ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน
“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”
แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง
“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”
แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น
“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”
เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาอย่าง โล่งอกเพราะนางไม่รู้ว่าจะหาคำตอบไหนมาตอบดีถ้าหากถูกตั้งคำถามขึ้นมา
ทุกวันผ่านไปด้วยความราบรื่นร้านขายหมูปิ้งชายเคราดกย้ายไปตั้งที่อื่นที่ห่างออกไป เฉียวลู่ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะยังขายของอยู่ที่นั่นหรือว่าจะเลิกขายไปแล้ว สิ่งที่นางกำลังตั้งตารออยู่คือเมื่อใดจะมีคนมาถามขอซื้อสูตรกุ้งย่างหม่าล่าของนางสักที ไม่ว่านิยายแนวทะลุมิติเรื่องไหนเมื่อนางเอกเป็นแม่ค้าเมื่อนั้นย่อมมีเจ้าของร้านอาหารใหญ่มาขอซื้อสูตรอาหารเมื่อนั้น
นี่ผ่านไปเกือบสิบวันแล้วถึงจะมีลูกค้ามาซื้อเยอะเหมือนทุกวัน แต่เฉียวลู่ก็สามารถมองออกว่าคนที่กินกุ้งย่างหม่าล่าของนางกำลังลดลง ดูจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าที่วันนี้มีเพียงแค่ยี่สิบชุดถึงจะขายหมดทุกวันแต่นางก็ยังกังวลใจอยู่ดี ช่วงเวลาที่จะสามารถขายสูตรอาหารได้ราคาสูงคือช่วงที่การค้าขายกำลังเฟื่องฟูและเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง
และแล้วการรอคอยด้วยความอดทนของเฉียวลู่นั้นก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อมีชายวัยกลางคนแต่งตัวดีท่าทางมีฐานะต้องการสนทนากับเจ้าของร้านขายกุ้งย่างหม่าล่าหรือก็คือเฉียวลู่นั่นเอง เขาเชิญนางขึ้นไปที่ชั้นสองห้องทำบัญชีของเถ้าแก่ของจีหม่านโหรวนามว่าจีคัง
เฉียวลู่ยืนรออยู่หน้าห้องทำบัญชีเพื่อรอเข้าพบเถ้าแก่จี ผ่านไปไม่นานชายวัยกลางคนที่แนะนำตัวให้เฉียวลู่ทราบว่าเขาคือผู้ดูแลจีหม่านโหรวชื่อเหวินซงเปิดประตูให้เฉียวลู่เข้าไปในห้องบัญชีส่วนตัวเขายืนรออยู่ด้านนอก คนที่นั่งรอเฉียวลู่อยู่ในห้องนั้นคือชายวัยกลางคนที่อายุราวสี่สิบปีท่าทางภูมิฐานกำลังมองมาที่เฉียวลู่เหมือนต้องการมองหาบางอย่าง
เฉียวลู่ยืนให้เขาสำรวจตนเองจนพอใจ เรื่องที่ต้องถูกผู้คนจ้องมองเป็นเรื่องเคยชินของนางเพราะตลอดเวลาสิบกว่าปีเฉียวลู่อยู่ในสายตาของประชาชนอยู่ตลอด แค่การจ้องมองของบุรุษเพียงคนเดียวสำหรับนางไม่นับว่าเป็นอะไร
“ข้าน้อยเฉียวลู่คารวะเถ้าแก่จีเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ย่อตัวคารวะอย่างอ่อนช้อยงดงาม ท่าทางของนางนั้นสงบนิ่งไม่ตื่นกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษอื่นหรือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า แตกต่างจากหญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วไปยิ่งนัก เรื่องเมื่อหลายวันก่อนที่นางทุบตีบุรุษร่างใหญ่สี่คนถูกกล่าวขานต่อๆ กันไปจนคนทั้งอำเภอเป่ยจิงรู้กันทั่วว่าแม่นางน้อยที่ร้านขายกุ้งย่างหม่าล่าอัดชายสี่คนจนต้องร้องหาบรรพบุรุษ แต่เรื่องที่ชาวเมืองพูดกันไปนั้นเฉียวลู่ไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเพราะนางเอาแต่ย่างกุ้งอยู่หลังร้าน
“ข้าชื่อจีคังเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของจีหม่านโหรวเจ้าคงจะรู้จากผู้ช่วยเหวินแล้วกระมัง”
เฉียวลู่พยักหน้ารับ
“เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่จีของเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอเป่ยจิงมีธุระอันใดกับหญิงชาวบ้านธรรมดาเช่นข้า”
ท่าทางที่บอกว่าตนเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาของนางนั้นมาพร้อมกับความมั่นใจเต็มเปี่ยมยิ่ง นั่นมันดูไม่ธรรมดาเลยสำหรับจีคังที่เห็นโลกมากว่าครึ่งชีวิต
“เชิญแม่นางเฉียวนั่งก่อน ความจริงที่ข้าเชิญเจ้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะหารือกับแม่นาง”
สำหรับจีคังนั้นเฉียวลู่เป็นเพียงแม่นางน้อยที่ไม่ประสาแต่ประสบการณ์ที่เขาเผชิญโลกมากว่าครึ่งชีวิตบอกเขาว่าไม่ควรสบประมาทแม่นางน้อยที่พึ่งโตคนนี้ เพราะไม่เช่นนั้นร้านกุ้งย่างหม่าล่าที่มีผู้ใหญ่มาด้วยถึงสามคนเหตุใดถึงได้ส่งแม่นางน้อยมาพบเขาถ้าหากว่านางไม่มีความสามารถจนทำให้พวกเขาเชื่อใจแล้วจะเป็นสิ่งใดได้
เถ้าแก่จีรินชาที่กำลังมีไอลอยวนออกมาจากถ้วยชาชั้นดีจากนั้นจึงดันถ้วยชาและขนมกุ้ยฮวาไปตรงหน้าของเฉียวลู่ นางพยักหน้าขอบคุณจากนั้นจึงยกชาขึ้นจิบพอเป็นพิธี ทุกอิริยาบถของเฉียวลู่ล้วนอยู่ในสายตาของบุรุษวัยกลางคน
