์ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นถอนหายใจออกมาเบาๆ ท่าทางเศร้าสร้อยนั้นทำให้นางกำนัลรู้สึกเป็นห่วง องค์หญิงเซียวหมิ่นรู้ว่านางกำนัลเป็นห่วงตนจึงยอมทำตามที่พวกนางขอร้อง“ก็ได้ ไปเถอะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นเดินนำหน้านางกำนัลออกจากเรือนรับรองไป นางเดินเล่นในอุทยานที่มีดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้มากมาย กลิ่นหอมของมันทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย เหล่าผีเสื้อสีสันสดใสบินรอบๆ ตัวนาง องค์หญิงเซียวหมิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ“ที่นี่ถูกดูแลเป็นอย่างดีเชียวเจ้าดูดอกไม้พวกนั้นสิ แม้แต่ที่แคว้นเซียวก็ยังไม่งดงามเท่านี้เลย”นางชี้ชวนให้นางกำนัลผู้ติดตามดูดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล เพราะเอาแต่มองดอกไม้พวกนั้นทำให้น
“ผู้ร้องทุกข์เป็นผู้ใด”ผู้พิพากษาเอ่ยถาม เสิ่นชิงหยุนที่ปกติทำตัวเย่อหยิ่ง แต่ครั้งนี้กลับคุกเข่าลงอย่างหาได้ยาก นางร้องไห้น้ำตานองหน้า แสร้งทำท่าอ่อนแอให้ผู้คนสงสาร“ข้าคือเสิ่นชิงหยุน บุตรสาวคนเล็กของราชครูเสิ่น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อต้องการร้องเรียนเอาผิด พระชายาของชินอ๋องเพราะนางทำร้ายร่างกายของข้าอย่างไร้เหตุผล”ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องต่างมองมาที่เฉียวลู่เป็นตาเดียว ใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูเสิ่นนั้นหลงรักปักใจในชินอ๋องมานานถึงขั้นไม่ยอมแต่งงานออกเรือน อาจเป็นเพราะพระชายาได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงลงมือทำร้ายคุณหนูเสิ่นใช่หรือไม่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเมืองดังเซ็งแซ่ แต่เฉียวลู่ไม่สะดุ้งสะเทือนนางไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางรอดูว่าเสิ่นชิงหยุนจะเล่นลูกไม้อันใดอีก หากมีเพียงเท่านี้นั่นก็ทำให้นางรู้สึกผิดหวังยิ่งนักที่นางเล่นใหญ่แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยองค์หญิงเซียวหมิ่นทำท่าจะลุกขึ้นตีนางอีกครั้ง นางโตจนป่านนี้แล้วไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าด้านเท่าสตรีผู้นี้มาก่อน เฉียวลู่ดึงนางให้นั่งลง นางส่ายหน้าให้องค์หญิงเซียวหมิ่นสงบใจ องค์หญิงเซียวหมิ่นได้แต่ทำท่าฮึดฮัดอย่างขัดใจ หากเป็นที่แคว้นเซียวสตรีอย่างเส