ไผทไม่ต้องการคุยเรื่องลับในครอบครัวในที่สาธารณะ เขาจึงพาวัชรมัยออกไปข้างนอก พอสกลกันต์เห็นพ่อเดิน ลูกก็ตามมาด้วย
วันนี้ไผทมารับคนเดียว ส่วนวิเชียร คอยคุมคนงานขนปุ๋ยที่ร้านในตลาดเพื่อเอากลับไร่
ตัวเลือกในการคุยกันจึงเป็นร้านอาหาร และพอดีกับที่เป็นคาเฟ่ของศรัญญาด้วย
“ยินดีต้อนระ...”
เพื่อนทักทายลูกค้าที่เข้ามาใหม่ยังไม่ทันจบประโยค หน้าเจื่อนลงทันที ส่งสายตาเลิ่กลั่กให้วัชรมัย
“ขอใช้ห้องประชุมหน่อย...ค่ะ”
เกือบพูดอย่างสนิทสนมไปแล้ว เธอไม่อยากให้จำได้ว่าศรัญญาเป็นเพื่อนกัน มิเช่นนั้นแผนมาตามส่องลูกวันอื่นอาจพัง
“ปราบไปอยู่กับพี่เขาก่อนนะครับ อยากกินอะไรสั่งได้เลย” วัชรมัยยิ้มให้เจ้าตัวเล็ก
“ท็อฟฟี่ก็กินได้เหรอ”
ตาคมคู่เล็กจ้องไปยัง ท็อฟฟี่ห่อยักษ์ที่วางในตะกร้าบนตู้กระจกโชว์ขนมเค้ก
“ได้สิครับ ปราบกินแล้วต้องแปรงฟันด้วยนะครับ ไม่งั้นคุณแมงกินฟันจะมาหา แล้วจะปวดฟัน”
เด็กชายเอามือขึ้นกุมแก้มพอดี แสดงว่าเคยผ่านประสบการณ์มาแล้วแน่ ๆ
“เป็นเด็กดีนะครับ...น้าขอคุยธุระกับพ่อปราบเดี๋ยวเดียว”
สกลกันต์พยักหน้า ศรัญญารับช่วงต่อ ยื่นมือแตะไหล่เด็กชาย
“ฝากด้วยนะ”
ขยับปากไม่ออกเสียง
“แกก็ด้วยล่ะ ตั้งสติ ใจเย็น ๆ”
ศรัญญานั้นเตือนเบา ๆ ก่อนรุนหลังเด็กชายไป
วัชรมัยเข้าไปในห้องประชุมที่อีกคนยืนจังก้ารออยู่หัวโต๊ะ แสงไฟดาวน์ไลต์เหลืองนวลที่สาดส่องไปทั่วควรทำให้บรรยากาศห้องอบอุ่นละมุนละไม
แต่ตอนนี้วัชรมัยกลับรู้สึกถึงความมืดครึ้ม ไอเย็นและรัศมีดำมืดแผ่ออกมาจากคนตัวโต
“สบายดีไหมคะ”
เธอยังจำได้ ไผทเป็นคนพูดน้อย เพราะฉะนั้นเปิดก่อนได้เปรียบกว่า
“กลับมาที่นี่อีกทำไม”
ในตาสีดำคู่นั้น เหมือนมีความเคลื่อนไหว รู้สึกถึงแรงกดดันปานพายุในทะเลคลั่ง
“เธอจะเอาอะไรอีก”
น้ำเสียงเข้มทุ้มต่ำ ท่าทีคุกคามแสดงความมาดร้าย ...เหล่านี้มันคือผลกรรมที่วัชรมัยต้องเผชิญ
“มิ้ง...มิ้งอยากเจอลูก”
เธอบังคับเสียงไม่ให้สั่น สมองสั่งน้ำตาไม่ให้ไหล ทั้ง ๆ ที่ความร้อนกำลังแล่นขึ้นกระบอกตา
“หึ! ลูกของฉันคนเดียวตั้งหาก เธอหมดสิทธิ์นั้นไปตั้งแต่รับเงินสิบล้านไปจากฉันแล้ว”
ไผทรังเกียจ ขยะแขยงผู้หญิงตรงหน้า ท่าทางเธอใสซื่อ แต่ในใจดำมืดมิด
“ผู้หญิงที่ขายลูกกินอย่างเธอไม่มีสิทธิ์เป็นแม่ใคร!”
ทันใดนั้นภาพคู่สนทนาของวัชรมัยก็พร่าเลือน ภาพคนตัวโตกลับโย้เย้ไม่เป็นรูปทรง ด้วยมองผ่านม่านน้ำตาที่ไหลริน
“พี่ป้อง มิ้งขอโทษ”
ริมฝีปากวัชรมัยพึมพำ สิ่งตระหนักได้ตั้งแต่เผชิญเหตุการณ์ร้ายในชีวิต
“อย่ามาให้ฉันกับลูกเห็นหน้าอีก!”
