วินาทีที่ได้ยินคำว่าแม่จากปากเล็ก ๆ ราวกับโลกของวัชรมัยหยุดหมุน เธอทรุดกายลง มืออันสั่นเทาโอบประคองแก้มยุ้ยของลูก
“แม่กลับมาหาปราบแล้วใช่ไหมครับ แม่ไปอยู่ไหนมา รู้ไหมปราบคิดถึง”
เด็กที่ชายที่กินสตอร์วเบอรี่ปั่นจนอิ่ม เห็นทั้งสองหายไปนาน แล้วเป็นช่วงจังหวะที่ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ศรัญญาจึงปล่อยให้เขานั่งอยู่คนเดียว
กระจกห้องประชุมนั้นเป็นแบบใส สกลกันต์เห็นข้างในหมด ภาพวัชรมัยร้องไห้ ทำให้นึกถึงคำสอนของบิดา
“ลูกต้องไม่รังแกคนอื่น”
เด็กชายไม่เคยรังแกใคร แล้วทำไมพ่อถึงทำคุณน้าคนสวยร้องไห้เสียล่ะ เขาไม่ชอบเลย
ขาสั้นป้อมจึงเดินเตาะแตะไปเปิดประตูห้องประชุม หูได้ยินความจริงอันต้องตกตะลึง
“ปราบคิดถึงแม่”
สกลกันต์เบะปาก ความรู้สึกตื้อตันตีตื้นขึ้นในอก ในตาร้อนผ่าว
“แม่ขอโทษครับปราบ...แม่ขอโทษ”
เด็กชายโถมกอดซุกหน้าลงกับไหล่บาง วัชรมัยพร่ำบอกพร้อมกอดเจ้าตัวนุ่มนิ่มไว้แน่น
“แม่ไปทำหน้าที่นางฟ้าเสร็จแล้วใช่ไหม จะกลับมาอยู่กับปราบตลอดไปใช่ไหมครับ”
เสียงเล็ก ๆ มาพร้อมอาการสะอื้นฮัก หญิงสาวไม่ค่อยเข้าใจคำถามนัก แต่เธออยากอยู่กับลูกตลอดไป
“จ้ะ แม่กลับมาแล้ว แม่จะอยู่กับปราบ”
ไผทมองภาพการกอดกันของทั้งสองด้วยใจปวดหนึบ วัชรมัยเป็นผู้หญิงร้ายกาจ เชื่อใจไม่ได้ เธอต้องทำลูกเสียใจเป็นแน่
“มิ้ง”
ศรัญญาเข้ามาเป็นคนสุดท้าย เมื่อไม่เห็นสกลกันต์นั่งอยู่ที่โต๊ะ เพื่อนจึงมองหาจนพลอยได้เห็นภาพในห้องประชุม เหลือบดูหน้าไผท
โอ๊ะ...โอ เคร่งเครียดพร้อมขบหัวทุกคนที่เข้าใกล้
“ทุกอย่างโอเคไหม”
ศรัญญาหลบตา เสมองเพื่อนกับหลานที่กอดกันกลม
“ฮื่อ ทุกอย่างโอเคแก”
มือขาวผอมจนเห็นเส้นเลือดยกขึ้นป้ายน้ำตา ยิ้มชื่นสมหวัง เด็กชายผละจากไหล่บาง ใบหน้ากลมแป้นเปื้อนน้ำตาเช่นกัน แก้มกับจมูกโด่งขึ้นสีแดง สูดน้ำมูกฟิด ๆ
“แม่กลับไปอยู่บ้านกับปราบนะครับ”
เด็กถามชวนมารดาที่เพิ่งพบหน้าอย่างเว้าวอน เธอยังไม่ทันอ้าปากตอบอะไร อีกคนก็ขัด
“แม่เขายังทำหน้าที่ตัวเองไม่เสร็จเรียบร้อยดีครับ วันนี้ปราบต้องกลับบ้านกับพ่อนะ”
ไผทรีบแทรก ในเมื่อเรื่องแตกแล้ว ก็ไม่อาจโกหกได้ แยกลูกออกไปก่อน แล้วค่อยมาเจรจายื่นข้อเสนอกับวัชรมัย
ผู้หญิงอย่างเธอจู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าลูก ต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่ ไผทสังหรณ์ใจว่าไม่ใช่เรื่องดี
