“ปราบจะไปหาแม่”
ล้อรถเอสยูวีคันโตหยุดกึกลงในทันใด
“คุณปราบครับ นิ่ง ๆ ไว้อย่าดิ้น”
วิเชียรห้ามลูกเจ้านาย นี่คือเรื่องกังวลที่ทำเขาหน้าเสียในเช้านี้ ด้วยเจอพวกคนงานในป้อมเมื่อคืน เล่าว่าวัชรมัยอยู่ที่นั่นตลอด ตากฝนจนเช้า ลากก็ไม่ยอมไปไหน บอกจะรอเจอสกลกันต์
“หะ...เอ้ย!”
ไผทสบถ จ้องมองร่างบนถนนซึ่งมอมแมมไม่ต่างจากกองขยะเปียก
“พ่อ!”
เด็กชายสกลกันต์ร้องลั่น นายหัวเหลือบตาดูลูกน้องคู่ใจ วิเชียรเปิดประตูออก ไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยคนข้างหลังทันที ขาสั้นป้อมวิ่งปร๋อมุ่งไปยังถนน
“ทำไมแม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่กลับสวรรค์แล้วใช่ไหม ทำไมแม่ตัวเปียก”
วัชรมัยปวดหนึบทั่วศีรษะ ความอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทำให้สติรางเลือน กึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอมาทั้งคืน
“ปราบ...”
ร่างเล็กนิ่มโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึง จิตใจเด็กอันบริสุทธิ์ไม่ได้รังเกียจสภาพอันอเนจอนาถของมารดาเลย
“แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”
อ้อมกอดนุ่มอันแสนอบอุ่น กลิ่นกรุ่นนมสดที่แสนคิดถึง วัชรมัยดังคนร่อนเร่ในทะเลทราย เมื่อได้พบโอเอซิส ได้ลิ้มรสน้ำบริสุทธิ์ จึงยากจะห้ามใจไม่ให้ดื่มด่ำมันอีก
การได้อยู่กับลูก คือความสุขใจที่ไม่อาจปล่อยมือไปได้ แม้จะรู้ข้อจำกัดของเวลา แต่เธออยากสัมผัสความรู้สึกนี้ให้นานที่สุด
“ปราบ...”
วัชรมัยพร่ำเรียกชื่อลูกจากริมฝีปากอันซีดเซียว หยาดน้ำตาไหลริน มือสั่นเทาประคองแก้มกลมแดง
“แม่โดนฝนตกใส่เหรอ ทำไมไม่กางร่มล่ะ”
เจ้าตัวน้อยถามตามประสาซื่อ ฝนตกก็ต้องกางร่มสิ
“แม่ไม่มีร่มเหรอ ปราบให้ยืมนะ ปราบมีร่มลายสไปเดอร์แมนสู้กับเวน่อมด้วย น้าเชียรซื้อมาให้จากสิงคโปร์”
วิเชียรมองเจ้านาย ซึ่งทำหน้าถมึงทึง คิดอยู่แล้ว...ไม่ควรประเมินความรักของแม่ที่ต่อลูกต่ำไป
“แม่ตัวร้อนด้วยนี่ ไม่สบายเหรอ”
สกลกันต์รู้สึกถึงผิวเนื้ออันร้อนผ่าว แม้มีความชื้นจากน้ำฝนที่ซึมผ่านผ้าออกมาก็ตาม
“แม่...แม่”
วัชรมัยสติวูบโหวง ทรงตัวไม่ได้ กำลังจะโถมทับร่างเล็ก ไผทปราดมารับหญิงสาวไว้ได้ก่อน
“พ่อ แม่...แม่”
