เช้าวันต่อมาเฉียวลู่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อพาจางหย่งไปส่งกุ้งให้กับจีหม่านโหรว นางจะไปด้วยเพียงครั้งแรกเท่านั้นเพื่อให้พวกเขาจำหน้าจางหย่งได้จะได้รู้ว่าครั้งหน้าเขาคือผู้ที่จะมาส่งกุ้งให้จีหม่านโหรวทุกวัน นอกจากส่งกุ้งแล้วเฉียวลู่ก็มีเรื่องที่ต้องการทำอีกอย่างคือหาคนมาสร้างเรือนให้นางนั่นเอง และอุปกรณ์บางอย่างก็ต้องมาหาซื้อที่อำเภอเป่ยจิงเท่านั้น
เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดลงที่หน้าจีหม่านโหรว เฉียวลู่กระโดดลงมาจากเกวียน นางเดินตรงไปที่ผู้ดูแลที่กำลังตรวจดูผักและเนื้อของชาวบ้านที่นำมาขายให้พวกเขา
“อรุนสวัสดิ์เจ้าค่ะผู้ดูแลเหวิน”
เหวินซงที่กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหารรีบหันตามเสียงทักทายที่แสนหวานของเฉียวลู่ทันที
“อ้อแม่นางเฉียวนั่นเอง เจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย”
เฉียวลู่พยักหน้ารับ
“ดูเหมือนท่านกำลังยุ่งอยู่ ข้ารอได้เจ้าค่ะ”
เหวินซงส่ายหน้าไปมา
ไม่เป็นไรวัตถุดิบของเจ้าสำคัญกว่า มาเถอะข้าจะให้คนชั่งกุ้งของเจ้าก่อน”
เหวินซงเรียกพนักงานของจีหม่านโหรวสองคนให้มาช่วยเขาชั่งกุ้งไม่นานกุ้งสามร้อยสามจินก็ถูกชั่งเรียบร้อย
“สามจินนี้ถือว่าเป็นกำไรที่ข้ามอบให้พวกท่านนะเจ้าคะ”
เฉียวลู่ยิ้มตาหยีให้เหวินซง ถึงแม่ตอนนี้จะยังไม่สว่างดีนักแต่เหวินซงก็มองเห็นเฉียวลู่ได้อย่างชัดเจน เขาไม่นึกเลยว่าอยู่มาสี่สิบกว่าปีจะมานึกเขินอายแม่นางน้อยที่อายุยังไม่พ้นยี่สิบปีคนนี้ เหวินซงยอมรับว่าเฉียวลู่นั้นทั้งงดงามและมีเสน่ห์ที่สตรีทั่วทั้งดินแดนต้องการมี แต่ดูเหมือนว่านางนั้นจะไม่รู้ตัวเอาเสียเลยเพียงแค่นางพยักหน้าบุรุษทุกคนย่อมต้องยอมทำตามความต้องการของนางอย่างแน่นอนนางไม่จำเป็นจะต้องมาทำงานที่หนักหนาเช่นนี้เลย แต่ที่นางเลือกที่จะยืนด้วยตัวเองยอมรับความลำบากนั่นหมายความว่าหาได้ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ของตน เขารู้สึกยอมรับและนับถือนางจากใจจริง
“ผู้ช่วยเหวินน้ำจิ้มหม่าล่าสี่ไหนี้ท่านจะต้องเก็บให้ดี จะให้ดีเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจะดีมากเลยเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่เห็นผู้ช่วยเหวินที่กำลังเหม่อลอยนางจึงเรียกเขาซ้ำอีกครั้ง
“ผู้ช่วยเหวิน”
เหวินซงได้สติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเฉียวลู่ เขารีบยกกำปั้นขึ้นปิดปากกระแอมไอออกมาอย่างเก้อเขิน
“แม่นางเฉียวเจ้าว่าอย่างไรนะ”
เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่ท่านกำลังเหม่อลอยอันใดของท่านอยู่กันแน่ถึงไม่ได้ฟังที่ข้าพูด นางได้แต่เหน็บแนมเขาในใจ
“ท่านต้องเก็บซอสหม่าล่านี้ในอุณหภูมิที่เย็นเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ไม่อยากคุยกับเขาแล้ว หลังจากการที่ส่งกุ้งเสร็จนางก็ขอร้องให้จางหย่งแนะนำคนที่สามารถสร้างบ้านในแบบที่นางต้องการได้ จางหย่งที่เคยทำงานช่างไม้มาก่อนหลังจากที่หมดหน้าเก็บเกี่ยวเขาก็ไปสมัครงานเป็นช่างไม้สร้างบ้านอยู่หลายครั้งจึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงพาเฉียวลู่ไปที่บ้านของนายช่างใหญ่ที่เขาเคยทำงานด้วย