ไผทกำมือตัวเองแน่น ยั้งไว้เพื่อไม่ให้เผลอบีบคอใครตาย วัชรมัย...ผู้หญิงคนนี้แหละที่เขาอยากให้หายไปจากโลกนี้เสียที
ระหว่างเธอและเขา ไม่มีแล้วเสียงเรียกขานกันอย่างอ่อนหวานอย่างวันวาน
ไม่มีพี่ป้อง ไม่มีน้องมิ้ง
ไม่มีรอยยิ้ม อ้อมกอดอันอบอุ่น
มือที่เคยจับกันแน่นกลับถูกใครคนหนึ่งสะบัดออก
ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังอย่างไม่ไยดี
และวัชรมัยก็คือใครคนนั้นที่ทำมันเอง
เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อเจ็ดปีก่อน เมื่อวัชรมัยกับวารีผู้เป็นพี่สาวย้ายมาอยู่จังหวัดทางภาคใต้อย่างกะทันหัน
วารีในอดีตเป็นผู้หญิงบาร์แถวพัทยา แต่เพราะขัดแย้งกับเจ้าของร้านที่เป็นขาใหญ่ของที่นั่น หางานใหม่ก็ไม่มีใครรับ การศึกษาก็น้อย ไม่เห็นหนทางที่จะเลี้ยงสองปากท้องไหว
โชคยังดีที่มีเสี่ยลูกค้ากระเป๋าหนักชวนไปอยู่ด้วย วารีที่ทางเลือกเหลือไม่มากจึงตามเขามา ไปเป็นเมียเก็บ
สองพี่น้องย้ายมาใต้พร้อมกับลูกค้าเสี่ยให้อาศัยอยู่ตึกแถวของเขา วารีบอกอยากเปิดกิจการเล็ก ๆ ร้านเสริมสวยขนาดน่ารัก
วัชรมัยแม้จะรู้พี่ผิดศีลข้อสาม แต่ไม่อาจห้ามได้ วารีมักบอกไม่ให้เธอมายุ่ง ตั้งใจเรียนหนังสือไป
บอกพี่หลายครั้ง เธอไม่ชอบเรียนมัธยมปลาย อยากเรียนอาชีวะวิชาตัดเสื้อผ้ามากกว่า
“โบราณไปแล้วนะมิ้ง นี่มันสมัยไหนแล้ว เรียนไปทำไมตัดเสื้อในเมืองไทย ถ้าอยากเรียนจริงน่ะ โน่น...ต้องไปเรียนดีไซน์ที่เมืองนอก”
เธอก้มหน้ายอมพับความฝัน วารีไม่มีเงินส่งเธอถึงขนาดนั้นหรอก ยังดีที่ในตลาดมีร้านตัดเสื้อ วัชรมัยอาศัยไปตีสนิท ลูบ ๆ คลำ ๆ ผ้าเนื้อดี
ตาเป็นประกายเมื่อเห็นชุดสวย ที่คุณหญิงคุณนายใส่เพชรระยิบระยับจนแยงตายามมาลองเสื้อ
วัชรมัยอยากลองทำดูบ้าง แต่ค่าผ้าค่าอุปกรณ์ก็แพงเหลือเกิน เธอเกรงใจไม่อยากขอค่าขนมพี่สาวเพิ่ม
จนเกิดไอเดียตั้งแผงขายน้ำปั่น หารายได้เสริมหน้าร้านเสริมสวย ข้าง ๆ กันเป็นร้านขายอุปกรณ์การเกษตร มีหนุ่ม ๆ คนงานกับลูกค้าร้านปุ๋ยมาอุดหนุน กระทั่งเจอกับไผท
นายหัวใหญ่คนดังประจำจังหวัด เขาอายุยี่สิบเจ็ด ขณะวัชรมัยอายุสิบแปด ทีแรกเธอคิดว่าไผทมาจีบพี่สาว
“นายหัวป้องชอบเธอต่างหาก”
ศรัญญาผู้มักชอบผลุบโผล่ ๆ มาหา ไขข้อข้องใจให้เธอในวันหนึ่ง หลังเขามาซื้อน้ำปั่นร้านเธอสามวันติด
“จะเป็นไปได้ยังไงแก เพ้อเจ้อน่า”
วัชรมัยยกปอยผมทัดหู แก้มแดงแข่งกับอากาศ
“ผู้ใหญ่ที่รวย ๆ แบบนี้ งานเยอะมาก พี่ฉันบ่นพี่เขยอยู่บ่อย ๆ ยากนะที่จะมาเจอกันที่เดิม ๆ ติดกันสามวันได้”
“บางทีนายหัวเขาอาจชอบน้ำปั่นก็ได้”
ปฏิเสธไม่ได้เลย ผู้ชายตัวสูงใหญ่ ผิวสีทองแดง ตาคม ใบหน้าเคร่งขรึม ทำสาวน้อยอย่างเธอใจเต้นหนัก
“ไหน เขาสั่งเมนูอะไร เอามาให้ลองชิมสิ”
วัชรมัยทำเมนูแตงโมเสาวรสปั่นที่ไผทสั่งบ่อย ๆ ให้ เพื่อนดูดไปอึกหนึ่งแล้วเบ้หน้า
“เค็ม”
“อ้าวเหรอ...”