เด็กชายสกลกันต์กลับมาพูดติดอ่าง เบิกตาโพลงตื่นตระหนก
“สงสัยไข้กิน พวกเฝ้าป้อมบอกคุณมิ้งตากฝนทั้งคืน”
วิเชียรแยกเจ้านายตัวเล็กออก กันไม่ให้ติดไข้จากมารดา
“ยุ่งชะมัด!” นายหัวกวาดมืออุ้มร่างปวกเปียกขึ้นรถ
“กูจะเอามิ้งไปบ้าน มึงกับปราบรออยู่นี่ เดี๋ยวจะให้คนขับกระบะมา เอาปราบไปส่งโรงเรียน”
ขายาวก้าวพลางอุ้มคนในอ้อมกอด ไปวางที่เบาะหลัง
“ไม่เอา ปราบจะอยู่กับแม่ เดี๋ยวแม่หายไปอีก”
สกลกันต์ตามมาถึงรถ ปีนขึ้นไปนั่งข้างร่างมารดา ซึ่งผู้เป็นบิดาวางไว้
“ปราบ อย่าดื้อ”
นาน ๆ ทีไผทจะใช้น้ำเสียงกดดันกับลูก
“ปราบไม่ไปโรงเรียน ปราบจะอยู่กับแม่ เดี๋ยวแม่หายไปอีก”
เด็กชายแผดเสียงลั่นรถ ปากเบะ น้ำตาคลอหน่วย
“คุณปราบ”
วิเชียรช่วยพูดอีกแรง เขายืนอยู่ข้างประตูหลังที่ยังไม่ปิด
“ถ้าปราบอยู่กับแม่แล้ว แม่จะทิ้งปราบไปไม่ได้”
“พูดอะไรน่ะ”
ไผทคำรามในลำคอ อย่างที่ในชาตินี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ทำกับลูก
“ฮึก...ยายพุดก็พูด คนงานในสวนก็พูด ปราบเป็นเด็กโดนแม่ทิ้ง”
สกลกันต์เล่าละล่ำละลัก
“ทุกคนโกหก แม่ไม่ได้ทิ้งปราบ เห็นไหม แม่กลับมาหาปราบแล้ว ถ้าปราบไม่อยู่กับแม่ แม่จะหายไปอีก”
สำหรับไผทแล้ว ความจริงที่ได้ยินกับหูทำให้เขาเหมือนโดนหมัดน็อค รู้อยู่ อันนินทากาเลยิ่งห้ามก็เหมือนห้ามไฟไม่ให้มีควัน
แต่นึกไม่ถึง เรื่องจะถึงหูลูกชายแล้ว นานขนาดไหนกันที่สกลกันต์รู้ความจริง
“ปราบจะอยู่กับแม่”
เด็กชายห่อตัวซุกหน้าลงกับอกเปียก ๆ มีก้อนขม ๆ ตีขึ้นมาในลำคอชายหนุ่ม ทำเอาเขาหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“นายหัวพาคุณมิ้งกลับบ้านก่อนเถอะครับ ไม่งั้นอาการอาจแย่ลง”
วิเชียรเตือนสติในสถานการณ์ครอบครัวอันวิกฤต
รถเอสยูวีแล่นกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว คนงานถูกเรียกมาจัดการเนื้อตัวคนป่วย วัชรมัยไม่มีเสื้อผ้ามาเลย คนงานจึงให้ใส่ของตัวเองไปก่อน
“ไข้สูงอยู่นะคะ รอดูอาการก่อน ถ้าไม่ดีนายหัวค่อยพาไปโรงพยาบาล”
คนงานหญิงอีกคนที่เคยอบรมอสม.เบื้องต้น เป็นคนดูอาการให้
“ป้านิด แม่จะเจ็บไหมครับ”
สกลกันต์ไม่ยอมอยู่ห่างมารดา เด็กชายปักหลักอยู่ในห้องรับรองแขกที่ไผทจัดให้เป็นที่นอนวัชรมัย
“ถ้ากินยาเช็ดตัวบ่อย ๆ เดี๋ยวก็หายแล้วค่ะ”
