“ปราบ ไปนั่งข้างหลัง เดี๋ยวแม่หนัก”เด็กชายตัวจ้อยยังซุกอกอบอุ่น กลิ่นหอมชวนให้รู้สึกปลอดภัย ศีรษะเล็กส่ายไม่ยินยอม ยามวัชรมัยเปิดประตูรถที่นั่งข้างคนขับ“ปราบ...”ไผทเรียกลูกอีกครั้งด้วยเสียงอันกดต่ำ“ไม่เอา ปราบจะนั่งกับแม่”เจ้าหนูยืนยันคำเดิม ผู้เป็นพ่อกำลังจะเอื้อมไปแกะมือเหนียวหนึบเป็นโคอาล่าออก หญิงสาวก็วางลูกชายลงให้ยืนบนพื้นรถเสียก่อน“ให้นั่งกับมิ้งเถอะค่ะ พี่ป้องอย่าเพิ่งดุลูก ปราบยังใจไม่ดี”ไม่รอคำอนุญาต วัชรมัยขึ้นรถ อุ้มลูกนั่งตัก เจ้าตัวดีเอนศีรษะซุกอกมารดา มองตอบผู้เป็นบิดาตาแป๋ว“ถ้าพี่ป้องกลัวปราบไม่ปลอดภัย มิ้งจะกอดลูกให้แน่น ๆ จะปกป้องแก สาบานด้วยชีวิต”แววตาที่ส่งมาบ่งบอกความไม่ยอมแพ้และมุ่งมั่น ไผทถอนหายใจแรง ยอมไปนั่งประจำที่คนขับ และสตาร์ทรถเคลื่อนออกไป“แม่เท่ที่สุดเลย สู้กับพ่อกัปตันได้ด้วย”สกลกันต์คุยหงุงหงิง ภูมิใจมากที่วัชรมัยตัวนิดเดียว กลับสู้นายตำรวจตัวโตท่าทางดุดันน่ากลัวได้“แม่เก่งอย่างนี้ จะไม่ทิ้งปราบไป จะอยู่ด้วยกันตลอดใช่ไหมครับ”สายตาเธอกับเขาสบกัน ก่อนหญิงสาวจะเป็นผู้หลุบหลบเองอย่างมีพิรุธ“แม่อยู่กับปราบนะ ไม่ต้องกลับไปสวรรค์แล้ว ปราบจะไม่ตี
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”วัชรมัยทอดเสียงอ่อนหวาน เล่าเรื่องเจ้าม้าลายจอมซนผจญภัยมีบางจังหวะที่ถูกขัด“แม่ครับทำไม...”เธออธิบายให้ลูกเข้าใจอย่างใจเย็น จนสกลกันต์พยักหน้า เริ่มเล่าต่อ ไม่ทันไรคนอนตรงกลางก็ส่งเสียงอีก“แม่ครับปราบว่า...”ไผทคิ้วกระตุก ปรกติสกลกันต์ไม่เคยถามรัว ๆ แบบนี้ มารดาก็อธิบายใจเย็น รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากตลอด“แล้วเจ้าม้าลาย...”เธอเล่าต่อ ไผทไม่ได้สนใจเนื้อหาในนิทาน ตาจับจ้องไปยังริมฝีปากบางสีชมพู หูจับเสียงหวานใสที่เอื้อนเอ่ยวัชรมัยคือแม่ค้าน้ำปั่นหน้าแฉล้มข้างร้านอุปกรณ์การเกษตร เขาที่รอคนงานขนของขึ้นรถ ทั้งเบื่อและร้อน จึงช่วยอุดหนุนน้ำปั่น รสมือวัชรมัยไม่เหมือนใคร“อร่อยไหมคะนายหัว”ดวงตาซื่อ ๆ มองเขาอย่างคาดหวัง นานมากที่ไม่เห็นแววตาแบบนี้ ไผทมักเจอแต่สายตายั่วยวนแบบแม่เสือสาว พร้อมจับเขาขึ้นเตียงกลืนลงท้องความใสของวัชรมัยจึงเป็นความแปลก ทีแรกคิดว่าแค่เผลอติดใจสาวหน้าใหม่จากต่างถิ่นไป ๆ มา ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนวิเชียรแซวเรื่องแม่ค้าน้ำปั่นผู้น่ารัก ที่เขาเทียวไปสั่งกินทุกครั้งยามเข้าจังหวัดไผทจึงรู้ตัวว่าไม่ได้เผลอ แต่ติดใจวัชรมัยเข้าอย่างจัง เธอทำให้