“ใช่ ๆ ปราบกลับบ้านไปกับพ่อก่อนนะครับ”
ศรัญญาเห็นด้วย สภาพเพื่อนน้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้ คงไม่มีสติเจรจาอะไร เรื่องความแตกที่เป็นแม่สกลกันต์นี่คงเป็นเหตุบังเอิญแน่ ๆ ดูท่าเพื่อนคงไม่ได้วางแผนไว้
คืนนี้ค่อยตบสติตั้งหลักกันใหม่ว่าจะเอายังไง ดูสิ หน้าพ่อลูกเพื่อนแทบจะแยกเขี้ยวเป็นยักษ์พร้อมหักคอคนจิ้มน้ำพริกอยู่แล้ว
“ไปทำงานที่บ้านปราบก็ได้ครับ เวิร์คฟอร์มโฮมไง เหมือนแม่เกล ที่บ้านปราบมีไฟวายนะครับ ยายพุดชอบใช้ตรวจหวย แกบอกรู้ผลเร็วดี ประหยัดกว่าซื้อกระดาษตรวจ”
ผู้ใหญ่ที่ได้ฟังถึงกับอึ้ง ประมาทความฉลาดของเด็กชายน้อยไปหน่อย ช่างพูดช่างจา รู้ความดีจริง ๆ นะพ่อคุณ
“หน้าที่นางฟ้าของแม่มีอะไรบ้างครับ ให้ปราบช่วยไหม ลุงเชียรบอกปราบช่วยงานเก่ง เคยไปช่วยเก็บลูกปาล์มด้วย”
คำพูดซื่อ ๆ แววตาใส ๆ ที่จ้องเป๋ง ทำเอาผู้ใหญ่ที่เห็นใจอ่อนยวบ
“ปราบครับ อย่าเอาแต่ใจ ...แม่เขามีหน้าที่ต้องทำ”
ไผทก้าวเข้ามาใกล้ ยื่นมือรวบตัวลูกไปจากอกเธอ วัชรมัยดังใจหลุดลอยร่วง คว้ากอดตัวลูกเอาไว้แน่น
“แม่กลับบ้านกับปราบนะครับ ปราบคิดถึงแม่ สัญญาระหว่างทำงาน ปราบจะไม่เอาแต่ใจ ไม่ดื้อ ไม่ซน”
นิ้วก้อยป้อม ๆ ยกขึ้นเตรียมเกี่ยว
“ปราบ...”
ชายหนุ่มปรามลูกชายด้วยเสียงกดต่ำ เมื่อเห็นสถานการณ์ชักจะบานปลายจากเจ้าตัวดื้อ
“โอเคครับ โอเค แม่จะกลับบ้านไปกับปราบ”
คิ้วเข้มขมวดผูกเป็นปม ส่วนศรัญญาอ้าปากค้าง กลัวเพื่อนโดนฆ่าหมกสวนปาล์ม ก็ดูหน้าพ่อของลูกเพื่อนสิ
“เย้!”
สกลกันต์กระโดดดึ๋ง ๆ จนแก้มกลมกระเพื่อม ยิ้มตาโค้งเป็นสระอิ
ยามวัชรมัยลุกขึ้น มือเล็กก็จับเธอไว้แน่น เดินนำออกไปออกร้าน ปลายสายตาเธอคนเป็นพ่อ ตาเข้มที่ส่งมาทอประกายวาบโหด ราวกับจะฆ่ากันให้ตาย
สองแม่ลูกนั่งคุยกันหงุงหงิงบนเบาะหลังรถ ไผทที่ไม่อาจปิดบังความไม่พอใจขั้นสุด ต้องทำหน้าที่คนขับ
แม้แผ่รัศมีมาคุออกมาสักเพียงไหน สองแม่ลูกที่คุยกันหน้าบานก็หาได้สนใจไม่
“แม่ครับหน้าที่ของนางฟ้ามีอะไรบ้าง ทำไมแม่ไปทำงานนานจัง กว่าจะได้กลับมาหาปราบ”
พอสติเริ่มกลับมาวัชรมัยก็นึกขอบคุณไผท เขาสอนลูกดีมาก เลี่ยงไม่ให้ลูกรู้สึกโดนแม่ทิ้ง โดยหลอกว่าเธอไปเป็นนางฟ้า
“แม่มีหน้าที่ทำให้คนมีความสุขครับ”
เธอพยายามหาคำตอบที่ดีที่สุด แม้จะไม่รู้เหมือนกันว่าหน้าที่นางฟ้าที่ว่านั่นจริง ๆ ต้องทำอะไร
