เช้านี้ ณ โรงเรียนอนุบาลชื่อดังของจังหวัด สกลกันต์เดินเข้าอาคารเรียนพร้อมจูงมือสาวหุ่นบอบบางสวมเชิ้ตแขนกุด ท่อนล่างเป็นกางเกงทรงชิโนตัวหลวมปากเล็กเล่าโน่นนี่เจื้อยแจ้ว มือจับกระชับมั่นกับมือแม่ บางจังหวะก็ยิ้มทักทาย ส่งเสียงเรียกเพื่อนดังลั่น ขณะผู้เป็นพ่อเดินหน้าตึงตามทั้งสองมาข้างหลัง“เกล...ดีน นี่แม่เราแหละ”สกลกันต์แนะนำมารดาหน้าชื่นตาบาน สองเพื่อนยกมือไหว้ วัชรมัยทั้งรับไหว้เด็ก และโค้งศีรษะทักทายพ่อแม่เพื่อนลูก“แม่เรากลับจากบนฟ้า จะมาอยู่กับเราตลอดไป”ผู้ใหญ่ที่ได้ยินชะงัก มองหญิงสาวอย่างสนใจ ข่าวนายหัวไผทตกพุ่มม่ายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว สกลกันต์กำพร้า แล้วจู่ ๆ ก็มีแม่ หลายคนเตรียมเก็บข้อมูลเด็ดไปเม้าท์ในวงน้ำชา“กัปตันนี่แม่เรา วันนี้แม่ทำแซนด์วิช ทำคุณไข่พระอาทิตย์กับก้อนเมฆให้ด้วย”เมื่อสบตาคู่อริ สกลกันต์ไม่พลาดอวด เด็กชายกัปตันมองหน้าวัชรมัย ก่อนรีบหลบซุกศีรษะหลังขาแม่ตน กลัวคำขู่ที่เธอจะฟ้องครูเมื่อวันก่อนคู่กรณีโดนเขากลั่นแกล้งมีเยอะ ถ้ารู้ถึงหูครูแม่ต้องรู้ด้วย แม่มักลงโทษให้งดขนม กัปตันไม่ยอมอดของหวานหรอก“แม่คั้นน้ำส้มให้เราด้วยอร้อย...อร่อย”วัชรมัยเลยได้รู้นิสั
“พักก่อนเถอะนายหัว”ลูกน้องคู่ใจบอกเมื่อดวงอาทิตย์ทำองศาตรงกับยอดไม้ บ่งบอกเวลาเที่ยงวัน สองหนุ่มเดินคุมคนทำงานจนถึงท้ายสวน ต้องเร่งให้เสร็จภายในวันนี้ก่อนฝนจะมา“พวกมึงทำตรงนี้อีกหน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”คนงานใจห่อเหี่ยว ท้องประท้วงหิวขึ้นมาไร ๆ ใครจะบ้างานเหมือนนายหัว ปรกติกินข้าวเที่ยงเอาบ่ายสองแม่ครัวต้องเก็บข้าวปิดฝาชีไว้ให้เป็นประจำ ตัวก็โต เหตุไฉนระบบเผาผลาญทำงานช้านัก ไม่หิว ไม่อยาก ตรงตามเวลาเหมือนคนอื่นเขา“ไว้ค่อยให้คนทำต่อช่วงบ่ายนะนายหัว หน้าพวกมันซีดแล้ว เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป ให้พักกินข้าวเที่ยงเถอะ”ไผทยกนาฬิกาเรือนสมบุกสมบันที่ข้อมือขึ้นดู เข็มบ่งบอกเลยเวลาเที่ยงตรงมาสิบเจ็ดนาที“เออ งั้นก็พักกินข้าว แต่เร่งหน่อยนะ กูกลัวไม่ทันฝน เสร็จเร็วก็จะให้เลิกงานเร็วด้วย ถ้าทำเลยเวลาให้คิดเป็นโอที”คนงานค่อยมีรอยยิ้มบ้าง ไม่มีใครอยากได้โอทีหรอก อยากเสร็จงานเร็ว ๆ แล้วไปพักเสียมากกว่า“นายหัวลืมอะไรไปหรือเปล่า”เจ้านายกับลูกน้องเดินเอื่อย ๆ ตามหลังคนงาน ซึ่งไปรวมกันขึ้นรถบรรทุก เตรียมพาไปโรงอาหารเพื่อกินมื้อกลางวัน“หืม...”คิ้วเข้มขมวด ครางลึกในลำคอ วิเชียรส่ายศีรษะอ่อนใจ“จ