คนงานทั้งสวนรู้เรื่องวัชรมัยตากฝนทั้งคืนแล้ว ยายพุดกับพวกในครัวโดนตัดเงินเดือนครึ่งหนึ่ง โทษฐานปากมากนินทาสกลกันต์
ถ้าใครยังพูดเรื่องไม่ดีให้เด็กชายรู้อีก คราวนี้จะโดนไล่ออกจากสวน คนงานจึงปิดปากเงียบสนิท ไม่กล้าจับกลุ่มนินทาเรื่องเจ้านายอีก
“แม่บอกถ้าปราบป่วย แม่จะเสียใจ ตอนนี้แม่ป่วย ปราบก็เสียใจมาก ๆ”
คำพูดใสซื่อ ทำเอาผู้ใหญ่ใจอ่อนยวบ วิเชียรผู้ซึ่งเป็นตัวแทนนายหัวมองสกลกันต์แล้วอยากไปหอมหัว
ลูกนายเป็นเด็กดีจริง ๆ ส่วนคนพ่อตอนนี้น่ะเหรอ
โน่น...อยู่ในสวนปาล์มคุมคนงาน
“ป้านิด โตขึ้นปราบจะเป็นหมอ ปราบอยากรักษาแม่” เจ้าตาใสเล่าความฝันในอนาคต ผู้ใหญ่พากันยิ้มเอ็นดู
“งั้นคุณปราบก็ต้องขยันเรียนหนังสือนะคะ วันนี้ไม่ไปโรงเรียนใช่ไหม ถึงไม่ไปโรงเรียนเราก็ต้องอ่านหนังสือนะครับ จะได้มีความรู้ ไปเป็นหมอได้”
วิเชียรอยากยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้ป้านิด จิตวิทยาเกลี้ยกล่อมเด็กเป็นเลิศ
“ปราบเอาหนังสือมาอ่านไปด้วย เฝ้าแม่ไปด้วยได้ไหมครับ” เด็กชายต่อรอง
“ยังไม่ได้ครับ แม่กำลังป่วยอยู่ เดี๋ยวติดไข้ ถ้าคุณปราบไม่สบายแม่จะเสียใจนะ”
สกลกันต์นิ่งคิดไปครู่ ก่อนพยักหน้ายินยอมทำตามแต่โดยดี
“บ๊าย...บายนะครับแม่ เดี๋ยวกลางวันปราบมาเยี่ยมอีก”
มือป้อมโบกไหว ๆ วิเชียรรุนหลังเจ้าตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชื้นแฉะจากการกอดร่างมารดาออก
จากนั้นพาไปยังห้องนั่งเล่น หาหนังสือ อุปกรณ์วาดรูปให้
เขายอมทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กเฉพาะกิจหนึ่งวัน พอให้ไผทอารมณ์เย็นลง เผื่อคิดได้ว่าจะเอายังไงกับครอบครัวที่จู่ ๆ ก็กลับมาพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก
วัชรมัยตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อยามบ่าย รู้สึกทั้งเมื่อย ทั้งตัวร้อนรุม ๆ
“เป็นยังไงบ้างคะ ปวดหัวหรือเปล่า หิวไหม”
หญิงสาวกะพริบตาถี่ ๆ คนเฝ้าคุ้นหน้ามาก ก่อนนึกออก นางคือป้านิด คนที่ตอนยังอยู่สวน เดาว่าเธอมีอาการโรคซึมเศร้า จนพาไปโรงพยาบาล ทว่าตรวจเจอตั้งครรภ์เสียก่อน
“ปราบล่ะคะ”
หันซ้ายหันขวามองทั่วห้อง พื้นบ้านเป็นไม้แบบนี้ เธอกลับมาอยู่ในสวนแล้วแน่ ๆ
“ป้าให้ไปอ่านหนังสือค่ะ กลัวอยู่ใกล้คุณแล้วจะติดหวัด”