พอได้ชิมเอง วัชรมันถึงกับแลบลิ้น
“เค็มจริงด้วย”
“นายหัวสั่งเมนูนี้ตลอดสามวันจริงเหรอ ไม่บ่นอะไรเลยใช่ไหม ชัดแล้ว เขาชอบแก”
ศรัญญาส่งสายตากรุ้มกริ่ม ล้อจนผิวเธอแดงไปถึงใบหู วันต่อมาวัชรมัยจึงขอโทษเรื่องรสชาติน้ำปั่นกับไผท เขาและเธอได้คุยกันนานขึ้น พัฒนาความสัมพันธ์กันทีละนิด
ความสุขอยู่กับเธอไม่นาน เมื่อเมียเสี่ยของพี่สาวรู้เรื่องสามีเลี้ยงเมียเก็บ นางมาอาละวาดทำลายข้าวของ สั่งตัดขาดไม่ให้สามีมายุ่งกับพี่เธอ
ความลำบากจึงมาเยือน ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินอยู่ ร้านประวัติเรื่องชู้สาวฉาวโฉ่ลูกค้าก็ไม่กล้าเข้ามาใช้บริการ
“สักวันมันก็ต้องเป็นกะหรี่เหมือนพี่มัน”
วัชรมัยถูกเพื่อนนักเรียนซุบซิบนินทาไม่เว้นว่าง ศรัญญาถลึงตาใส่พวกปากหอยปากปูจนตาโปน
สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อวารีไปกู้หนี้นอกระบบมาเป็นค่าใช้จ่าย คนทวงหนี้หมวกกันน็อคดำมายืนทวงดอกเบี้ยหน้าร้านอยู่ทุกวัน
ทางเลือกในชีวิตของสองพี่น้องช่างบีบรัด กระทั่งในคืนหนึ่ง วารีก็เอ่ย
“มิ้งรักนายหัวป้องใช่ไหม”
วัชรมัยตอบพี่สาวไม่ถูก เธอเป็นแค่เด็กสาว ยังสับสนว่ารักหรือไม่ ส่วนชอบนั้น ชอบเขาไปแล้วทั้งใจ
“พี่จะทำให้มิ้งได้เป็นเมียเขา”
“ไม่เอานะพี่หมิว มิ้งแค่ชอบเขาเอง ยังไม่ได้อยากเป็นเมีย” เธอส่ายศีรษะเป็นพัลวัน
“พี่ห่วงเธอนะมิ้ง ยิ่งโดนทวงหนี้แบบนี้ พี่กลัวสักวันจะหาไม่ทัน แล้วพวกมันเอาเธอไปขายตัวล้างหนี้”
เสียงจริงจังของวารีทำสาวน้อยขนลุกเกรียว
“เชื่อมือพี่เถอะ แล้วทุกอย่างจะดีเอง พี่รักมิ้งนะ พี่ทำทุกอย่างเพื่อเธอ”
จากนั้นวารีก็จัดฉาก ให้กลายเป็นทั้งไผทและวัชรมัยอยู่ในที่ลับตาคนสองต่อสอง พี่สาวเรียกร้องให้เขารับผิดชอบที่ทำเธอเสื่อมเสีย
ไผทไม่ว่าอะไร ยอมรับเธอเป็นเมีย พาไปอยู่บ้านด้วย
วัชรมัยที่ยังสับสนก็ตกเป็นเมียนายหัวอย่างงง ๆ
ไม่กี่เดือนต่อมาวารีก็ตาย เพราะถูกเมียหลวงของเสี่ยยิง ด้วยความหึงหวงจนเป็นข่าวดังกระฉ่อนจังหวัด
วัชรมัยร้องไห้อยู่เป็นอาทิตย์ เพราะเหลือตัวคนเดียวในโลกแล้ว
ไผทปกป้องเธอ ช่วยปิดข่าว ไม่ให้ออกจากบ้าน ช่วงนั้นเป็นตอนจบม.หกพอดี เขากับเธอจึงตกลงกัน หากสภาพจิตใจดีขึ้นค่อยสมัครเรียนมหาวิทยาลัยเปิด
ชีวิตสาวน้อยที่ขาดญาติมิตร มีที่พึ่งเดียวคือสามี แถมไม่ได้ออกไปไหน วัชรมัยจึงตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า เกือบจะได้กินยารักษาอยู่แล้ว หากไม่พบว่าตนตั้งครรภ์เสียก่อน