สกลกันต์ยิ้มอารมณ์ดีตลอดเช้า แม้มื้อกลางวันกับข้าวเป็นไข่เจียวมะเขือเทศก็ไม่หน้ามุ่ย ตักเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับ“ปราบเก่งแล้ว กินมะเขือเทศหมดด้วย”เกลชอบมะเขือเทศ แม่บอกกินแล้วจะสวย แก้มแดงเต่งตึงเหมือนผิวมัน เกลจึงชอบมาก ผิดกับเพื่อนคนนี้ เห็นปรกติเขี่ยทิ้งทุกที“วันนี้เราจะได้มีเรื่องเล่าแม่ ว่าเรากินมะเขือเทศที่โรงเรียนได้ แม่จะได้ชมเรา”สกลกันต์ชอบช่วงเวลาถูกชม วัชรมัยทั้งยิ้ม ทั้งลูบแก้มเขา ตัวมารดาอุ่น ผิวก็นุ่ม มีกลิ่นหอม ต่างกับตัวไผทที่มีแต่เนื้อแข็ง ๆ หนวดสาก ๆ“งั้นเราแบ่งมะเขือเทศให้ แลกกับแคร์รอตได้ไหม”ดีนเสนอ หนุ่มน้อยไม่รังเกียจมะเขือเทศ แต่ถ้าให้เลือก เขาชอบผักสีส้มมากกว่า อยากกินเหมือนน้องกระต่ายขนฟูสีขาวที่ศรัญญาผู้เป็นน้าเลี้ยงไว้“โอเค แลกกัน”มือป้อมแบ่งแคร์รอตในแกงจืดใส่จานเพื่อน คิดลิงโลดในใจมีเรื่องอวดมารดาเพิ่ม เขากินมะเขือเทศได้ดับเบิ้ลล่ะ...วัชรมัยต้องภูมิใจ ชมเขาเยอะ ๆดีนตักมะเขือเทศแลกเช่นกัน บรรยากาศมื้อกลางวันโรงเรียนอนุบาลห้องดอกทานตะวัน เป็นไปอย่างมุ้งมิ้งชื่นมื่น ทว่ามีใครบางคนหงุดหงิด“พูดถึงแต่แม่อยู่นั่นแหละ ปราบเป็นเด็กขี้แยติดแม่หรือไง”กัปตันนั่
“มิ้ง”วัชรมัยสะดุ้งเฮือก โทรศัพท์ในมือแทบหล่น หันมองคนเรียก ร่างสูงยืนจังก้าเท้าสะเอว หน้าดุเป็นยักษ์ปักหลั่น“พะ...พี่ป้องมีอะไรเหรอคะ”เธอกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เหลือบดูเวลาบนหน้าจอมือถือ แค่บ่ายโมงนิด ๆ เอง ยังไม่ถึงเวลาไปรับลูกเสียหน่อยไผทบีบนิ้วเกร็งแน่นกับเอวสอบของตน หักห้ามใจกับใบหน้าใสซื่อ ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเขาต้องขับรถลุยสวนลำบากขนาดไหนที่วัชรมัยเดินมาไม่ใช่มีถนนรถใหญ่ผ่านได้ เป็นเพียงทางลัดเล็ก ๆ เข้าสู่สวนผลไม้ ซึ่งปลูกไว้พอให้ได้กินระหว่างขับรถมาด้วยเจอดินตะปุ่มตะป่ำ ตัวเขากระเด้งกระดอนจนปวดก้นไปหมด เดี๋ยวเถอะ ต้องให้คนงานตัดหญ้าให้เหี้ยน ปรับพื้นที่ให้เรียบ“ครูที่โรงเรียนปราบเรียกผู้ปกครองไปพบ”ใจวัชรมัยกระตุกวาบ“เกิดอะไรขึ้นกับลูกเหรอ”“ปราบต่อยเพื่อน”หญิงสาวไม่อยากเชื่อ ลูกชายที่ทั้งว่าง่าย อารมณ์ดีขนาดนั้น เหตุใดจึงทำร้ายเพื่อน“ไปค่ะ พี่ป้อง ไปหาลูกกัน”ร่างเล็กเป็นฝ่ายวิ่งเสียเอง ไปยังรถที่จอดอยู่กลางดงหญ้า“ครูบอกไหมคะ ทำไมปราบถึงต่อยเพื่อน”รถคันโตวิ่งฉิวกลับสู่ถนนเส้นหลัก ใจทั้งสองลอยไปโรงเรียนอนุบาลเรียบร้อยแล้ว“ครูยังไม่บอกรายละเอียดเลย”วัชรมัยปร