“ที่นี่แหละอาลู่บ้านนายช่างอู๋ ข้าเคยมาสมัครงานที่นี่ข้ารับรองได้ว่านายช่างอู๋จะต้องสร้างเรือนในแบบที่เจ้าต้องการได้อย่างแน่นอน”
เกวียนจอดที่หน้าเรือนขนาดกลางหลังหนึ่งมีรั้วรอบขอบชิดประตูสีแดงบานใหญ่ปิดสนิท จางหย่งเดินไปเคาะประตูสักพักสตรีวัยกลางคนก็เดินมาเปิดประตู
“อ้าวจางหย่ง เจ้ามาพบนายช่างหรือเขาอยู่ด้านในพอดีเข้ามาก่อนสิ”
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นต้อนรับขับสู้จางหย่งเป็นอย่างดีบ่งบอกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อน
“พี่สะใภ้ขอรับที่ข้ามาวันนี้ข้ามีงานมาให้พี่ใหญ่อู๋ท่านรอข้าสักประเดี๋ยว ....อาลู่ลงมาเถอะ”
จางหย่งหันมาตะโกนเรียกเฉียวลู่ที่นั่งอยู่ในเกวียน เฉียวลู่กระโดดลงจากเกวียนอย่างคล่องแคล่ว วันนี้นางสวมชุดสีเขียนใบไผ่ชุดใหม่ขับเน้นให้รูปร่างที่อรชรของนางให้ดูอ้อนแอ้นบอบบางยิ่งกว่าเดิม เฉียวลู่เดินตรงไปที่จางหย่งยืนอยู่
“นี่คือฮูหยินของนายช่างอู๋”
จางหย่งแนะนำง่ายๆ ให้กับนาง
“คารวะอู๋ฮูหยินเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ย่อตัวคารวะนางอย่างงดงาม ฮูหยินอู๋มองเฉียวลู่ด้วยความตะลึง จากนั้นจึงหันไปมองจางหย่งที่เรียกเฉยวลู่อย่างสนิทสนม ด้วยความสงสัยนางจึงดึงจางหย่งมาอีกด้านเพื่อสอบถาม
“นี่จางหย่งเจ้าแต่งงานใหม่แล้วหรือ ได้แม่นางน้อยที่งดงามเพียงนี้เชียว”
เป็นคราวที่จางหย่งต้องตกตะลึงกับคำถามของฮูหยินอู๋บ้าง
"จะใช่ได้อย่างไรขอรับพี่สะใภ้นางเป็นเด็กที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับข้าทั้งยังเป็นคนที่ข้าและฮูหยินอยากจะรับเป็นบุตรบุญธรรม ข้าเคยเล่าให้พวกท่านฟังแล้วไม่ใช่หรือ"
อู๋ฮูหยินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“โธ่!!!ไอ้เราก็นึกว่า....ช่างเถอะๆ เป็นข้าที่สงสัยมากไปไม่ได้แต่งงานใหม่ก็ดีแล้วข้าก็นึกตำหนิเจ้าอยู่ในใจอยู่ว่าไม่สงสารภรรยาที่แสนดีของเจ้าบ้างหรือที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอง”
เฉียวลู่ยังยืนอยู่ที่เดิมนางไม่ได้มองไปที่ฮูหยินอู๋ที่ดึงจางหย่งไปคุยกัน ถึงพวกเขาจะซุบซิบกันอย่างไรเฉียวลู่ก็ยังได้ยินอยู่ดี ถึงคำถามแรกจะทำเอานางถึงกับสำลักน้ำลายไปเลยทีเดียว ฮูหยินอู๋พาคนทั้งสองเข้าไปในเรือนขนาดกลางที่ถูกทำขึ้นอย่างปราณีตสมกับเป็นเรือนของตระกูลช่างไม้ใหญ่ เฉียวลู่สำรวจรอบๆ ด้วยความสนใจ เมื่อพวกเขาเดินมาถึงห้องโถง ชายวัยกลางคนที่รูปร่างสูงใหญ่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ตอนนี้พึ่งจะสว่างได้ไม่นานดูเหมือนว่าพวกเขาพึ่งจะทานอาหารเช้าเสร็จ
“คารวะพี่ใหญ่อู๋”
จางหย่งและเฉียวลู่คารวะชายวัยกลางคนที่เขาเรียกว่าพี่ใหญ่
“อ้าวอาหย่งเจ้ามากันแต่เช้าขนาดนี้เชียวมีธุระอะไรหรือ หรือว่าเจ้าจะกลับมาทำงานกับข้า”
จางหย่งส่ายหน้าปฏิเสธทันที จะมาทำงานกับท่านได้อย่างไรในเมื่องานที่ข้ามีอยู่ก็ล้นมือแล้ว
“เปล่าขอรับที่ข้ามาวันนี้คือข้ามีงานมาให้ท่าน นี่คือเฉียวลู่นางเป็นญาติของข้านางต้องการสร้างเรือนไม่ทราบว่าช่วงนี้พี่ใหญ่อู๋ว่างอยู่หรือไม่”