นั่นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการชิงอำนาจในจังหวัด มีความขัดแย้งเรื่องการซื้อขายที่ ลอบยิง แอบทำลายธุรกิจฝ่ายตรงข้าม
ไผทผู้ซึ่งมีที่ดินที่คนมีอิทธิพลในจังหวัดอยากได้ เขาต้องหัวหมุนกับการรับมือ ไม่ได้มาดูแลคนท้องอย่างเธอ
วัชรมัยที่อารมณ์แปรปรวนยิ่งเศร้าหนัก ยามเห็นเพื่อนสวมชุดนักศึกษา มีชีวิตวัยรุ่นสดใสในรั้วมหาวิทยาลัย เธอยิ่งร้องไห้
คิดว่าเร็วเกินไปที่ตัวเองจะเป็นแม่คน
เธออยากเรียน อยากทำตามความฝัน
อยากออกแบบเสื้อผ้าสวย ๆ
การครุ่นคิดอยู่ในความรู้สึกแบบนี้ รู้ถึงหูไผทจนได้ นำมาซึ่งการทะเลาะกัน
ทุกคนในบ้านตราหน้าวัชรมัยเป็นคนผิด
ทุกคนคาดหวังให้เธอเป็นเมีย เป็นแม่ของลูกที่ดี
วัชรมัยที่ยังเด็กไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดตรงไหน ที่มีความฝัน
นานวันเข้าผู้คนรอบข้างเริ่มมึนตึง มองวัชรมัยเป็นเด็กเอาแต่ใจ
ไผทไม่สนใจเธอ ไม่แม้จะมองเห็นอาการป่วยทางใจ สะสมนานวันเข้าก็ทำเธอเข้าโรงพยาบาล
วันนั้นวัชรมัยได้คุยกับจิตแพทย์ พรั่งพรูความรู้สึกข้างในออกมา
เธอไม่พร้อมจะเป็นเมีย
เธอไม่พร้อมจะเป็นแม่
เธอต้องการอิสระ
วัชรมัยต้องการชีวิตวัยรุ่นของเธอคืน
ไผทจึงยื่นข้อเสนอ ให้อุ้มท้องลูกจนครบกำหนดคลอด
แลกกับเงินสิบล้าน สละสิทธิ์เลี้ยงดูลูก และหายไปจากชีวิตทั้งสองเสีย
วัชรมัยมองผู้ชายที่เคยคิดว่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตด้วยน้ำตาคลอ
เขาไม่แคร์ ไม่สนใจความรู้สึกเธอเลย
ไม่คิดด้วยซ้ำว่านี่คืออาการเจ็บป่วย
เธอร้องไห้ทุกวันจนลูกคลอด เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นทนายมาพร้อมเอกสารให้เซ็นพร้อมเช็คสิบล้าน
จากนั้นคนงานก็เอากระเป๋าเดินทางใบเดิมใบเดียวกับที่เธอเคยลากเข้าบ้านไผทมาให้
วัชรมัยถูกไล่ออกจากชีวิตนายหัวไผทอย่างสมบูรณ์
เธอจึงติดต่อหาศรัญญาให้พาขึ้นรถไปกรุงเทพฯ ปิดฉากชีวิตการเป็นภริยานายหัว ทิ้งอดีตไปทุกอย่าง
“ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ”
ไผทผิวคล้ำขึ้นกว่าแต่ก่อน สันกรามมีแนวเขียวหนวดครึ้ม มาดคมเข้มขึ้นตามอายุ ดวงตาดุดันที่มองมายังเธอราวเป็นไฟจะเผาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
“ฉันแค่อยากเห็นหน้าลูก”
วัชรมัยยกมือป้ายน้ำตา ไม่ได้ขอความเห็นใจ แต่มันเกะกะไหลเข้าปากทำให้พูดไม่สะดวก
“ลูกฉันไม่ต้องการเธอ อย่าให้ลูกรับรู้ว่าเธอเป็นแม่”
“คุณหนีความจริงไม่พ้นหรอกนายหัวป้อง ฉันเป็นแม่แกนะ”
ไผทแสยะยิ้มร้าย
“ลืมไปแล้วเหรอว่าเธอรังเกียจ ไม่ต้องการลูกขนาดไหนนะฮึ!”