“เหมือนนางฟ้าแม่ทูนหัวที่เสกชุดเต้นรำให้ซินเดอเรลล่าไปงานเลี้ยงใช่ไหมครับ”
“ปราบอ่านนิทานซินเดอเรลล่าด้วยเหรอครับ”
วัชรมัยเหล่ตาไปยังไผท เขาอ่านเรื่องหวานแหว๋วมุ้งมิ้งอย่างนี้ให้ลูกฟังด้วยละหรือ
“เกลเล่าให้ฟังครับ เกลอยากมีนางฟ้าแม่ทูนหัว เสกท็อฟฟี่ให้เยอะ ๆ”
สกลกันต์กลับมาพูดเจื้อยแจ้ว ทั้ง ๆ ตายังบวม จมูกแดง เธอเปิดกระเป๋าสะพายของตน หยิบทิชชูเช็ดหน้าเจ้าตัวเล็กอย่างทะนุถนอม
“แม่เสกชุดสวย ๆ ได้ใช่ไหมครับ ทำให้ดูหน่อย ปราบจะเอาไปโชว์เกล”
มีเรื่องให้ได้อวดแล้ว เด็กชายแก้มกลมหน้าบานสุขใจ
“เดี๋ยวแม่ตัดชุดให้เกลดีไหมครับ ตัดให้ปราบด้วย แถมให้เพื่อนอีกคนที่ชื่อดีนด้วยก็ได้”
ด้วยฝีมือและหน้าที่การงานระดับเธอ เรื่องแค่นี้วัชรมัยทำได้สบายมาก
“เสกชุดให้พ่อด้วยได้ไหมครับ น้าเชียรกับยายพุดด้วย” สกลกันต์แสดงความใจกว้างเอื้ออารี
“นางฟ้าเสกอะไรเยอะ ๆ ขนาดนั้นไม่ได้หรอกลูก หมดแรงกันพอดี”
คนขับรถขัด ดวงตาผู้ใหญ่สองคู่สบกัน ไผทมองอย่างจับผิด
“แม่ไม่ได้เสกครับ แต่แม่จะตัดเสื้อผ้าให้ต่างหาก”
เธอละความสนใจจากเขา เลือกใช้เวลาอันมีค่าที่สุดอยู่กับลูกมากกว่า
“แม่ตัดเสื้อผ้าเป็นเหรอครับ”
คิ้วสกลกันต์ขมวดคิดว่าแม่เป็นนางฟ้า เสกเอาไม่ง่ายกว่าหรือ
“แม่ทำเป็นสิครับ ก็แม่เป็นดีไซเนอร์”
“โห...”
ลูกชายมองเธอตาสุกใสเป็นประกาย
“แม่เก่งมากเลย เป็นทั้งนางฟ้า เป็นทั้งดีไซเดอร์”
“ดีไซเนอร์ครับ ไม่ใช่ดีไซเดอร์”
เธอหัวเราะเผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันราวไข่มุก ยกมือขึ้นยีกลุ่มเส้นผมนุ่มบนศีรษะเล็ก
“ดี...ซาย...เนอร์”
สกลกันต์ออกเสียงช้า ๆ ชัด ๆ มองมารดาด้วยสายตาความหวัง
“เก่งมากครับปราบ”
เมื่อได้รับคำชมก็ยิ้มแก้มแทบแตก
“แม่อยู่บนฟ้า แม่หนาวไหมครับ เดี๋ยวปราบแบ่งผ้าห่มสไปเดอร์แมนให้นะ ตอนนอนแม่เหงาหรือเปล่า ปราบให้ยืมพี่สิงโตไปกอด”
น้ำตาที่เช็ดแล้ว กลับมาไหลรินออกรอบ ความรู้สึกปลาบปลื้มตีรวนขึ้นในอก
ลูกชายช่างเป็นเด็กจิตใจดี
ลูกชายห่วงเธอ
“แม่อย่าร้องนะครับ โอ๋ ๆ”
ด้วยอายุขนาดนี้ สกลกันต์ไม่อาจแยกได้ว่าเธอร้องเพราะอะไร จึงตีความตามประสาเด็กว่าที่ร้องเพราะเจ็บตัว ต้องปลอบ
“พ่อ วันนี้บอกยายพุดทำทอดมันกุ้งได้ไหม ปราบจะได้แบ่งให้แม่กินเยอะ ๆ”
สกลกันต์เตรียมวางแผนเอาของกินปลอบ ยายพุดใช้วิธีนี้บ่อยครั้ง เวลาเขามีน้ำตา สกลกันต์จึงลักมาใช้บ้าง
“แม่เขาไม่ชอบ...”