“เชิญเถ้าแก่จีว่าธุระของท่านมาเถอะข้ารู้ว่าท่านกำลังหมายตาสูตรกุ้งย่างหม่าล่าของข้าอยู่”
เฉียวลู่นั่งให้เขาสำรวจนางอยู่นานแต่บุรุษวัยกลางคนผู้นี้กลับไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมาเสียที ตอนนี้นางกำลังยุ่งอยู่นะอยากจะคุยเรื่องสูตรกุ้งย่างหม่าล่ากับนางก็พูดมาสิทำไมต้องดึงเวลาให้ยืดเยื้อ ไม่ว่าท่านจะเล่นแง่อย่างไรสุดท้ายท่านก็ต้องทำตามเงื่อนไขของข้าอยู่ดี เถ้าแก่จีกระแอมไอเล็กน้อยไม่นึกว่านางจะเป็นคนที่ตรงไปตรงมาและมีความมั่นใจมากเช่นนี้
“เป็นดั่งที่แม่นางพูดข้าหมายตาสูตรกุ้งย่างหม่าล่าของเจ้าอยู่ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการจะขายให้ข้าในราคาเท่าใดเชิญแม่นางว่ามาได้เลย”
เถ้าแก่จีคิดว่าแม่นางน้อยที่แสนฉลาดและมีความมั่นใจในตนเองผู้นี้จะต้องไม่ยอมขายให้เขาง่ายๆ เป็นแน่ จีคังเตรียมแผมเอาไว้รับมือเฉียวลู่ในใจมากมายแต่สิ่งที่เขาได้ยินนั้น
“หนึ่งร้อยตำลึงสำหรับหนึ่งสูตรเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ตอบทันควัน
“ข้านึกเอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องไม่ยินยอม.....หะ!!!แม่นางเฉียวเจ้าว่าอย่างไรนะ”
เถ้าแก่จีถึงกับใบ้กินเมื่อได้รับคำตอบที่แสนง่ายดายที่ออกมาจากปากของเฉียวลู่
"ข้าบอกว่าข้ายินยอมขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าให้ท่านแต่ว่าข้ามีข้อแม้สักเล็กน้อย"
เถ้าแก่จีกลับมามีสติอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบของเฉียวลู่อย่างชัดเจน เข้านั่งหลังตรงตั้งใจฟังข้อแม้ของเฉียวลู่ทันที โอกาสงามเช่นนี้ต้องรีบคว้าเอาไว้
“เมื่อข้าขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าให้ท่านแล้ว ท่านจะต้องรับซื้อกุ้งกับข้าแค่เจ้าเดียวเท่านั้นห้ามซื้อกุ้งจากคนอื่น”
เฉียวลู่เงียบไปหลังจากที่บอกข้อแม้กับเถ้าแก่จี เขานั่งรอให้เฉียวลู่ว่าต่อแต่นางก็ไม่พูดสิ่งใด
“เท่านี้หรือ”
เฉียวลู่พยักหน้า
“เจ้าค่ะเท่านี้”
เถ้าแก่จีคิดว่าข้อแม้ของเฉียวลู่จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่านี้เสียอีก แค่ให้รับซื้อกุ้งจากนางไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรสำหรับเขาเลย ปกติเรื่องเช่นนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยกับการค้าของเขาเช่นกัน
“เอาล่ะเช่นนั้นเรามาร่างสัญญากันเถอะ”
เถ้าแก่จีเขียนสัญญาสองฉบับที่เหมือนกันออกมายื่นให้เฉียวลู่อ่าน นางรับมาอ่านดูคร่าวๆ มีใจความสำคัญบางข้อคือนางห้ามขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าให้คนอื่น อีกข้อคือนางจะต้องไม่ขายกุ้งย่างหม่าล่าที่อำเภอเป่ยจิงอีก และเฉียวลู่จะต้องนำกุ้งมาส่งที่จีหม่านโหรวทุกวันวันสามร้อยจินในราคาจินละสี่สิบเหวิน เฉียวลู่พยักหน้าจากนั้นนางจึงเขียนชื่อของตนและประทับลายนิ้วมือลงไป
“ท่านให้ข้ายืมกระดาษและพู่กันได้หรือไม่เจ้าคะ”
เถ้าแก่จีรีบนำพู่กันและกระดาษมายื่นให้นางทันที อีกทั้งเขายังฝนหมึกให้นางด้วยตนเอง หลังจากเขียนเสร็จเฉียวลู่เป่ากระดาษให้น้ำหมึกแห้งจากนั้นจึงยื่นให้เถ้าแก่จีดู จีคังเมื่อรับกระดาษที่มีสูตรกุ้งย่างหม่าล่ามาเขาถึงกับตกตะลึง ไม่เพียงแค่ความมั่นใจที่เปี่ยมล้นและความเฉลียวฉลาดของนางเท่านั้น แม้แต่ลายมือของนางก็งดงามอ่อนช้อยไม่ต่างจากใบหน้าของนางเลย เถ้าแก่จีอ่านสูตรหม่าล่าตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น
“แม่นางเฉียวนี่มันหมายความว่าอย่างไร ที่เจ้าเขียนอยู่ในนี้คือวีธีการย่างกุ้งแต่ไม่มีสูตรน้ำจิ้มหม่าล่าอยู่ในนี้เลย เจ้าคิดจะเล่นตลกอันใด”
เถ้าแก่จีเอ่ยเสียงเข้มกับเฉียวลู่เขาคิดว่านางจะตกใจกลัวในท่าทางดุดันของเขาแต่เปล่าเลยเฉียวลูกลับลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เถ้าแก่จีชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าสูตรกุ้งย่างหม่าล่า ข้าไม่ได้บอกว่าจะขายสูตรหม่าล่าให้ท่าน ท่านคิดว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงจะสามารถซื้อสูตรซอสหม่าล่าที่สามารถทำให้ท่านร่ำรวยในอนาคตแบบไม่จบไม่สิ้นเช่นนั้นหรือ ข้าว่าท่านดูแคลนข้าเกินไปกระมัง”
เฉียวลู่เลิกคิ้วถามชายวัยกลางคน เถ้าแก่จีได้แต่อึกอักเพราะสิ่งที่เฉียวลู่พูดมานั้นล้วนเป็นความจริง เขามีทั้งโรงเตี๊ยมและเหลาอาหารมากมายในแคว้นเซียว ถ้าหากว่าได้สูตรน้ำจิ้มของเฉียวลู่มาในราคาแค่เพียงหนึ่งร้อยตำลึงล่ะก็ นับว่าเขาได้กำไรมหาศาลเลยทีเดียว