เฉียวลู่พยักหน้าให้ช่างใหญ่อู๋เล็กน้อย
“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะ ตามที่ท่านอาหย่งบอกท่านข้าอยากให้ท่านสร้างเรือนให้ข้าและข้าก็มีแบบเอาไว้อยู่ในใจอยู่แล้วไม่ทราบว่านายช่างพอจะมีกระดาษพู่กันให้ข้ายืมสักหน่อยได้หรือไม่”
นายช่างอู๋พยักหน้าจากนั้นเขาจึงเดินหายไปทางห้องอีกด้าน ฮูหยินอู๋ยกน้ำชามาต้อนรับพวกเขาอย่างใจดี เมื่อนายช่างอู๋กลับมาเฉียวลูก็วาดแบบบ้านให้เขาทันที
แบบบ้านที่เฉียวลู่วาดออกมาช่างดูแปลกตาสำหรับคนยุคโบราณเช่นเขานัก เฉียวลู่นึกถึงเมื่อยามหน้าหนาวที่แสนจะลำบากของยุคโบราณที่ไม่มีฮีตเตอร์ นางจึงออกแบบเรือนของนางให้เหมือนกับบ้านซุงของทางยุโรปที่ใช่ไม้ทั้งต้นผ่าครึ่งสร้างออกมา คือยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยมีระเบียงด้านหน้ามีห้องโถงขนาดใหญ่ภายในยังทำเตาผิงเอาไว้เผื่อหน้าหนาวและทำห้องนอนห้าห้อง ห้องนอนของนางและลูกน้อยทั้งสองนั้นนางวาดด้านในให้มีเตาผิงเล็กๆ เอาไว้ด้วยด้านข้างเรือนมีห้องครัวหนึ่งห้องห้องน้ำส่วนตัวสามห้องและห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกเรือนหนึ่งห้อง ห้องน้ำที่เฉียวลู่ออกแบบแตกต่างจากห้องน้ำของที่นี่โดยสิ้นเชิงนางทำห้องอาบน้ำกับห้องน้ำแยกกันกั้นเอาไว้ครึ่งหนึ่งทำให้เมื่ออีกคนอาบน้ำจะมองไม่เห็นอีกคนที่กำลังนั่งส้วมอยู่
ห้องส้วมของนางก็ยังให้นายช่างใหญ่อู๋ทำให้คล้ายกับชักโครกของยุคปัจจุบันที่สุด นางไม่ชอบการต้องนั่งยองๆ ทุกวันนี้เฉียวลู่ต้องทำใจทุกครั้งที่นางไปปลดทุกข์ต้องอั้นจนถึงที่สุดนางถึงจะไป จนตอนนี้เฉียวลู่แทบจะกลัวว่าตนเองจะท้องผูกแล้ว ห้องนอนแยกอีกสองห้อง หนึ่งห้องเฉียวลู่คิดจะทำเป็นห้องนอนแขกส่วนอีกห้องเอาไว้เก็บของด้านล้างนางยังทำห้องใต้ดินเอาไว้เก็บอาหารในช่วงหน้าหนาว เฉียวลู่ส่งกระดาษที่นางวาดแบบออกมาอย่างละเอียดส่งให้นายช่างอู๋ดู เขามองแบบที่เฉียวลู่วาดจากนั้นจึงหันไปมองเจ้าของฝีมือที่วาดออกมาได้อย่างละเอียด
“แม่นางเจ้ามีความรู้เรื่องออกแบบเช่นนั้นหรือ”
เฉียวลู่ส่ายหน้า
“ข้าวาดออกมาจากจินตนาการของข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าแค่คำนึงถึงตนเองและบุตรชายทั้งสองเมื่อยามที่ต้องทนหนาวในกระท่อมผุพัง ดังนั้นที่วาดออกมาทั้งหมดนั้นก็แค่คำนึงถึงความสะดวกในยามหน้าหนาวก็เท่านั้น”
นายช่างอู๋พยักหน้าเห็นด้วยกับนางจากนั้นเขาก็ตีราคาบ้านให้เฉียวลู่คือหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงรวมค่าอุปกรณ์การสร้างทั้งหมด เรือนของนางใช้ไม้ทั้งหลัง ดังนั้นเรื่องหลักคือต้องไปตัดไม้ให้พอกับบ้านทั้งหลังของนาง เฉียวลู่นึกอยากล้อมรั้วขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของนางและลูกน้อยทั้งสองแต่ว่าที่ดินของนางมีขนาดเท่าไหร่นั้นนางยังไม่รู้เลย เอาเถอะกลับไปค่อยไปถามท่านยายแล้วกัน