ไผทยิ้มเหยียด วัชรมัยไม่ชอบของทอด เธอเคยบ่นกลัวอ้วนแล้วใส่เสื้อผ้าไม่สวย
“กินครับ แม่จะกิน ทุกอย่างที่ปราบให้แม่กินเลย”
หากเป็นของจากลูก ไม่ว่าหิน ดิน ทราย ต้นหญ้าขึ้นตามพื้น วัชรมัยพร้อมกินหมด
“แม่ชอบกินทอดมันกุ้งเหรอ เหมือนปราบเลย”
สกลกันต์มองหาความเหมือนระหว่างตนกับแม่ น้อยใจนิดหน่อยที่ใคร ๆ มักบอกเขาเหมือนพ่อ พอได้รู้ว่าแม่ชอบกินเหมือนตนก็พอจะเก็บไว้อวดคนอื่นได้บ้าง
“ปราบชอบกินชีสวัวหัวเราะ แม่เคยกินไหมครับ”
เสียงแจ้ว ๆ เล่าเรื่องตนของลูกฟังไพเราะเสนาะหูกว่าดนตรีใด ๆ ในโลกหล้า วัชรมัยนั่งฟังเพลิน อยากหยุดช่วงเวลาเปี่ยมสุขนี้ไว้ให้นานนับนิรันดร์
กระทั่งรถคันโตมาจอดลง ณ บ้านหลังใหญ่
“ทำการบ้านให้เสร็จก่อนนะค่อยดูการ์ตูน”
ไผทบอกลูกเหมือนทุกวัน ตั้งใจแยกเจ้าตัวดีออกไป จะได้มีเวลาเจรจากับแขกไม่ได้รับเชิญ
“แม่สอนการบ้านปราบหน่อยนะครับ”
สกลกันต์ส่งสายปิ๊ง ๆ ให้เธอ
“ปราบ”
ผู้เป็นพ่อชักจะหมดความอดทน ลูกชายติดคนง่ายไปแล้ว เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เดินตามก้นวัชรมัยต้อย ๆ
“นะครับ เหมือนที่แม่เกลกับดีนสอนการบ้านให้”
เจ้าตัวเล็กทำปากยู่ น่ารักผิดกับคนคมเข้มอย่างบิดา
“เดี๋ยวพ่อสอนให้เอง”
ไผทตัดปัญหา ไม่อยากให้ลูกอยู่ใกล้ผู้หญิงที่เขาไม่ไว้ใจคนนี้
“ไม่เอา พ่อชอบดุปราบ”
สกลกันต์สะบัดหน้าพรืด
“พ่อไม่ได้ดุ”
คิ้วเข้มขมวด
“แต่พ่อชอบทำหน้าอย่างนี้”
นิ้วแง่งขิงชี้ไปยังหัวคิ้ว คิ้วไผทขมวดมุ่น ก่อนคลายลง
“พ่อชอบดุปราบ”
“พ่อไม่ได้...”
ไผทหาคำแก้ตัวไม่ออก อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน สกลกันต์ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับเขาเลย พอวัชรมัยมาเท่านั้นแหละ ลูกชายกลายเป็นเด็กขี้ฟ้อง
“แม่จะสอนการบ้านปราบเองนะครับ”
หญิงสาวตัดบทความขัดแย้งระหว่างสองหนุ่ม
“เย้!”
สกลกันต์อารมณ์ดีจนกระโดดผมปลิวเปิดหน้าผากเหม่ง จากนั้นจูงมือแม่เดินเข้าบ้านไป ทิ้งกระเป๋าไว้บนรถให้ผู้เป็นพ่อหิ้วตามมา
ไผทกัดฟันกรอดยอมหิ้วกระเป๋านักเรียนตามสองแม่ลูกเข้าบ้านไป
เย็นนี้สกลกันต์ทำการบ้านด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างที่สุด ด้วยมารดาใจเย็น ค่อย ๆ สอน พาเล่นเกมจับคู่คำภาษาอังกฤษ
พอเขาตอบถูกก็ชมตลอด หอมหัวบ้าง บีบแก้มบ้าง
ไผทเอาโน้ตบุคมานั่งเฝ้า...เอิ่ม นั่งทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่นของลูกด้วย บังเอิญหูได้ยินยามวัชรมัยออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำเนียงอเมริกันชัดเจน
บางทีห้าปีที่ผ่านมาเธออาจไปอาศัยอยู่ที่นั่น
ห้าปีที่ทิ้งลูกไปเสวยสุข
ห้าปีที่ลูกตกอยู่ภายใต้เสียงซุบซิบนินทา
ห้าปีที่ลูกเฝ้ารอแม่อยู่ทุกวัน
แล้ววันนี้วัชรมัยก็กลับมา