“แม่นางเฉียวเช่นนั้นสูตรน้ำจิ้มหม่าล่านั่นเจ้าต้องการที่จะขายในราคาเท่าใด เชิญบอกมาได้เลย”
เฉียวลู่ยกนิ้วลูบริมฝีปากตนเองด้วยความเคยชินเวลาที่นางกำลังครุ่นคิด เถ้าแก่จีรอคอยคำตอบจากแม่นางน้อยที่แสนเจ้าเล่ห์ผู้นี้อย่างอดทน
“ข้าไม่คิดจะขายหรอกเจ้าค่ะ.....แต่ว่าท่านสามารถมาซื้อซอสหม่าล่าที่ข้าทำขึ้นได้ตลอดและข้าจะทำสัญญากับท่านอีกด้วยว่าข้าจะไม่ขายซอสนี้ให้ผู้อื่นแต่จะขายให้เพียงจีหม่านโหรวที่เดียว”
นางจะขายสูตรซอสหม่าล่าให้เขาได้อย่างไรในเมื่อนางเองก็ไม่รู้ว่ามันทำอย่างไร ที่ขายอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นของที่สั่งมาจากสมุดบันทึกเล่มนั้นทั้งนั้น ครั้งนี้เป็นฝ่ายที่เถ้าแก่จีที่ต้องครุ่นคิดบ้าง เขากำลังคำนวณว่าตนเองจะได้กำไรขาดทุนมากเท่าไหร่ เฉียวลู่ยกชาขึ้นจิบรอคำตอบจากเถ้าแก่จีอย่างสบายอารมณ์ทั้งยังหยิบขนมกุ้ยฮวาที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาชิม กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาอบอวลไปทั่วทั้งปากเมื่อนางกัดเข้าไปหนึ่งคำ อืมมม น่าจะซื้อให้เจ้าหัวไชเท้าของนางบ้างเด็กๆ คงจะชอบน่าดูเฉียวลู่คิดในใจ
“ได้ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้าแม่นางน้อย เช่นนั้นข้าจะเขียนสัญญาขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับแล้วกัน”
หลังจากที่เถ้าแก่จีเขียนสัญญาฉบับที่สองขึ้นมาเขาก็ยื่นมันให้เฉียวลู่อ่านอีกครั้ง นางพยักหน้าหลังจากที่อ่านจบจากนั้นจึงลงชื่อและประทับลายนิ้วมือลงไป นางไม่กลัวว่าเถ้าแก่จีจะกล้าเล่นตุกติกอะไรกับนางอีกเพราะหลังจากที่เขาได้เห็นไหวพริบและความเจ้าเล่ห์ของเฉียวลู่แล้วเขาคงไม่คิดทำให้นางจับได้แล้วต้องขายหน้าอีกครั้งแน่
หลังจากที่คุยกันเรื่องรับส่งกุ้งอีกเล็กน้อยจนกว่าจะถึงหน้าหนาวและเฉียวลู่ต้องส่งซอสหม่าล่าให้จีหม่านโหรวสัปดาห์ละสี่ไห ไหละสิบตำลึงเป็นราคาที่เฉียวลู่เรียกจากเถ้าแก่จี นางลุกขึ้นยืนจากนั้นจึงยื่นมือให้เถ้าแก่จีจับด้วยความเคยชิน เถ้าแก่จีมองมือของเฉียวลู่อย่างไม่เข้าใจนางรีบเก็บมือกลับมาโดยเร็วและรีบบอกลาเถ้าแก่จีกลบเกลื่อนไป
“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อนพรุ่งนี้ของทุกอย่างจะมาส่งที่หน้าจีหม่านโหรวตอนเช้ามืดนะเจ้าคะ ออมีอีกเรื่องท่านไม่ต้องจ่ายค่าซอสหม่าล่าทุกวันจ่ายเพียงค่ากุ้งสดเท่านั้นส่วนที่เหลือข้าจะมารับด้วยตนเองในตอนสิ้นเดือนนะเจ้าคะ”
เฉียวลู่นั่งลงอีกครั้งเขียนเพิ่มลงไปในสัญญาฉบับที่สองทั้งสองแผ่นจากนั้นนางจึงกล่าวลาเถ้าแก่จีอีกครั้ง เถ้าแก่จีพยักหน้าให้นางเฉียวลู่หันหลังเดินไปที่ประตูนางมองตัวเงินที่อยู่ในมือของตนอย่างแนบเนียน ความจริงนางอยากจะกระโดดโลดเต้นโห่ร้องออกมาดังๆ แต่เกรงว่าผู้คนรอบข้างจะมองว่านางเสียสติน่ะสิ เฉียวลู่เปิดประตูห้องบัญชีและเห็นผู้ช่วยเหวินยังคงยืนอยู่ที่เดิมนางพยักหน้าทักทายเขาอีกครั้งจากนั้นจึงเดินลงบันไดไปด้วยความเบิกบาน
ผู้ช่วยเหวินมองตามหลังของเฉียวลู่ที่เดินห่างออกไปจากนั้นเขาจึงเดินกลับเข้าไปในห้องบัญชีอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับนายท่าน”
เถ้าแก่จียกชาขึ้นจิบเพื่อบรรเทาความกระหาย
“ดูท่าเราจะดูเบาแม่นางน้อยเช่นนางเกินไป นางทั้งฉลาดหลักแหลมและสุขุมมีความมั่นใจในตนเอง ดูเหมือนว่านางจะถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดีหากให้เปรียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงนางยังนับว่าเหนือกว่าหลายขั้น”
ผู้ช่วยเหวินทำหน้าฉงน ถ้าหากไม่ได้ยินจากปากนายท่านของเขาเองเขาคงไม่มีทางเชื่อว่าแม่นางน้อยที่ดูเหมือนอายุจะไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดผู้นี้จะเป็นคนที่นายท่านเอ่ยปากชม ความจริงบุรุษวัยกลางคนทั้งสองนั้นไม่รู้ว่าเฉียวลู่อายุยี่สิบเอ็ดย่างยี่สิบสองแล้วอีกทั้งตอนนี้นางยังมีเจ้าหัวไชเท้าน้อยที่ติดสอยห้อยตามมาถึงสองหัว ถ้าพวกเขารู้ความจริงจะต้องตกใจเป็นอย่างมากแน่
เฉียวลู่กลับมาที่แผงขายกุ้งย่างของนางอีกครั้ง ลูกค้าเริ่มบางตาแล้วถ้าให้เปรียบเทียบเมื่อหลายวันก่อนเวลานี้ลูกค้าจะต้องยังคงต่อแถวแน่นหน้าร้านอยู่เลย คิดถูกจริงๆ ที่นางขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าไป รอเอาไว้ถึงหน้าหนาวค่อยขายสูตรแบบหม่าล่าต้มและน้ำซุปแบบอื่นๆ ก็ได้