เมื่อคุยตกลงทำสัญญาเรียบร้อยแล้วเฉียวลู่จ่ายเงินหกสิบตำลึงเป็นค่ามัดจำจากนั้นนางจึงขอตัวลา เมื่อเกวียนวัวย้อนกลับมาที่อำเภอเป่ยจิงเฉียวลู่ให้จางหย่งพานางไปที่จีหม่านโหรวอีกครั้ง นางขอเข้าพบเถ้าแก่จีและเสนอขายสูตรอาหารแก่เขาสองสามสูตรที่ทำจากกุ้ง ที่นางทำเช่นนี้เพราะนางกลัวว่าเงินที่นางเก็บเอาไว้จะไม่พอสำหรับค่าสร้างบ้านของนาง รั้วก็ต้องทำบ่อน้ำก็ต้องขุดนางต้องหาเงินไว้มากๆ เผื่อเอาไว้ยามหน้าหนาวที่กำลังใกล้เข้ามาด้วย
เฉียวลู่เขียนสูตรอาหารที่ปรุงจากกุ้งให้เถ้าแก่จีคือ หม่าล่าต้ม ผัดโป๊ยเซียนที่นางทำให้เด็กๆ กินวันแรกและข้าวอบจักรพรรดิ โชคดีที่นางอ่านมาก่อน จากนั้นนางก็ตามผู้ช่วยเหวินไปที่ครัวด้านล่างทำอาหารสองสามอย่างที่ทำจากกุ้งให้เถ้าแก่จีชิม แต่ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเหวินไม่ได้ยกอาหารไปที่ห้องของเถ้าแก่จีที่ชั้นสอง แต่ผู้ช่วยเหวินยกถาดอาหารไปที่ห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสามแทน เฉียวลู่ไม่ค่อยเข้าใจนักแต่นางก็ไม่สนใจว่าเขาจะยกไปให้ใครชิมเพราะนางได้รับค่าสูตรอาหารมาแล้วผู้ช่วยเหวินเข้าไปในห้องนั้นสักพักจากนั้นจึงออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับถาดที่มีผ้าไหมสีแดงคลุมอยู่ เฉียวลู่ที่ยืนรออยู่ก็ใช้สายตาถามผู้ช่วยเหวินว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ช่วยเหวินยิ้มให้เฉียวลู่อย่างใจดีจากนั้นจึงเปิดผ้าที่คลุมถาดออก ตั๋วเงินสองร้อยตำลึงวางอยู่บนนั้นพร้อมทั้งก้อนเงินอีกหลายสิบก้อน“นี่เป็นรางวัลที่มอบให้กับเจ้าผู้ที่ทำอาหารได้ถูกปากนายท่าน แม่นางเฉียวเจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ท่านผู้นั้นมาพักอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีพ่อครัวคนไหนทำอาหารที่นายท่านเอ่ยชมสักครั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านั้นเป็นคนแรก”เฉียวลู่อึ้งไปสักพักนางไม่
สองเดือนผ่านไปอากาศที่หมู่บ้านมู่โฉวเริ่มหนาวแล้วเพราะอยู่ท่ามกลางหุบเขาจึงทำให้มวลอากาศเย็นถูกพัดมาจากในป่าทำให้ที่นี่หนาวเย็นมากกว่าในอำเภอ เรือนของเฉียวลู่สร้างเสร็จก่อนกำหนดถึงสิบวันนั่นเพราะหลังจากที่คนงานกลับไปหมดแล้วเฉียวลู่ก็แอบมาแบกต้นไม่ที่นางตัดซ่อนเอาไว้มากองรวมกับต้นไม้ที่คนงานของนายช่างอู๋ตัดเอาไว้ทำให้พวกเขาย่นระยะเวลาที่ต้องเดินขึ้นลงเขาไปกว่าสิบวันเฉียวลู่ย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนไม้ซุงที่ดูแปลกตาของนางแล้ว ชาวบ้านต่างก็อยากมาชื่นชมบ้านใหม่ที่ไม่เหมือนใครของนาง เวลาที่เหลืออีกสิบวันเฉียวลู่จ้างให้นายช่างขุดบ่อน้ำและทำรั้วรอบที่ดินยี่สิบหมู่ของนางความสูงขนาดสามเมตร นางให้เหตุผลว่าที่นางทำรั้วสูงเช่นนี้เพราะนางเป็นสตรีที่อาศัยอยู่กับลูกลำพังดังนั้นจึงต้องระวังเรื่องความปลอดภัยเอาไว้ก่อนวันนี้เป็นวันจัดงานขึ้นบ้านใหม่ของเฉียวลู่ นางให้แม่เฒ่าหลี่เชิญคนทั้งหมู่บ้านมาร่วมยินดี และฝากให้จางหย่งเชิญนายช่างอู๋และฮูหยินมาร่วมงานด้วย ส่วนตัวนางนั้นเป็นผู้เชิญเถ้าแก่จีและผู้ช่วยเหวินด้วยตัวเองเสียงแสดงความยินดีของชาวบ้านทำให้เฉียวลู่ยิ้มหน้าบาน อาหารทั้งหมดถูกสั่งมาจากจีหม่านโหรว