ยิ้มหัวเราะราวกับไม่เคยทุกข์ร้อน
ผู้หญิงเลวร้ายอย่างนี้ ไม่สำนึกในการกระทำของตัวเอง ไผทไม่อาจยอมรับให้อยู่ใกล้ลูกได้
“มาคุยกันหน่อย”
เขากระซิบเสียงต่ำ หลังทำการบ้านเสร็จ ความสนใจของสกลกันต์จ้องอยู่ที่การ์ตูนในโทรทัศน์
“ตามฉันมาห้องทำงาน”
ยามร่างสูงคล้อยหลังไป วัชรมัยบอกลูกว่าจะไปห้องน้ำจากนั้นออกมาที่ทางเดิน
สูดลมหายใจเรียกความเข้มแข็งทั้งหมดในชีวิตที่มี เตรียมใจเผชิญหน้ากับเขา แล้วตามไผทไปยังห้องทำงาน
ห้องทำงานของนายหัวไผทเป็นห้องลึกสุดทางเดิน อยู่ชั้นหนึ่งของบ้าน ประตูไม้สักสีเข้มสลักลายเถาวัลย์พันวัวชนอันดูดุดันบานประตูปิดอยู่ ราวกับไม่ต้อนรับใครทั้งนั้น วัชรมัยจำได้ดี เวลาไผทจะดุว่าเธอ เขามักเรียกมาที่ห้องนี้เวลาปรกติยามยังอยู่ด้วยกัน เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ถ้าเจ้าของไม่ต้องการมือขาวผอมบางเปิดประตูเข้าไป เจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหลังให้เธอ ตามองออกไปยังสวนเขียวข้างนอก“ฉันขออยู่กับลูกอีกหน่อยได้ไหม สักประเดี๋ยว”หญิงสาววอน ตอนนี้เรื่องเดียวที่ไผทจะทำคือไล่วัชรมัยออกไปจากที่นี่“เพื่ออะไรล่ะ เมื่อห้าปีที่แล้ว เธอเลือกรับเงิน ทิ้งเขาไปเอง ตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไร”คนบนเก้าอี้หันมา ดวงตาคมลึกส่งแววห้ำหั่น“หรือเงินหมดแล้ว อยากได้อีก จะใช้ลูกเป็นตัวประกันล่ะสิ เลว!”แม้คำบริภาษนี้ เธอก็เคยเอ่ยกับตัวเอง แต่ยามได้ฟังจากริมฝีปากหนา มันทำเจ็บกว่า บาดลึกจนรู้สึกราวเลือดอุ่น ๆ ซึมออกจากอก“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน ฉันต้องการเจอลูก”วัชรมัยสูดลมหายใจลึกอีกครา กล้ำกลืนเลือดเข้าไว้ในอก“เธอได้เจอเขาแล้ว ออกไปจากบ้านฉันซะ!”หญิงสาวพยายามมองหาความปรานีในดวงตาคม แต่มันไม่เหลือเลย มีเพีย
วัชรมัยพาสกลกันต์ในชุดนอนลายสไปเดอร์แมนลงมาข้างล่าง บ้านเปิดไฟสว่าง บรรยากาศเงียบเชียบเธอโดนยายพุดเล่นงานอีกแล้ว ไม่มีคนรับใช้คอยช่วยอะไรเลย แต่ไม่อยากเกินจะรับมือ ห้าปีที่ผ่านมาวัชรมัยทำอะไรเองมาตลอด เรื่องงานบ้านแค่นี้จิ๊บ ๆ นัก“ปราบไปตามพ่อมากินข้าวนะครับ”สกลกันต์พยักหน้าอย่างยินดี เธอเข้าครัว ลำเลียงอาหารมาจัดโต๊ะ บีบซอสมะเขือเทศตกแต่งออมเล็ตเป็นรูปหน้ายิ้มข้าวก็ตักใส่ถ้วยคว่ำลงจาน ตกแต่งข้าวขาวด้วยเม็ดข้าวโพดต้มเหลืองอ๋อยเป็นตา ปากเป็นรูปแคร์รอตส้มสดใสหั่นแว่น สภาพจึงเหมือนคนอ้าปากกว้างสิ่งละอันพันละน้อยที่เธอเรียนรู้จากยูทูปบ้าง จากหนังสือบ้าง วัชรมัยอยากทำมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าสกลกันต์“คุณหน้ายิ้ม คุณปากจู๋”เด็กชายเบิกตาโต ห่อปากเมื่อเห็นการตกแต่งในจาน“แม่มีเวทมนตร์จริง ๆ ด้วย”รอยยิ้มจากใบหน้าเล็ก ๆ ช่างมีอานุภาพทำลายล้างสูงนัก วัชรมัยกุมใจที่เต้นแรงแทบเป็นลม“อย่ามัวแต่เล่นสิปราบ กินข้าวได้แล้ว”ไผทยังตีหน้าเข้ม หลังเอ็ดลูก ก็เลื่อนเก้าอี้นั่งประจำหัวโต๊ะ สกลกันต์นั่งทางขวาเขา วัชรมัยนั่งถัดไป“ง่ำ ๆ แม่ทำมะเขือเทศอร่อย ไข่ปราบก็ชอบมาก”คนอายุน้อยสุดตาเป็นประกายทันทีเม
“ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยเถอะค่ะ”วัชรมัยในสภาพผมฟูกระเซิง ใบหน้าแห้งกรังไปด้วยคราบน้ำตากำลังอ้อนวอนคนงานที่ป้อมหน้าสวน“ขอร้องล่ะ หรือต้องการเงิน ฉันก็ให้ได้นะคะ”หญิงสาวล้วงกระเป๋าสตางค์ หยิบธนบัตรใบละพันขึ้นมาชูสามใบ“กลับไปเถอะครับคุณผู้หญิง”คนงานชายที่ลากเธอมาในทีแรกส่ายหน้า ขณะเพื่อนอีกสามสี่คนส่งสายตาวอกแวก ลังเลเมื่อเห็นธนบัตรส่ายยั่วใจอยู่ไหว ๆ“หลอกเอาเงินจากอีนี่ก่อนก็ได้...แล้วแกล้งทำเป็นปล่อยให้เข้ามา ค่อยจับกลับอีกที”หนึ่งในนั้นกระซิบแผนการอันชั่วร้าย“มึงรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”หนุ่มหุ่นสันทัดกระซิบบอกเพื่อน เล่าตัวตนที่ที่แท้จริงของเธอ เมื่อได้ฟังหนุ่ม ๆ ถึงกับหน้าซีดเผือด“ตะ...แต่นายหัวไล่ออกมาเองนะเว้ย”“ยังไงเธอก็เป็นแม่คุณปราบ มึงกล้าเหรอ”หลายคนคอหด ไผทนั้นดุก็จริง แต่สกลกันต์ก็ใช่ย่อย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น วีรกรรมแกล้งปล่อยหมาพิตบลูไล่คนงานในสวน จนต้องวิ่งหนีกันตับแทบแล่บยังตราตรึงใจอยู่มิรู้ลืม“ว่าไง เงินน่ะจะเอาไหม”วัชรมัยเสนอสิ่งที่เธอไม่ขาด ตอนนี้มีมากกว่าสิบล้านด้วยซ้ำ“พวกผมไม่ทรยศนายหัวหรอก เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะ”หญิงสาวหน้าสลด สมองแล่นเร็วจี๋ คิดจ
“ปราบจะไปหาแม่”ล้อรถเอสยูวีคันโตหยุดกึกลงในทันใด“คุณปราบครับ นิ่ง ๆ ไว้อย่าดิ้น”วิเชียรห้ามลูกเจ้านาย นี่คือเรื่องกังวลที่ทำเขาหน้าเสียในเช้านี้ ด้วยเจอพวกคนงานในป้อมเมื่อคืน เล่าว่าวัชรมัยอยู่ที่นั่นตลอด ตากฝนจนเช้า ลากก็ไม่ยอมไปไหน บอกจะรอเจอสกลกันต์“หะ...เอ้ย!”ไผทสบถ จ้องมองร่างบนถนนซึ่งมอมแมมไม่ต่างจากกองขยะเปียก“พ่อ!”เด็กชายสกลกันต์ร้องลั่น นายหัวเหลือบตาดูลูกน้องคู่ใจ วิเชียรเปิดประตูออก ไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยคนข้างหลังทันที ขาสั้นป้อมวิ่งปร๋อมุ่งไปยังถนน“ทำไมแม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่กลับสวรรค์แล้วใช่ไหม ทำไมแม่ตัวเปียก”วัชรมัยปวดหนึบทั่วศีรษะ ความอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทำให้สติรางเลือน กึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอมาทั้งคืน“ปราบ...”ร่างเล็กนิ่มโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึง จิตใจเด็กอันบริสุทธิ์ไม่ได้รังเกียจสภาพอันอเนจอนาถของมารดาเลย“แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”อ้อมกอดนุ่มอันแสนอบอุ่น กลิ่นกรุ่นนมสดที่แสนคิดถึง วัชรมัยดังคนร่อนเร่ในทะเลทราย เมื่อได้พบโอเอซิส ได้ลิ้มรสน้ำบริสุทธิ์ จึงยากจะห้ามใจไม่ให้ดื่มด่ำมันอีกการได้อยู่กับลูก คือความสุขใจที่ไม่อาจ
