“ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยเถอะค่ะ”
วัชรมัยในสภาพผมฟูกระเซิง ใบหน้าแห้งกรังไปด้วยคราบน้ำตากำลังอ้อนวอนคนงานที่ป้อมหน้าสวน
“ขอร้องล่ะ หรือต้องการเงิน ฉันก็ให้ได้นะคะ”
หญิงสาวล้วงกระเป๋าสตางค์ หยิบธนบัตรใบละพันขึ้นมาชูสามใบ
“กลับไปเถอะครับคุณผู้หญิง”
คนงานชายที่ลากเธอมาในทีแรกส่ายหน้า ขณะเพื่อนอีกสามสี่คนส่งสายตาวอกแวก ลังเลเมื่อเห็นธนบัตรส่ายยั่วใจอยู่ไหว ๆ
“หลอกเอาเงินจากอีนี่ก่อนก็ได้...แล้วแกล้งทำเป็นปล่อยให้เข้ามา ค่อยจับกลับอีกที”
หนึ่งในนั้นกระซิบแผนการอันชั่วร้าย
“มึงรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
หนุ่มหุ่นสันทัดกระซิบบอกเพื่อน เล่าตัวตนที่ที่แท้จริงของเธอ เมื่อได้ฟังหนุ่ม ๆ ถึงกับหน้าซีดเผือด
“ตะ...แต่นายหัวไล่ออกมาเองนะเว้ย”
“ยังไงเธอก็เป็นแม่คุณปราบ มึงกล้าเหรอ”
หลายคนคอหด ไผทนั้นดุก็จริง แต่สกลกันต์ก็ใช่ย่อย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น วีรกรรมแกล้งปล่อยหมาพิตบลูไล่คนงานในสวน จนต้องวิ่งหนีกันตับแทบแล่บยังตราตรึงใจอยู่มิรู้ลืม
“ว่าไง เงินน่ะจะเอาไหม”
วัชรมัยเสนอสิ่งที่เธอไม่ขาด ตอนนี้มีมากกว่าสิบล้านด้วยซ้ำ
“พวกผมไม่ทรยศนายหัวหรอก เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะ”
หญิงสาวหน้าสลด สมองแล่นเร็วจี๋ คิดจะทำอย่างไรดี อยากกลับไปอยู่กับสกลกันต์ อยากกอดลูกอีก ผิวนุ่มนิ่มละมุนมือ กลิ่นหอมนมผงยังติดตรึงจมูก
ทันใดนั้นเสียงมือถือดังลั่นขึ้น
“อยู่ไหนอ่ะแก ฉันโทรไปก็ไม่รับ เมื่อกี้โทรไปโรงแรมฟร้อนท์บอกแกยังไม่กลับ”
ศรัญญาเป็นห่วงเพื่อนมาก หายไปจากคาเฟ่พร้อมอดีตสามีกับลูกตั้งหลายชั่วโมง ไม่ส่งข่าวจนต้องโทรไปตามที่โรงแรมที่พักของวัชรมัยซึ่งอยู่ในเครือกิจการบ้านศรัญญาเอง
“อยู่สวนพี่ป้อง”
“นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะแก พี่ป้องยอมให้ค้างเหรอ”
วัชรมัยเม้มริมฝีปาก สมองหาคำแก้ตัวเพื่อไม่ให้เพื่อนเป็นห่วง เธออยากอยู่กับลูกมากกว่า อยากอยู่ด้วยเหลือเกิน เธอไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด
“อือ...ก็ทำนองนั้นแหละ” ปลายสายเงียบลงไป
“รู้ตัวไหม เวลาแกโกหกเสียงจะเบาลง”
คนรู้ทันถอนหายใจยาว เดาสถานการณ์ออกทันที คนรับสายตกที่นั่งลำบากอีกเป็นแน่
