Share

บทที่ 6 “ปราบอยากเจอแม่ พ่อพามาแม่มาหาปราบอีกได้ไหม”

“ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยเถอะค่ะ”

วัชรมัยในสภาพผมฟูกระเซิง ใบหน้าแห้งกรังไปด้วยคราบน้ำตากำลังอ้อนวอนคนงานที่ป้อมหน้าสวน

“ขอร้องล่ะ หรือต้องการเงิน ฉันก็ให้ได้นะคะ”

หญิงสาวล้วงกระเป๋าสตางค์ หยิบธนบัตรใบละพันขึ้นมาชูสามใบ

“กลับไปเถอะครับคุณผู้หญิง”

คนงานชายที่ลากเธอมาในทีแรกส่ายหน้า ขณะเพื่อนอีกสามสี่คนส่งสายตาวอกแวก ลังเลเมื่อเห็นธนบัตรส่ายยั่วใจอยู่ไหว ๆ

“หลอกเอาเงินจากอีนี่ก่อนก็ได้...แล้วแกล้งทำเป็นปล่อยให้เข้ามา ค่อยจับกลับอีกที”

หนึ่งในนั้นกระซิบแผนการอันชั่วร้าย

“มึงรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”

หนุ่มหุ่นสันทัดกระซิบบอกเพื่อน เล่าตัวตนที่ที่แท้จริงของเธอ เมื่อได้ฟังหนุ่ม ๆ ถึงกับหน้าซีดเผือด

“ตะ...แต่นายหัวไล่ออกมาเองนะเว้ย”

“ยังไงเธอก็เป็นแม่คุณปราบ มึงกล้าเหรอ”

หลายคนคอหด ไผทนั้นดุก็จริง แต่สกลกันต์ก็ใช่ย่อย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น วีรกรรมแกล้งปล่อยหมาพิตบลูไล่คนงานในสวน จนต้องวิ่งหนีกันตับแทบแล่บยังตราตรึงใจอยู่มิรู้ลืม

“ว่าไง เงินน่ะจะเอาไหม”

วัชรมัยเสนอสิ่งที่เธอไม่ขาด ตอนนี้มีมากกว่าสิบล้านด้วยซ้ำ

“พวกผมไม่ทรยศนายหัวหรอก เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะ”

หญิงสาวหน้าสลด สมองแล่นเร็วจี๋ คิดจะทำอย่างไรดี อยากกลับไปอยู่กับสกลกันต์ อยากกอดลูกอีก ผิวนุ่มนิ่มละมุนมือ กลิ่นหอมนมผงยังติดตรึงจมูก

ทันใดนั้นเสียงมือถือดังลั่นขึ้น

“อยู่ไหนอ่ะแก ฉันโทรไปก็ไม่รับ เมื่อกี้โทรไปโรงแรมฟร้อนท์บอกแกยังไม่กลับ”

ศรัญญาเป็นห่วงเพื่อนมาก หายไปจากคาเฟ่พร้อมอดีตสามีกับลูกตั้งหลายชั่วโมง ไม่ส่งข่าวจนต้องโทรไปตามที่โรงแรมที่พักของวัชรมัยซึ่งอยู่ในเครือกิจการบ้านศรัญญาเอง

“อยู่สวนพี่ป้อง”

“นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะแก พี่ป้องยอมให้ค้างเหรอ”

วัชรมัยเม้มริมฝีปาก สมองหาคำแก้ตัวเพื่อไม่ให้เพื่อนเป็นห่วง เธออยากอยู่กับลูกมากกว่า อยากอยู่ด้วยเหลือเกิน เธอไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด

“อือ...ก็ทำนองนั้นแหละ” ปลายสายเงียบลงไป

“รู้ตัวไหม เวลาแกโกหกเสียงจะเบาลง”

คนรู้ทันถอนหายใจยาว เดาสถานการณ์ออกทันที คนรับสายตกที่นั่งลำบากอีกเป็นแน่

“เดี๋ยวฉันไปรับ”

“ไม่ต้องหรอกเก๋ ขอบใจมาก ฉันโอเค”

“โอเคกับผีน่ะสิ ตอนบ่ายนายหัวป้องจ้องแกอย่างกับจะหักคอจิ้มน้ำชุบ ไม่ใช่ตอนนี้จับแกถ่วงทะเลไปแล้วหรือไง”