ศรัญญาขับรถกระบะตอนครึ่งมายังสวนปาล์ม เมื่อจอดลง ณ บ้านหลังใหญ่ ใบหน้าอวบอิ่มเล็ก ๆ ชะโงกออกจากประตูมาดู“น้าเก๋มาแล้ว”สกลกันต์ทักเสียงแจ๋ว ได้รับหน้าที่จากมารดาให้รอรับเพื่อน“ไงครับ ปราบ”ศรัญญาไม่ได้แปลกที่เด็กน้อยรู้จักเธอ วัชรมัยคงบอกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนต้องการสัมฤทธิผล“ปราบช่วยถือกระเป๋าฮะ”หน้าเงยมองกระบะสูง ศรัญญายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาตาคมฉ่ำวาว มารดาไม่ได้โกหก เธอจะกลับมาอยู่กับเขาจริง ๆ คนงานในบ้านเมื่อเห็นหญิงสาวก็รีบกระวีกระวาดช่วย“อ่ะ...น้าเอามาฝาก”ศรัญญายื่นขนมจากร้านถุงใหญ่ให้“ขอบคุณครับ”สกลกันต์หน้าบานดีอกดีใจ กระพุ่มมือไหว้อย่างงดงาม“ขอบใจที่เอาของมาให้นะแก”วัชรมัยออกมาพบเพื่อนด้วยชุดแปลกตา สวมเสื้อยืดนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีสันสดใส“เรื่องมันยาว”เธอหลุบหลบสายตา ศรัญญาเห็นนะ แก้มเพื่อนขึ้นสีแดง“มีเวลาฟังทั้งวัน ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่ มีอิสระในการทำงานนะเผื่อแกลืม”ศรัญญายิ้มล้อ วัชรมัยบอกคนรับใช้ในบ้านให้คอยดูแลสกลกันต์ในห้องนั่งเล่นด้วย ส่วนเธอพาเพื่อนไปคุยกันให้ห้องพักแขก“สรุปแกกลับมาเป็นนายหญิงของที่นี่แล้วงั้นสิ”เชฟสาวเลือกนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแ
ร่างขาวอ้อนแอ้นของวัชมัยเปลือยเปล่า ผิวใสกระจ่างต้องแสงหลอดไฟ เปลือกสีมุกครอบคลุมดวงตา ริมฝีปากเม้มเน้น มือแนบลำตัว กำแล้วก็คลาย สะกดกลั้นอาการหวาดหวั่น“ฉันไม่มีรสนิยมทำตัวเป็นโจรขืนใจใคร”เสียงทุ้มปนห้าวของคนร่วมห้องดังก้อง“ไม่ต้องหลับตาฝืนขนาดนั้น”หูได้ยินเขาหัวเราะหึ“ถ้าไม่เต็มใจทำก็ออกไป”ตาโตลืมขึ้นมาโดยพลัน การออกไปหมายถึงเธอต้องห่างจากลูก“พี่ป้องอยากให้มิ้งทำอะไรให้ละคะ”วัชรมัยสบตาคม ทิ้งยางอายไว้เบื้องหลัง“คิดสิว่าอีตัวต้องทำยังไงกับแขก”เกลียดยิ้มแสยะของเขาเหลือเกิน ไผทเมื่อห้าปีก่อน ไม่เคยทำตัวน่าเกลียดอย่างนี้กับเธอ“มิ้ง...ไม่รู้ มิ้ง ไม่เคยเป็นอีตัว”“ฉันไม่เชื่อ เธอหายไปตั้งห้าปี จะไม่มีคนอื่นได้ยังไง”“มิ้งเอาแต่เรียนกับทำงาน”“เหอะ...อ่อนปวกเปียกอย่างเธอน่ะเหรอจะทำงาน”ไผทหรี่ตามองเธอหัวจรดเท้า วัชรมัยไม่มีท่าทางกระฉับกระเฉงแบบคนทำงานเลย เธอตัวบาง ขาวซีดกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเสียอีก“พี่ป้องปากร้ายขึ้นนะคะ”“ฉันต้องร้ายให้สมกับคนเลวอย่างเธอไง”ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าใกล้ รังสีคุกคามแผ่กระทบจนวัชรมัยถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณระวังภัย“จะสงเคราะห์สอนงานอีตัวฝึกหัดให้ก็แล้ว