“เดี๋ยวฉันไปรับ”
“ไม่ต้องหรอกเก๋ ขอบใจมาก ฉันโอเค”
“โอเคกับผีน่ะสิ ตอนบ่ายนายหัวป้องจ้องแกอย่างกับจะหักคอจิ้มน้ำชุบ ไม่ใช่ตอนนี้จับแกถ่วงทะเลไปแล้วหรือไง”
ศรัญญาลูบแขนตนเองด้วยความขนลุกขนพอง
“เว่อร์ไปแก ฉันดูแลตัวเองได้น่า อยู่คนเดียวมาตั้งห้าปีเลยนะ”
วัชรมัยหัวเราะขื่น
“คนร้าย ๆ แบบเสือสิงห์ กระทิงแร่ด ก็เจอมาหมดแล้ว แค่พี่ป้องคนเดียว สบายมาก”
พยายามเหลือเกินที่จะคงเสียงให้สบายเหมือนปากบอก ทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังเกรอะกรังด้วยน้ำตา
“เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว ไม่กวนแกหรอก รีบนอนเถอะพรุ่งนี้ไหนว่ามีออร์เดอร์ขนมล็อตใหญ่ไง”
วัชรมัยเอ่ยหันเหความสนใจเพื่อน ศรัญญาทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ
“เออ...รู้แล้ว มีอะไรโทรมานะแก จะกี่ทุ่ม จะตีไหนก็ตาม ฉันจะไปหา”
สุดท้ายจำต้องยอม ศรัญญารู้ดี เพื่อนเห็นดูนุ่มนิ่มใส ๆ ไม่มีพิษ ไม่ภัย แต่ความจริงนั้นดื้อนัก ไม่เช่นนั้นเมื่อห้าปีก่อนคงไม่ตัดสินใจจากไผทกับลูกไป
“ขอบใจ”
นิ้วอันสั่นเทากดตัดสาย พร้อมน้ำตาพรั่งพรู ในชีวิตที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเลว ยังมีศรัญญานี่แหละ ที่ยังคอยเป็นเพื่อน ช่วยให้กำลังใจเสมอ
คนงานจากป้อมเมียงมองร่างผอมบางที่ยืนนิ่งอยู่บนถนนหน้าประตู ตามองตรงเข้าไปในสวน
หากไม่ได้เห็นวัชรมัยโดนลากมากับตา คงคิดว่าเธอเป็นภูตผี เพราะผมยาวรุ่ยร่ายกระเซอะกระเซิง ผิวขาวซีดตัดความมืดยามราตรี ร่างอรชรปักหลักไม่ไปไหน
เมื่ออีกฝ่ายเพียงยืนนิ่ง หนุ่ม ๆ คนงานก็วางใจ เล่นมือถือบ้าง เปิดวิทยุฟังแก้เหงาระหว่างค่ำคืนบ้าง
วัชรมัยจะรออยู่ตรงนี้ รอพบลูก พรุ่งนี้สกลกันต์ต้องไปโรงเรียน มีแต่เส้นทางนี้เท่านั้นที่เชื่อมกับถนนใหญ่ พออยู่ต่อหน้าลูกแล้วไผทไม่กล้าไล่เธอแน่ เขาแคร์ความรู้สึกลูกมาก
ขอแค่เธออยู่รอ อย่างใจเย็น ไม่มีความทรมานไหนเจ็บปวดเท่าโดนพรากจากลูก วัชรมัยรู้ซึ้งแล้ว
เธอเมื่อห้าปีก่อนยังเยาว์ ช่างเขลานัก
อิสระใดก็ไม่รู้สึกดีเท่าอ้อมกอดเล็ก ๆ ของสกลกันต์
เพราะฉะนั้นวัชรมัยจะรอ...รอพบลูกอีกครั้ง
รออย่างใจเย็น ไม่ให้ร่างกายผุ ๆ พัง ๆ นี้เป็นอุปสรรคในการพบกัน
วัชรมัยจะรอ...