“ปราบ ไปนั่งข้างหลัง เดี๋ยวแม่หนัก”เด็กชายตัวจ้อยยังซุกอกอบอุ่น กลิ่นหอมชวนให้รู้สึกปลอดภัย ศีรษะเล็กส่ายไม่ยินยอม ยามวัชรมัยเปิดประตูรถที่นั่งข้างคนขับ“ปราบ...”ไผทเรียกลูกอีกครั้งด้วยเสียงอันกดต่ำ“ไม่เอา ปราบจะนั่งกับแม่”เจ้าหนูยืนยันคำเดิม ผู้เป็นพ่อกำลังจะเอื้อมไปแกะมือเหนียวหนึบเป็นโคอาล่าออก หญิงสาวก็วางลูกชายลงให้ยืนบนพื้นรถเสียก่อน“ให้นั่งกับมิ้งเถอะค่ะ พี่ป้องอย่าเพิ่งดุลูก ปราบยังใจไม่ดี”ไม่รอคำอนุญาต วัชรมัยขึ้นรถ อุ้มลูกนั่งตัก เจ้าตัวดีเอนศีรษะซุกอกมารดา มองตอบผู้เป็นบิดาตาแป๋ว“ถ้าพี่ป้องกลัวปราบไม่ปลอดภัย มิ้งจะกอดลูกให้แน่น ๆ จะปกป้องแก สาบานด้วยชีวิต”แววตาที่ส่งมาบ่งบอกความไม่ยอมแพ้และมุ่งมั่น ไผทถอนหายใจแรง ยอมไปนั่งประจำที่คนขับ และสตาร์ทรถเคลื่อนออกไป“แม่เท่ที่สุดเลย สู้กับพ่อกัปตันได้ด้วย”สกลกันต์คุยหงุงหงิง ภูมิใจมากที่วัชรมัยตัวนิดเดียว กลับสู้นายตำรวจตัวโตท่าทางดุดันน่ากลัวได้“แม่เก่งอย่างนี้ จะไม่ทิ้งปราบไป จะอยู่ด้วยกันตลอดใช่ไหมครับ”สายตาเธอกับเขาสบกัน ก่อนหญิงสาวจะเป็นผู้หลุบหลบเองอย่างมีพิรุธ“แม่อยู่กับปราบนะ ไม่ต้องกลับไปสวรรค์แล้ว ปราบจะไม่ตี
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”วัชรมัยทอดเสียงอ่อนหวาน เล่าเรื่องเจ้าม้าลายจอมซนผจญภัยมีบางจังหวะที่ถูกขัด“แม่ครับทำไม...”เธออธิบายให้ลูกเข้าใจอย่างใจเย็น จนสกลกันต์พยักหน้า เริ่มเล่าต่อ ไม่ทันไรคนอนตรงกลางก็ส่งเสียงอีก“แม่ครับปราบว่า...”ไผทคิ้วกระตุก ปรกติสกลกันต์ไม่เคยถามรัว ๆ แบบนี้ มารดาก็อธิบายใจเย็น รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากตลอด“แล้วเจ้าม้าลาย...”เธอเล่าต่อ ไผทไม่ได้สนใจเนื้อหาในนิทาน ตาจับจ้องไปยังริมฝีปากบางสีชมพู หูจับเสียงหวานใสที่เอื้อนเอ่ยวัชรมัยคือแม่ค้าน้ำปั่นหน้าแฉล้มข้างร้านอุปกรณ์การเกษตร เขาที่รอคนงานขนของขึ้นรถ ทั้งเบื่อและร้อน จึงช่วยอุดหนุนน้ำปั่น รสมือวัชรมัยไม่เหมือนใคร“อร่อยไหมคะนายหัว”ดวงตาซื่อ ๆ มองเขาอย่างคาดหวัง นานมากที่ไม่เห็นแววตาแบบนี้ ไผทมักเจอแต่สายตายั่วยวนแบบแม่เสือสาว พร้อมจับเขาขึ้นเตียงกลืนลงท้องความใสของวัชรมัยจึงเป็นความแปลก ทีแรกคิดว่าแค่เผลอติดใจสาวหน้าใหม่จากต่างถิ่นไป ๆ มา ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนวิเชียรแซวเรื่องแม่ค้าน้ำปั่นผู้น่ารัก ที่เขาเทียวไปสั่งกินทุกครั้งยามเข้าจังหวัดไผทจึงรู้ตัวว่าไม่ได้เผลอ แต่ติดใจวัชรมัยเข้าอย่างจัง เธอทำให้