วัชรมัยปรือตาขึ้นเพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างยุก ๆ ยิก ๆ เสียดสีหน้าท้อง ทีแรกตกใจเมื่อลืมตาพบกับเพดานไม้สักไม่คุ้นตา ก่อนค่อยระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ไหน และอะไรเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืนเธอเม้มปากเงยมองเจ้าของท่อนแขนซึ่งพาดเอวกิ่วของตัวเองไว้ จมูกโด่งจมอยู่ในเรือนผม ตาแสนดุนั้นหลับพริ้มไผทขนตายาว ลักษณะพิเศษนี้ถ่ายทอดมาจนถึงสกลกันต์ ลูกไม่มีอะไรเหมือนวัชรมัยเลย นอกจากผิวขาว เด็กชายได้ส่วนที่ดีของบิดาไปหมดดีแล้ว วัชรมัยไม่อยากให้ลูกเกิดคำถามเหมือนเธอในวัยเด็กเธอเคยถามวารีว่าทำไมหน้าตนไม่เหมือนพี่ วัชรมัยเหมือนพ่อหรือแม่ เธอที่ไม่รู้ความอยากหาคำตอบตามประสาซื่อ วารีได้แต่ยิ้มยกมือลูบศีรษะก่อนโตมาวัชรมัยจะรับรู้ความจริงอันโหดร้าย เธอกับพี่ถูกพ่อแม่ทิ้งขว้าง ให้อยู่กันเพียงสองคนในโลกวารีกอดเด็กหญิงผู้ตัวสั่นเทาไว้ อ้อมอกอบอุ่นของพี่โอบล้อมเธอไว้ คนคนเดียวที่จะรักเธอตลอดชีวิตความตายของวารีคือการดับแสงดวงอาทิตย์ โลกที่ไม่มีพี่ของวัชรมัยพังทลายไผทจึงเป็นคนเดียวที่ช่วยเยียวยาชีวิตอันแห้งแล้ง จากการสูญเสีย แต่แล้วเขาก็ทำเธอผิดหวัง เจ็บป่วยหัวใจ กระทั่งต้องเลิกร้าง ลากันไป“อืม...”คนตัวโตผิวเข้มคร
เช้านี้ ณ โรงเรียนอนุบาลชื่อดังของจังหวัด สกลกันต์เดินเข้าอาคารเรียนพร้อมจูงมือสาวหุ่นบอบบางสวมเชิ้ตแขนกุด ท่อนล่างเป็นกางเกงทรงชิโนตัวหลวมปากเล็กเล่าโน่นนี่เจื้อยแจ้ว มือจับกระชับมั่นกับมือแม่ บางจังหวะก็ยิ้มทักทาย ส่งเสียงเรียกเพื่อนดังลั่น ขณะผู้เป็นพ่อเดินหน้าตึงตามทั้งสองมาข้างหลัง“เกล...ดีน นี่แม่เราแหละ”สกลกันต์แนะนำมารดาหน้าชื่นตาบาน สองเพื่อนยกมือไหว้ วัชรมัยทั้งรับไหว้เด็ก และโค้งศีรษะทักทายพ่อแม่เพื่อนลูก“แม่เรากลับจากบนฟ้า จะมาอยู่กับเราตลอดไป”ผู้ใหญ่ที่ได้ยินชะงัก มองหญิงสาวอย่างสนใจ ข่าวนายหัวไผทตกพุ่มม่ายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว สกลกันต์กำพร้า แล้วจู่ ๆ ก็มีแม่ หลายคนเตรียมเก็บข้อมูลเด็ดไปเม้าท์ในวงน้ำชา“กัปตันนี่แม่เรา วันนี้แม่ทำแซนด์วิช ทำคุณไข่พระอาทิตย์กับก้อนเมฆให้ด้วย”เมื่อสบตาคู่อริ สกลกันต์ไม่พลาดอวด เด็กชายกัปตันมองหน้าวัชรมัย ก่อนรีบหลบซุกศีรษะหลังขาแม่ตน กลัวคำขู่ที่เธอจะฟ้องครูเมื่อวันก่อนคู่กรณีโดนเขากลั่นแกล้งมีเยอะ ถ้ารู้ถึงหูครูแม่ต้องรู้ด้วย แม่มักลงโทษให้งดขนม กัปตันไม่ยอมอดของหวานหรอก“แม่คั้นน้ำส้มให้เราด้วยอร้อย...อร่อย”วัชรมัยเลยได้รู้นิสั