มื้อกลางวันเป็นไปอย่างราบรื่น ...แบบวัชรมัยรีบ ๆ กินให้จบ ๆ ขณะไผทตักอาหารเข้าปาก ตาก็จ้องเธอเขม็งคิดว่าเรื่องวันนี้จบแล้ว กลายเป็นพ่อของลูกลากเก้าอี้มาจากไหนไม่รู้มานั่งเฝ้าเธอในห้องทำงานวัชรมัยจ้องเขาอยู่นานมาก นิคกี้ยืนทำตัวลีบแทบติดผนัง ไผทยกมือกอดอกมองเธอนิ่ง“พี่ป้องออกไปก่อนได้ไหมคะ มิ้งต้องทำงาน ไม่มีสมาธิ”“พี่แค่อยู่ในห้องเฉย ๆ”ไผทอยากรู้ งานอะไรกันหนอที่วัชรมัยทุ่มเท หลงใหลจนลืมดูแลสุขภาพ ในเมื่อเธอกลับมาเป็นแม่ของสกลกันต์ กลับมาเป็นเมียเขาแล้ว ไผทต้องดูแล ไม่อยากให้สุขภาพวัชรมัยทรุดลงกว่านี้รู้อยู่หรอกว่าสักวันเธอต้องตาย แต่ไม่ต้องตายเร็วก็ได้ เขา...แค่ก สกลกันต์จะเสียใจ ไผทไม่อยากเห็นน้ำตาลูก“ไม่ได้ทำลายสมาธิเสียหน่อย งานเธอต้องปลีกวิเวกขนาดนั้นเลยหรือไง”เจ้าของห้องเม้มปาก เธอทำงานได้ทุกทีที่อยู่แล้ว เพียงไม่ชอบสายตาที่มอง จ้องเธอราวทะลุปรุโปร่ง รู้สึกถึงความไม่ไว้ใจ“แล้วอย่างนี้จะกลับไปอยู่บ้านนอกคอกนา อย่างสวนปาล์มของฉันได้ยังไง”นายหัวจี้จุดอ่อน คิ้วเรียวขมวดแล้วคลาย พรูลมหายใจยาว“งั้น...เอาที่พี่ป้องสบายใจเถอะค่ะ”วัชรมัยยอมแพ้ ไม่ห้ามแล้ว เถียงไปก็เหนื่อยเอง
“มิ้งขอโทษ ถ้าชาตินี้พี่ป้องไม่ให้อภัย ชาติหน้าถ้าเกิดใหม่ จะยอมเป็นช้างม้าวัวควายไถนารับใช้พี่”ปากสีอ่อนสั่น เสียงเครือ ภาพร่างใหญ่โตที่เคลื่อนเข้าใกล้ยิ่งรางเลือนด้วยน้ำตา“ช้างม้าวัวควายที่ผอม ๆ อย่างเธอ ฉันเลี้ยงไว้ก็เปลืองหญ้าเปล่า ๆ”ไผทไร้เยื่อใย แม้ความเอื้ออาทรข้ามภพข้ามชาติยังไม่มีให้ วัชรมัยมัวแต่เสียใจ รู้ตัวอีกทีก็รับรู้ถึงความอุ่นแข็งแรงมาไล้ใต้ตาบวมช้ำ“อีกอย่างถ้าเธอไม่ได้เกิดใกล้ ๆ ฉัน ถ้าเกิดเป็นเต่าล่ะจะทำยังไง”มีเสียงหึในลำคอคนพูด เธอคงเมาน้ำตากระมัง เพราะมองเห็นริมฝีปากสีเข้มแย้มยิ้ม“ฉันไม่โดนจับฐานใช้งานสัตว์ป่าคุ้มครองเหรอ”“พี่ป้อง...”วัชรมัยไม่ได้ตาฝาด เสน่ห์อย่างหนึ่งที่เธอเคยหลงเขาคือไผทชอบปล่อยมุกหน้าตาย ...ใครไม่ตลกแต่เธอตลก เป็นมุมน่ารัก ๆ ของนายหัวตัวโต“มิ้งซีเรียสนะคะ”เธอสูดลมหายใจดังฟืด ปลายจมูกแดงเพราะเป่าปี่หนัก“มิ้งกำลังจะตาย อยากขออโหสิกรรม”“ปอดแหกจริง มะเร็งมันก็แค่โรค ๆ หนึ่ง เหมือนปวดฟันนั่นแหละ รักษาแล้วเดี๋ยวก็หาย”แก้มคนร้องไห้ป่อง ปากแดงสีสดเม้ม ขนาดร้องไห้ตายังแวบวาว บ่งบอกความไม่พอใจ ซึ่งไผทก็พอใจแล้ว ที่เธอเปลี่ยนอารมณ์ ลดความเศร้