วัชรมัยถอนหายใจโล่งอก ลูกไม่ได้จากเธอไปไหน ห่างเพียงผนังห้องกั้น
“อ้าว นายหัว”
จู่ ๆ เจ้าของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง วัชรมัยเลียริมฝีปากอันแห้งผาก เรียกสติอันลุ่ม ๆ ดอน ๆ จากพิษไข้ เตรียมรับวาจาเชือดเฉือน ความเย็นชาใจร้ายจากเขา
“ผมมีอะไรจะพูดกับเขาหน่อยครับ ป้านิดช่วยไปดูปราบให้ที”
ผู้มากวัย ยอมออกไปตามคำสั่ง ไม่วายทิ้งคำกระซิบกับผู้เป็นนาย
“คุยกันดี ๆ นะคะ ใจเย็น ๆ”
ประตูห้องพักรับรองแขกปิดลง พร้อมอุณหภูมิลดต่ำ ตามความกดดันที่แผ่มาจากร่างสูง
ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง ราวเป็นช่วงเวลาดูเชิงกันระหว่างไก่ชนเจนสนามสองตัว
“ฉันจะยอมให้เธออยู่กับลูก”
ไผทเปิดก่อน วัชรมัยยิ้มร่า ลดเชิงลงทันที
“แต่เธอต้องมาเป็นอีตัวของฉัน”
ใบหน้าคนบนเตียงที่ซีดอยู่แล้ว ยิ่งเผือดขาวเป็นกระดาษ ไผทแสยะยิ้มสะใจกับกิริยานั้น
“ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวออกไป”
ศรัญญาขับรถกระบะตอนครึ่งมายังสวนปาล์ม เมื่อจอดลง ณ บ้านหลังใหญ่ ใบหน้าอวบอิ่มเล็ก ๆ ชะโงกออกจากประตูมาดู“น้าเก๋มาแล้ว”สกลกันต์ทักเสียงแจ๋ว ได้รับหน้าที่จากมารดาให้รอรับเพื่อน“ไงครับ ปราบ”ศรัญญาไม่ได้แปลกที่เด็กน้อยรู้จักเธอ วัชรมัยคงบอกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนต้องการสัมฤทธิผล“ปราบช่วยถือกระเป๋าฮะ”หน้าเงยมองกระบะสูง ศรัญญายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาตาคมฉ่ำวาว มารดาไม่ได้โกหก เธอจะกลับมาอยู่กับเขาจริง ๆ คนงานในบ้านเมื่อเห็นหญิงสาวก็รีบกระวีกระวาดช่วย“อ่ะ...น้าเอามาฝาก”ศรัญญายื่นขนมจากร้านถุงใหญ่ให้“ขอบคุณครับ”สกลกันต์หน้าบานดีอกดีใจ กระพุ่มมือไหว้อย่างงดงาม“ขอบใจที่เอาของมาให้นะแก”วัชรมัยออกมาพบเพื่อนด้วยชุดแปลกตา สวมเสื้อยืดนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีสันสดใส“เรื่องมันยาว”เธอหลุบหลบสายตา ศรัญญาเห็นนะ แก้มเพื่อนขึ้นสีแดง“มีเวลาฟังทั้งวัน ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่ มีอิสระในการทำงานนะเผื่อแกลืม”ศรัญญายิ้มล้อ วัชรมัยบอกคนรับใช้ในบ้านให้คอยดูแลสกลกันต์ในห้องนั่งเล่นด้วย ส่วนเธอพาเพื่อนไปคุยกันให้ห้องพักแขก“สรุปแกกลับมาเป็นนายหญิงของที่นี่แล้วงั้นสิ”เชฟสาวเลือกนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแ
ร่างขาวอ้อนแอ้นของวัชมัยเปลือยเปล่า ผิวใสกระจ่างต้องแสงหลอดไฟ เปลือกสีมุกครอบคลุมดวงตา ริมฝีปากเม้มเน้น มือแนบลำตัว กำแล้วก็คลาย สะกดกลั้นอาการหวาดหวั่น“ฉันไม่มีรสนิยมทำตัวเป็นโจรขืนใจใคร”เสียงทุ้มปนห้าวของคนร่วมห้องดังก้อง“ไม่ต้องหลับตาฝืนขนาดนั้น”หูได้ยินเขาหัวเราะหึ“ถ้าไม่เต็มใจทำก็ออกไป”ตาโตลืมขึ้นมาโดยพลัน การออกไปหมายถึงเธอต้องห่างจากลูก“พี่ป้องอยากให้มิ้งทำอะไรให้ละคะ”วัชรมัยสบตาคม ทิ้งยางอายไว้เบื้องหลัง“คิดสิว่าอีตัวต้องทำยังไงกับแขก”เกลียดยิ้มแสยะของเขาเหลือเกิน ไผทเมื่อห้าปีก่อน ไม่เคยทำตัวน่าเกลียดอย่างนี้กับเธอ“มิ้ง...ไม่รู้ มิ้ง ไม่เคยเป็นอีตัว”“ฉันไม่เชื่อ เธอหายไปตั้งห้าปี จะไม่มีคนอื่นได้ยังไง”“มิ้งเอาแต่เรียนกับทำงาน”“เหอะ...อ่อนปวกเปียกอย่างเธอน่ะเหรอจะทำงาน”ไผทหรี่ตามองเธอหัวจรดเท้า วัชรมัยไม่มีท่าทางกระฉับกระเฉงแบบคนทำงานเลย เธอตัวบาง ขาวซีดกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเสียอีก“พี่ป้องปากร้ายขึ้นนะคะ”“ฉันต้องร้ายให้สมกับคนเลวอย่างเธอไง”ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าใกล้ รังสีคุกคามแผ่กระทบจนวัชรมัยถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณระวังภัย“จะสงเคราะห์สอนงานอีตัวฝึกหัดให้ก็แล้ว
วัชรมัยปรือตาขึ้นเพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างยุก ๆ ยิก ๆ เสียดสีหน้าท้อง ทีแรกตกใจเมื่อลืมตาพบกับเพดานไม้สักไม่คุ้นตา ก่อนค่อยระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ไหน และอะไรเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืนเธอเม้มปากเงยมองเจ้าของท่อนแขนซึ่งพาดเอวกิ่วของตัวเองไว้ จมูกโด่งจมอยู่ในเรือนผม ตาแสนดุนั้นหลับพริ้มไผทขนตายาว ลักษณะพิเศษนี้ถ่ายทอดมาจนถึงสกลกันต์ ลูกไม่มีอะไรเหมือนวัชรมัยเลย นอกจากผิวขาว เด็กชายได้ส่วนที่ดีของบิดาไปหมดดีแล้ว วัชรมัยไม่อยากให้ลูกเกิดคำถามเหมือนเธอในวัยเด็กเธอเคยถามวารีว่าทำไมหน้าตนไม่เหมือนพี่ วัชรมัยเหมือนพ่อหรือแม่ เธอที่ไม่รู้ความอยากหาคำตอบตามประสาซื่อ วารีได้แต่ยิ้มยกมือลูบศีรษะก่อนโตมาวัชรมัยจะรับรู้ความจริงอันโหดร้าย เธอกับพี่ถูกพ่อแม่ทิ้งขว้าง ให้อยู่กันเพียงสองคนในโลกวารีกอดเด็กหญิงผู้ตัวสั่นเทาไว้ อ้อมอกอบอุ่นของพี่โอบล้อมเธอไว้ คนคนเดียวที่จะรักเธอตลอดชีวิตความตายของวารีคือการดับแสงดวงอาทิตย์ โลกที่ไม่มีพี่ของวัชรมัยพังทลายไผทจึงเป็นคนเดียวที่ช่วยเยียวยาชีวิตอันแห้งแล้ง จากการสูญเสีย แต่แล้วเขาก็ทำเธอผิดหวัง เจ็บป่วยหัวใจ กระทั่งต้องเลิกร้าง ลากันไป“อืม...”คนตัวโตผิวเข้มคร
เช้านี้ ณ โรงเรียนอนุบาลชื่อดังของจังหวัด สกลกันต์เดินเข้าอาคารเรียนพร้อมจูงมือสาวหุ่นบอบบางสวมเชิ้ตแขนกุด ท่อนล่างเป็นกางเกงทรงชิโนตัวหลวมปากเล็กเล่าโน่นนี่เจื้อยแจ้ว มือจับกระชับมั่นกับมือแม่ บางจังหวะก็ยิ้มทักทาย ส่งเสียงเรียกเพื่อนดังลั่น ขณะผู้เป็นพ่อเดินหน้าตึงตามทั้งสองมาข้างหลัง“เกล...ดีน นี่แม่เราแหละ”สกลกันต์แนะนำมารดาหน้าชื่นตาบาน สองเพื่อนยกมือไหว้ วัชรมัยทั้งรับไหว้เด็ก และโค้งศีรษะทักทายพ่อแม่เพื่อนลูก“แม่เรากลับจากบนฟ้า จะมาอยู่กับเราตลอดไป”ผู้ใหญ่ที่ได้ยินชะงัก มองหญิงสาวอย่างสนใจ ข่าวนายหัวไผทตกพุ่มม่ายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว สกลกันต์กำพร้า แล้วจู่ ๆ ก็มีแม่ หลายคนเตรียมเก็บข้อมูลเด็ดไปเม้าท์ในวงน้ำชา“กัปตันนี่แม่เรา วันนี้แม่ทำแซนด์วิช ทำคุณไข่พระอาทิตย์กับก้อนเมฆให้ด้วย”เมื่อสบตาคู่อริ สกลกันต์ไม่พลาดอวด เด็กชายกัปตันมองหน้าวัชรมัย ก่อนรีบหลบซุกศีรษะหลังขาแม่ตน กลัวคำขู่ที่เธอจะฟ้องครูเมื่อวันก่อนคู่กรณีโดนเขากลั่นแกล้งมีเยอะ ถ้ารู้ถึงหูครูแม่ต้องรู้ด้วย แม่มักลงโทษให้งดขนม กัปตันไม่ยอมอดของหวานหรอก“แม่คั้นน้ำส้มให้เราด้วยอร้อย...อร่อย”วัชรมัยเลยได้รู้นิสั
“พักก่อนเถอะนายหัว”ลูกน้องคู่ใจบอกเมื่อดวงอาทิตย์ทำองศาตรงกับยอดไม้ บ่งบอกเวลาเที่ยงวัน สองหนุ่มเดินคุมคนทำงานจนถึงท้ายสวน ต้องเร่งให้เสร็จภายในวันนี้ก่อนฝนจะมา“พวกมึงทำตรงนี้อีกหน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”คนงานใจห่อเหี่ยว ท้องประท้วงหิวขึ้นมาไร ๆ ใครจะบ้างานเหมือนนายหัว ปรกติกินข้าวเที่ยงเอาบ่ายสองแม่ครัวต้องเก็บข้าวปิดฝาชีไว้ให้เป็นประจำ ตัวก็โต