เฉียวลู่เด็กสาวต่างจังหวัดที่มีความฝันตั้งแต่เด็กว่าเธออยากจะเป็นนักแสดงชื่อดังแถวหน้าของจีน หลังจากเรียนจบม.ปลายเธอจึงเดินทางไปที่ปักกิ่งเพื่อสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนการแสดง ผ่านไปหลายปีในที่สุดความฝันของเฉียวลู่ก็เป็นความจริง ซีรี่ส์เรื่องแรกของเธอได้ออนแอร์ทางโทรทัศน์ถึงแม้ว่าเฉียวลู่จะเป็นเพียงนักแสดงตัวประกอบแต่เธอก็รู้สึกดีใจเพราะนี่ถือว่าเป็นก้าวแรกของเส้นทางการเป็นนักแสดงของเธอผ่านไปสามปีเฉียวลู่ได้ผ่านการแสดงซีรี่ส์หลายเรื่องแต่เธอก็ยังคงเป็นเพียงนักแสดงตัวประกอบเท่านั้น จนกระทั่งเฉียวลู่ได้รับการติดต่อจากทีมงานของผู้กำกับชื่อดังคนหนึ่งที่คนทั้งวงการนักแสดงต่างรู้กันดีว่า ถ้าหากผู้กำกับคนนี้กำกับซีรี่ส์เรื่องไหนหรือนักแสดงคนไหนที่เขาเจาะจงมาด้วยตัวเองนั่นหมายความว่าจะต้องดังเป็นพลุแตกอย่างแน่นอน เฉียวลู่ดีใจและตื่นเต้นมากในที่สุดเวลาของเธอก็กำลังจะมาถึงซะทีเฉียวลู่เดินทางไปพบกับทีมงานของผู้กำกับชื่อดังด้วยตัวเองเพราะเธอเป็นนักแสดงอิสระไม่มีสังกัดและซีรี่ส์ทุกเรื่องเธอเป็นคนเดินทางไปแคสติ้งด้วยตัวเองทั้งหมดและครั้งนี้ก็เหมือนกัน เฉียวลู่ลงจากรถประจำทางเดินเข้าตึกสูงเสียดฟ้าที
เฉียวลู่อาบน้ำทานข้าวเรียบร้อยแล้วเธอพูดเรื่องที่เธอไปเที่ยววันนี้ให้แม่กับพ่อฟังอย่างออกรสแต่กลับลืมเรื่องของคุณยายและหนังสือเก่าเล่มนั้นไปเลยจนกระทั่งเฉียวลู่กลับเข้าห้องนอนของเธอมา“ลืมหนังสือเล่มนี้ไปเลย”เฉียวลู่หยิบหนังสือเก่าเล่มนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือของเธอมาเปิดดู ข้างในว่างเปล่ามีเพียงตัวอักษรที่เขียนเอาไว้จางๆ ว่าเฉียวลู่“ทำไม่มีชื่อของเราเขียนเอาไว้ในนี้นะ”เฉียวลู่พลิกกระดาษหน้าถัดไปแต่กลับไม่มีอะไรเขียนเอาไว้เลยมีเพียงหน้ากระดาษสีขาวอมเหลืองเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเก่า เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ“ช่างเถอะ ถือซะว่าช่วยอุดหนุนคุณยายแล้วกัน”ถึงแม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างแต่เธอก็เลิกสนใจในหนังสือเก่าเล่มนั้นไป เฉียวลู่วางหนังสือเอาไว้ที่เดิมแล้วปิดไฟเข้านอนทันที คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดทั่วท้องฟ้ามีเพียงแสงดาวที่ทอประกายระยับเกลื่อนกลาดหนังสือเล่มเก่าที่เฉียวลู่วางเอาไว้บนโต๊ะค่อยๆ คลี่เปิดออกทีละหน้าเหมือนมีลมบางเบาพัดผ่านและค่อยๆ เร็วขึ้นแรงขึ้น แสงสว่างถูกสาดกระจายออกมาจากหนังสือเก่าเล่มนั้นและมันค่อยๆ ไหลมารวมกันเป็นจุดเดียวที่หน้าอกของเฉียวลู่และหา
สิ่งที่เฉียวลู่คิดว่าเป็นเรื่องบ้าบอทั้งหมดกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ นักแสดงสาวโสดวัยสามสิบกว่าที่ไม่เคยมีแฟนเลยสักครั้งเพราะตั้งมั่นที่จะทำตามความฝันให้เป็นจริง จนกระทั่งเธอได้เป็นนักแสดงชื่อดังแถวหน้าของจีน แล้วดูตอนนี้สิว่ามันเกิดอะไรขึ้นเธอต้องมากลายเป็นแม่แบบไม่รู้ตัวท่านเทพเซียนกำลังเล่นตลกอะไรกับเธอกันแน่ เธอจะเอาชีวิตรอดจากที่นี่ไปได้ยังไง นี่ไม่ใช่เกมส์เซอร์ไวเวอร์เอาชีวิตรอดจากอดีตนะที่เล่นแพ้แล้วจะสามารถรีเซตใหม่ได้ท่าทางว้าวุ่นของเฉียวลู่ทำให้เด็กชายทั้งสองเป็นห่วงพวกเขาเดินเข้ามาจับมือของเธอเอาไว้คนละข้างแล้วส่งสายตาให้กำลังใจมาที่เธอ เฉียวลู่ที่พึ่งเป็นท่านแม่หมาดๆ ถึงกับใจเหลวเป็นน้ำให้กับท่าทางที่น่ารักของพวกเขา“เอาเถอะเป็นไงเป็นกันฟูมฟายไปก็เท่านั้น เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วมีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป”นั่นเป็นข้อดีของเฉียวลู่คือเธอเป็นคนที่มีสติและเหตุผลต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงแค่ไหนเธอก็สามารถควบคุมตนเองได้ดีทุกครั้ง และอีกหนึ่งข้อดีของเธอคือเมื่อเธอตั้งใจที่จะทำอะไรแล้วเธอจะมุ่งมั่นไม่ยอมหยุดจนกว่าจะทำสำเร็จเพราะแบบนี้เธอจึงได้รับการยอมรับจากผู้กำกับและนักแสดงในวงการอย
พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้วเฉียวลู่และเด็กๆ ก็กลับเข้าไปในกระท่อมน้อยของตนอีกครั้ง เตียงเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ปูด้วยฟูกเก่าๆ พอให้สามคนได้อาศัยนอน อากาศตอนกลางวันแม้จะเย็นสบายแต่เพราะหมู่บ้านอยู่ในหุบเขาทำให้ตอนกลางคืนนั้นหนาวมากเฉียวลู่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกหนาว นางดึงเด็กทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมแขนเพื่อให้ไออุ่นแก่พวกเขา เฉียวลู่สัมผัสได้ถึงร่างเล็กที่เย็นเฉียบในอ้อมแขน นางได้แต่นึกสงสารพวกเขาจับใจถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันนางจะไม่มีวันปล่อยให้เด็กสองคนนี้ต้องลำบากเช่นนี้แน่เฉียวลู่นอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องมากมายที่ตนจะต้องทำในวันพรุ่งนี้ แต่แล้วนางก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างบางอย่างที่วาบขึ้นมาในห้อง เฉียวลู่มองไปที่มุมห้องที่มีกล่องไม้เก่าๆ ไม่ใหญ่มากวางอยู่ ถึงแม้กล่องไม้ใบนั้นจะยังปิดเอาไว้แต่แสงสว่างก็ยังสามารถลอดผ่านออกมาด้านนอกได้เฉียวลู่มองกล่องใบนั้นอย่างระมัดระวัง จะมีอะไรที่น่าระทึกขวัญมากไปกว่าการที่ต้องตื่นมาแล้วมาอยู่ในยุคโบราณอีก เฉียวลู่ตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดกล่องใบนั้นดู เมื่อนางเปิดกล่องไม้เก่าใบนั้นออกด้านในกล่องใบนั้นที่มีแสงสว่างลอดออกมาคือหนังสือเก่าหนึ่งเล่มปกส
เช้าอันแสนสดใสได้มาเยือนอีกครั้งเฉียวลู่ภาวนาเมื่อยามลืมตาตื่นให้เรื่องเมื่อวานที่ตนเองประสบเป็นเพียงความฝัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นดั่งใจที่คิดเฉียวลู่ได้แต่ถอนหายใจให้กับโชคชะตาของตนถึงแม้เมื่อวานเฉียวลู่จะได้รับบาดเจ็บที่ขาแต่วันนี้นางกลับไม่รู้สึกเจ็บที่ขาเลยมันหายดีอย่างไร้ร่องรอยไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็นเฉียวลู่มองท่อนขาเล็กที่เรียบเนียนของตนนี่มันเป็นไปได้ยังไงมันเหมือนกับว่าเมื่อวานนางไม่ได้รับบาดเจ็บเลยร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงกลับมาเป็นเหมือนเช่นยามปกติและดูเหมือนว่านางจะมีกำลังมากยิ่งกว่าเดิมซะอีก น่าแปลกใจยิ่งนักหรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่ได้มาหลังจากที่นางมาอยู่ที่นี่อวี้หลงกับอวี้ชิงยังไม่ตื่นเฉียวลู่ย่องออกจากห้องไปและปิดประตูอย่างเบามือ สิ่งแรกที่เฉียวลู่ทำคือต้องทดลองสั่งของในหนังสือเล่มนั้นดูก่อน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเฉียวลู่ในตอนนี้คืออาหารและที่ขาดไม่ได้เลยคือไฟแช็ก นางไม่มีทางใช้หินจุดไฟได้เหมือนอย่างเช่นคนโบราณแน่นอนเฉียวลู่ฝนหมึกและค่อยๆ ใช้พู่กันบรรจงเขียนตัวอักษรลงไปบนหน้ากระดาษ โชคดีที่การเป็นนักแสดงของนางทำให้ต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆ มากมายเพื่อให้สมกับบทบาทที่ได้รับ นี่
เฉียวลู่พาเด็กๆ เดินแยกออกมาอีกทางที่ไม่มีร่องรอยของชาวบ้านผ่านเข้ามา นางตัดกิ่งไม้และเหลาปลายให้แหลมให้อวี้หลงกับอวี้ชิงถือเอาไว้ และสั่งให้เด็กทั้งสองเดินอยู่ข้างหลังนางห้ามห่างเกินสองก้าวอวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าทำตามแต่โดยดี“เอาล่ะเด็กๆ จากนี้ไปจะเป็นป่าทึบห้ามห่างจากแม่เป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”อวี้หลงและอวี้ชิงพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกัน เฉียวลู่เดินนำหน้าสายตาสอดส่ายมองหาอะไรบางอย่างที่สามารถกินได้และไม่เป็นพิษต่อร่างกายน้อยๆ ของพวกเขาทั้งสาม เดินหาอยู่นานเฉียวลู่เก็บได้เพียงเห็ดหอมกับเห็ดหูหนูมาเล็กน้อยเท่านั้น มีเห็ดเพียงไม่กี่ชนิดที่นางรู้จักและพวกมันล้วนเป็นเห็ดที่นางเคยกินที่ร้านอาหารทั้งนั้น ต้องขอบคุณความช่างสังเกตของนางที่ไม่ก้มหน้าก้มตากินเข้าไปอย่างเดียว และยังมีบางชนิดที่นางจำมาจากหนังสือที่ที่นางเคยอ่านมานิดหน่อย โชคดีที่ความจำของนางยังดีอยู่ไม่อย่างนั้นได้พาเด็กๆ กินเห็ดพิษเข้าไป คงได้เดือดร้อนกันทั้งหมดแน่ผ่านไปนานพวกเขายังเดินวนอยู่ใกล้ๆ ที่เดิมเฉียวลู่ไม่กล้าพาเด็กทั้งสองเดินเข้าไปในป่าที่ลึกเกินไปยังคงเดินวนเวียนอยู่บริเวณตีนเขา เพราะนางกลัวว่าหากเจอกับสัตว์ป่าทั้ง
ในระหว่างที่รอจางหย่งชำแหละเจ้าหมูป่าเฉียวลู่กับหญิงชราและลูกสะใภ้ของนาง ก็นั่งคุยกันและเตรียมน้ำเอาไว้เพื่อทำความสะอาด เฉียวลู่ยังได้เล่าให้สตรีทั้งสองฟังเรื่องที่นางความจำเสื่อมเพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมา หญิงชราถึงกับหลังน้ำตาให้กับเฉียวลู่ด้วยความสงสารในชีวิตที่อาภัพของนางเฉียวลู่ที่เห็นหญิงชราร้องไห้นางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร เด็กเล็กร้องไห้ยังพอหลอกล่อได้ แต่ให้ปลอบใจผู้ใหญ่นางจะพูดอย่างไรดี เฉียวลู่รู้สึกปวดหัวกับความเจ้าน้ำตาของหญิงชรา แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกนางมาต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยแต่ยังคงมีคนห่วงใยนางเช่นเดิมเหมือนกับตอนที่นางอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน“ท่านยายท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ ถึงข้าจะจำสิ่งใดไม่ได้เลยในอดีต แต่ข้าก็สามารถรับรู้ได้ว่ายังมีพวกท่านนั้นคอยเป็นห่วงเราแม่ลูกแค่ไหน ข้าไม่ได้รู้สึกกลัวอันใดเลยอาจจะดีกับข้าเสียด้วยซ้ำที่ต้องลืมเรื่องราวในอดีต”เฉียวลู่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา มันเหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกของนางสั่งให้นางพูดแบบนั้นออกไป“ท่านเล่าเรื่องที่หมู่บ้านนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าข้าจะจำอะไรได้บ้าง”จากนั้นห
บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นตามติดนางเป็นเงา ถึงแม้เฉียวลู่จะบอกเด็กชายทั้งสองให้ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่พวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า ท่าทางที่ดื้อรั้นของเด็กทั้งสองนั้นไม่ต่างจากเฉียวลู่เลย“ลูกสองคนไม่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จริงๆ หรือจ๊ะดูพวกเขาสิท่าทางสนุกเชียว”เฉียวลู่ยังคงพยายามคะยั้นคะยอให้อวี้หลงกับอวี้ชิงออกไปเล่นด้านนนอกกับเด็กคนอื่นๆ เด็กสองคนยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นและเอาแต่ตามติดเฉียวลู่เหมือนกับกลัวว่านางจะหายไป“พี่สาวท่านพอจะแบ่งกระดูกหมูป่าให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”เฉียวลู่และเด็กชายทั้งสองหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง เฉียวลู่จำไม่ได้ว่าเด็กชายที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งคนนี้เป็นใคร“เจ้า...คือ”เฉียวลู่ถามเด็กชายและยิ้มให้เขาอย่างใจดี เด็กชายคนนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่งดงามของเฉียวลู่ถึงกับทำให้เขาอายจนแทบม้วนตัวเองเป็นก้อนกลม“ข้า...ชื่อฉินจื่อเฉินบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของท่านลุงจางข้าไม่มีเงินมาซื้อเนื้อหมูป่าแต่ข้ามีมันเทศท่านจะสามารถแลกกระดูกกับมันเทศของข้าได้หรือไม่”เด็กชายที่อายุราวเจ็ดแปดขวบมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางอึดอัดเขากลัวว่าจ
ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉีย
เช้ามืดของอีกวันเฉียวลู่ตื่นขึ้นมาด้วยตนเองอย่างอัตโนมัติ ความจริงนางอยากสั่งนาฬิกาพกสักเรือเพื่อนเอาไว้ดูเวลาแต่กลัวว่าถ้าถูกคนพบเห็นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะครอบครัวของนางตอนนี้ยังไม่นับว่าจะสามารถมีสิ่งของที่มีค่าได้เลย หากมีคนคิดไม่ซื่ออยากได้ของของนางแล้วใส่ร้ายว่านางลักขโมย ต่อให้มีสิบปากด้วยสภาพของนางตอนนี้ย่อมแก้ตัวแล้วไม่มีใครเชื่อแน่วัวเทียมเกวียนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ววันนี้ออกไปเร็วกว่าเมื่อวานเพราะเฉียวลู่คิดว่าเมื่อพวกนางขายดีต้องมีคนอยากได้ที่ขายของพวกนางแน่ และก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเกวียนจอดที่หน้าทางเข้าอำเภอทุกคนช่วยกันขนของไปที่ที่พวกเขาขายเมื่อวานแต่ปรากฎว่ามีคนที่มาตั้งร้านก่อนหน้าแล้วและดูเหมือนพวกเขาก็ขายของย่างด้วยเช่นกัน“นี่มันอะไรกันเนี่ยที่ตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องเจาะจงเลือกมาตั้งที่ของพวกเราด้วย”หลิวหงบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย ถึงเสียงของนางจะดังจนทำให้ร้านขายปิ้งย่างร้านนั้นได้ยินแต่พวกเขาก็ทำเพียงถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปริปากตอบโต้กลับมา เฉียวลู่ดึงแขนนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปพูดอีกแล้ว ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิงไม่มีพื้นที่ให้เช่าที่กำหนดตายตัวเมื่
หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน"เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ"ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ“เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เจ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเจ้าตัวเจ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเรื่องนี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเจ้าเองก็เป็นหุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเจ้าก็ต้องได้เช่นกัน”แ
