Share

บทที่ 7 “แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”

“ปราบจะไปหาแม่”

ล้อรถเอสยูวีคันโตหยุดกึกลงในทันใด

“คุณปราบครับ นิ่ง ๆ ไว้อย่าดิ้น”

วิเชียรห้ามลูกเจ้านาย นี่คือเรื่องกังวลที่ทำเขาหน้าเสียในเช้านี้ ด้วยเจอพวกคนงานในป้อมเมื่อคืน เล่าว่าวัชรมัยอยู่ที่นั่นตลอด ตากฝนจนเช้า ลากก็ไม่ยอมไปไหน บอกจะรอเจอสกลกันต์

“หะ...เอ้ย!”

ไผทสบถ จ้องมองร่างบนถนนซึ่งมอมแมมไม่ต่างจากกองขยะเปียก

“พ่อ!”

เด็กชายสกลกันต์ร้องลั่น นายหัวเหลือบตาดูลูกน้องคู่ใจ วิเชียรเปิดประตูออก ไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยคนข้างหลังทันที ขาสั้นป้อมวิ่งปร๋อมุ่งไปยังถนน

“ทำไมแม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่กลับสวรรค์แล้วใช่ไหม ทำไมแม่ตัวเปียก”

วัชรมัยปวดหนึบทั่วศีรษะ ความอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทำให้สติรางเลือน กึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอมาทั้งคืน

“ปราบ...”

ร่างเล็กนิ่มโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึง จิตใจเด็กอันบริสุทธิ์ไม่ได้รังเกียจสภาพอันอเนจอนาถของมารดาเลย

“แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”

อ้อมกอดนุ่มอันแสนอบอุ่น กลิ่นกรุ่นนมสดที่แสนคิดถึง วัชรมัยดังคนร่อนเร่ในทะเลทราย เมื่อได้พบโอเอซิส ได้ลิ้มรสน้ำบริสุทธิ์ จึงยากจะห้ามใจไม่ให้ดื่มด่ำมันอีก

การได้อยู่กับลูก คือความสุขใจที่ไม่อาจปล่อยมือไปได้ แม้จะรู้ข้อจำกัดของเวลา แต่เธออยากสัมผัสความรู้สึกนี้ให้นานที่สุด

“ปราบ...”

วัชรมัยพร่ำเรียกชื่อลูกจากริมฝีปากอันซีดเซียว หยาดน้ำตาไหลริน มือสั่นเทาประคองแก้มกลมแดง

“แม่โดนฝนตกใส่เหรอ ทำไมไม่กางร่มล่ะ”

เจ้าตัวน้อยถามตามประสาซื่อ ฝนตกก็ต้องกางร่มสิ

“แม่ไม่มีร่มเหรอ ปราบให้ยืมนะ ปราบมีร่มลายสไปเดอร์แมนสู้กับเวน่อมด้วย น้าเชียรซื้อมาให้จากสิงคโปร์”

วิเชียรมองเจ้านาย ซึ่งทำหน้าถมึงทึง คิดอยู่แล้ว...ไม่ควรประเมินความรักของแม่ที่ต่อลูกต่ำไป

“แม่ตัวร้อนด้วยนี่ ไม่สบายเหรอ”

สกลกันต์รู้สึกถึงผิวเนื้ออันร้อนผ่าว แม้มีความชื้นจากน้ำฝนที่ซึมผ่านผ้าออกมาก็ตาม

“แม่...แม่”

วัชรมัยสติวูบโหวง ทรงตัวไม่ได้ กำลังจะโถมทับร่างเล็ก ไผทปราดมารับหญิงสาวไว้ได้ก่อน

“พ่อ แม่...แม่”

เด็กชายสกลกันต์กลับมาพูดติดอ่าง เบิกตาโพลงตื่นตระหนก

“สงสัยไข้กิน พวกเฝ้าป้อมบอกคุณมิ้งตากฝนทั้งคืน”

วิเชียรแยกเจ้านายตัวเล็กออก กันไม่ให้ติดไข้จากมารดา

“ยุ่งชะมัด!” นายหัวกวาดมืออุ้มร่างปวกเปียกขึ้นรถ

“กูจะเอามิ้งไปบ้าน มึงกับปราบรออยู่นี่ เดี๋ยวจะให้คนขับกระบะมา เอาปราบไปส่งโรงเรียน”