แปะ...แปะ...แปะ
เสียงฝนกระทบหลังคากระเบื้องของป้อมยาม หนุ่ม ๆ คนงานโผล่หน้าออกไปดูท้องฟ้าที่มืดสนิท ลมกระโชกแรงพัดต้นไม้ในสวนไหวเผยิบผยาบ
“คืนนี้ข่าวว่าพายุจะเข้านี่หว่า”
หนุ่มเล่นมือถือพึมพำ คนงานที่ลากเธอมามองไปยังบนถนน ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำวัชรมัยยังยืนนิ่ง
“โหย! ดื้อด้านว่ะ”
ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มคนงานหันมาสนใจหญิงสาวหมด
“รู้เลยว่าคุณปราบได้นิสัยใครมา”
คนงานหุ่นสันทัดทนไม่ไหว กางร่มออกไปหา
“คุณกลับไปเถอะ อย่าตากฝนเดี๋ยวไม่สบาย”
“ฉันจะรอเจอลูก ฉันจะรอปราบ”
วัชรมัยพึมพำเรื่องเดียวที่ยึดเหนี่ยวในใจ
“คุณผู้หญิง”
มือสากจับข้อแขนนิ่ม วัชรมัยกระชากกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะรอเจอลูก”
ขณะคนงานละล้าละลังคิดไม่ตกจะเอาอย่างไรดี เพื่อนก็มาดึงแขนไป
“ปล่อยเขาไปเถอะว่ะ เพราะดื้อด้านร้ายกาจแบบนี้ไง นายหัวถึงไล่ออกมา”
หนุ่มร่างสันทัดโดนเพื่อนลากกลับไปอยู่ในป้อม ตายังมองหญิงสาวที่ยืนตัวสั่นท่ามกลางสายฝน เต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้
ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องของเจ้านาย ลูกน้องอย่างเขาไม่ควรเข้าไปแส่
สกลกันต์ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ไม่สดใส เมื่อเด็กน้อยพบตนอยู่เพียงลำพังในห้องนอน
“ยายพุดเห็นแม่หรือเปล่าครับ”
เจ้านายตัวน้อยของบ้านลงมาชั้นทั้งชุดนอน หัวฟูผมชี้โด่เด่
“ไม่เห็นนะคะ”
แม่ครัวเห็นใบหน้าหงอยแล้วก็สงสาร
“วันนี้อิฉันทำแซนด์วิชหมูหย็องน้ำสลัดด้วยนะคะ ของคุณปราบจะเพิ่มหมูหย็องให้สองเท่าเลย”
นางเอาของกินมาล่อ
“รีบไปอาบน้ำแปรงฟันเร็วสิคะ”
สกลกันต์พยักหน้าเนือย ๆ กลับขึ้นห้องไปจัดการกิจวัตรประจำวัน แล้วรีบไปหาไผทถึงในห้องนอน บิดาต้องรู้แน่ว่ามารดาอยู่ที่ไหน
“แม่กลับไปทำหน้าที่นางฟ้าแล้ว”
คำตอบทำเอาเด็กชายหน้าเสีย
“ไหนแม่บอกจะเวิร์คฟอร์มโฮมไง”
“งานบางอย่างทำที่บ้านไม่ได้หรอก”
หลังจากสุมหัวไป ร่ำสุราไปกับวิเชียรเมื่อคืน เจ้านายกับลูกน้องตกลงปลงใจใช้คำโกหกแบบเดิม รอสกลกันต์โตมากกว่านี้สักหน่อย ค่อยเล่าความจริงให้ฟัง
“พ่อก็ทำให้แม่ทำงานที่บ้านได้ทุกอย่างสิ เกลบอกพ่อรวยนี่”
ไผทขมวดคิ้ว นิสัยดื้อดึงดันอย่างนี้มาจากใครนะ ไม่ใช่จากเขาแน่
“ลูกจะเชื่อผู้หญิง แค่ก! เพื่อนทุกอย่างไม่ได้นะ”
เด็กผู้หญิงชื่อเกลนี่เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ต้องให้คนไปสืบดูเสียหน่อย กลัวจะทำลูกเขานิสัยเสีย
“ปราบอยากเจอแม่ พ่อพามาแม่มาหาปราบอีกได้ไหม”
สกลกันต์ส่งสายตาอ้อนวอน ไผทเห็นแล้วนึกถึงเจ้าหมาพิตบลูท้ายสวน ลูกเขานี่ยังไงนะ เลียนแบบได้กระทั่งหมา
“อืม”
ไผทใช้คำตอบรับสั้น ๆ เหมือนเคย
“รีบลงไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”
สองพ่อลูกจัดการกิจวัตรประจำวันและมื้อเช้าเสร็จ ก็เข้าไปนั่งในรถ ไม่นานวิเชียรที่หน้าตาไม่สู้ดีก็เข้ามานั่งข้างคนขับ
รถแล่นไปจนถึงประตูสวน เมื่อเปิดประตูมา สกลกันต์ก็ร้องลั่น
“แม่!”