เหตุไฉนระบบเผาผลาญทำงานช้านัก ไม่หิว ไม่อยาก ตรงตามเวลาเหมือนคนอื่นเขา“ไว้ค่อยให้คนทำต่อช่วงบ่ายนะนายหัว หน้าพวกมันซีดแล้ว เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป ให้พักกินข้าวเที่ยงเถอะ”ไผทยกนาฬิกาเรือนสมบุกสมบันที่ข้อมือขึ้นดู เข็มบ่งบอกเลยเวลาเที่ยงตรงมาสิบเจ็ดนาที“เออ งั้นก็พักกินข้าว แต่เร่งหน่อยนะ กูกลัวไม่ทันฝน เสร็จเร็วก็จะให้เลิกงานเร็วด้วย ถ้าทำเลยเวลาให้คิดเป็นโอที”คนงานค่อยมีรอยยิ้มบ้าง ไม่มีใครอยากได้โอทีหรอก อยากเสร็จงานเร็ว ๆ แล้วไปพักเสียมากกว่า“นายหัวลืมอะไรไปหรือเปล่า”เจ้านายกับลูกน้องเดินเอื่อย ๆ ตามหลังคนงาน ซึ่งไปรวมกันขึ้นรถบรรทุก เตรียมพาไปโรงอาหารเพื่อกินมื้อกลางวัน“หืม...”คิ้วเข้มขมวด ครางลึกในลำคอ วิเชียรส่ายศีรษะอ่อนใจ“จ
สกลกันต์ยิ้มอารมณ์ดีตลอดเช้า แม้มื้อกลางวันกับข้าวเป็นไข่เจียวมะเขือเทศก็ไม่หน้ามุ่ย ตักเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับ“ปราบเก่งแล้ว กินมะเขือเทศหมดด้วย”เกลชอบมะเขือเทศ แม่บอกกินแล้วจะสวย แก้มแดงเต่งตึงเหมือนผิวมัน เกลจึงชอบมาก ผิดกับเพื่อนคนนี้ เห็นปรกติเขี่ยทิ้งทุกที“วันนี้เราจะได้มีเรื่องเล่าแม่ ว่าเรากินมะเขือเทศที่โรงเรียนได้ แม่จะได้ชมเรา”สกลกันต์ชอบช่วงเวลาถูกชม วัชรมัยทั้งยิ้ม ทั้งลูบแก้มเขา ตัวมารดาอุ่น ผิวก็นุ่ม มีกลิ่นหอม ต่างกับตัวไผทที่มีแต่เนื้อแข็ง ๆ หนวดสาก ๆ“งั้นเราแบ่งมะเขือเทศให้ แลกกับแคร์รอตได้ไหม”ดีนเสนอ หนุ่มน้อยไม่รังเกียจมะเขือเทศ แต่ถ้าให้เลือก เขาชอบผักสีส้มมากกว่า อยากกินเหมือนน้องกระต่ายขนฟูสีขาวที่ศรัญญาผู้เป็นน้าเลี้ยงไว้“โอเค แลกกัน”มือป้อมแบ่งแคร์รอตในแกงจืดใส่จานเพื่อน คิดลิงโลดในใจมีเรื่องอวดมารดาเพิ่ม เขากินมะเขือเทศได้ดับเบิ้ลล่ะ...วัชรมัยต้องภูมิใจ ชมเขาเยอะ ๆดีนตักมะเขือเทศแลกเช่นกัน บรรยากาศมื้อกลางวันโรงเรียนอนุบาลห้องดอกทานตะวัน เป็นไปอย่างมุ้งมิ้งชื่นมื่น ทว่ามีใครบางคนหงุดหงิด“พูดถึงแต่แม่อยู่นั่นแหละ ปราบเป็นเด็กขี้แยติดแม่หรือไง”กัปตันนั่