ขายาวก้าวพลางอุ้มคนในอ้อมกอด ไปวางที่เบาะหลัง

“ไม่เอา ปราบจะอยู่กับแม่ เดี๋ยวแม่หายไปอีก”

สกลกันต์ตามมาถึงรถ ปีนขึ้นไปนั่งข้างร่างมารดา ซึ่งผู้เป็นบิดาวางไว้

“ปราบ อย่าดื้อ”

นาน ๆ ทีไผทจะใช้น้ำเสียงกดดันกับลูก

“ปราบไม่ไปโรงเรียน ปราบจะอยู่กับแม่ เดี๋ยวแม่หายไปอีก”

เด็กชายแผดเสียงลั่นรถ ปากเบะ น้ำตาคลอหน่วย

“คุณปราบ”

วิเชียรช่วยพูดอีกแรง เขายืนอยู่ข้างประตูหลังที่ยังไม่ปิด

“ถ้าปราบอยู่กับแม่แล้ว แม่จะทิ้งปราบไปไม่ได้”

“พูดอะไรน่ะ”

ไผทคำรามในลำคอ อย่างที่ในชาตินี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ทำกับลูก

“ฮึก...ยายพุดก็พูด คนงานในสวนก็พูด ปราบเป็นเด็กโดนแม่ทิ้ง”

สกลกันต์เล่าละล่ำละลัก

“ทุกคนโกหก แม่ไม่ได้ทิ้งปราบ เห็นไหม แม่กลับมาหาปราบแล้ว ถ้าปราบไม่อยู่กับแม่ แม่จะหายไปอีก”

สำหรับไผทแล้ว ความจริงที่ได้ยินกับหูทำให้เขาเหมือนโดนหมัดน็อค รู้อยู่ อันนินทากาเลยิ่งห้ามก็เหมือนห้ามไฟไม่ให้มีควัน

แต่นึกไม่ถึง เรื่องจะถึงหูลูกชายแล้ว นานขนาดไหนกันที่สกลกันต์รู้ความจริง

“ปราบจะอยู่กับแม่”

เด็กชายห่อตัวซุกหน้าลงกับอกเปียก ๆ มีก้อนขม ๆ ตีขึ้นมาในลำคอชายหนุ่ม ทำเอาเขาหาเสียงตัวเองไม่เจอ

“นายหัวพาคุณมิ้งกลับบ้านก่อนเถอะครับ ไม่งั้นอาการอาจแย่ลง”

วิเชียรเตือนสติในสถานการณ์ครอบครัวอันวิกฤต

รถเอสยูวีแล่นกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว คนงานถูกเรียกมาจัดการเนื้อตัวคนป่วย วัชรมัยไม่มีเสื้อผ้ามาเลย คนงานจึงให้ใส่ของตัวเองไปก่อน

“ไข้สูงอยู่นะคะ รอดูอาการก่อน ถ้าไม่ดีนายหัวค่อยพาไปโรงพยาบาล”

คนงานหญิงอีกคนที่เคยอบรมอสม.เบื้องต้น เป็นคนดูอาการให้

“ป้านิด แม่จะเจ็บไหมครับ”

สกลกันต์ไม่ยอมอยู่ห่างมารดา เด็กชายปักหลักอยู่ในห้องรับรองแขกที่ไผทจัดให้เป็นที่นอนวัชรมัย

“ถ้ากินยาเช็ดตัวบ่อย ๆ เดี๋ยวก็หายแล้วค่ะ”

คนงานทั้งสวนรู้เรื่องวัชรมัยตากฝนทั้งคืนแล้ว ยายพุดกับพวกในครัวโดนตัดเงินเดือนครึ่งหนึ่ง โทษฐานปากมากนินทาสกลกันต์

ถ้าใครยังพูดเรื่องไม่ดีให้เด็กชายรู้อีก คราวนี้จะโดนไล่ออกจากสวน คนงานจึงปิดปากเงียบสนิท ไม่กล้าจับกลุ่มนินทาเรื่องเจ้านายอีก

“แม่บอกถ้าปราบป่วย แม่จะเสียใจ ตอนนี้แม่ป่วย ปราบก็เสียใจมาก ๆ”

คำพูดใสซื่อ ทำเอาผู้ใหญ่ใจอ่อนยวบ วิเชียรผู้ซึ่งเป็นตัวแทนนายหัวมองสกลกันต์แล้วอยากไปหอมหัว