กุ้งคำแรกที่เข้าไปในปากทำเอาทุกคนเกือบร้องไห้เพราะความอร่อยและเผ็ดร้อนของน้ำจิ้ม พวกเขาไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารเช่นนี้มาก่อน มันทั้งเผ็ดเข้มข้นและชาไปทั้งปากแต่ก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ เด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้เฉียวลู่ก็ทำน้ำจิ้มหวานเบาๆ ให้พวกเขา แต่ก็อร่อยมากฉินจื่อเฉินทานอาหารไปเงียบๆ แต่เขาก็ซึมซาบรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เฉียวลู่กลัวว่าเขาจะไม่กล้าหยิบกุ้งมากินเพราะเกรงใจ นางใช้มือหยิบมากองในจานของเขาสามสี่ตัว ระหว่างกินนางก็ยังสอนให้ลูกๆ ของนางแกะเปลือกกุ้งไปด้วย“ข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”จางหย่งพูดไปกินไปน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดชา แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ไม่ต่างกันเท่าใดนักทำเอาเฉียวลู่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน“พวกท่านคิดว่านี่จะสามารถทำเงินให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”เฉียวลู่ถามหยั่งเชิงพวกเขาทั้งสามที่ลดระดับความเร็วในการกินให้ช้าลงเพราะเริ่มอิ่ม“อืมข้าเห็นด้วยว่าเจ้ากุ้งนี่จะต้องขายดีอย่างแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่และสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ปากทุกคนแดงเห่อเพราะความเผ็ดร้อนของน้ำจิ้มที่เฉียวลู่ทำ“เช่นนั้นเริ่มขายพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอาหย่งกับท่านน้าหลิวพวกท่านรับหน้าท
วันต่อมาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงลูกสะใภ้ของนางมาหาเฉียวลู่ที่กระท่อมน้อยแต่เช้าเพราะเรื่องที่พวกเขาคุยกันเอาไว้เมื่อวานตอนเย็น“อวี้หลงอวี้ชิงจ๊ะลูกทั้งสองช่วยอะไรแม่บางอย่างได้หรือไม่”เด็กชายพยักหน้าพร้อมกันอย่างกระตือรือร้นแสดงท่าทางอยากช่วยเฉียวลู่อย่างเต็มที่“ไปบ้านสกุลฉินที่แม่พาลูกทั้งสองไปเมื่อวานจำได้หรือไม่ เรียกพี่ชายจื่อเฉินมาที่นี่แม่มีเรื่องคุยกับเขาลูกสองคนทำได้ไหม”เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองด้วยความอ่อนโยน อวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าให้นางอีกครั้งจากนั้นจึงวิ่งหายไปทางหมู่บ้าน เฉียวลู่หันมาสนใจแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสอง“ท่านยายท่านน้าหลิวท่านทานกุ้งไปเมื่อวานนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างท่านคิดว่ามันอร่อยหรือไม่”แม่สามีลูกสะใภ้ที่นั่งข้างกันพยักหน้ารัวๆ จะไม่อร่อยได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขายังเกรงใจกันและกันที่จะกินอาหารที่เฉียวลู่นำมาส่งหลังจากที่กินคำแรกไปแล้วต่างคนต่างแย่งชิงไม่สนความเป็นผู้อาวุโสและผู้น้อยแล้ว เฉียวลู่พยักหน้าและยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างพอใจ“เช่นนั้นพวกท่านคิดว่ามันจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่ เท่าที่ข้าดูเหมือนว่าคนที่นี่ไม่นิยมกินพวกกุ้งเท่าไหร่นะเจ้าคะ มันถึงได้มีเ
ผ่านไปหลายวันเฉียวลู่ยังคงขึ้นเขาทุกวันและตัดต้นไม้ซ่อนเอาไว้เพื่อรอเวลาในการสร้างกระท่อมของนางใหม่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้สึกตื่นเต้นกับมันคือสมุดบันทึกเล่มนั้นของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฉียวลู่ทำงานจนลืมไปว่านางต้องสั่งของทุกวันแต่นางกลับลืมไปเสียสนิท ทำให้วันต่อมาเมื่อเฉียวลู่เปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้งข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือ สามารถสั่งได้สี่ครั้งนั่นหมายความว่าต่อให้เฉียวลู่ไม่ได้สั่งอะไรในสมุดเล่มนั้นมันก็จะสามารถทบมาอีกวันได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้นางไม่เสียสิทธิ์ของตน ถึงจะไม่ได้สั่งของอะไรมาก็ตามช่วงนี้สิ่งที่เฉียวลู่สั่งมาทุกๆ วันคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่อ่อนโยนสำหรับเด็กทุกอย่างที่เฉียวลู่สั่งมาล้วนคำนึงถึงเด็กทั้งสองเป็นอันดับแรก ตอนนี้นางพอจะเข้าใจเจ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วว่ามันต้องการอะไรดูเหมือนเจ้าสมุดเล่มนี้ต้องการให้เฉียวลู่อาศัยอยู่ที่นี่โดยที่พึ่งพาตนเองหมายถึงไม่สามารถสั่งอะไรก็ตามที่ทำให้นางรวยทางลัดโดยที่ไม่ต้องทำงานเหมือนกับว่ามันรู้ทุกอย่างที่เฉียวลู่คิด ตอนแรกที่เฉียวลู่เข้าใจในเจตนารมณ์ของมันทำเอานางหัวเสียไปหลายวัน ให้ของวิ