“ฉันไม่ได้รังเกียจแก”
เธอไม่เคยรังเกียจสกลกันต์เลยสักครั้ง แค่คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม
“อย่ามาโกหก! อยากได้อะไรล่ะ เงินเพิ่มเหรอ ฉันจะไม่ให้เธอสักบาทเดียว”
คนตัวสูงก้าวย่างช้า ๆ เข้ามาหาเธอ มวลความกดดันที่อัดแน่นเข้ามา ทำเอาหายใจติดขัด
“มิ้งไม่ต้องการอะไรเลยนะคะพี่ป้อง มิ้งแค่อยากเห็นหน้าลูก”
ด้วยถูกเขาข่มจนสติกระเจิงไม่เต็มร้อย วัชรมัยจึงเผลอเรียกกันได้สรรพนามเดิม
“แม่!”
ทันใดนั้นเสียงเล็ก ๆ ก็ทะลุเข้ามาทำลายความตึงเครียดภายในห้อง
“แม่กลับมาหาปราบแล้ว”
เด็กชายสกลกันต์ยิ้มแป้น วิ่งทะลุกลางห้องมากอดขาเธอ
วินาทีที่ได้ยินคำว่าแม่จากปากเล็ก ๆ ราวกับโลกของวัชรมัยหยุดหมุน เธอทรุดกายลง มืออันสั่นเทาโอบประคองแก้มยุ้ยของลูก“แม่กลับมาหาปราบแล้วใช่ไหมครับ แม่ไปอยู่ไหนมา รู้ไหมปราบคิดถึง”เด็กที่ชายที่กินสตอร์วเบอรี่ปั่นจนอิ่ม เห็นทั้งสองหายไปนาน แล้วเป็นช่วงจังหวะที่ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ศรัญญาจึงปล่อยให้เขานั่งอยู่คนเดียวกระจกห้องประชุมนั้นเป็นแบบใส สกลกันต์เห็นข้างในหมด ภาพวัชรมัยร้องไห้ ทำให้นึกถึงคำสอนของบิดา“ลูกต้องไม่รังแกคนอื่น”เด็กชายไม่เคยรังแกใคร แล้วทำไมพ่อถึงทำคุณน้าคนสวยร้องไห้เสียล่ะ เขาไม่ชอบเลยขาสั้นป้อมจึงเดินเตาะแตะไปเปิดประตูห้องประชุม หูได้ยินความจริงอันต้องตกตะลึง“ปราบคิดถึงแม่”สกลกันต์เบะปาก ความรู้สึกตื้อตันตีตื้นขึ้นในอก ในตาร้อนผ่าว“แม่ขอโทษครับปราบ...แม่ขอโทษ”เด็กชายโถมกอดซุกหน้าลงกับไหล่บาง วัชรมัยพร่ำบอกพร้อมกอดเจ้าตัวนุ่มนิ่มไว้แน่น“แม่ไปทำหน้าที่นางฟ้าเสร็จแล้วใช่ไหม จะกลับมาอยู่กับปราบตลอดไปใช่ไหมครับ”เสียงเล็ก ๆ มาพร้อมอาการสะอื้นฮัก หญิงสาวไม่ค่อยเข้าใจคำถามนัก แต่เธออยากอยู่กับลูกตลอดไป“จ้ะ แม่กลับมาแล้ว แม่จะอยู่กับปราบ”ไผทมองภาพการกอดกันของทั้งสองด้
ห้องทำงานของนายหัวไผทเป็นห้องลึกสุดทางเดิน อยู่ชั้นหนึ่งของบ้าน ประตูไม้สักสีเข้มสลักลายเถาวัลย์พันวัวชนอันดูดุดันบานประตูปิดอยู่ ราวกับไม่ต้อนรับใครทั้งนั้น วัชรมัยจำได้ดี เวลาไผทจะดุว่าเธอ เขามักเรียกมาที่ห้องนี้เวลาปรกติยามยังอยู่ด้วยกัน เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ถ้าเจ้าของไม่ต้องการมือขาวผอมบางเปิดประตูเข้าไป เจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหลังให้เธอ ตามองออกไปยังสวนเขียวข้างนอก“ฉันขออยู่กับลูกอีกหน่อยได้ไหม สักประเดี๋ยว”หญิงสาววอน ตอนนี้เรื่องเดียวที่ไผทจะทำคือไล่วัชรมัยออกไปจากที่นี่“เพื่ออะไรล่ะ เมื่อห้าปีที่แล้ว เธอเลือกรับเงิน ทิ้งเขาไปเอง ตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไร”คนบนเก้าอี้หันมา ดวงตาคมลึกส่งแววห้ำหั่น“หรือเงินหมดแล้ว อยากได้อีก จะใช้ลูกเป็นตัวประกันล่ะสิ เลว!”