ลูกนายเป็นเด็กดีจริง ๆ ส่วนคนพ่อตอนนี้น่ะเหรอ

โน่น...อยู่ในสวนปาล์มคุมคนงาน

“ป้านิด โตขึ้นปราบจะเป็นหมอ ปราบอยากรักษาแม่” เจ้าตาใสเล่าความฝันในอนาคต ผู้ใหญ่พากันยิ้มเอ็นดู

“งั้นคุณปราบก็ต้องขยันเรียนหนังสือนะคะ วันนี้ไม่ไปโรงเรียนใช่ไหม ถึงไม่ไปโรงเรียนเราก็ต้องอ่านหนังสือนะครับ จะได้มีความรู้ ไปเป็นหมอได้”

วิเชียรอยากยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้ป้านิด จิตวิทยาเกลี้ยกล่อมเด็กเป็นเลิศ

“ปราบเอาหนังสือมาอ่านไปด้วย เฝ้าแม่ไปด้วยได้ไหมครับ” เด็กชายต่อรอง

“ยังไม่ได้ครับ แม่กำลังป่วยอยู่ เดี๋ยวติดไข้ ถ้าคุณปราบไม่สบายแม่จะเสียใจนะ”

สกลกันต์นิ่งคิดไปครู่ ก่อนพยักหน้ายินยอมทำตามแต่โดยดี

“บ๊าย...บายนะครับแม่ เดี๋ยวกลางวันปราบมาเยี่ยมอีก”

มือป้อมโบกไหว ๆ วิเชียรรุนหลังเจ้าตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชื้นแฉะจากการกอดร่างมารดาออก

จากนั้นพาไปยังห้องนั่งเล่น หาหนังสือ อุปกรณ์วาดรูปให้

เขายอมทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กเฉพาะกิจหนึ่งวัน พอให้ไผทอารมณ์เย็นลง เผื่อคิดได้ว่าจะเอายังไงกับครอบครัวที่จู่ ๆ ก็กลับมาพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก

วัชรมัยตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อยามบ่าย รู้สึกทั้งเมื่อย ทั้งตัวร้อนรุม ๆ

“เป็นยังไงบ้างคะ ปวดหัวหรือเปล่า หิวไหม”

หญิงสาวกะพริบตาถี่ ๆ คนเฝ้าคุ้นหน้ามาก ก่อนนึกออก นางคือป้านิด คนที่ตอนยังอยู่สวน เดาว่าเธอมีอาการโรคซึมเศร้า จนพาไปโรงพยาบาล ทว่าตรวจเจอตั้งครรภ์เสียก่อน

“ปราบล่ะคะ”

หันซ้ายหันขวามองทั่วห้อง พื้นบ้านเป็นไม้แบบนี้ เธอกลับมาอยู่ในสวนแล้วแน่ ๆ

“ป้าให้ไปอ่านหนังสือค่ะ กลัวอยู่ใกล้คุณแล้วจะติดหวัด”

วัชรมัยถอนหายใจโล่งอก ลูกไม่ได้จากเธอไปไหน ห่างเพียงผนังห้องกั้น

“อ้าว นายหัว”

จู่ ๆ เจ้าของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง วัชรมัยเลียริมฝีปากอันแห้งผาก เรียกสติอันลุ่ม ๆ ดอน ๆ จากพิษไข้ เตรียมรับวาจาเชือดเฉือน ความเย็นชาใจร้ายจากเขา

“ผมมีอะไรจะพูดกับเขาหน่อยครับ ป้านิดช่วยไปดูปราบให้ที”

ผู้มากวัย ยอมออกไปตามคำสั่ง ไม่วายทิ้งคำกระซิบกับผู้เป็นนาย

“คุยกันดี ๆ นะคะ ใจเย็น ๆ”

ประตูห้องพักรับรองแขกปิดลง พร้อมอุณหภูมิลดต่ำ ตามความกดดันที่แผ่มาจากร่างสูง

ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง ราวเป็นช่วงเวลาดูเชิงกันระหว่างไก่ชนเจนสนามสองตัว

“ฉันจะยอมให้เธออยู่กับลูก”

ไผทเปิดก่อน วัชรมัยยิ้มร่า ลดเชิงลงทันที

“แต่เธอต้องมาเป็นอีตัวของฉัน”

ใบหน้าคนบนเตียงที่ซีดอยู่แล้ว ยิ่งเผือดขาวเป็นกระดาษ ไผทแสยะยิ้มสะใจกับกิริยานั้น

“ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวออกไป”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status