Share

บทที่ 8 “จะได้อยู่กับลูก...จะได้อยู่กับปราบ”

ศรัญญาขับรถกระบะตอนครึ่งมายังสวนปาล์ม เมื่อจอดลง ณ บ้านหลังใหญ่ ใบหน้าอวบอิ่มเล็ก ๆ ชะโงกออกจากประตูมาดู

“น้าเก๋มาแล้ว”

สกลกันต์ทักเสียงแจ๋ว ได้รับหน้าที่จากมารดาให้รอรับเพื่อน

“ไงครับ ปราบ”

ศรัญญาไม่ได้แปลกที่เด็กน้อยรู้จักเธอ วัชรมัยคงบอกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนต้องการสัมฤทธิผล

“ปราบช่วยถือกระเป๋าฮะ”

หน้าเงยมองกระบะสูง ศรัญญายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมา

ตาคมฉ่ำวาว มารดาไม่ได้โกหก เธอจะกลับมาอยู่กับเขาจริง ๆ คนงานในบ้านเมื่อเห็นหญิงสาวก็รีบกระวีกระวาดช่วย

“อ่ะ...น้าเอามาฝาก”

ศรัญญายื่นขนมจากร้านถุงใหญ่ให้

“ขอบคุณครับ”

สกลกันต์หน้าบานดีอกดีใจ กระพุ่มมือไหว้อย่างงดงาม

“ขอบใจที่เอาของมาให้นะแก”

วัชรมัยออกมาพบเพื่อนด้วยชุดแปลกตา สวมเสื้อยืดนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีสันสดใส

“เรื่องมันยาว”

เธอหลุบหลบสายตา ศรัญญาเห็นนะ แก้มเพื่อนขึ้นสีแดง

“มีเวลาฟังทั้งวัน ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่ มีอิสระในการทำงานนะเผื่อแกลืม”

ศรัญญายิ้มล้อ วัชรมัยบอกคนรับใช้ในบ้านให้คอยดูแลสกลกันต์ในห้องนั่งเล่นด้วย ส่วนเธอพาเพื่อนไปคุยกันให้ห้องพักแขก

“สรุปแกกลับมาเป็นนายหญิงของที่นี่แล้วงั้นสิ”

เชฟสาวเลือกนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนอีกคนนั่งบนขอบเตียง

“ไม่ใช่อยู่ในฐานะนายหญิง แต่ฉันได้กลับมาเป็นแม่ของลูก”

“หือ...หมายความว่า”

มันน่าอายในความจริงที่จะเล่าให้เพื่อนฟัง

“ฉันต้องดูแลพี่ป้อง แลกกับการอยู่เป็นแม่ของปราบ”

คิ้วเชฟสาวขมวดเป็นโบ ค่อย ๆ คิดตามคำบอกเล่าเพื่อน ก่อนร้องเสียงหลง

“ดูแลคนพ่อ ที่ไม่ใช่แค่กล่อมเอ่...เอ๊ ตบตูดนอนใช่ไหมแก”

“ฮื่อ นั่นแหละ”

วัชรมัยพยักหน้าอย่างคนตัดสินใจแล้ว

“พี่ป้องให้ฉันมีเซ็กซ์กับเขา”

“บ้าไปแล้ว!”

ศรัญญาอ้าปากค้าง ตาเบิกโต

“เขาทำอย่างนี้ทำไม หรือว่ายังรักแก”

เธอชะโงกตัวจ้องหน้าเพื่อน อีกฝ่ายส่ายศีรษะ

“ไม่หรอก พี่ป้องแค่อยากเอาคืน แก้เผ็ดฉันที่ทิ้งเขาไป”

เธอไม่เห็นความรักหลงเหลือในดวงตาคู่คมอีกแล้ว แม้แต่ความสงสาร ความปรานีเห็นใจก็ไม่มีเหลือ

“เธอจะเป็นได้แค่อีตัวบนเตียง ฉันจะเอาคืนทุกบาททุกสตางค์สิบล้านที่เสียไป โทษฐานที่เธอหน้าด้านกลับมา”

วัชรยังจำคำที่เขาประกาศก้อง มันเล่นในสมองซ้ำไปซ้ำมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

“ตกลงค่ะ”

แต่กระนั้นวัชรมัยก็ไม่พลาดโอกาสสุดท้ายในชีวิต โอกาสที่จะได้อยู่ข้างลูก ไม่สนการทำร้ายจิตใจของไผทที่จะเริ่มขึ้น

“เฮ้อ! ชีวิตแกนี่ยังไงนะมิ้ง เหมือนจะดี จู่ ๆ ก็...”