“ห่ะเอ้ย! นายหัว”วิเชียรถอนหายใจโล่งอกทันที เมื่อเห็นหน้าเจ้าของร่างที่นอนเหยียดยาวบนพื้นทราย ทีแรกคิดว่าเป็นศพลอยเกยหาดเสียอีก“มาทำอะไรที่นี่แต่เช้าครับ”หัวหน้าคนงานพิจารณาอีกที เจ้านายสวมชุดเดิมเมื่อวานไม่ใช่เหรอ“เรื่องของกู มึงล่ะแหกขี้ตามาทำไม”ไผทตามองไปยังท้องฟ้าเวลาหัวรุ่ง ความสว่างไล่ผืนราตรีกาลอันดำมืด เริ่มมองเห็นสรรพสิ่งได้ราง ๆ คลื่นทะเลซาดซัดชัดเจนขึ้น มีเสียงนกบินเซ็งแซ่ออกจากรังวิเชียรในกางเกงขาสั้นเสื้อบอล รองเท้ากีฬาสีขาวมอซอ ทรุดนั่งลงแปะข้างเจ้านาย“มาวิ่งสิครับ ถามได้”ลมทะเลพัดเย็นสบาย อากาศสดชื่น สูดลมหายใจได้เต็มปอด หาดแห่งนี้อยู่ท้ายสวนปาล์ม ไม่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวอื่น มีโขดหินเยอะ มักโผล่ลงตอนน้ำลงทัศนียภาพไม่เรียบรื่นตา มีความเป็นธรรมชาติอยู่สูง ทั้งทิวต้นไม้เขียว เถาผักบุ้งทะเลเลื้อยระเกะระกะทอดยาวเกือบครึ่ง เรียกได้ว่าแทบจะเป็นหาดส่วนตัว“เพื่อสุขภาพที่ดี จะได้มีชีวิตอยู่นาน ๆ”ตอบไปโดยไม่คิดจะไปสะกิดใจคนนอนอยู่ ทั้งสองเงียบไปครู่ จนเจ้านายเอ่ย“มึงจะทำยังไงวะเชียร ถ้ารู้ว่าคนรู้จักกำลังจะตาย”“ฮ่ะ...”ลูกน้องขมวดคิ้ว หน้าเจ้านายนิ่งมาก จึงคิดว่าเป็น
“ฮึก...ปราบไปด้วยไม่ได้เหรอ”สกลกันต์เกาะขามารดาแน่นหนึบ เงยหน้าจ้องเธอด้วยน้ำที่รื้นตา นี่คือเหตุการ์หนึ่งวันก่อนวัชรมัยและไผทจะไปกรุงเทพฯทั้งสองเรียกลูกมาคุย บอกจะให้สกลกันต์อยู่รออยู่บ้าน วานป้านิดกับวิเชียรช่วยดูแล“พ่อกับแม่จะไปทำธุระสำคัญกัน เด็กไปด้วยไม่ได้” คำพูดของไผทยิ่งทำให้ศีรษะเล็ก ๆ ส่ายหนัก“ปราบขอไปด้วย สัญญาจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ดื้อ ไม่ซน”สกิลการต่อรองถูกนำมาใช้อีกครั้ง วัชรมัยอยากจะใจอ่อน แต่ครั้งนี้ยอมลูกไม่ได้จริง ๆ“ที่ที่พ่อกับแม่จะไปไม่เหมาะกับเด็กหรอกครับ เราไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ เอาอย่างนี้ไหม จะซื้อขนมมาฝากปราบเยอะ ๆ เลย”คนสะอื้นฮักมีลังเล“แม่จะกลับมาใช่ไหม ไม่พาพ่อไปสวรรค์ด้วยนะ ปราบไม่ยอม ไม่อยากอยู่คนเดียว”วัชรมัยจนใจ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังไผท“ปราบ หยุดร้อง พ่อจะพาแม่กลับมาแน่ พ่อเคยผิดสัญญากับปราบไหมหือ?”เด็กน้อยมองมารดาสลับบิดา“ใช่ครับคุณปราบ เดี๋ยวนายหัวก็กลับมา ถ้าคิดถึงโทรหากันก็ได้”วิเชียรรีบเสริม สงสัยอยู่เหมือนกันตอนนายหัวมาฝากคุมงาน บอกจะพาวัชรมัยไปกรุงเทพฯปรกติไปไหนไกล ๆ ไผทจะแจ้งเหตุผลในการไปเสมอ มีเพียงครั้งนี้ที่แปลกไป เจ้านายบอกพร้อม