แม้คำบริภาษนี้ เธอก็เคยเอ่ยกับตัวเอง แต่ยามได้ฟังจากริมฝีปากหนา มันทำเจ็บกว่า บาดลึกจนรู้สึกราวเลือดอุ่น ๆ ซึมออกจากอก“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน ฉันต้องการเจอลูก”วัชรมัยสูดลมหายใจลึกอีกครา กล้ำกลืนเลือดเข้าไว้ในอก“เธอได้เจอเขาแล้ว ออกไปจากบ้านฉันซะ!”หญิงสาวพยายามมองหาความปรานีในดวงตาคม แต่มันไม่เหลือเลย มีเพีย
วัชรมัยพาสกลกันต์ในชุดนอนลายสไปเดอร์แมนลงมาข้างล่าง บ้านเปิดไฟสว่าง บรรยากาศเงียบเชียบเธอโดนยายพุดเล่นงานอีกแล้ว ไม่มีคนรับใช้คอยช่วยอะไรเลย แต่ไม่อยากเกินจะรับมือ ห้าปีที่ผ่านมาวัชรมัยทำอะไรเองมาตลอด เรื่องงานบ้านแค่นี้จิ๊บ ๆ นัก“ปราบไปตามพ่อมากินข้าวนะครับ”สกลกันต์พยักหน้าอย่างยินดี เธอเข้าครัว ลำเลียงอาหารมาจัดโต๊ะ บีบซอสมะเขือเทศตกแต่งออมเล็ตเป็นรูปหน้ายิ้มข้าวก็ตักใส่ถ้วยคว่ำลงจาน ตกแต่งข้าวขาวด้วยเม็ดข้าวโพดต้มเหลืองอ๋อยเป็นตา ปากเป็นรูปแคร์รอตส้มสดใสหั่นแว่น สภาพจึงเหมือนคนอ้าปากกว้างสิ่งละอันพันละน้อยที่เธอเรียนรู้จากยูทูปบ้าง จากหนังสือบ้าง วัชรมัยอยากทำมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าสกลกันต์“คุณหน้ายิ้ม คุณปากจู๋”เด็กชายเบิกตาโต ห่อปากเมื่อเห็นการตกแต่งในจาน“แม่มีเวทมนตร์จริง ๆ ด้วย”รอยยิ้มจากใบหน้าเล็ก ๆ ช่างมีอานุภาพทำลายล้างสูงนัก วัชรมัยกุมใจที่เต้นแรงแทบเป็นลม“อย่ามัวแต่เล่นสิปราบ กินข้าวได้แล้ว”ไผทยังตีหน้าเข้ม หลังเอ็ดลูก ก็เลื่อนเก้าอี้นั่งประจำหัวโต๊ะ สกลกันต์นั่งทางขวาเขา วัชรมัยนั่งถัดไป“ง่ำ ๆ แม่ทำมะเขือเทศอร่อย ไข่ปราบก็ชอบมาก”คนอายุน้อยสุดตาเป็นประกายทันทีเม
“ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยเถอะค่ะ”วัชรมัยในสภาพผมฟูกระเซิง ใบหน้าแห้งกรังไปด้วยคราบน้ำตากำลังอ้อนวอนคนงานที่ป้อมหน้าสวน“ขอร้องล่ะ หรือต้องการเงิน ฉันก็ให้ได้นะคะ”หญิงสาวล้วงกระเป๋าสตางค์ หยิบธนบัตรใบละพันขึ้นมาชูสามใบ“กลับไปเถอะครับคุณผู้หญิง”คนงานชายที่ลากเธอมาในทีแรกส่ายหน้า ขณะเพื่อนอีกสามสี่คนส่งสายตาวอกแวก ลังเลเมื่อเห็นธนบัตรส่ายยั่วใจอยู่ไหว ๆ“หลอกเอาเงินจากอีนี่ก่อนก็ได้...แล้วแกล้งทำเป็นปล่อยให้เข้ามา ค่อยจับกลับอีกที”หนึ่งในนั้นกระซิบแผนการอันชั่วร้าย“มึงรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”หนุ่มหุ่นสันทัดกระซิบบอกเพื่อน เล่าตัวตนที่ที่แท้จริงของเธอ เมื่อได้ฟังหนุ่ม ๆ ถึงกับหน้าซีดเผือด“ตะ...แต่นายหัวไล่ออกมาเองนะเว้ย”“ยังไงเธอก็เป็นแม่คุณปราบ มึงกล้าเหรอ”หลายคนคอหด ไผทนั้นดุก็จริง แต่สกลกันต์ก็ใช่ย่อย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น วีรกรรมแกล้งปล่อยหมาพิตบลูไล่คนงานในสวน จนต้องวิ่งหนีกันตับแทบแล่บยังตราตรึงใจอยู่มิรู้ลืม“ว่าไง เงินน่ะจะเอาไหม”วัชรมัยเสนอสิ่งที่เธอไม่ขาด ตอนนี้มีมากกว่าสิบล้านด้วยซ้ำ“พวกผมไม่ทรยศนายหัวหรอก เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะ”หญิงสาวหน้าสลด สมองแล่นเร็วจี๋ คิดจ