ศรัญญาพรูลมหายใจยาว เรียกวิญญาณที่แทบจะหลุดออกจากร่างกลับมาด้วย

“แกไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเลือกเอง”

เธอสิ่งยิ้มบางเบา บ่งบอกตนเองโอเค

“ฉันเลือกเองทุกอย่าง...เลือกเองตั้งแต่ต้น”

สองสาวจ้องตากัน ก่อนผู้เป็นแขกจะหลับตา

“งั้นก็ตามใจละกัน”

ศรัญญาพยักหน้าปลดปลง เธอก็แค่เพื่อน ทำได้ดีที่สุดคือให้กำลังใจ ในเมื่อเจ้าตัวเลือกแล้วนี่

“ว่าแต่เรื่องนัดล่ะ”

“กำหนดปลายเดือนนี้ ฉันจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ว่าจะปรึกษาทางโน้น ย้ายประวัติมาที่นี่”

เหตุการณ์กะทันหันไปหน่อย แต่วัชรมัยยังพอวางแผนรับมือทัน

“แก...โอเคนะ มีอะไรโทรคุยกันได้”

“ขอบใจมากเก๋ จริง ๆ เว้ย นี่เป็นช่วงที่ฉันสบายใจที่สุด แค่ได้อยู่กับลูก ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

วัชรมัยกระพือตาถี่ ๆ ไล่น้ำอุ่น ๆ ที่กำลังเอ่อล้น

“เห็นแกสบายใจ ฉันก็ดีใจด้วย ไปก่อนนะ ไม่อยากอยู่เจอหน้านายหัวป้อง กลัวโดนฆ่าหมกสวนปาล์ม”

ศรัญญาแกล้งทำท่าลูบแขนตนเองอย่างขนลุก เรียกเสียงหัวเราะน้อย ๆ จากคนบนเตียง

ป้านิดเข้ามาวัดไข้วัชรมัยในตอนเย็น ปรากฏไข้ลดลงแล้ว

“เช็ดตัวสักหน่อย อีกวันสองวันน่าจะหาย”

คนที่ดีใจที่สุดคือสกลกันต์ เด็กชายอยากเข้าใกล้วัชรมัย แต่โดนขู่จะติดหวัดแล้วทำแม่เสียใจ ถึงกับยอมลงทุนสวมหน้ากากอนามัยลายหมีน้อยมาหา

“วันนี้ปราบกินพริกหยวกหมดด้วยฮะแม่”

พอโดนไผทเช็กบิลเรื่องนินทา ยายพุดก็ทำเงียบปากลง แต่ยังใช้ประโยชน์หลอกล่อว่าแม่ชอบเด็กกินผัก สกลกันต์ที่ติดแม่มากจึงหลงกลเข้าเต็ม ๆ

“ปราบเก่งมากครับ”

ดวงตาเล็กหยิบหยีเป็นสระอิ

“ปราบจะกินข้าวให้เก่ง ๆ อ่านหนังสือเยอะ ๆ จะได้เป็นหมอ มารักษาแม่”

เจ้าตัวเล็กเล่าความฝันตามประสาซื่อ

“ปราบไม่ต้องเป็นหมอก็ได้ลูก แค่เป็นเด็กดีแม่ก็รักแล้ว”

ต้องห้ามใจไม่ให้เผลอกอด ด้วยห่วงลูกกลัวติดไข้ มือผอมบางจึงได้แต่ลูบศีรษะทุยเบา ๆ

“ปราบก็รักแม่ คืนนี้ขอนอนด้วยได้ไหมฮะ สัญญาจะนอนให้ห่างแม่ เชื้อโรคจะได้ไม่ติด ปราบจะได้ไม่เป็นไข้”

สกลกันต์บอกความปรารถนาในทันที พร้อมส่งสายตาปิ๊ง ๆ อันนี้จำมาจากเกล เพื่อนบอกเป็นท่าตาลูกหมา เอาไว้อ้อนผู้ใหญ่ขอของ สกลกันต์จึงไปจ้องเจ้าพิตบลูท้ายสวนแล้วจำมา

วัชรมัยถึงกับยกมือกุมใจ ลูกเธอน่ารักที่สุด มีบ้านให้บ้าน มีรถให้รถ เซ็นพินัยกรรมยกมรดกให้ตอนนี้ก็ยังได้

“นะ...นะฮะ แม่ ปราบจะไม่ดิ้น จะทำตัวเล็กนิดเดียว”

พร้อมยกนิ้วแง่งขิงจีบประกอบ วัชรมัยกำลังจะใจอ่อนอยู่แล้วเชียว แต่ใครบางคนที่ฟังบทสนทนาอยู่ตั้งแต่ต้นก็กระแอมออกมา

“แฮ่ม...”

