ผ่านไปหลายวันเฉียวลู่ยังคงขึ้นเขาทุกวันและตัดต้นไม้ซ่อนเอาไว้เพื่อรอเวลาในการสร้างกระท่อมของนางใหม่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้สึกตื่นเต้นกับมันคือสมุดบันทึกเล่มนั้นของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฉียวลู่ทำงานจนลืมไปว่านางต้องสั่งของทุกวันแต่นางกลับลืมไปเสียสนิท ทำให้วันต่อมาเมื่อเฉียวลู่เปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้งข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือ สามารถสั่งได้สี่ครั้งนั่นหมายความว่าต่อให้เฉียวลู่ไม่ได้สั่งอะไรในสมุดเล่มนั้นมันก็จะสามารถทบมาอีกวันได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้นางไม่เสียสิทธิ์ของตน ถึงจะไม่ได้สั่งของอะไรมาก็ตาม
ช่วงนี้สิ่งที่เฉียวลู่สั่งมาทุกๆ วันคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่อ่อนโยนสำหรับเด็กทุกอย่างที่เฉียวลู่สั่งมาล้วนคำนึงถึงเด็กทั้งสองเป็นอันดับแรก ตอนนี้นางพอจะเข้าใจเจ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วว่ามันต้องการอะไร
ดูเหมือนเจ้าสมุดเล่มนี้ต้องการให้เฉียวลู่อาศัยอยู่ที่นี่โดยที่พึ่งพาตนเองหมายถึงไม่สามารถสั่งอะไรก็ตามที่ทำให้นางรวยทางลัดโดยที่ไม่ต้องทำงานเหมือนกับว่ามันรู้ทุกอย่างที่เฉียวลู่คิด ตอนแรกที่เฉียวลู่เข้าใจในเจตนารมณ์ของมันทำเอานางหัวเสียไปหลายวัน ให้ของวิเศษมาแต่กลับมาจำกัดการใช้งานเช่นนี้มันน่าเผาทิ้งนัก ช่วงนี้เฉียวลู่เลยไม่ได้สั่งอะไรเก็บเอาไว้สั่งของในยามฉุกเฉินแทน
ถึงของที่ใช้เนื้อหมูป่าแลกมาจะยังเหลืออยู่ไม่น้อยแต่เฉียวลู่ก็อยากทำอย่างอื่นให้ลูกชายทั้งสองของนางทานดูบ้าง วันนี้นางไม่ขึ้นเขาไปตัดต้นไม้แล้ว เพราะเฉียวลู่คิดว่าที่นางสะสมเอาไว้น่าจะพอทำบ้านหลังเล็กหนึ่งหลัง
หลายวันมานี้ถึงเฉียวลู่จะขึ้นเขาไปตัดไม้ทุกวัน แต่ช่วงบ่ายนางก็กลับลงมาเเละได้เดินสำรวจพื้นที่ในหมู่บ้านด้วย หมู่บ้านนี้อยู่กลางหุบเขามีภูเขาล้อมรอบหนึ่งด้านมีแม่น้ำไหลผ่านและยังมีบ่บัวขนาดใหญ่มีถนนตัดเข้าหมู่บ้านทางเดียว ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพทำนา หลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้วพวกเขาส่วนใหญ่ก็ว่างงาน มีบางครอบครัวที่ขึ้นเขาล่าสัตว์ส่วนสตรีก็เก็บของป่าแต่ไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาเพราะที่นี่บางครั้งก็มีสัตว์ร้ายออกมาเพ่นพ่านเหมือนที่เฉียวลู่เจอเจ้าหมูป่ายักษ์ในวันนั้น
วันก่อนนางเดินไปเจอสระบัวที่ยังมีน้ำอยู่ไม่มาก เฉียวลู่สังเกตเห็นว่าในน้ำมีกุ้งตัวโตอยู่ด้วย นางไม่ได้บอกใครแต่เลียบๆ เคียงๆ ถามแม่เฒ่าหลี่ได้ความว่า กุ้งไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าใดนักเพราะมันเนื้อน้อยและทานยาก เมื่อได้ยินดังนั้นทำเอาเฉียวลู่ยิ้มปริ่ม นางนึกถึงหม่าล่าหม้อไฟกุ้งขึ้นมาทันที แล้วถ้าหากจับไปขายล่ะสระบัวกว้างขนาดนั้นจะมีกุ้งมากมายขนาดไหน เฉียวลู่วาดฝันไปต่างๆ นานาเพียงคนเดียว
“เด็กๆ วันนี้แม่มีเมนูอาหารที่อร่อยมากถึงมากที่สุดมาเสนอ”
อวี้หลงกับอวี้ชิงที่ตอนนี้ถูกเฉียวลู่ขุนทุกวันจนทำให้มีเนื้อหนังขึ้นมาบ้างอีกทั้งนางยังใช้ครีมอาบน้ำ และทาครีมให้เด็กทั้งสองทุกวันพวกนางสามแม่ลูกตอนนี้ขาวจนแทบเรืองแสงได้แล้ว แต่เฉียวลูไม่ได้สนใจในข้อนั้นสำหรับนางเรื่องปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ และเรื่องของอร่อยนั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า
เฉียวลู่พาเด็กๆ ถือถังไม้เดินตรงไปที่สระบัวขนาดใหญ่ที่กว้างขวางจนสุดสายตา ได้ยินจากแม่เฒ่าหลี่มาว่าหน้าแล้งจะมีชาวบ้านมาขุดรากบัวไปทำอาหารบ้างแต่ตอนนี้น้ำยังมีอยู่พวกเขาจึงยังไม่ได้สนใจมาดู นี่เป็นโอกาสอันดีของเฉียวลู่แล้ว
เพราะไม่มีคนสนใจกินกุ้งในสระบัวจึงทำให้มันตัวใหญ่มากเฉียวลู่เลือกจับตัวที่ใหญ่ๆ มาหลายสิบตัวจากนั้นจึงพาเด็กทั้งสองกลับกระท่อมของตน ระหว่างทางนางได้เจอกับฉินจื่อเฉินที่กำลังแบกถึงไม้ที่มีน้ำในนั้นเพียงครึ่งเดียวเพราะมันหกจนเกือบหมดระหว่างทาง