“ปราบจะไปหาแม่”ล้อรถเอสยูวีคันโตหยุดกึกลงในทันใด“คุณปราบครับ นิ่ง ๆ ไว้อย่าดิ้น”วิเชียรห้ามลูกเจ้านาย นี่คือเรื่องกังวลที่ทำเขาหน้าเสียในเช้านี้ ด้วยเจอพวกคนงานในป้อมเมื่อคืน เล่าว่าวัชรมัยอยู่ที่นั่นตลอด ตากฝนจนเช้า ลากก็ไม่ยอมไปไหน บอกจะรอเจอสกลกันต์“หะ...เอ้ย!”ไผทสบถ จ้องมองร่างบนถนนซึ่งมอมแมมไม่ต่างจากกองขยะเปียก“พ่อ!”เด็กชายสกลกันต์ร้องลั่น นายหัวเหลือบตาดูลูกน้องคู่ใจ วิเชียรเปิดประตูออก ไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยคนข้างหลังทันที ขาสั้นป้อมวิ่งปร๋อมุ่งไปยังถนน“ทำไมแม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่กลับสวรรค์แล้วใช่ไหม ทำไมแม่ตัวเปียก”วัชรมัยปวดหนึบทั่วศีรษะ ความอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทำให้สติรางเลือน กึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอมาทั้งคืน“ปราบ...”ร่างเล็กนิ่มโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึง จิตใจเด็กอันบริสุทธิ์ไม่ได้รังเกียจสภาพอันอเนจอนาถของมารดาเลย“แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”อ้อมกอดนุ่มอันแสนอบอุ่น กลิ่นกรุ่นนมสดที่แสนคิดถึง วัชรมัยดังคนร่อนเร่ในทะเลทราย เมื่อได้พบโอเอซิส ได้ลิ้มรสน้ำบริสุทธิ์ จึงยากจะห้ามใจไม่ให้ดื่มด่ำมันอีกการได้อยู่กับลูก คือความสุขใจที่ไม่อาจ
ศรัญญาขับรถกระบะตอนครึ่งมายังสวนปาล์ม เมื่อจอดลง ณ บ้านหลังใหญ่ ใบหน้าอวบอิ่มเล็ก ๆ ชะโงกออกจากประตูมาดู“น้าเก๋มาแล้ว”สกลกันต์ทักเสียงแจ๋ว ได้รับหน้าที่จากมารดาให้รอรับเพื่อน“ไงครับ ปราบ”ศรัญญาไม่ได้แปลกที่เด็กน้อยรู้จักเธอ วัชรมัยคงบอกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนต้องการสัมฤทธิผล“ปราบช่วยถือกระเป๋าฮะ”หน้าเงยมองกระบะสูง ศรัญญายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาตาคมฉ่ำวาว มารดาไม่ได้โกหก เธอจะกลับมาอยู่กับเขาจริง ๆ คนงานในบ้านเมื่อเห็นหญิงสาวก็รีบกระวีกระวาดช่วย“อ่ะ...น้าเอามาฝาก”ศรัญญายื่นขนมจากร้านถุงใหญ่ให้“ขอบคุณครับ”สกลกันต์หน้าบานดีอกดีใจ กระพุ่มมือไหว้อย่างงดงาม“ขอบใจที่เอาของมาให้นะแก”วัชรมัยออกมาพบเพื่อนด้วยชุดแปลกตา สวมเสื้อยืดนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีสันสดใส“เรื่องมันยาว”เธอหลุบหลบสายตา ศรัญญาเห็นนะ แก้มเพื่อนขึ้นสีแดง“มีเวลาฟังทั้งวัน ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่ มีอิสระในการทำงานนะเผื่อแกลืม”ศรัญญายิ้มล้อ วัชรมัยบอกคนรับใช้ในบ้านให้คอยดูแลสกลกันต์ในห้องนั่งเล่นด้วย ส่วนเธอพาเพื่อนไปคุยกันให้ห้องพักแขก“สรุปแกกลับมาเป็นนายหญิงของที่นี่แล้วงั้นสิ”เชฟสาวเลือกนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแ
ร่างขาวอ้อนแอ้นของวัชมัยเปลือยเปล่า ผิวใสกระจ่างต้องแสงหลอดไฟ เปลือกสีมุกครอบคลุมดวงตา ริมฝีปากเม้มเน้น มือแนบลำตัว กำแล้วก็คลาย สะกดกลั้นอาการหวาดหวั่น“ฉันไม่มีรสนิยมทำตัวเป็นโจรขืนใจใคร”เสียงทุ้มปนห้าวของคนร่วมห้องดังก้อง“ไม่ต้องหลับตาฝืนขนาดนั้น”หูได้ยินเขาหัวเราะหึ“ถ้าไม่เต็มใจทำก็ออกไป”ตาโตลืมขึ้นมาโดยพลัน การออกไปหมายถึงเธอต้องห่างจากลูก“พี่ป้องอยากให้มิ้งทำอะไรให้ละคะ”วัชรมัยสบตาคม ทิ้งยางอายไว้เบื้องหลัง“คิดสิว่าอีตัวต้องทำยังไงกับแขก”เกลียดยิ้มแสยะของเขาเหลือเกิน ไผทเมื่อห้าปีก่อน ไม่เคยทำตัวน่าเกลียดอย่างนี้กับเธอ“มิ้ง...ไม่รู้ มิ้ง ไม่เคยเป็นอีตัว”“ฉันไม่เชื่อ เธอหายไปตั้งห้าปี จะไม่มีคนอื่นได้ยังไง”“มิ้งเอาแต่เรียนกับทำงาน”“เหอะ...อ่อนปวกเปียกอย่างเธอน่ะเหรอจะทำงาน”ไผทหรี่ตามองเธอหัวจรดเท้า วัชรมัยไม่มีท่าทางกระฉับกระเฉงแบบคนทำงานเลย เธอตัวบาง ขาวซีดกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเสียอีก“พี่ป้องปากร้ายขึ้นนะคะ”“ฉันต้องร้ายให้สมกับคนเลวอย่างเธอไง”ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าใกล้ รังสีคุกคามแผ่กระทบจนวัชรมัยถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณระวังภัย“จะสงเคราะห์สอนงานอีตัวฝึกหัดให้ก็แล้ว
วัชรมัยปรือตาขึ้นเพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างยุก ๆ ยิก ๆ เสียดสีหน้าท้อง ทีแรกตกใจเมื่อลืมตาพบกับเพดานไม้สักไม่คุ้นตา ก่อนค่อยระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ไหน และอะไรเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืนเธอเม้มปากเงยมองเจ้าของท่อนแขนซึ่งพาดเอวกิ่วของตัวเองไว้ จมูกโด่งจมอยู่ในเรือนผม ตาแสนดุนั้นหลับพริ้มไผทขนตายาว ลักษณะพิเศษนี้ถ่ายทอดมาจนถึงสกลกันต์ ลูกไม่มีอะไรเหมือนวัชรมัยเลย นอกจากผิวขาว เด็กชายได้ส่วนที่ดีของบิดาไปหมดดีแล้ว วัชรมัยไม่อยากให้ลูกเกิดคำถามเหมือนเธอในวัยเด็กเธอเคยถามวารีว่าทำไมหน้าตนไม่เหมือนพี่ วัชรมัยเหมือนพ่อหรือแม่ เธอที่ไม่รู้ความอยากหาคำตอบตามประสาซื่อ วารีได้แต่ยิ้มยกมือลูบศีรษะก่อนโตมาวัชรมัยจะรับรู้ความจริงอันโหดร้าย เธอกับพี่ถูกพ่อแม่ทิ้งขว้าง ให้อยู่กันเพียงสองคนในโลกวารีกอดเด็กหญิงผู้ตัวสั่นเทาไว้ อ้อมอกอบอุ่นของพี่โอบล้อมเธอไว้ คนคนเดียวที่จะรักเธอตลอดชีวิตความตายของวารีคือการดับแสงดวงอาทิตย์ โลกที่ไม่มีพี่ของวัชรมัยพังทลายไผทจึงเป็นคนเดียวที่ช่วยเยียวยาชีวิตอันแห้งแล้ง จากการสูญเสีย แต่แล้วเขาก็ทำเธอผิดหวัง เจ็บป่วยหัวใจ กระทั่งต้องเลิกร้าง ลากันไป“อืม...”คนตัวโตผิวเข้มคร