“ปราบจะนอนกับแม่”

สกลกันต์ประกาศความต้องการของตนเองก้อง ไม่ยอมให้ใครขัด แม้แต่บิดาของตน

“แม่ยังไม่หายป่วย เดี๋ยวก็ติดไข้”

ไผทไม่มีความจำเป็นต้องแอบฟัง เสียงเจื้อยแจ้วของลูกชายดังลอดห้องออกมาเอง เขาที่กลัวลูกจะติดนิสัยร้ายกาจจากวัชรมัยจึงมาดูเสียหน่อย

“ปราบจะใส่หน้ากาก จะนอนให้ห่างแม่ด้วย”

พอมีอีกคนเข้ามา สกลกันต์กล้าเถียงบิดามากขึ้น

“ปราบครับ คุณเชื้อโรคน่ะร้ายมากนะ บางทีตอนหลับอาจจะกระโดดเกาะตัวปราบก็ได้”

“เหมือนตัวบุ้งเหรอ ปราบเกลียดบุ้ง อี๊...”

เจ้าตัวทำตาโตเอามือลูบแขน ไหล่สั่นไหวทันที

“เชื้อโรคที่แม่เป็นก็คล้าย ๆ กันนะลูก ถึงให้นอนห่าง ๆ กันไว้”

วัชรมัยพยายามสอนอย่างละมุนละม่อม ไม่เช่นนั้นหากลูกติดไข้ขึ้นมาจริง ๆ เธอคงโทษตัวเองไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่เป็นแน่

“แล้วแม่นอนคนเดียวไม่เหงาเหรอฮะ”

เจ้าตัวดียังอาลัยอาวรณ์

“แม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว นอนคนเดียวได้”

“แต่ทำไมยายพุดบอกว่าน้าเชียรชอบไปนอนในเมือง แสดงว่าต้องมีผู้ใหญ่นอนคนเดียวไม่ได้เยอะสินะฮะ”

ทั้งเธอและเขาเกิดอาการสำลักน้ำลาย ตั้งแต่พรุ่งนี้ไผทต้องเข้มงวดกับพนักงานอีกมาก ๆ สั่งห้ามคุยอะไรสองแง่สองง่ามให้ลูกเขาฟัง

“พอแล้วไอ้เสือ อย่ากวนแม่เขานัก ไปนอนได้แล้ว”

ไผทตัดจบการสนทนา ยื่นมือจับไหล่ลูก

“ปราบอยากฟังแม่เล่านิทาน”

เด็กชายตาปรอย

“พ่อเล่าให้ฟังก็ได้”

“พ่อเล่าไม่สนุกเท่าแม่อ่ะ”

ใบหน้าชายหนุ่มครึ้มไปทั้งแถบ ไม่พอใจที่ลูกชายผู้ซึ่งตนเลี้ยงมากับมือ สนใจผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันวันกว่า ๆ มากกว่า

“พ่อเล่าสนุกมากนะครับ ตอนปราบอยู่ในท้องแม่ก็พ่อนี่แหละเป็นคนเล่านิทานให้ฟัง”

ไผทเคยพยายามทำหน้าที่พ่อที่ดีแล้ว ตามแบบของเขา แต่วัชรมัยในวัยเยาว์ยังเห็นว่าดีไม่พอ สุดท้ายเมื่อเจอกับความมึนตึงทุกครั้ง เขาก็เลิกเข้าใกล้เธอไปเอง

“เรื่องไอ้เท่งก็สนุกนะ”

“อย่ามัวแต่พูดเล่นกันอยู่เลย รีบไปนอนได้แล้วปราบ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแล้วนะ ห้ามเบี้ยว”

ไผทช้อนร่างลูกชายอุ้มพาดบ่า พาเดินออกไป

“กู๊ดไนท์ฮะแม่”

เด็กชายส่งสายตาละห้อยพร้อมกล่าวลา

“กู๊ดไนท์ครับลูก”

วัชรมัยโบกมือบาย ๆ เมื่ออยู่เพียงลำพัง ห้องก็ดูเงียบเหงา ต่างจังหวัดในสวนแบบนี้ วัชรมัยได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไร ต่างจากที่ที่เธอจากมา

ที่นั่นเป็นเมืองใหญ่เต็มไปด้วยแสงสีอันไม่เคยหลับ กลางคืนยังได้ยินเสียงไซเรน แม้จะพักในเพ้นท์เฮ้าส์บนตึกสูงก็ตาม