ศรัญญาลูบแขนตนเองด้วยความขนลุกขนพอง

“เว่อร์ไปแก ฉันดูแลตัวเองได้น่า อยู่คนเดียวมาตั้งห้าปีเลยนะ”

วัชรมัยหัวเราะขื่น

“คนร้าย ๆ แบบเสือสิงห์ กระทิงแร่ด ก็เจอมาหมดแล้ว แค่พี่ป้องคนเดียว สบายมาก”

พยายามเหลือเกินที่จะคงเสียงให้สบายเหมือนปากบอก ทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังเกรอะกรังด้วยน้ำตา

“เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว ไม่กวนแกหรอก รีบนอนเถอะพรุ่งนี้ไหนว่ามีออร์เดอร์ขนมล็อตใหญ่ไง”

วัชรมัยเอ่ยหันเหความสนใจเพื่อน ศรัญญาทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ

“เออ...รู้แล้ว มีอะไรโทรมานะแก จะกี่ทุ่ม จะตีไหนก็ตาม ฉันจะไปหา”

สุดท้ายจำต้องยอม ศรัญญารู้ดี เพื่อนเห็นดูนุ่มนิ่มใส ๆ ไม่มีพิษ ไม่ภัย แต่ความจริงนั้นดื้อนัก ไม่เช่นนั้นเมื่อห้าปีก่อนคงไม่ตัดสินใจจากไผทกับลูกไป

“ขอบใจ”

นิ้วอันสั่นเทากดตัดสาย พร้อมน้ำตาพรั่งพรู ในชีวิตที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเลว ยังมีศรัญญานี่แหละ ที่ยังคอยเป็นเพื่อน ช่วยให้กำลังใจเสมอ

คนงานจากป้อมเมียงมองร่างผอมบางที่ยืนนิ่งอยู่บนถนนหน้าประตู ตามองตรงเข้าไปในสวน

หากไม่ได้เห็นวัชรมัยโดนลากมากับตา คงคิดว่าเธอเป็นภูตผี เพราะผมยาวรุ่ยร่ายกระเซอะกระเซิง ผิวขาวซีดตัดความมืดยามราตรี ร่างอรชรปักหลักไม่ไปไหน

เมื่ออีกฝ่ายเพียงยืนนิ่ง หนุ่ม ๆ คนงานก็วางใจ เล่นมือถือบ้าง เปิดวิทยุฟังแก้เหงาระหว่างค่ำคืนบ้าง

วัชรมัยจะรออยู่ตรงนี้ รอพบลูก พรุ่งนี้สกลกันต์ต้องไปโรงเรียน มีแต่เส้นทางนี้เท่านั้นที่เชื่อมกับถนนใหญ่ พออยู่ต่อหน้าลูกแล้วไผทไม่กล้าไล่เธอแน่ เขาแคร์ความรู้สึกลูกมาก

ขอแค่เธออยู่รอ อย่างใจเย็น ไม่มีความทรมานไหนเจ็บปวดเท่าโดนพรากจากลูก วัชรมัยรู้ซึ้งแล้ว

เธอเมื่อห้าปีก่อนยังเยาว์ ช่างเขลานัก

อิสระใดก็ไม่รู้สึกดีเท่าอ้อมกอดเล็ก ๆ ของสกลกันต์

เพราะฉะนั้นวัชรมัยจะรอ...รอพบลูกอีกครั้ง

รออย่างใจเย็น ไม่ให้ร่างกายผุ ๆ พัง ๆ นี้เป็นอุปสรรคในการพบกัน

วัชรมัยจะรอ...

แปะ...แปะ...แปะ

เสียงฝนกระทบหลังคากระเบื้องของป้อมยาม หนุ่ม ๆ คนงานโผล่หน้าออกไปดูท้องฟ้าที่มืดสนิท ลมกระโชกแรงพัดต้นไม้ในสวนไหวเผยิบผยาบ

“คืนนี้ข่าวว่าพายุจะเข้านี่หว่า”

หนุ่มเล่นมือถือพึมพำ คนงานที่ลากเธอมามองไปยังบนถนน ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำวัชรมัยยังยืนนิ่ง

“โหย! ดื้อด้านว่ะ”

ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มคนงานหันมาสนใจหญิงสาวหมด

“รู้เลยว่าคุณปราบได้นิสัยใครมา”

คนงานหุ่นสันทัดทนไม่ไหว กางร่มออกไปหา

“คุณกลับไปเถอะ อย่าตากฝนเดี๋ยวไม่สบาย”