เฉียวลู่มองฉินจื่อเฉินผ่านไปด้วยความสงสารอายุแค่นี้กลับต้องมาทำงานหนัก ไม่จะยุคนี้หรือยุคไหนการใช้แรงงานเด็กเล็กก็ไม่ควรมี แล้วตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านแม่ของเด็กคนนั้นจะยังไม่หายป่วยเพราะแบบนี้เรื่องทั้งหมดในบ้านจึงเป็นเขาที่ต้องรับผิดชอบแทน
เฉียวลู่กลับไปที่กระท่อมของน้อยนางโดยที่ไม่ได้พูดอะไร นางเป็นคนที่มองคนค่อนข้างจะเก่ง ฉินจื่อเฉินถึงแม้จะยังเล็กแต่เขาเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่ได้ดี และดูเหมือนว่าศักดิ์ศรีของเขาก็มีมากด้วยเช่นกัน วันนั้นถ้าหากไม่ถึงที่สุดเขาก็คงไม่ยอมมาขอความช่วยเหลือจากนางเป็นแน่ นางได้แต่ถอนหายใจให้กับโชคชะตาของเด็กคนนั้นรวมทั้งของตัวนางเองด้วย
เฉียวลู่สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวไปทั้งหมดจากนั้นหันกลับมาให้ความสนใจกับกุ้งที่นางพึ่งจับมา วันนี้นางจะทำเมนูอะไรให้เจ้าก้อนน้อยทั้งสองของนางกินดี เฉียวลู่หุงข้าวทิ้งเอาไว้แล้วเปิดตำราอาหารว่าด้วยเรื่องกุ้งทันที ไม่นานหลังจากทำความสะอาดกุ้งและแกะเปลือกเรียบร้อยแล้วนางก็ทำผัดโป๊ยเซียน ข้าวอบกุ้งด้วยหม้อดิน และทำน้ำซุปจากหัวกุ้งที่มันเยิ้มส่งกลิ่นหอม
เครื่องปรุงรสบางส่วนเฉียวลู่สั่งมาจากในสมุดบันทึกเล่มนั้นทำให้รสชาติอร่อยกว่าปกติแน่นอน นอกจากนั้นเฉียวลู่ยังทำข้าวต้มกุ้งหม้อใหญ่ กลิ่นหอมของกระเทียมเจียวโชยมาทำเอาอวี้หลงกับอวี้ชิงนั่งแทบไม่ติดเพราะความหิว จากนั้นนางจึงตักอาหารแบ่งใส่ชามยกไปที่เรือนของแม่เฒ่าหลี่
“เด็กๆ ไปส่งอาหารให้ท่านยายทวดหลี่กัน”
อวี้หลงและอวี้ชิงช่วยถือชามอย่างระมัดระวัง เฉียวลู่มองพวกเขาด้วยความเอ็นดู เมื่อมาถึงหน้าเรือนสกุลจางเฉียวลู่ก็ตะโกนเรียกนางไม่นานแม่เฒ่าหลี่ก็เดินออกมา
“อาลู่เกิดอะไรขึ้นหรือทำไมพวกเจ้าอยู่ที่นี่”
เฉียวลู่ยิ้มให้กับท่าทางที่ดูเป็นห่วงของเเม่เฒ่าหลี่อย่างจนใจ
“ใจคอท่านยายจะให้ข้าเกิดเรื่องให้ได้จริงๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวลู่เอ่ยเย้าแม่เฒ่าหลี่อย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน
“เจ้าเด็กคนนี้นี่”
แม่เฒ่าหลี่ค้อนให้คนที่อ่อนวัยกว่า
“ข้านำอาหารมาส่งให้ท่านเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าหลี่มองชามที่อยู่ในมือของคนทั้งสามจากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“พวกเจ้าทานกันแล้วหรือถึงได้เอามาให้ข้าทำไมไม่เก็บเอาไว้ทานพรุ่งนี้เล่า”
“ท่านรับไปเถอะเจ้าค่ะ อาหารสำหรับพรุ่งนี้ยังมีเหลืออีกเยอะจนทานกันไม่ไหวแน่เจ้าค่ะท่านยาย”
แม่เฒ่าหลี่ลังเลเล็กน้อยจากนั้นจึงรับอาหารที่เฉียวลู่ทำเอาไว้
“พวกเจ้าเข้ามาในเรือนก่อนสิ”
“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะท่านยายเอาไว้ครั้งหน้าเถอะวันนี้ใกล้มืดแล้วเดี๋ยวข้าต้องกลับเรือนก่อน ออพรุ่งนี้เช้าถ้าท่านว่างท่านชวนท่านอาจางกับท่านน้าหลิวไปที่เรือนข้าสักเดี๋ยวได้หรือไม่ข้ามีเรื่องปรึกษาพวกท่าน”
เฉียวลู่กล่าวเป็นเลศนัยให้แม่เฒ่าหลี่สงสัยแต่ไม่ได้บอกว่าจะปรึกษานางเรื่องอะไร หลังจากคุยกับแม่เฒ่าหลี่สักพักเฉียวลู่ก็กลับมาที่กระท่อมของนางอีกครั้ง หลังจากตักข้าวต้มกุ้งแบ่งเอาไว้ให้ลูกน้อยทั้งสองของนางแล้วเฉียวลู่ก็ยกข้าวต้มกุ้งทั้งหม้อไปที่เรือนของฉินจื่อเฉิน
นางเคาะประตูอยู่สักพักร่างเล็กของฉินจื่อเฉินก็เดินออกมาเปิดประตู เฉียวลู่ยื่นหม้อข้าวต้มกุ้งที่มีกลิ่นหอมโชยออกมาจากข้างในให้เขา เสียงท้องร้องของฉินจื่อเฉินทำให้เฉียวลู่รู้ว่าเขาจะต้องยังไม่ได้ทานอาหารเย็นแน่นอน
ฉินจื่อเฉินไม่ยอมรับหม้อข้าวต้มกุ้งจากเฉียวลู่ ทั้งๆ ที่เขาดูหิวโหยขนาดนั้น เฉียวลู่เบี่ยงตัวหลบเขาที่ยืนขวางประตูเอาไว้เดินเข้าไปในเรือนแล้ววางหม้อข้าวต้มเอาไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงเดินออกมา ก่อนกลับนางยังไม่ลืมบอกให้เขานำหม้อข้าวต้มไปคืนนางในวันพรุ่งนี้
“ข้ากลับก่อนพรุ่งนี้นำหม้อไปคืนข้าด้วยเล่า”
นางไม่รอคำตอบจากฉินจื่อเฉินก็พาอวี้หลงกับอวี้ชิงเดินออกมาจากเรือน เฉียวลู่มีความคิดว่าครั้งหน้าที่นางไปจับกุ้งนางจะพาเด็กชายไปด้วยเพราะอย่างน้อยเขาและท่านแม่ที่ป่วยก็จะได้มีอาหารกิน