มื้อกลางวันเป็นไปอย่างราบรื่น ...แบบวัชรมัยรีบ ๆ กินให้จบ ๆ ขณะไผทตักอาหารเข้าปาก ตาก็จ้องเธอเขม็งคิดว่าเรื่องวันนี้จบแล้ว กลายเป็นพ่อของลูกลากเก้าอี้มาจากไหนไม่รู้มานั่งเฝ้าเธอในห้องทำงานวัชรมัยจ้องเขาอยู่นานมาก นิคกี้ยืนทำตัวลีบแทบติดผนัง ไผทยกมือกอดอกมองเธอนิ่ง“พี่ป้องออกไปก่อนได้ไหมคะ มิ้งต้องทำงาน ไม่มีสมาธิ”“พี่แค่อยู่ในห้องเฉย ๆ”ไผทอยากรู้ งานอะไรกันหนอที่วัชรมัยทุ่มเท หลงใหลจนลืมดูแลสุขภาพ ในเมื่อเธอกลับมาเป็นแม่ของสกลกันต์ กลับมาเป็นเมียเขาแล้ว ไผทต้องดูแล ไม่อยากให้สุขภาพวัชรมัยทรุดลงกว่านี้รู้อยู่หรอกว่าสักวันเธอต้องตาย แต่ไม่ต้องตายเร็วก็ได้ เขา...แค่ก สกลกันต์จะเสียใจ ไผทไม่อยากเห็นน้ำตาลูก“ไม่ได้ทำลายสมาธิเสียหน่อย งานเธอต้องปลีกวิเวกขนาดนั้นเลยหรือไง”เจ้าของห้องเม้มปาก เธอทำงานได้ทุกทีที่อยู่แล้ว เพียงไม่ชอบสายตาที่มอง จ้องเธอราวทะลุปรุโปร่ง รู้สึกถึงความไม่ไว้ใจ“แล้วอย่างนี้จะกลับไปอยู่บ้านนอกคอกนา อย่างสวนปาล์มของฉันได้ยังไง”นายหัวจี้จุดอ่อน คิ้วเรียวขมวดแล้วคลาย พรูลมหายใจยาว“งั้น...เอาที่พี่ป้องสบายใจเถอะค่ะ”วัชรมัยยอมแพ้ ไม่ห้ามแล้ว เถียงไปก็เหนื่อยเอง
“มิ้งขอโทษ ถ้าชาตินี้พี่ป้องไม่ให้อภัย ชาติหน้าถ้าเกิดใหม่ จะยอมเป็นช้างม้าวัวควายไถนารับใช้พี่”ปากสีอ่อนสั่น เสียงเครือ ภาพร่างใหญ่โตที่เคลื่อนเข้าใกล้ยิ่งรางเลือนด้วยน้ำตา“ช้างม้าวัวควายที่ผอม ๆ อย่างเธอ ฉันเลี้ยงไว้ก็เปลืองหญ้าเปล่า ๆ”ไผทไร้เยื่อใย แม้ความเอื้ออาทรข้ามภพข้ามชาติยังไม่มีให้ วัชรมัยมัวแต่เสียใจ รู้ตัวอีกทีก็รับรู้ถึงความอุ่นแข็งแรงมาไล้ใต้ตาบวมช้ำ“อีกอย่างถ้าเธอไม่ได้เกิดใกล้ ๆ ฉัน ถ้าเกิดเป็นเต่าล่ะจะทำยังไง”มีเสียงหึในลำคอคนพูด เธอคงเมาน้ำตากระมัง เพราะมองเห็นริมฝีปากสีเข้มแย้มยิ้ม“ฉันไม่โดนจับฐานใช้งานสัตว์ป่าคุ้มครองเหรอ”“พี่ป้อง...”วัชรมัยไม่ได้ตาฝาด เสน่ห์อย่างหนึ่งที่เธอเคยหลงเขาคือไผทชอบปล่อยมุกหน้าตาย ...ใครไม่ตลกแต่เธอตลก เป็นมุมน่ารัก ๆ ของนายหัวตัวโต“มิ้งซีเรียสนะคะ”เธอสูดลมหายใจดังฟืด ปลายจมูกแดงเพราะเป่าปี่หนัก“มิ้งกำลังจะตาย อยากขออโหสิกรรม”“ปอดแหกจริง มะเร็งมันก็แค่โรค ๆ หนึ่ง เหมือนปวดฟันนั่นแหละ รักษาแล้วเดี๋ยวก็หาย”แก้มคนร้องไห้ป่อง ปากแดงสีสดเม้ม ขนาดร้องไห้ตายังแวบวาว บ่งบอกความไม่พอใจ ซึ่งไผทก็พอใจแล้ว ที่เธอเปลี่ยนอารมณ์ ลดความเศร้