เฉียวลู่หันไปมองต้นไม่ต้นนั้นที่ล้มนอนอยู่ ในหัวของนางวางแผนบางอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังเฉียวลู่อวี้หลงกับอวี้ชิงหันกลับมามองตากันแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเหมือนกับว่าเพียงพวกเขามองหน้ากันก็สามารถสื่อความนึกคิดถึงกันและกันได้แล้วเฉียวลู่ให้อวี้ชิงจุดไฟให้นางจากนั้นก็ทำอาหารง่ายๆ ที่เฉียวลู่พอจะทำได้กินกัน หลังจากนั้นนางก็อาบน้ำให้เด็กชายทั้งสองและตัวเองแล้วจึงพาเด็กชายนอนกลางวัน ในความคิดของเฉียวลู่คือเป็นเด็กก็ต้องนอนให้มากๆ จะได้โตเร็วๆ ตอนเย็นเฉียวลู่ยังคงทำอาหารแบบง่ายๆ อีกครั้งในหัวของนางตอนนี้คือจะต้องสั่งหนังสือทำอาหารสักเล่ม ไม่อย่างนั้นหากต้องกินอาหารที่นางทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กๆ อาจจะเบื่อเอาได้รุ่งเช้าสิ่งแรกที่เฉียวลู่นึกถึงคือหนังสือเล่มนั้น นางต้องสั่งของที่จำเป็นที่ต้องได้ใช้ในวันนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เฉียวลู่เขียนไฟแช็กลงไปในกระดาษ รอหลังจากหมึกซึมลงไปไฟแช็กเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็โผล่มาแทนที่จากนั้นสิ่งของอย่างที่สองที่เฉียวลู่นึกถึงคือเงิน บางทีนางอาจจะสั่งอะไรที่เป็นสิ่งของมีค่าที่สามารถขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินของที่นี่ได้ และไม่ว่าจะยุคสมัยไหนสิ่งของที่มีค
บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นตามติดนางเป็นเงา ถึงแม้เฉียวลู่จะบอกเด็กชายทั้งสองให้ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่พวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า ท่าทางที่ดื้อรั้นของเด็กทั้งสองนั้นไม่ต่างจากเฉียวลู่เลย“ลูกสองคนไม่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จริงๆ หรือจ๊ะดูพวกเขาสิท่าทางสนุกเชียว”เฉียวลู่ยังคงพยายามคะยั้นคะยอให้อวี้หลงกับอวี้ชิงออกไปเล่นด้านนนอกกับเด็กคนอื่นๆ เด็กสองคนยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นและเอาแต่ตามติดเฉียวลู่เหมือนกับกลัวว่านางจะหายไป“พี่สาวท่านพอจะแบ่งกระดูกหมูป่าให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”เฉียวลู่และเด็กชายทั้งสองหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง เฉียวลู่จำไม่ได้ว่าเด็กชายที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งคนนี้เป็นใคร“เจ้า...คือ”เฉียวลู่ถามเด็กชายและยิ้มให้เขาอย่างใจดี เด็กชายคนนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่งดงามของเฉียวลู่ถึงกับทำให้เขาอายจนแทบม้วนตัวเองเป็นก้อนกลม“ข้า...ชื่อฉินจื่อเฉินบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของท่านลุงจางข้าไม่มีเงินมาซื้อเนื้อหมูป่าแต่ข้ามีมันเทศท่านจะสามารถแลกกระดูกกับมันเทศของข้าได้หรือไม่”เด็กชายที่อายุราวเจ็ดแปดขวบมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางอึดอัดเขากลัวว่าจ
ในระหว่างที่รอจางหย่งชำแหละเจ้าหมูป่าเฉียวลู่กับหญิงชราและลูกสะใภ้ของนาง ก็นั่งคุยกันและเตรียมน้ำเอาไว้เพื่อทำความสะอาด เฉียวลู่ยังได้เล่าให้สตรีทั้งสองฟังเรื่องที่นางความจำเสื่อมเพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมา หญิงชราถึงกับหลังน้ำตาให้กับเฉียวลู่ด้วยความสงสารในชีวิตที่อาภัพของนางเฉียวลู่ที่เห็นหญิงชราร้องไห้นางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร เด็กเล็กร้องไห้ยังพอหลอกล่อได้ แต่ให้ปลอบใจผู้ใหญ่นางจะพูดอย่างไรดี เฉียวลู่รู้สึกปวดหัวกับความเจ้าน้ำตาของหญิงชรา แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกนางมาต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยแต่ยังคงมีคนห่วงใยนางเช่นเดิมเหมือนกับตอนที่นางอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน“ท่านยายท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ ถึงข้าจะจำสิ่งใดไม่ได้เลยในอดีต แต่ข้าก็สามารถรับรู้ได้ว่ายังมีพวกท่านนั้นคอยเป็นห่วงเราแม่ลูกแค่ไหน ข้าไม่ได้รู้สึกกลัวอันใดเลยอาจจะดีกับข้าเสียด้วยซ้ำที่ต้องลืมเรื่องราวในอดีต”เฉียวลู่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา มันเหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกของนางสั่งให้นางพูดแบบนั้นออกไป“ท่านเล่าเรื่องที่หมู่บ้านนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าข้าจะจำอะไรได้บ้าง”จากนั้นห