นายช่างอู๋เมื่อเห็นแบบทั้งหมดที่เฉียวลู่วาดเขาก็ยิ่งตกใจมากกว่าครั้งแรกที่เห็นแบบบ้านที่นางวาดให้เขา ตอนนี้นายช่างอู๋ไม่คิดลังเลแล้วและได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าเขาจะพูดเรื่องนี้กับเฉียวลู่ ครั้งแรกเขายังลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะกลัวว่านางจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้เขาไม่มีความลังเลในจิตใจเลยสักนิดเดียว“แม่นางเฉียวเจ้าคิดที่จะร่วมมือทำการค้ากับข้าหรือไม่ แบบทั้งหมดที่เจ้าให้ข้ามาข้าจะทำให้เจ้าแบบไม่คิดเงินสักตำลึง”เฉียวลู่คำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่านายช่างอู๋จะต้องคุยเรื่องนี้กับนาง แต่เฉียวลู่ที่ยังไม่ทันได้รับปากก็ถูกนายช่างอู๋ชิงพูดขึ้นมาก่อน“ข้าจะให้เจ้าสิบส่วนในผลงานที่ข้าทำออกมาต่อหนึ่งชิ้น และข้าอยากจะขออนุญาตเจ้าให้ข้านำแบบบ้านของเจ้าไปสร้างได้หรือไม่เจ้าสามารถเรียกร้องมาได้เลยว่าเจ้าต้องการกี่ส่วน หรือเจ้าคิดว่าสิบส่วนนั้นน้อยเกินไป”เฉียวลู่เห็นนายช่างอู๋ที่ร้อนรนเช่นนั้นนางก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน ตลอดสองเดือนที่นายช่างอู๋และลูกน้องของเขามาสร้างเรือให้นางเฉียวลู่เห็นแล้วว่านายช่างคนนี้เป็นคนใจกว้างกับผู้อื่นและซื่อสัตย์เหมาะแก่การทำธุรกิจด้วยยิ่งนัก“หยุดก่อนนายช่างอู๋ข้าไม่ได้จะ
เต้าหู้ขายหมดแล้ว เฉียวลู่ให้ทุกคนเก็บของรอนางไปก่อนนางตรงไปที่จีหม่านโหรวทันที เมื่อไปถึงผู้ช่วยเหวินนั่งรอนางอยู่ที่ด้านในโรงเตี๊ยมก่อนแล้ว“สวัสดีผู้ช่วยเหวินอาหารที่ข้าส่งมาไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง”เฉียวลู่ยิ้มตาหยีให้เขา นางคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบเช่นไร“แม่นางเฉียวอาหารที่เจ้าส่งมานั้นเรียกว่าอะไรหรือ มันทั้งนุ่มจนแทบละลายในปากทั้งอร่อยเข้มข้นเจ้าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไรเจ้าช่วยบอกข้าที”เฉียวลู่ยังไม่ได้ตอบผู้ช่วยเหวินนางมองไปรอบๆ เหมือนกำลังมองหาบางอย่าง“เถ้าแก่จีไม่อยู่หรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าจะส่งเต้าหู้มาให้เขาชิมเสียหน่อย”ผู้ช่วยเหวินส่งยิ้มแห้งๆ ให้นางความจริงเถ้าแก่ไม่อยู่ที่อำเภอเป่ยจิงสักพักแล้วเพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ลิ้มรสอาหารรสเลิศเช่นนี้อย่างไรเล่า“ไม่อยู่ขอรับ แต่ว่าอีกไม่กี่วันท่านก็คงจะกลับมาถึงตอนนั้นแม่นางเอาเต้าหู้มาให้นายท่านชิมอีกครั้งได้หรือไม่”เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง ช่างเถอะเอาไว้คราวหน้าก็ได้ เงินอยู่ตรงหน้านี้แล้วถึงอย่างไรมันก็คงไม่มีทางหนีไปไหนได้หรอก“เช่นนั้นเอาไว้ครั้งหน้าข้ามาใหม่ อาหารที่ส่งมาท่านชอบก็ดีแล้วอย่าลืมบอก