รถใต้ดินยามเย็นใกล้เลิกงานคนเยอะ ช่วยไม่ได้ที่วัชรมัยจะโดนเบียด แต่ไม่อึดอัดนัก เพราะมีกำแพงอกแน่นคอยกั้นอยู่หูติด ๆ ดับ ๆ ฟังประกาศชื่อสถานีไม่ชัด ศีรษะก้มหงุดตาเห็นแต่ปลายเท้าตนเองปรกติวัชรมัยเจอแต่ไผทเวอร์ชันร้อนแรง ไม่ปากร้าย ก็ทำหน้าดุ ฉุดกระชากลากถูเวอร์ชันนิ่งแบบนี้เธอไม่ชิน ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบเดียวกับไผทคนเดิมเมื่อห้าปีก่อน ...คนที่มาจีบเธอ แต่เพราะเราห่างกันมานาน ความรู้สึกจึงแปลก ๆ ...ต่อกันไม่ติด เขินอายรถไฟฟ้าแล่นนานมากในความรู้สึกหญิงสาว แต่ละสถานีผู้คนทยอยขึ้นมาเบียดพื้นที่เต็มขบวนทุกครั้งที่ประตูเปิดเสียงผ้าสวบสาบ เสียงพูดคุย ไม่ได้เข้าหูวัชรมัย มีเพียงใบหน้าที่แดงจัดจากการชิดใกล้จากร่างสูง แขนเปลี่ยนมาเท้าเหนือศีรษะ กักเธอไว้ในอ้อมกอด รู้สึกถึงลมหายใจเป่ารดกระหม่อม“พี่ป้อง...”ใกล้เกินไปจนแทบสิง วัชรมัยขยับหนี“อยู่นิ่ง ๆ อย่ายุกยิก เดี๋ยวชนคนอื่นหรอก”ดุอีกแล้ว เพิ่งทำเหมือนจะจีบเธอเมื่อครู่เองนะ วัชรมัยเงยหน้า ตวัดสายตามอง เบ้ปากใส่ น่ารักจนบางคนอดใจไม่ไหว มอบจุมพิตเบา ๆ แตะริมฝีปาก“พี่ป้อง!” ตาเธอเบิกโต สมองพองแทบระเบิด ไผทจูบเธอในที่สาธารณะ ท่ามกลางผู้คนบนรถไ
ร้านอาหารที่ไผทพาเธอเข้ามาเป็นร้านอาหารอินเดีย มีหนุ่มหนวดหน้าคมเข้มพูดไทยแบบรอเรือลิ้นรัวคอยแนะนำเมนูอาหาร“อะไรอร่อย เอามาเลย”เขาสั่งอาหารแบบสิ้นคิด ขณะวัชรมัยเปิดดูเมนูของหวาน ตอนอยู่นิวยอร์คเธอเคยกินอาหารอินเดียแบบเทคอะเวย์ง่าย ๆ อย่างไก่ทันดูรี หรือบริยานี่ มีเครื่องดื่มลาซซี่มะม่วงเป็นของหวานพนักงานแนะนำนานกระเทียม นานชีส ซาโมซ่า ชิคเก้นบัตเตอร์ ไก่ทันดูรี แกงผักโขม ยำถั่วลูกไก่กับแกงแกะอะไรสักอย่างเมนูแรกเป็นออร์เดิร์ฟแป้งพองก้อนกลมมาพร้อมเครื่องเคียงในถ้วย มีแบบเป็นน้ำ ๆ ด้วย“ปานิปูรีครับ”วัชรมัยกับไผทมองหน้ากัน คิดอยู่ว่าต้องกินอย่างไร“เอานิ้วโป้งเจาะรูตรงกลาง ใส่ไส้ ราดน้ำ เอาเข้าปากครับ”พนักงานสอนลูกค้าอย่างใจเย็น เธอเป็นคนเริ่มก่อน เจาะรูปแป้งกลมอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ตักไส้สีเหลืองใส่ ราดน้ำสีเขียวกับสีน้ำตาล เอาเข้าปากได้รสซ่าจากมิ้นท์ ความเปรี้ยวนนุ่มนวลจากน้ำมะขาม มีรสเผ็ดพริก เค็ม มันจากมันฝรั่งผัด“อร่อยดีนะคะ”กรอบ ๆ เปรี้ยว ๆ ซ่า ๆ เคี้ยวเพลิน เหมือนข้าวเกรียบจนเธอต้องทำกินเป็นอันที่สอง“กร๊อบ...”เหลือบตาดูอีกทีปานิปูรีลูกน้อยก็แหลกคามือสีทองแดงแล้ว คิ้วเรียวขมว