“มิ้ง”วัชรมัยสะดุ้งเฮือก โทรศัพท์ในมือแทบหล่น หันมองคนเรียก ร่างสูงยืนจังก้าเท้าสะเอว หน้าดุเป็นยักษ์ปักหลั่น“พะ...พี่ป้องมีอะไรเหรอคะ”เธอกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เหลือบดูเวลาบนหน้าจอมือถือ แค่บ่ายโมงนิด ๆ เอง ยังไม่ถึงเวลาไปรับลูกเสียหน่อยไผทบีบนิ้วเกร็งแน่นกับเอวสอบของตน หักห้ามใจกับใบหน้าใสซื่อ ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเขาต้องขับรถลุยสวนลำบากขนาดไหนที่วัชรมัยเดินมาไม่ใช่มีถนนรถใหญ่ผ่านได้ เป็นเพียงทางลัดเล็ก ๆ เข้าสู่สวนผลไม้ ซึ่งปลูกไว้พอให้ได้กินระหว่างขับรถมาด้วยเจอดินตะปุ่มตะป่ำ ตัวเขากระเด้งกระดอนจนปวดก้นไปหมด เดี๋ยวเถอะ ต้องให้คนงานตัดหญ้าให้เหี้ยน ปรับพื้นที่ให้เรียบ“ครูที่โรงเรียนปราบเรียกผู้ปกครองไปพบ”ใจวัชรมัยกระตุกวาบ“เกิดอะไรขึ้นกับลูกเหรอ”“ปราบต่อยเพื่อน”หญิงสาวไม่อยากเชื่อ ลูกชายที่ทั้งว่าง่าย อารมณ์ดีขนาดนั้น เหตุใดจึงทำร้ายเพื่อน“ไปค่ะ พี่ป้อง ไปหาลูกกัน”ร่างเล็กเป็นฝ่ายวิ่งเสียเอง ไปยังรถที่จอดอยู่กลางดงหญ้า“ครูบอกไหมคะ ทำไมปราบถึงต่อยเพื่อน”รถคันโตวิ่งฉิวกลับสู่ถนนเส้นหลัก ใจทั้งสองลอยไปโรงเรียนอนุบาลเรียบร้อยแล้ว“ครูยังไม่บอกรายละเอียดเลย”วัชรมัยปร
“ปราบ ไปนั่งข้างหลัง เดี๋ยวแม่หนัก”เด็กชายตัวจ้อยยังซุกอกอบอุ่น กลิ่นหอมชวนให้รู้สึกปลอดภัย ศีรษะเล็กส่ายไม่ยินยอม ยามวัชรมัยเปิดประตูรถที่นั่งข้างคนขับ“ปราบ...”ไผทเรียกลูกอีกครั้งด้วยเสียงอันกดต่ำ“ไม่เอา ปราบจะนั่งกับแม่”เจ้าหนูยืนยันคำเดิม ผู้เป็นพ่อกำลังจะเอื้อมไปแกะมือเหนียวหนึบเป็นโคอาล่าออก หญิงสาวก็วางลูกชายลงให้ยืนบนพื้นรถเสียก่อน“ให้นั่งกับมิ้งเถอะค่ะ พี่ป้องอย่าเพิ่งดุลูก ปราบยังใจไม่ดี”ไม่รอคำอนุญาต วัชรมัยขึ้นรถ อุ้มลูกนั่งตัก เจ้าตัวดีเอนศีรษะซุกอกมารดา มองตอบผู้เป็นบิดาตาแป๋ว“ถ้าพี่ป้องกลัวปราบไม่ปลอดภัย มิ้งจะกอดลูกให้แน่น ๆ จะปกป้องแก สาบานด้วยชีวิต”แววตาที่ส่งมาบ่งบอกความไม่ยอมแพ้และมุ่งมั่น ไผทถอนหายใจแรง ยอมไปนั่งประจำที่คนขับ และสตาร์ทรถเคลื่อนออกไป“แม่เท่ที่สุดเลย สู้กับพ่อกัปตันได้ด้วย”สกลกันต์คุยหงุงหงิง ภูมิใจมากที่วัชรมัยตัวนิดเดียว กลับสู้นายตำรวจตัวโตท่าทางดุดันน่ากลัวได้“แม่เก่งอย่างนี้ จะไม่ทิ้งปราบไป จะอยู่ด้วยกันตลอดใช่ไหมครับ”สายตาเธอกับเขาสบกัน ก่อนหญิงสาวจะเป็นผู้หลุบหลบเองอย่างมีพิรุธ“แม่อยู่กับปราบนะ ไม่ต้องกลับไปสวรรค์แล้ว ปราบจะไม่ตี