เพราะไม่มีสิ่งบันเทิงใจนอกจากมือถือหนึ่งเครื่อง และเธอก็นอนมาทั้งวันแล้ว วัชรมัยจึงไถมือถือไปเรื่อย ก่อนเห็นสเตตัสของใครบางคนออนไลน์อยู่ เธอพิมพ์ถาม...ว่างไหม อีกฝ่ายส่งสติกเกอร์โอเคมา

วัชรมัยจึงกดโทรหาเพื่อเริ่มต้นบทสนทนา

“ค่ะ มิ้งขอบคุณพี่บลูมากนะคะ”

ปลายสายบอกไม่เป็นไร เมื่อนึกถึงใบหน้าที่มีรอยยิ้มเป็นนิจ วัชรมัยก็คลายเรื่องกังวลไปอีกหนึ่ง

“ขอโทษที่มารบกวนตอนดึกค่ะ ถ้าไม่ได้พี่ช่วย มิ้งคงทำอะไรไม่ถูก งมโข่งไปอีกนาน”

อีกฝ่ายอวยพรให้เธอทำใจสบาย ๆ อย่าเครียด

“ไว้มิ้งจะตัดสูทให้นะคะ พี่บลูชอบสีเทาควันบุหรี่ใช่ไหม เจอกันทุกทีเห็นพาดสูทแต่สีนี้ไว้บนเก้าอี้ทำงาน”

ข้อดีของอาชีพวัชรมัยคือความช่างสังเกตเสื้อผ้าของผู้คน เพื่อจะได้ทำงานออกมาให้ถูกรสนิยม

“มิ้งจะตัดให้หลาย ๆ ตัวเลยค่ะ สัญญา ถ้าไปกรุงเทพฯเมื่อไรจะเลี้ยงกาแฟนะคะ”

บุรินทร์เป็นหนึ่งในคนที่หวังดีกับวัชรมัยด้วยใจจริง เธอกับเขาเจอกันเมื่อถึงจุดวิกฤติของชีวิต

ขณะเธอเศร้าเสียใจ ก็ได้บุรินทร์นี่แหละคอยปลอบ ช่วยให้กำลังใจ จนเธอเลือกจะกลับมาเจอลูก

“ขอบคุณมาก ๆ นะคะพี่บลู”

สายทางไกลตัดไป พร้อมใจอันชื่นบาน ขณะวางมือถือลงที่โต๊ะหัวเตียง ร่างอรชรกลับสะดุ้งเฮือก เมื่อตาสบพบอีกคนเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“พี่ป้อง...มีอะไรเหรอคะ”

ใบหน้าผู้มาเยือนไม่ดีเลย ตาคมมองวัชรมัยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ขบกรามกรอด

“เธอคุยกับใคร”

“...เพื่อนค่ะ”

คงนับบุรินทร์อยู่ในสถานะนั้นได้กระมัง

“เพื่อนผู้ชายที่ไหนกันจะยอมให้โทรหาตอนดึกดื่น”

“มิ้งไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกพี่ป้องนะคะ”

วัชรมัยยกผ้าห่มคลุมกาย รู้สึกบรรยากาศไม่ปลอดภัย

“ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ ถ้าเธอจะเคยนอนกับผู้ชายคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่ตอนอยู่กับฉัน”

ขายาว ๆ ย่างสุขุมเข้ามา หญิงสาวทำตัวลีบเล็ก กระทั่งหลังติดแนบหัวเตียง

“ฉันไม่ใช้ผู้หญิงร่วมกับใคร!”

“พี่ป้อ...”

เอ่ยยังไม่ทันจบ ริมฝีปากซีดก็ถูกประกบด้วยอวัยวะชนิดเดี๋ยวกัน

“อื้อ...”

ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน มีแต่การบังคับดุดัน ไผทดูดดึงริมฝีปากบางจนห้อเลือด

“เห็นเธอป่วย ว่าจะใจดีให้พักเสียหน่อย แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ถอดเสื้อผ้าออก ฉันจะเช็คของ!”

เมื่อจุมพิตอย่างไม่เต็มใจจบลง เสียงทุ้มต่ำดังแหวกเสียงหรีดเรไรข้างนอก ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวเหน็บชวนขนลุก

ไผทแสยะยิ้มร้ายให้คนบนเตียง

“ทำสิ ไม่งั้นก็ไสหัวไปออกจากบ้านฉัน ออกไปจากชีวิตลูก”

วัชรมัยกลืนทุกความรู้สึกกลับไปในอก มือสั่นถอดเสื้อผ้าออก

“จะได้อยู่กับลูก...จะได้อยู่กับปราบ”

เสียงในสมองดังก้องสะกดจิตตนเอง

เพื่อได้อยู่กับลูก ต่อให้ต้องลงนรกขุมไหนเธอก็จะทน!

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status