“ห่ะเอ้ย! นายหัว”วิเชียรถอนหายใจโล่งอกทันที เมื่อเห็นหน้าเจ้าของร่างที่นอนเหยียดยาวบนพื้นทราย ทีแรกคิดว่าเป็นศพลอยเกยหาดเสียอีก“มาทำอะไรที่นี่แต่เช้าครับ”หัวหน้าคนงานพิจารณาอีกที เจ้านายสวมชุดเดิมเมื่อวานไม่ใช่เหรอ“เรื่องของกู มึงล่ะแหกขี้ตามาทำไม”ไผทตามองไปยังท้องฟ้าเวลาหัวรุ่ง ความสว่างไล่ผืนราตรีกาลอันดำมืด เริ่มมองเห็นสรรพสิ่งได้ราง ๆ คลื่นทะเลซาดซัดชัดเจนขึ้น มีเสียงนกบินเซ็งแซ่ออกจากรังวิเชียรในกางเกงขาสั้นเสื้อบอล รองเท้ากีฬาสีขาวมอซอ ทรุดนั่งลงแปะข้างเจ้านาย“มาวิ่งสิครับ ถามได้”ลมทะเลพัดเย็นสบาย อากาศสดชื่น สูดลมหายใจได้เต็มปอด หาดแห่งนี้อยู่ท้ายสวนปาล์ม ไม่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวอื่น มีโขดหินเยอะ มักโผล่ลงตอนน้ำลงทัศนียภาพไม่เรียบรื่นตา มีความเป็นธรรมชาติอยู่สูง ทั้งทิวต้นไม้เขียว เถาผักบุ้งทะเลเลื้อยระเกะระกะทอดยาวเกือบครึ่ง เรียกได้ว่าแทบจะเป็นหาดส่วนตัว“เพื่อสุขภาพที่ดี จะได้มีชีวิตอยู่นาน ๆ”ตอบไปโดยไม่คิดจะไปสะกิดใจคนนอนอยู่ ทั้งสองเงียบไปครู่ จนเจ้านายเอ่ย“มึงจะทำยังไงวะเชียร ถ้ารู้ว่าคนรู้จักกำลังจะตาย”“ฮ่ะ...”ลูกน้องขมวดคิ้ว หน้าเจ้านายนิ่งมาก จึงคิดว่าเป็น
“ฮึก...ปราบไปด้วยไม่ได้เหรอ”สกลกันต์เกาะขามารดาแน่นหนึบ เงยหน้าจ้องเธอด้วยน้ำที่รื้นตา นี่คือเหตุการ์หนึ่งวันก่อนวัชรมัยและไผทจะไปกรุงเทพฯทั้งสองเรียกลูกมาคุย บอกจะให้สกลกันต์อยู่รออยู่บ้าน วานป้านิดกับวิเชียรช่วยดูแล“พ่อกับแม่จะไปทำธุระสำคัญกัน เด็กไปด้วยไม่ได้” คำพูดของไผทยิ่งทำให้ศีรษะเล็ก ๆ ส่ายหนัก“ปราบขอไปด้วย สัญญาจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ดื้อ ไม่ซน”สกิลการต่อรองถูกนำมาใช้อีกครั้ง วัชรมัยอยากจะใจอ่อน แต่ครั้งนี้ยอมลูกไม่ได้จริง ๆ“ที่ที่พ่อกับแม่จะไปไม่เหมาะกับเด็กหรอกครับ เราไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ เอาอย่างนี้ไหม จะซื้อขนมมาฝากปราบเยอะ ๆ เลย”คนสะอื้นฮักมีลังเล“แม่จะกลับมาใช่ไหม ไม่พาพ่อไปสวรรค์ด้วยนะ ปราบไม่ยอม ไม่อยากอยู่คนเดียว”วัชรมัยจนใจ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังไผท“ปราบ หยุดร้อง พ่อจะพาแม่กลับมาแน่ พ่อเคยผิดสัญญากับปราบไหมหือ?”เด็กน้อยมองมารดาสลับบิดา“ใช่ครับคุณปราบ เดี๋ยวนายหัวก็กลับมา ถ้าคิดถึงโทรหากันก็ได้”วิเชียรรีบเสริม สงสัยอยู่เหมือนกันตอนนายหัวมาฝากคุมงาน บอกจะพาวัชรมัยไปกรุงเทพฯปรกติไปไหนไกล ๆ ไผทจะแจ้งเหตุผลในการไปเสมอ มีเพียงครั้งนี้ที่แปลกไป เจ้านายบอกพร้อม