ตั้งแต่ที่เต้าหู้ได้วางขาย ทุกวันจางหย่งและหลิวหงจะเป็นผู้นำเต้าหู้ไปขายวันละสองร้อยจินนั่นสุดความสามารถที่พวกเขาสามารถทำได้แล้ว ถึงแม้ว่าเถ้าแก่จีจะกลับมาแล้วแต่นางก็ส่งให้จีหม่านโหรวได้แค่หนึ่งร้อยจินต่อวันเท่านั้นเฉียวลู่แม่เฒ่าหลี่ฉินอี้เหยาและฉินจื่อเฉินทำเต้าหู้รออยู่ที่หมู่บ้านมู่โฉว ก่อนจางหย่งกลับมาเขาก็ต้องออกไปหาซื้อถั่วเหลืองที่หมู่บ้านที่ห่างออกไป เพราะหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ นั้นจางหย่งไปรับซื้อมาหมดจนแล้ว“ดูเหมือนถั่วเหลืองที่เรามีจะสามารถทำเต้าหู้ได้อีกไม่ถึงห้าวันแล้วนะเจ้าคะ หากให้ท่านอาหย่งไปไกลมากกว่านี้ข้าเกรงว่ามันจะไม่คุ้มยิ่งช่วงนี้หิมะเริ่มตกหนักขึ้นทุกวันอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ อีกอย่างสงสารเจ้าแก่ด้วยมันต้องออกเดินทั้งที่อากาศหนาวเช่นนี้ข้ากลัวว่ามันจะทนไม่ไหว”แม่เฒ่าหลี่เองก็คิดเรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้วแต่นางยังมีโอกาสได้คุยกับเฉียวลู่ในเรื่องนี้“จริงดั่งที่อาลู่พูดเงินทองสามารถหาได้ตลอดถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เอาอย่างนี้เถอะเราก็ขายเต้าหู้แค่หมดถั่วเหลืองชุดนี้ รอให้อากาศดีกว่านี้ค่อยมาคิดหาทางกันใหม่พวกเจ้าว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่หันไปถามลูกชายลูกสะใภ้ของตนที่ท
เฉียวลู่ใช้อ่างไม้สำหรับล้างหน้าใส่น้ำและน้ำปุ๋ยหมักที่นางสั่งเอาไว้ตามอัตราส่วนที่อ่านพบในหนังสือ จากนั้นนำตะกร้าไม้ไผ่นึ่งที่มีลักษณะคล้ายฝาชีครอบอาหารที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสามสิบเซนติเมตรวางลงไป นำใยนุ่นชุบน้ำวางลงไปก่อนแล้วโรยด้วยเมล็ดผักบุ้งที่เริ่มแตกหน่อด้านบนนางเอาขี้เลื่อยที่เหลือจากการสร้างเรือนของนางมาโรยทับจากนั้นจึงใช้อ่างล้างหน้าอีกใบปิดด้านบนเอาไว้ส่วนถั่วเขียวที่แตกหน่อแล้วนางโรยมันลงไปในตะกร้าไม้ไผ่นึ่งด้านล่างไม่ได้ใส่น้ำด้านบนปิดทับด้วยฝ้าฝ้ายชุบน้ำและปิดทับด้วยอ่างล้างหน้าอีกครั้ง“เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะ เราแค่ต้องคอยรดน้ำมันทุกวันวันละสองถึงสามครั้ง อุณหภูมิห้องต้องไม่เย็นจนเกินไปดังนั้นห้องนี้จึงเหมาะสมที่สุด”อ่างล้างหน้าหลายใบถูกวางเรียงเอาไว้ที่มุมห้องโถงอย่างเป็นระเบียบ วันต่อมาเมื่อจางหย่งไปส่งเต้าหู้ที่จีหม่านโหรวเขาก็ได้รับข่าวดีว่าที่โกดังเก็บของของเถ้าแก่จีมีถั่วเหลืองอยู่สี่พันชั่ง นั่นมันเยอะมากจนสามารถทำเต้าหู้ขายได้ไปจนถึงปีใหม่เลยนะเถ้าแก่จีให้คนของเขานำถั่วเหลืองมาส่งที่หมู่บ้านมู่โฉวในวันต่อมา ทำให้ไม่ต้องหยุดส่งเต้าหู้ให้จีหม่านโหรว ส่ว
ผ่านไปสามวันต้นกล้าของผักบุ้งและถั่วเขียวก็โตขึ้นอย่างงอกงาม ถั่วเขียวที่งอกออกมานางบอกว่าชื่อของมันคือถั่วงอก ทุกคนต่างก็รอคอยที่จะลิ้มรสเจ้าถั่วเขียวงอกพวกนี้“ถึงจะแค่สามวันแต่มันก็สามารถกินได้แล้ว วันนี้ข้าจะทำอาหารที่แสนโอชะให้ทุกคนได้ทานกัน”เจ้าหัวไชเท้าน้อยของนางที่ตอนนี้กำลังพูดเจื้อยแจ้วต่างจากเมื่อก่อนกำลังกระโดดโลดเต้นดีใจที่ท่านแม่จะทำของอร่อยให้พวกเขาทาน“ท่านแม่ทำอาหารให้หลงเอ๋อทาน”แฝดคนพี่อวดแฝดคนน้อง“ท่านแม่ทำให้ชิงเอ๋อทานต่างหาก” .