รถใต้ดินยามเย็นใกล้เลิกงานคนเยอะ ช่วยไม่ได้ที่วัชรมัยจะโดนเบียด แต่ไม่อึดอัดนัก เพราะมีกำแพงอกแน่นคอยกั้นอยู่หูติด ๆ ดับ ๆ ฟังประกาศชื่อสถานีไม่ชัด ศีรษะก้มหงุดตาเห็นแต่ปลายเท้าตนเองปรกติวัชรมัยเจอแต่ไผทเวอร์ชันร้อนแรง ไม่ปากร้าย ก็ทำหน้าดุ ฉุดกระชากลากถูเวอร์ชันนิ่งแบบนี้เธอไม่ชิน ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบเดียวกับไผทคนเดิมเมื่อห้าปีก่อน ...คนที่มาจีบเธอ แต่เพราะเราห่างกันมานาน ความรู้สึกจึงแปลก ๆ ...ต่อกันไม่ติด เขินอายรถไฟฟ้าแล่นนานมากในความรู้สึกหญิงสาว แต่ละสถานีผู้คนทยอยขึ้นมาเบียดพื้นที่เต็มขบวนทุกครั้งที่ประตูเปิดเสียงผ้าสวบสาบ เสียงพูดคุย ไม่ได้เข้าหูวัชรมัย มีเพียงใบหน้าที่แดงจัดจากการชิดใกล้จากร่างสูง แขนเปลี่ยนมาเท้าเหนือศีรษะ กักเธอไว้ในอ้อมกอด รู้สึกถึงลมหายใจเป่ารดกระหม่อม“พี่ป้อง...”ใกล้เกินไปจนแทบสิง วัชรมัยขยับหนี“อยู่นิ่ง ๆ อย่ายุกยิก เดี๋ยวชนคนอื่นหรอก”ดุอีกแล้ว เพิ่งทำเหมือนจะจีบเธอเมื่อครู่เองนะ วัชรมัยเงยหน้า ตวัดสายตามอง เบ้ปากใส่ น่ารักจนบางคนอดใจไม่ไหว มอบจุมพิตเบา ๆ แตะริมฝีปาก“พี่ป้อง!” ตาเธอเบิกโต สมองพองแทบระเบิด ไผทจูบเธอในที่สาธารณะ ท่ามกลางผู้คนบนรถไ
ร้านอาหารที่ไผทพาเธอเข้ามาเป็นร้านอาหารอินเดีย มีหนุ่มหนวดหน้าคมเข้มพูดไทยแบบรอเรือลิ้นรัวคอยแนะนำเมนูอาหาร“อะไรอร่อย เอามาเลย”เขาสั่งอาหารแบบสิ้นคิด ขณะวัชรมัยเปิดดูเมนูของหวาน ตอนอยู่นิวยอร์คเธอเคยกินอาหารอินเดียแบบเทคอะเวย์ง่าย ๆ อย่างไก่ทันดูรี หรือบริยานี่ มีเครื่องดื่มลาซซี่มะม่วงเป็นของหวานพนักงานแนะนำนานกระเทียม นานชีส ซาโมซ่า ชิคเก้นบัตเตอร์ ไก่ทันดูรี แกงผักโขม ยำถั่วลูกไก่กับแกงแกะอะไรสักอย่างเมนูแรกเป็นออร์เดิร์ฟแป้งพองก้อนกลมมาพร้อมเครื่องเคียงในถ้วย มีแบบเป็นน้ำ ๆ ด้วย“ปานิปูรีครับ”วัชรมัยกับไผทมองหน้ากัน คิดอยู่ว่าต้องกินอย่างไร“เอานิ้วโป้งเจาะรูตรงกลาง ใส่ไส้ ราดน้ำ เอาเข้าปากครับ”พนักงานสอนลูกค้าอย่างใจเย็น เธอเป็นคนเริ่มก่อน เจาะรูปแป้งกลมอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ตักไส้สีเหลืองใส่ ราดน้ำสีเขียวกับสีน้ำตาล เอาเข้าปากได้รสซ่าจากมิ้นท์ ความเปรี้ยวนนุ่มนวลจากน้ำมะขาม มีรสเผ็ดพริก เค็ม มันจากมันฝรั่งผัด“อร่อยดีนะคะ”กรอบ ๆ เปรี้ยว ๆ ซ่า ๆ เคี้ยวเพลิน เหมือนข้าวเกรียบจนเธอต้องทำกินเป็นอันที่สอง“กร๊อบ...”เหลือบตาดูอีกทีปานิปูรีลูกน้อยก็แหลกคามือสีทองแดงแล้ว คิ้วเรียวขมว