ทันทีที่เฉียวลู่กลับไปฉินจื่อเฉินก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เขาร้องไห้ออกมาเบาๆ ที่หน้าประตูเรือน ผ่านไปสักพักหลังจากเช็ดน้ำตาแล้วเขาจึงปิดประตูแล้วเดินเข้าเรือนไป เสียงไอดังลอดออกมาจากในห้องที่มืดสลัว ตอนนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำถึงจะยังไม่มืดมากแต่เรือนบางหลังก็จุดตะเกียงแล้ว ฉินจื่อเฉินไม่มีเงินซื้อน้ำมันตะเกียงเขาจึงใช้เทียนจุดบางครั้ง แต่หลังจากที่ท่านแม่ล้มป่วยเขาก็นำเงินทั้งหมดไปซื้อยามารักษาท่านแม่แทน ตอนนี้พวกเขาจึงไม่เหลือแม้แต่เทียนที่จะใช้จุดให้ความสว่าง อาศัยช่วงที่ยังไม่มืดทำกิจกรรมทุกอย่างให้เสร็จก่อนเข้านอน เสียงแหบแห้งดูอ่อนแรงถามออกมาเบาๆ
“เฉินเอ๋อใครมาหรือ”
ฉินจื่อเฉินลังเลเล็กน้อยก่อนตอบออกไป เขารู้ว่าท่านแม่ของเขาไม่เหมือนชาวบ้านคนอื่นตั้งแต่ที่จำความได้นางไม่เคยคบค้ากับใครเลยเอาแต่หลบอยู่แต่ในเรือน มีเพียงบ้านสกุลจางเท่านั้นที่ท่านแม่จะยอมพูดคุยด้วยนานๆ สักครั้งหนึ่ง
“พี่เฉียวลู่ขอรับ”
ฉินจื่อเฉินตอบออกไปเบาๆ
“นางมาทำไม”
ฉินอี้เหยารู้ว่าเฉียวลู่เป็นใครเพราะครั้งก่อนบุตรชายของนางได้เล่าให้นางฟังแล้วว่าเนื้อหมูป่าที่พวกนางกินกันคือของที่เฉียวลู่ให้มา ฉินอี้เหยาเคยได้ยินเรื่องของเฉียวลู่มาบ้างจากแม่เฒ่าหลี่บ้านติดกันว่านางต้องพลัดพรากจากสามีทั้งบิดายังมาด่วนจากไปตอนที่นางกำลังตั้งครรภ์ ชีวิตของเฉียวลู่กับนางนั้นแทบจะเหมือนกันตรงที่ไม่มีใครให้พึ่งพิงแต่ต่างกันตรงที่เฉียวลู่ไม่มีใครคอยตามฆ่าเหมือนนางและบุตรชาย
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องขอบคุณนางแทนแม่ด้วย”
“ขอรับ”
ฉินอี้เหยาเอ่ยเบาๆ ก่อนจะไอออกมาหอบใหญ่ นางป่วยเช่นนี้มาเป็นปีแล้ว เมื่อก่อนนั้นเพียงแค่ไอเล็กน้อยเท่านั้นจึงไม่เคยซื้อยามากิน แต่ตอนนี้อาการของนางหนักขึ้นทุกวันแรงจะเดินแทบไม่มีทั้งยังไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียงทำให้นับวันนางและบุตรชายผ่ายผอมจนแทบจะเหลือเพียงแค่หนังที่หุ้มกระดูก ฉินอี้เหยายังไม่อยากตายนางไม่อยากทิ้งบุตรชายของนางเอาไว้ลำพัง
“ท่านแม่ลองทานดูนะขอรับ”
ฉินจื่อเฉินเปิดฝาหม้อดินเผาออกกลิ่นหอมโชยออกมา เขาตักป้อนท่านแม่ก่อนจากนั้นจึงกินในส่วนที่เป็นของตนเอง หลังจากที่ข้าวต้มกุ้งถูกตักเข้าปากคำแรก ฉินจื่อเฉินแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกินมา
ฉินอี้เหยาก็ร้องไห้ออกมาเช่นกันนางสงสารบุตรชายเพียงคนเดียวของนางเหลือเกิน ตอนนี้นางไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อเขาได้ ถ้าหากนางเข้มแข็งได้สักครึ่งของเฉียวลู่ตอนนี้นางและบุตรชายของนางคงจะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ฉินอวี้เหยาได้แต่นึกสมเพชตนเองในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นนางคงไม่ต้องระหกระเหินเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นนางคงไม่ต้องแกล้งความจำเสื่อมและปล่อยให้บุตรชายเพียงคนเดียวของนางต้องลำบากเช่นนี้
วันต่อมาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงลูกสะใภ้ของนางมาหาเฉียวลู่ที่กระท่อมน้อยแต่เช้าเพราะเรื่องที่พวกเขาคุยกันเอาไว้เมื่อวานตอนเย็น“อวี้หลงอวี้ชิงจ๊ะลูกทั้งสองช่วยอะไรแม่บางอย่างได้หรือไม่”เด็กชายพยักหน้าพร้อมกันอย่างกระตือรือร้นแสดงท่าทางอยากช่วยเฉียวลู่อย่างเต็มที่“ไปบ้านสกุลฉินที่แม่พาลูกทั้งสองไปเมื่อวานจำได้หรือไม่ เรียกพี่ชายจื่อเฉินมาที่นี่แม่มีเรื่องคุยกับเขาลูกสองคนทำได้ไหม”เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองด้วยความอ่อนโยน อวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าให้นางอีกครั้งจากนั้นจึงวิ่งหายไปทางหมู่บ้าน เฉียวลู่หันมาสนใจแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสอง“ท่านยายท่านน้าหลิวท่านทานกุ้งไปเมื่อวานนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างท่านคิดว่ามันอร่อยหรือไม่”แม่สามีลูกสะใภ้ที่นั่งข้างกันพยักหน้ารัวๆ จะไม่อร่อยได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขายังเกรงใจกันและกันที่จะกินอาหารที่เฉียวลู่นำมาส่งหลังจากที่กินคำแรกไปแล้วต่างคนต่างแย่งชิงไม่สนความเป็นผู้อาวุโสและผู้น้อยแล้ว เฉียวลู่พยักหน้าและยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างพอใจ“เช่นนั้นพวกท่านคิดว่ามันจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่ เท่าที่ข้าดูเหมือนว่าคนที่นี่ไม่นิยมกินพวกกุ้งเท่าไหร่นะเจ้าคะ มันถึงได้มีเ
กุ้งคำแรกที่เข้าไปในปากทำเอาทุกคนเกือบร้องไห้เพราะความอร่อยและเผ็ดร้อนของน้ำจิ้ม พวกเขาไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารเช่นนี้มาก่อน มันทั้งเผ็ดเข้มข้นและชาไปทั้งปากแต่ก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ เด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้เฉียวลู่ก็ทำน้ำจิ้มหวานเบาๆ ให้พวกเขา แต่ก็อร่อยมากฉินจื่อเฉินทานอาหารไปเงียบๆ แต่เขาก็ซึมซาบรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เฉียวลู่กลัวว่าเขาจะไม่กล้าหยิบกุ้งมากินเพราะเกรงใจ นางใช้มือหยิบมากองในจานของเขาสามสี่ตัว ระหว่างกินนางก็ยังสอนให้ลูกๆ ของนางแกะเปลือกกุ้งไปด้วย“ข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”จางหย่งพูดไปกินไปน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดชา แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ไม่ต่างกันเท่าใดนักทำเอาเฉียวลู่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน“พวกท่านคิดว่านี่จะสามารถทำเงินให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”เฉียวลู่ถามหยั่งเชิงพวกเขาทั้งสามที่ลดระดับความเร็วในการกินให้ช้าลงเพราะเริ่มอิ่ม“อืมข้าเห็นด้วยว่าเจ้ากุ้งนี่จะต้องขายดีอย่างแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่และสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ปากทุกคนแดงเห่อเพราะความเผ็ดร้อนของน้ำจิ้มที่เฉียวลู่ทำ“เช่นนั้นเริ่มขายพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอาหย่งกับท่านน้าหลิวพวกท่านรับหน้าท
หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน"เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ"ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ“เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เจ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเจ้าตัวเจ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเรื่องนี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเจ้าเองก็เป็นหุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเจ้าก็ต้องได้เช่นกัน”แ
เช้ามืดของอีกวันเฉียวลู่ตื่นขึ้นมาด้วยตนเองอย่างอัตโนมัติ ความจริงนางอยากสั่งนาฬิกาพกสักเรือเพื่อนเอาไว้ดูเวลาแต่กลัวว่าถ้าถูกคนพบเห็นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะครอบครัวของนางตอนนี้ยังไม่นับว่าจะสามารถมีสิ่งของที่มีค่าได้เลย หากมีคนคิดไม่ซื่ออยากได้ของของนางแล้วใส่ร้ายว่านางลักขโมย ต่อให้มีสิบปากด้วยสภาพของนางตอนนี้ย่อมแก้ตัวแล้วไม่มีใครเชื่อแน่วัวเทียมเกวียนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ววันนี้ออกไปเร็วกว่าเมื่อวานเพราะเฉียวลู่คิดว่าเมื่อพวกนางขายดีต้องมีคนอยากได้ที่ขายของพวกนางแน่ และก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเกวียนจอดที่หน้าทางเข้าอำเภอทุกคนช่วยกันขนของไปที่ที่พวกเขาขายเมื่อวานแต่ปรากฎว่ามีคนที่มาตั้งร้านก่อนหน้าแล้วและดูเหมือนพวกเขาก็ขายของย่างด้วยเช่นกัน“นี่มันอะไรกันเนี่ยที่ตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องเจาะจงเลือกมาตั้งที่ของพวกเราด้วย”หลิวหงบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย ถึงเสียงของนางจะดังจนทำให้ร้านขายปิ้งย่างร้านนั้นได้ยินแต่พวกเขาก็ทำเพียงถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปริปากตอบโต้กลับมา เฉียวลู่ดึงแขนนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปพูดอีกแล้ว ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิงไม่มีพื้นที่ให้เช่าที่กำหนดตายตัวเมื่
ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉีย
เฉียวลู่เด็กสาวต่างจังหวัดที่มีความฝันตั้งแต่เด็กว่าเธออยากจะเป็นนักแสดงชื่อดังแถวหน้าของจีน หลังจากเรียนจบม.ปลายเธอจึงเดินทางไปที่ปักกิ่งเพื่อสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนการแสดง ผ่านไปหลายปีในที่สุดความฝันของเฉียวลู่ก็เป็นความจริง ซีรี่ส์เรื่องแรกของเธอได้ออนแอร์ทางโทรทัศน์ถึงแม้ว่าเฉียวลู่จะเป็นเพียงนักแสดงตัวประกอบแต่เธอก็รู้สึกดีใจเพราะนี่ถือว่าเป็นก้าวแรกของเส้นทางการเป็นนักแสดงของเธอผ่านไปสามปีเฉียวลู่ได้ผ่านการแสดงซีรี่ส์หลายเรื่องแต่เธอก็ยังคงเป็นเพียงนักแสดงตัวประกอบเท่านั้น จนกระทั่งเฉียวลู่ได้รับการติดต่อจากทีมงานของผู้กำกับชื่อดังคนหนึ่งที่คนทั้งวงการนักแสดงต่างรู้กันดีว่า ถ้าหากผู้กำกับคนนี้กำกับซีรี่ส์เรื่องไหนหรือนักแสดงคนไหนที่เขาเจาะจงมาด้วยตัวเองนั่นหมายความว่าจะต้องดังเป็นพลุแตกอย่างแน่นอน เฉียวลู่ดีใจและตื่นเต้นมากในที่สุดเวลาของเธอก็กำลังจะมาถึงซะทีเฉียวลู่เดินทางไปพบกับทีมงานของผู้กำกับชื่อดังด้วยตัวเองเพราะเธอเป็นนักแสดงอิสระไม่มีสังกัดและซีรี่ส์ทุกเรื่องเธอเป็นคนเดินทางไปแคสติ้งด้วยตัวเองทั้งหมดและครั้งนี้ก็เหมือนกัน เฉียวลู่ลงจากรถประจำทางเดินเข้าตึกสูงเสียดฟ้าที
เฉียวลู่อาบน้ำทานข้าวเรียบร้อยแล้วเธอพูดเรื่องที่เธอไปเที่ยววันนี้ให้แม่กับพ่อฟังอย่างออกรสแต่กลับลืมเรื่องของคุณยายและหนังสือเก่าเล่มนั้นไปเลยจนกระทั่งเฉียวลู่กลับเข้าห้องนอนของเธอมา“ลืมหนังสือเล่มนี้ไปเลย”เฉียวลู่หยิบหนังสือเก่าเล่มนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือของเธอมาเปิดดู ข้างในว่างเปล่ามีเพียงตัวอักษรที่เขียนเอาไว้จางๆ ว่าเฉียวลู่“ทำไม่มีชื่อของเราเขียนเอาไว้ในนี้นะ”เฉียวลู่พลิกกระดาษหน้าถัดไปแต่กลับไม่มีอะไรเขียนเอาไว้เลยมีเพียงหน้ากระดาษสีขาวอมเหลืองเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเก่า เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ“ช่างเถอะ ถือซะว่าช่วยอุดหนุนคุณยายแล้วกัน”ถึงแม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างแต่เธอก็เลิกสนใจในหนังสือเก่าเล่มนั้นไป เฉียวลู่วางหนังสือเอาไว้ที่เดิมแล้วปิดไฟเข้านอนทันที คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดทั่วท้องฟ้ามีเพียงแสงดาวที่ทอประกายระยับเกลื่อนกลาดหนังสือเล่มเก่าที่เฉียวลู่วางเอาไว้บนโต๊ะค่อยๆ คลี่เปิดออกทีละหน้าเหมือนมีลมบางเบาพัดผ่านและค่อยๆ เร็วขึ้นแรงขึ้น แสงสว่างถูกสาดกระจายออกมาจากหนังสือเก่าเล่มนั้นและมันค่อยๆ ไหลมารวมกันเป็นจุดเดียวที่หน้าอกของเฉียวลู่และหา
สิ่งที่เฉียวลู่คิดว่าเป็นเรื่องบ้าบอทั้งหมดกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ นักแสดงสาวโสดวัยสามสิบกว่าที่ไม่เคยมีแฟนเลยสักครั้งเพราะตั้งมั่นที่จะทำตามความฝันให้เป็นจริง จนกระทั่งเธอได้เป็นนักแสดงชื่อดังแถวหน้าของจีน แล้วดูตอนนี้สิว่ามันเกิดอะไรขึ้นเธอต้องมากลายเป็นแม่แบบไม่รู้ตัวท่านเทพเซียนกำลังเล่นตลกอะไรกับเธอกันแน่ เธอจะเอาชีวิตรอดจากที่นี่ไปได้ยังไง นี่ไม่ใช่เกมส์เซอร์ไวเวอร์เอาชีวิตรอดจากอดีตนะที่เล่นแพ้แล้วจะสามารถรีเซตใหม่ได้ท่าทางว้าวุ่นของเฉียวลู่ทำให้เด็กชายทั้งสองเป็นห่วงพวกเขาเดินเข้ามาจับมือของเธอเอาไว้คนละข้างแล้วส่งสายตาให้กำลังใจมาที่เธอ เฉียวลู่ที่พึ่งเป็นท่านแม่หมาดๆ ถึงกับใจเหลวเป็นน้ำให้กับท่าทางที่น่ารักของพวกเขา“เอาเถอะเป็นไงเป็นกันฟูมฟายไปก็เท่านั้น เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วมีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป”นั่นเป็นข้อดีของเฉียวลู่คือเธอเป็นคนที่มีสติและเหตุผลต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงแค่ไหนเธอก็สามารถควบคุมตนเองได้ดีทุกครั้ง และอีกหนึ่งข้อดีของเธอคือเมื่อเธอตั้งใจที่จะทำอะไรแล้วเธอจะมุ่งมั่นไม่ยอมหยุดจนกว่าจะทำสำเร็จเพราะแบบนี้เธอจึงได้รับการยอมรับจากผู้กำกับและนักแสดงในวงการอย
ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉีย
เช้ามืดของอีกวันเฉียวลู่ตื่นขึ้นมาด้วยตนเองอย่างอัตโนมัติ ความจริงนางอยากสั่งนาฬิกาพกสักเรือเพื่อนเอาไว้ดูเวลาแต่กลัวว่าถ้าถูกคนพบเห็นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะครอบครัวของนางตอนนี้ยังไม่นับว่าจะสามารถมีสิ่งของที่มีค่าได้เลย หากมีคนคิดไม่ซื่ออยากได้ของของนางแล้วใส่ร้ายว่านางลักขโมย ต่อให้มีสิบปากด้วยสภาพของนางตอนนี้ย่อมแก้ตัวแล้วไม่มีใครเชื่อแน่วัวเทียมเกวียนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ววันนี้ออกไปเร็วกว่าเมื่อวานเพราะเฉียวลู่คิดว่าเมื่อพวกนางขายดีต้องมีคนอยากได้ที่ขายของพวกนางแน่ และก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเกวียนจอดที่หน้าทางเข้าอำเภอทุกคนช่วยกันขนของไปที่ที่พวกเขาขายเมื่อวานแต่ปรากฎว่ามีคนที่มาตั้งร้านก่อนหน้าแล้วและดูเหมือนพวกเขาก็ขายของย่างด้วยเช่นกัน“นี่มันอะไรกันเนี่ยที่ตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องเจาะจงเลือกมาตั้งที่ของพวกเราด้วย”หลิวหงบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย ถึงเสียงของนางจะดังจนทำให้ร้านขายปิ้งย่างร้านนั้นได้ยินแต่พวกเขาก็ทำเพียงถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปริปากตอบโต้กลับมา เฉียวลู่ดึงแขนนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องไปพูดอีกแล้ว ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิงไม่มีพื้นที่ให้เช่าที่กำหนดตายตัวเมื่
หลังจากที่เฉียวลู่แบ่งค่าแรงให้พวกเขาแล้วนางยังอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า“วันนี้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรเพราะหลังจากหักค่าแรงและค่าต่างๆ เงินที่เหลือก็ต้องเก็บเอาไว้เป็นทุนในการขายต่อไป ข้าคิดว่ากำไรในการขายของเราจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือของบ้านสกุลจางกับของข้าและจื่อเฉินน้อยพวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงพยักหน้าพร้อมกัน"เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ"ถึงแม้ว่าเด็กชายจะนั่งเงียบฟังพวกผู้ใหญ่สนทนากันมาตลอดแต่เขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่อธิบายทุกอย่าง ต้องขอบคุณท่านแม่ของเขาที่สอนหนังสือให้ทำให้เขาอ่านออกเขียนได้“พี่เฉียวลู่ท่านไม่ต้องแบ่งกำไรให้ข้าหรอกขอรับท่านให้ค่าแรงข้าเท่ากับผู้ใหญ่หนึ่งคนข้าก็ดีใจมาแล้ว”เฉียวลู่ขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่ได้รับ“เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่เจ้าก็ทำงานอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ปริปากบ่น ในเมื่อข้าเห็นคุณค่าของเจ้าตัวเจ้าเองก็ต้องเห็นค่าของตนเช่นกัน เอาล่ะเรื่องนี้เราลงมติกันแล้วเรียบร้อยเสียงข้างมากบอกว่าเจ้าเองก็เป็นหุ้นส่วน อะแฮ่ม!!ข้าหมายถึงส่วนหนึ่งในการค้าของเราดังนั้นเมื่อเราได้กำไรเจ้าก็ต้องได้เช่นกัน”แ
กุ้งคำแรกที่เข้าไปในปากทำเอาทุกคนเกือบร้องไห้เพราะความอร่อยและเผ็ดร้อนของน้ำจิ้ม พวกเขาไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารเช่นนี้มาก่อน มันทั้งเผ็ดเข้มข้นและชาไปทั้งปากแต่ก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้ เด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้เฉียวลู่ก็ทำน้ำจิ้มหวานเบาๆ ให้พวกเขา แต่ก็อร่อยมากฉินจื่อเฉินทานอาหารไปเงียบๆ แต่เขาก็ซึมซาบรสชาติอาหารที่ไม่เคยได้กินมาก่อน เฉียวลู่กลัวว่าเขาจะไม่กล้าหยิบกุ้งมากินเพราะเกรงใจ นางใช้มือหยิบมากองในจานของเขาสามสี่ตัว ระหว่างกินนางก็ยังสอนให้ลูกๆ ของนางแกะเปลือกกุ้งไปด้วย“ข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”จางหย่งพูดไปกินไปน้ำตาไหลพรากเพราะความเผ็ดชา แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงก็ไม่ต่างกันเท่าใดนักทำเอาเฉียวลู่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน“พวกท่านคิดว่านี่จะสามารถทำเงินให้พวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”เฉียวลู่ถามหยั่งเชิงพวกเขาทั้งสามที่ลดระดับความเร็วในการกินให้ช้าลงเพราะเริ่มอิ่ม“อืมข้าเห็นด้วยว่าเจ้ากุ้งนี่จะต้องขายดีอย่างแน่นอน”แม่เฒ่าหลี่และสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ปากทุกคนแดงเห่อเพราะความเผ็ดร้อนของน้ำจิ้มที่เฉียวลู่ทำ“เช่นนั้นเริ่มขายพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอาหย่งกับท่านน้าหลิวพวกท่านรับหน้าท
วันต่อมาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงลูกสะใภ้ของนางมาหาเฉียวลู่ที่กระท่อมน้อยแต่เช้าเพราะเรื่องที่พวกเขาคุยกันเอาไว้เมื่อวานตอนเย็น“อวี้หลงอวี้ชิงจ๊ะลูกทั้งสองช่วยอะไรแม่บางอย่างได้หรือไม่”เด็กชายพยักหน้าพร้อมกันอย่างกระตือรือร้นแสดงท่าทางอยากช่วยเฉียวลู่อย่างเต็มที่“ไปบ้านสกุลฉินที่แม่พาลูกทั้งสองไปเมื่อวานจำได้หรือไม่ เรียกพี่ชายจื่อเฉินมาที่นี่แม่มีเรื่องคุยกับเขาลูกสองคนทำได้ไหม”เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองด้วยความอ่อนโยน อวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าให้นางอีกครั้งจากนั้นจึงวิ่งหายไปทางหมู่บ้าน เฉียวลู่หันมาสนใจแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสอง“ท่านยายท่านน้าหลิวท่านทานกุ้งไปเมื่อวานนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างท่านคิดว่ามันอร่อยหรือไม่”แม่สามีลูกสะใภ้ที่นั่งข้างกันพยักหน้ารัวๆ จะไม่อร่อยได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขายังเกรงใจกันและกันที่จะกินอาหารที่เฉียวลู่นำมาส่งหลังจากที่กินคำแรกไปแล้วต่างคนต่างแย่งชิงไม่สนความเป็นผู้อาวุโสและผู้น้อยแล้ว เฉียวลู่พยักหน้าและยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างพอใจ“เช่นนั้นพวกท่านคิดว่ามันจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่ เท่าที่ข้าดูเหมือนว่าคนที่นี่ไม่นิยมกินพวกกุ้งเท่าไหร่นะเจ้าคะ มันถึงได้มีเ
ผ่านไปหลายวันเฉียวลู่ยังคงขึ้นเขาทุกวันและตัดต้นไม้ซ่อนเอาไว้เพื่อรอเวลาในการสร้างกระท่อมของนางใหม่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉียวลู่รู้สึกตื่นเต้นกับมันคือสมุดบันทึกเล่มนั้นของนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เฉียวลู่ทำงานจนลืมไปว่านางต้องสั่งของทุกวันแต่นางกลับลืมไปเสียสนิท ทำให้วันต่อมาเมื่อเฉียวลู่เปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นอีกครั้งข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษคือ สามารถสั่งได้สี่ครั้งนั่นหมายความว่าต่อให้เฉียวลู่ไม่ได้สั่งอะไรในสมุดเล่มนั้นมันก็จะสามารถทบมาอีกวันได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้นางไม่เสียสิทธิ์ของตน ถึงจะไม่ได้สั่งของอะไรมาก็ตามช่วงนี้สิ่งที่เฉียวลู่สั่งมาทุกๆ วันคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่อ่อนโยนสำหรับเด็กทุกอย่างที่เฉียวลู่สั่งมาล้วนคำนึงถึงเด็กทั้งสองเป็นอันดับแรก ตอนนี้นางพอจะเข้าใจเจ้าสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วว่ามันต้องการอะไรดูเหมือนเจ้าสมุดเล่มนี้ต้องการให้เฉียวลู่อาศัยอยู่ที่นี่โดยที่พึ่งพาตนเองหมายถึงไม่สามารถสั่งอะไรก็ตามที่ทำให้นางรวยทางลัดโดยที่ไม่ต้องทำงานเหมือนกับว่ามันรู้ทุกอย่างที่เฉียวลู่คิด ตอนแรกที่เฉียวลู่เข้าใจในเจตนารมณ์ของมันทำเอานางหัวเสียไปหลายวัน ให้ของวิ