จากนั้นไม่นานเสียงเล็กๆ สองเสียงก็เถียงกันไปเถียงกันมาภายในห้องโถง คนที่ทำการหย่าศึกของสองพี่น้องคือฉินจื่อเฉินที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงไปเรียบร้อยแล้ว อวี้หลงกับอวี้ชิงกำลังจะเข้าสี่ขวบหลังปีใหม่ส่วนฉินจื่อเฉินก็เก้าขวบในปีหน้า ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาแล้วหลังจากปีใหม่ ถึงเขาจะเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่นแต่เพราะเขาเป็นเด็กฉลาดบวกกับฉินอี้เหยาสอนหนังสือให้ตั้งแต่ยังเล็กเพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ด้อยไปกว่าเด็กที่เข้าเรียนก่อนอย่างแน่นอนเฉียวลู่มองห้องโถงที่มีเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าหัวไชเท้าน้อยของนางแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโ
ใกล้ถึงปีใหม่แล้วแต่ฉินอี้เหยากลับมีท่าทางเหม่อลอยและมีใบหน้าที่เศร้าสร้อยอยู่ตลอดนั้นทำให้เฉียวลู่ที่อยู่กับนางทุกวันมองออกได้อย่างรวดเร็ว เฉียวลู่ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับพี่หญิงผู้นี้แต่นางก็ไม่ปรารถนาให้คนที่นางรักต้องทุกข์ใจ ดังนั้นเฉียวลู่จึงบอกกับทุกคนว่าตั้งแต่วันที่ยี่สิบก่อนถึงวันปีใหม่พวกเขาจะหยุดส่งเต้าหู้ให้จีหม่านโหรว แต่ก่อนหน้านั้นนางที่มีกำลังอันแข็งแกร่งกว่าใครก็ทำหน้าที่บดถั่วเหลืองแทบจะไม่ได้พักเพื่อทำเต้าหู้ให้ได้มากกว่าเดิม เพื่อวันปีใหม่จะได้ไม่ส่งกระทบต่อจีหม่านโหรวเฉียวลู่พาทุกคนไปเที่ยวในอำเภอเป่ยจิงและเพื่อซื้อของสำหรับฉลองปีใหม่ ในอำเภอทั้งบ้านเรือนและร้านค้าต่างเริ่มทยอยติดโคมไฟสีแดงและกระดาษกลอนอวยพรปีใหม่ ร้านค้าบางร้านต่างก็ปิดร้านเพื่อหยุดฉลองในวันปีใหม่แล้ว จึงมีร้านให้เลือกไม่มากนัก“แย่จังถ้ารู้ว่าพวกเขารีบปิดร้านเร็วอย่างนี้เราน่าจะมาให้เร็วกว่าเดิม”เฉียวลู่พึมพำด้วยความเสียดาย“ไม่เป็นไรน่าที่เราซื้อเผื่อเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็น่าจะพอนะ ซื้อตอนนี้ก็ราคาแพงเปล่าๆ ไปเถอะเลือกของที่ต้องการแล้วเราจะได้ไปดูที่อื่นด้วย พวกเขาช่วยกันเลือกกระดาษกลอนที่มีคำอ
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี
หลังอาบน้ำเสร็จสองสามีภรรยานอนกอดกันอยู่บนเตียง ฉีหมิงเยี่ยนลูบหลังนางเบาๆ พร้อมทั้งเอ่ยบางอย่างจนทำให้เฉียวลู่ที่กำลังเคลิ้มใกล้หลับต้องตื่นเต็มตา“ข้าให้คนไปสืบเรื่องของซูหลีมาแล้ว บุรุษที่นางติดพันในช่วงนี้คือคุณชายตระกูลกั๋ว คนผู้นี้พึ่งมีตัวตนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ได้ยินมาว่าใต้เท้ากั๋วมีบุตรชายที่หายสาบสูญไปพึ่งจะหาพบ อาลู่เขายังเป็นคนที่เสิ่นฮองเฮามีความสัมพันธ์ด้วย ข้าเกรงว่าแม้แต่องค์ชายใหญ่ก็คงจะไม่ใช่พระโอรสของฮ่องเต้ เจ้าควรจะเตือนเรื่องนี้แก่นาง”เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เตือนนางหรือ อย่าว่าแต่เตือนนางเลยแม้แต่ใบหน้าของนางข้ายังไม่ได้พบแล้วจะพูดเรื่องนี้กับนางได้อย่างไร เฉียวลู่คิดอย่างปวดหัวสามวันต่อมา งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ฉีเหวินจิ้ง เฉียวลู่เข้าร่วมในฐานะพระชายาของชินอ๋อง เหล่าขุนนางและราชทูตที่มาร่วมอวยพรต่างให้ความสนใจทั้งสองคน พระชายาชินอ๋องผู้นี้ไม่ค่อยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเท่าใดนักงานนี้ถือว่าเป็นงานแรกอย่างเป็นทางการสำหรับนางก็ว่าได้ อีกอย่างที่พวกเขาให้ความสนใจในตัวนางก็เพราะฉีหมิงเยี่ยน ก่อนหน้านี้ระดมทหารหลายพันนายออกกวาดล้างโจรสลัดเพื่อแก