“แม่คร๊าบ...ปราบปวดหัว”ไผทยื่นเอามือถือมายื่นให้เธอถึงเตียง สกลกันต์โทรมาในเวลาเขากำลังทำอาหารเช้า ร้องงอแงจะคุยกับวัชรมัย“ปราบปวดหัวเหรอครับ เป็นอะไรมากไหมลูก”จากที่งัวเงียก็ตาตื่นในทันใด ลุกพรวดจับมือถือ ส่องหน้าดูอาการลูกไผทนั่งลงข้าง ๆ จับสายเดี่ยวที่ตกระจากไหล่ ให้กลับอยู่ตำแหน่งที่ถูกที่ควร ตั้งใจจะกวาดชุดนอนเธอกลับสวนให้หมดตู้ยึดหลักเธอมีผัวแล้ว ชุดนอนไม่ได้นอนแบบนี้ต้องใส่ให้ผัวดูคนเดียวสิวัชรมัยมัวแต่ตกใจสนแต่ลูก จึงไม่ทันรู้สึกถึงจมูกโด่งคลอเคลียดมฝังลาดไหล่“ปวดหัว ปวดตัวไปหมด”เด็กชายออดอ้อน“ปราบขอไม่ไปโรงเรียนนะครับ”ลูกเจ็บ ผู้ให้กำเนิดอย่างเธอก็ร้าวหัวใจไปด้วย“ขอแม่คุยกับลุงเชียรหน่อย ป้านิดก็ได้”นายหัวที่เคลิ้ม ๆ กับกลิ่นอายยามเช้าของเมียสาว ตาลุกโพลงในทันใด แย่งมือถือมาคุยเอง“พี่ป้อง!”เธอยื้อ พยายามแย่งกลับ อะไร ๆ ที่วับแวมอยู่แล้ว ยิ่งเผยกระจ่าง อกขาวสล้างล้นทะลักคอเสื้อ...ปรกติก็ปิดอะไรไม่ได้เลย นายหัวพรูลมหายใจฮึดฮัด จะปล่อยให้ลูกน้องเห็นเธอสภาพนี้ไม่ได้“ตกลงปราบเป็นอะไร”วิเชียรเห็นหน้าตึง ๆ ก็อึ้งไปครู่ ก่อนมองมาทางตัวช่วยอย่างป้านิด“วัดปรอทแล้วคุณปร
“แกร่ก...”บุรินทร์มองลอดแว่น เมื่อเห็นคนเข้ามาในห้องตรวจไม่ใช่คนไข้อย่างที่เคย“มิ้ง...จะหายไหม”ผู้ยืนอยู่คือหนุ่มล่ำบึ้กตัวสูงผิวสีทองแดง แพทย์หนุ่มเห็นความหวาดหวั่นในดวงตาคม แม้จะดำล้ำลึกราวกับทะเลในคืนเดือนมืด แต่เจือไปด้วยความแปรปรวน เหมือนความหวาดหวั่นของเจ้าตัวในยามนี้“ผมอยากได้ความมั่นใจ เธอสำคัญกับผมมาก”สองหนุ่มประเมินกัน สมองแต่ละฝ่ายต่างเต็มไปด้วยความคิดวุ่นวาย“ในฐานะหมอ ผมมองว่ามะเร็งเป็นการทำงานผิดปรกติของเซลล์ร่างกาย เกิดจากความแปรปรวนในการใช้ชีวิตประจำวัน แบบใช้มากไปหรือน้อยไป”“เอาสรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ไหมหมอ ผมแค่ชาวสวน ไม่ได้มีความรู้อะไรมาก”บุรินทร์อมยิ้ม ถ่อมตัวว่าเป็นแค่ชาวสวน แต่คนตรงหน้าเขานี่มาดบ่งบอกเป็นเจ้าของสวนชัด ๆ บารมีเจ้านายคนแผ่ข่มเข้มจัด“มิ้งสำคัญกับผม...กับลูก” เสียงห้าวเริ่มเครือ บ่งบอกความห่วงหาสุดหัวใจ“มิ้งเป็นมะเร็งระยะที่สอง ถึงจะลุกลาม แต่ถ้าจากข้อมูลงานวิจัยเมืองนอกรายงานว่ามีสิทธิ์จะหาย แต่ต้องดูแลตัวเองดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะกลับมาเป็นอีก”แพทย์ยอมการันตีการรักษา เพราะเห็นวัชรมัยเป็นรุ่นน้องผู้น่ารัก ไม่ได้หวังสินบนจากชุดสูทที่เธอจะตัดให้แ