“ฉันจะรอเจอลูก ฉันจะรอปราบ”

วัชรมัยพึมพำเรื่องเดียวที่ยึดเหนี่ยวในใจ

“คุณผู้หญิง”

มือสากจับข้อแขนนิ่ม วัชรมัยกระชากกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะรอเจอลูก”

ขณะคนงานละล้าละลังคิดไม่ตกจะเอาอย่างไรดี เพื่อนก็มาดึงแขนไป

“ปล่อยเขาไปเถอะว่ะ เพราะดื้อด้านร้ายกาจแบบนี้ไง นายหัวถึงไล่ออกมา”

หนุ่มร่างสันทัดโดนเพื่อนลากกลับไปอยู่ในป้อม ตายังมองหญิงสาวที่ยืนตัวสั่นท่ามกลางสายฝน เต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้

ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องของเจ้านาย ลูกน้องอย่างเขาไม่ควรเข้าไปแส่

สกลกันต์ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ไม่สดใส เมื่อเด็กน้อยพบตนอยู่เพียงลำพังในห้องนอน

“ยายพุดเห็นแม่หรือเปล่าครับ”

เจ้านายตัวน้อยของบ้านลงมาชั้นทั้งชุดนอน หัวฟูผมชี้โด่เด่

“ไม่เห็นนะคะ”

แม่ครัวเห็นใบหน้าหงอยแล้วก็สงสาร

“วันนี้อิฉันทำแซนด์วิชหมูหย็องน้ำสลัดด้วยนะคะ ของคุณปราบจะเพิ่มหมูหย็องให้สองเท่าเลย”

นางเอาของกินมาล่อ

“รีบไปอาบน้ำแปรงฟันเร็วสิคะ”

สกลกันต์พยักหน้าเนือย ๆ กลับขึ้นห้องไปจัดการกิจวัตรประจำวัน แล้วรีบไปหาไผทถึงในห้องนอน บิดาต้องรู้แน่ว่ามารดาอยู่ที่ไหน

“แม่กลับไปทำหน้าที่นางฟ้าแล้ว”

คำตอบทำเอาเด็กชายหน้าเสีย

“ไหนแม่บอกจะเวิร์คฟอร์มโฮมไง”

“งานบางอย่างทำที่บ้านไม่ได้หรอก”

หลังจากสุมหัวไป ร่ำสุราไปกับวิเชียรเมื่อคืน เจ้านายกับลูกน้องตกลงปลงใจใช้คำโกหกแบบเดิม รอสกลกันต์โตมากกว่านี้สักหน่อย ค่อยเล่าความจริงให้ฟัง

“พ่อก็ทำให้แม่ทำงานที่บ้านได้ทุกอย่างสิ เกลบอกพ่อรวยนี่”

ไผทขมวดคิ้ว นิสัยดื้อดึงดันอย่างนี้มาจากใครนะ ไม่ใช่จากเขาแน่

“ลูกจะเชื่อผู้หญิง แค่ก! เพื่อนทุกอย่างไม่ได้นะ”

เด็กผู้หญิงชื่อเกลนี่เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ต้องให้คนไปสืบดูเสียหน่อย กลัวจะทำลูกเขานิสัยเสีย

“ปราบอยากเจอแม่ พ่อพามาแม่มาหาปราบอีกได้ไหม”

สกลกันต์ส่งสายตาอ้อนวอน ไผทเห็นแล้วนึกถึงเจ้าหมาพิตบลูท้ายสวน ลูกเขานี่ยังไงนะ เลียนแบบได้กระทั่งหมา

“อืม”

ไผทใช้คำตอบรับสั้น ๆ เหมือนเคย

“รีบลงไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”

สองพ่อลูกจัดการกิจวัตรประจำวันและมื้อเช้าเสร็จ ก็เข้าไปนั่งในรถ ไม่นานวิเชียรที่หน้าตาไม่สู้ดีก็เข้ามานั่งข้างคนขับ

รถแล่นไปจนถึงประตูสวน เมื่อเปิดประตูมา สกลกันต์ก็ร้องลั่น

“แม่!”

ลูกชายดิ้นรนขืนตัวจากเข็มขัดนิรภัยจะไปหาร่างเปียก ๆ ที่นั่งคุดคู้ราวกับกองขยะอยู่กลางถนน

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status