องค์หญิงเซียวหมิ่นหลังจากที่กลับมาที่พักรับรองของราชทูตแคว้นเซียวนางก็ขังตนเองเอาไว้ภายในห้อง เจ็ดวันแล้วที่นางไม่ยอมออกไปไหน ทั้งๆ ที่ผ่านมานางดีอกดีใจที่ตนเองได้พบกับเฉียวลู่อีกครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนนางจะมีเรื่องยุ่งยากบางอย่างภายในใจ นางกำนัลคนสนิทของนางไม่เคยเห็นองค์หญิงของตนเป็นเช่นนี้มาก่อนนางจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก“องค์หญิง หลายวันนี้อุดอู้อยู่แต่ในห้อง พระองค์ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นถอนหายใจออกมาเบาๆ ท่าทางเศร้าสร้อยนั้นทำให้นางกำนัลรู้สึกเป็นห่วง องค์หญิงเซียวหมิ่นรู้ว่านางกำนัลเป็นห่วงตนจึงยอมทำตามที่พวกนางขอร้อง“ก็ได้ ไปเถอะ”องค์หญิงเซียวหมิ่นเดินนำหน้านางกำนัลออกจากเรือนรับรองไป นางเดินเล่นในอุทยานที่มีดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้มากมาย กลิ่นหอมของมันทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย เหล่าผีเสื้อสีสันสดใสบินรอบๆ ตัวนาง องค์หญิงเซียวหมิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ“ที่นี่ถูกดูแลเป็นอย่างดีเชียวเจ้าดูดอกไม้พวกนั้นสิ แม้แต่ที่แคว้นเซียวก็ยังไม่งดงามเท่านี้เลย”นางชี้ชวนให้นางกำนัลผู้ติดตามดูดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล เพราะเอาแต่มองดอกไม้พวกนั้นทำให้น
“ผู้ร้องทุกข์เป็นผู้ใด”ผู้พิพากษาเอ่ยถาม เสิ่นชิงหยุนที่ปกติทำตัวเย่อหยิ่ง แต่ครั้งนี้กลับคุกเข่าลงอย่างหาได้ยาก นางร้องไห้น้ำตานองหน้า แสร้งทำท่าอ่อนแอให้ผู้คนสงสาร“ข้าคือเสิ่นชิงหยุน บุตรสาวคนเล็กของราชครูเสิ่น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อต้องการร้องเรียนเอาผิด พระชายาของชินอ๋องเพราะนางทำร้ายร่างกายของข้าอย่างไร้เหตุผล”ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องต่างมองมาที่เฉียวลู่เป็นตาเดียว ใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูเสิ่นนั้นหลงรักปักใจในชินอ๋องมานานถึงขั้นไม่ยอมแต่งงานออกเรือน อาจเป็นเพราะพระชายาได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงลงมือทำร้ายคุณหนูเสิ่นใช่หรือไม่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเมืองดังเซ็งแซ่ แต่เฉียวลู่ไม่สะดุ้งสะเทือนนางไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางรอดูว่าเสิ่นชิงหยุนจะเล่นลูกไม้อันใดอีก หากมีเพียงเท่านี้นั่นก็ทำให้นางรู้สึกผิดหวังยิ่งนักที่นางเล่นใหญ่แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยองค์หญิงเซียวหมิ่นทำท่าจะลุกขึ้นตีนางอีกครั้ง นางโตจนป่านนี้แล้วไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าด้านเท่าสตรีผู้นี้มาก่อน เฉียวลู่ดึงนางให้นั่งลง นางส่ายหน้าให้องค์หญิงเซียวหมิ่นสงบใจ องค์หญิงเซียวหมิ่นได้แต่ทำท่าฮึดฮัดอย่างขัดใจ หากเป็นที่แคว้นเซียวสตรีอย่างเส