การกลับมาอยู่สวนปาล์มอีกครั้ง ทำให้วัชรมัยรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ ผู้คนเป็นมิตรขึ้น มีลูกชายน่ารัก และที่สำคัญสามี...“ตื่นมาทำไม นอนต่ออีกก็ได้ เพิ่งตีห้าครึ่งเอง”ไผทผินหลังมองเธอ เขาผมยุ่งปรกหน้าผาก เปลือยท่อนบนอวดผิวสีทองแดงแน่น ๆ คาดผ้ากันเปื้อนลายช้างสีน้ำเงินที่เธอซื้อให้จากสนามบิน“เมื่อคืนมิ้งหลับคาอกพี่เลยนะ”วัชรมัยแก้มแดง เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ไผทไม่ได้มอบบทรักที่ดุดัน แต่การย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ แสดงความคลั่งไคล้ในเรือนกายก็ทำเธอเพลีย ชัทดาวน์สติตัวเองกลางอากาศตื่นมาพร้อมอาการเมื่อยตัว และรอยตราสีกุหลาบบนผิวนวล“มิ้งอยากตื่นมาทำข้าวเช้าให้สามีกับลูกกินบ้างสิคะ”ร่างผอมบางเคลื่อนมาใกล้ พยายามลบภาพนายหัวผู้โซฮอตปรอทแตกเมื่อคืน มือขาวจับท่อนแขนสีทองแดง เมียงมองอาหารในกระทะ“ออมเล็ตเหรอคะ”ที่เห็นคือไข่สีเหลืองนวลรูปพระจันทร์ครึ่งป่องกลาง กลิ่นเนยถูกความร้อนทำเอาน้ำลายสอ“ไม่ได้กินนานแล้ว”ตั้งแต่กลับมาสวน อาหารสำเร็จรูปประเภทไส้กรอก แฮม เบคอน รวมถึงอาหารแช่แข็ง กลายเป็นของที่ไผทห้ามไม่ให้มีในครัวนี้เด็ดขาด ให้เหตุผลว่าต้องดูแลสุขภาพเธออย่างเคร่งครัดเขาเลือกแต่อาหารดีมีประโยชน์ใ
กฎสองข้อที่ไผทจำขึ้นใจหนึ่ง ห้ามทำให้สกลกันต์โกรธ มิเช่นนั้นเขาอาจเสียทรัพย์ง้อ ต้องซื้อทั้งขนมและของเล่น เจ้าลูกชายแก้มป่องเรียกร้องเอากับพ่ออย่างเขาไม่เกรงใจบางทีถึงขนาดไผทคิด ถ้าสกลกันต์ไม่เกิดเป็นลูกเขา คนที่จะเลี้ยงเจ้าตัวแสบได้คงต้องมีเงินถุงเงินถังระดับชีคเจ้าของบ่อน้ำมันสอง ข้อนี้สำคัญกว่าข้อแรก อย่าทำให้วัชรมัยโกรธ มิเช่นนั้นเขาจะทรมานทั้งกายและใจ ชนิดจำขึ้นใจไม่มีวันลืมตัวอย่างคือเหตุการณ์ย้อนไปยังวันลงจากเครื่องบิน เขาและเธอไปรับลูก โดยมีวิเชียรเป็นสารถีวัชรมัยซื้อของฝากมากมาย ทั้งที่หิ้วมาเองได้ ทั้งต้องรอส่งมาจากกรุงเทพฯ ไหนจะรอโหลดจากท้องเครื่องบินอีกพ่อแม่ที่เป็นคนงานในสวนเห็นเด็ก ๆ ได้ของฝากก็ยิ้มกันแก้มปริ พอรู้ว่ามาจากวัชรมัยก็สรรเสริญกันใหญ่ตอนเย็นยังมีกินเลี้ยงงานวันเกิดเตเต้ สกลกันต์ส่งสายตาเว้าวอนเมื่อเห็นเค้กวาดรูปหน้าสัตว์เลี้ยงตัวโปรด“เตเต้เป็นหมากินเค้กไม่ได้หรอก เดี๋ยวฟันผุ หมาแปรงฟันไม่ได้”เด็กชายเกิดอาหารหวงของกิน ส่วนเจ้าของวันเกิดร้องหงิง ๆ เหมือนรู้กำลังจะโดนขโมยเค้ก“กินได้สิครับ แม่ถามร้านที่ทำแล้ว”วัชรมัยไม่ได้ถามเอง ให้นิคกี้เป็นถาม เธอคิด