เฉียวลู่หันไปมองต้นไม่ต้นนั้นที่ล้มนอนอยู่ ในหัวของนางวางแผนบางอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังเฉียวลู่อวี้หลงกับอวี้ชิงหันกลับมามองตากันแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเหมือนกับว่าเพียงพวกเขามองหน้ากันก็สามารถสื่อความนึกคิดถึงกันและกันได้แล้วเฉียวลู่ให้อวี้ชิงจุดไฟให้นางจากนั้นก็ทำอาหารง่ายๆ ที่เฉียวลู่พอจะทำได้กินกัน หลังจากนั้นนางก็อาบน้ำให้เด็กชายทั้งสองและตัวเองแล้วจึงพาเด็กชายนอนกลางวัน ในความคิดของเฉียวลู่คือเป็นเด็กก็ต้องนอนให้มากๆ จะได้โตเร็วๆ ตอนเย็นเฉียวลู่ยังคงทำอาหารแบบง่ายๆ อีกครั้งในหัวของนางตอนนี้คือจะต้องสั่งหนังสือทำอาหารสักเล่ม ไม่อย่างนั้นหากต้องกินอาหารที่นางทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เด็กๆ อาจจะเบื่อเอาได้รุ่งเช้าสิ่งแรกที่เฉียวลู่นึกถึงคือหนังสือเล่มนั้น นางต้องสั่งของที่จำเป็นที่ต้องได้ใช้ในวันนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เฉียวลู่เขียนไฟแช็กลงไปในกระดาษ รอหลังจากหมึกซึมลงไปไฟแช็กเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็โผล่มาแทนที่จากนั้นสิ่งของอย่างที่สองที่เฉียวลู่นึกถึงคือเงิน บางทีนางอาจจะสั่งอะไรที่เป็นสิ่งของมีค่าที่สามารถขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินของที่นี่ได้ และไม่ว่าจะยุคสมัยไหนสิ่งของที่มีค
บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นตามติดนางเป็นเงา ถึงแม้เฉียวลู่จะบอกเด็กชายทั้งสองให้ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่พวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า ท่าทางที่ดื้อรั้นของเด็กทั้งสองนั้นไม่ต่างจากเฉียวลู่เลย“ลูกสองคนไม่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จริงๆ หรือจ๊ะดูพวกเขาสิท่าทางสนุกเชียว”เฉียวลู่ยังคงพยายามคะยั้นคะยอให้อวี้หลงกับอวี้ชิงออกไปเล่นด้านนนอกกับเด็กคนอื่นๆ เด็กสองคนยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นและเอาแต่ตามติดเฉียวลู่เหมือนกับกลัวว่านางจะหายไป“พี่สาวท่านพอจะแบ่งกระดูกหมูป่าให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”เฉียวลู่และเด็กชายทั้งสองหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง เฉียวลู่จำไม่ได้ว่าเด็กชายที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งคนนี้เป็นใคร“เจ้า...คือ”เฉียวลู่ถามเด็กชายและยิ้มให้เขาอย่างใจดี เด็กชายคนนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่งดงามของเฉียวลู่ถึงกับทำให้เขาอายจนแทบม้วนตัวเองเป็นก้อนกลม“ข้า...ชื่อฉินจื่อเฉินบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของท่านลุงจางข้าไม่มีเงินมาซื้อเนื้อหมูป่าแต่ข้ามีมันเทศท่านจะสามารถแลกกระดูกกับมันเทศของข้าได้หรือไม่”เด็กชายที่อายุราวเจ็ดแปดขวบมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางอึดอัดเขากลัวว่าจ
ในระหว่างที่รอจางหย่งชำแหละเจ้าหมูป่าเฉียวลู่กับหญิงชราและลูกสะใภ้ของนาง ก็นั่งคุยกันและเตรียมน้ำเอาไว้เพื่อทำความสะอาด เฉียวลู่ยังได้เล่าให้สตรีทั้งสองฟังเรื่องที่นางความจำเสื่อมเพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมา หญิงชราถึงกับหลังน้ำตาให้กับเฉียวลู่ด้วยความสงสารในชีวิตที่อาภัพของนางเฉียวลู่ที่เห็นหญิงชราร้องไห้นางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร เด็กเล็กร้องไห้ยังพอหลอกล่อได้ แต่ให้ปลอบใจผู้ใหญ่นางจะพูดอย่างไรดี เฉียวลู่รู้สึกปวดหัวกับความเจ้าน้ำตาของหญิงชรา แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกนางมาต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยแต่ยังคงมีคนห่วงใยนางเช่นเดิมเหมือนกับตอนที่นางอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน“ท่านยายท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ ถึงข้าจะจำสิ่งใดไม่ได้เลยในอดีต แต่ข้าก็สามารถรับรู้ได้ว่ายังมีพวกท่านนั้นคอยเป็นห่วงเราแม่ลูกแค่ไหน ข้าไม่ได้รู้สึกกลัวอันใดเลยอาจจะดีกับข้าเสียด้วยซ้ำที่ต้องลืมเรื่องราวในอดีต”เฉียวลู่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา มันเหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกของนางสั่งให้นางพูดแบบนั้นออกไป“ท่านเล่าเรื่องที่หมู่บ้านนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าข้าจะจำอะไรได้บ้าง”จากนั้นห