ลูกชายดิ้นรนขืนตัวจากเข็มขัดนิรภัยจะไปหาร่างเปียก ๆ ที่นั่งคุดคู้ราวกับกองขยะอยู่กลางถนน
“ปราบจะไปหาแม่”ล้อรถเอสยูวีคันโตหยุดกึกลงในทันใด“คุณปราบครับ นิ่ง ๆ ไว้อย่าดิ้น”วิเชียรห้ามลูกเจ้านาย นี่คือเรื่องกังวลที่ทำเขาหน้าเสียในเช้านี้ ด้วยเจอพวกคนงานในป้อมเมื่อคืน เล่าว่าวัชรมัยอยู่ที่นั่นตลอด ตากฝนจนเช้า ลากก็ไม่ยอมไปไหน บอกจะรอเจอสกลกันต์“หะ...เอ้ย!”ไผทสบถ จ้องมองร่างบนถนนซึ่งมอมแมมไม่ต่างจากกองขยะเปียก“พ่อ!”เด็กชายสกลกันต์ร้องลั่น นายหัวเหลือบตาดูลูกน้องคู่ใจ วิเชียรเปิดประตูออก ไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยคนข้างหลังทันที ขาสั้นป้อมวิ่งปร๋อมุ่งไปยังถนน“ทำไมแม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่กลับสวรรค์แล้วใช่ไหม ทำไมแม่ตัวเปียก”วัชรมัยปวดหนึบทั่วศีรษะ ความอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทำให้สติรางเลือน กึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอมาทั้งคืน“ปราบ...”ร่างเล็กนิ่มโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึง จิตใจเด็กอันบริสุทธิ์ไม่ได้รังเกียจสภาพอันอเนจอนาถของมารดาเลย“แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”อ้อมกอดนุ่มอันแสนอบอุ่น กลิ่นกรุ่นนมสดที่แสนคิดถึง วัชรมัยดังคนร่อนเร่ในทะเลทราย เมื่อได้พบโอเอซิส ได้ลิ้มรสน้ำบริสุทธิ์ จึงยากจะห้ามใจไม่ให้ดื่มด่ำมันอีกการได้อยู่กับลูก คือความสุขใจที่ไม่อาจ
ศรัญญาขับรถกระบะตอนครึ่งมายังสวนปาล์ม เมื่อจอดลง ณ บ้านหลังใหญ่ ใบหน้าอวบอิ่มเล็ก ๆ ชะโงกออกจากประตูมาดู“น้าเก๋มาแล้ว”สกลกันต์ทักเสียงแจ๋ว ได้รับหน้าที่จากมารดาให้รอรับเพื่อน“ไงครับ ปราบ”ศรัญญาไม่ได้แปลกที่เด็กน้อยรู้จักเธอ วัชรมัยคงบอกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนต้องการสัมฤทธิผล“ปราบช่วยถือกระเป๋าฮะ”หน้าเงยมองกระบะสูง ศรัญญายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาตาคมฉ่ำวาว มารดาไม่ได้โกหก เธอจะกลับมาอยู่กับเขาจริง ๆ คนงานในบ้านเมื่อเห็นหญิงสาวก็รีบกระวีกระวาดช่วย“อ่ะ...น้าเอามาฝาก”ศรัญญายื่นขนมจากร้านถุงใหญ่ให้“ขอบคุณครับ”สกลกันต์หน้าบานดีอกดีใจ กระพุ่มมือไหว้อย่างงดงาม“ขอบใจที่เอาของมาให้นะแก”วัชรมัยออกมาพบเพื่อนด้วยชุดแปลกตา สวมเสื้อยืดนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีสันสดใส“เรื่องมันยาว”เธอหลุบหลบสายตา ศรัญญาเห็นนะ แก้มเพื่อนขึ้นสีแดง“มีเวลาฟังทั้งวัน ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่ มีอิสระในการทำงานนะเผื่อแกลืม”ศรัญญายิ้มล้อ วัชรมัยบอกคนรับใช้ในบ้านให้คอยดูแลสกลกันต์ในห้องนั่งเล่นด้วย ส่วนเธอพาเพื่อนไปคุยกันให้ห้องพักแขก“สรุปแกกลับมาเป็นนายหญิงของที่นี่แล้วงั้นสิ”เชฟสาวเลือกนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแ
ร่างขาวอ้อนแอ้นของวัชมัยเปลือยเปล่า ผิวใสกระจ่างต้องแสงหลอดไฟ เปลือกสีมุกครอบคลุมดวงตา ริมฝีปากเม้มเน้น มือแนบลำตัว กำแล้วก็คลาย สะกดกลั้นอาการหวาดหวั่น“ฉันไม่มีรสนิยมทำตัวเป็นโจรขืนใจใคร”เสียงทุ้มปนห้าวของคนร่วมห้องดังก้อง“ไม่ต้องหลับตาฝืนขนาดนั้น”หูได้ยินเขาหัวเราะหึ“ถ้าไม่เต็มใจทำก็ออกไป”ตาโตลืมขึ้นมาโดยพลัน การออกไปหมายถึงเธอต้องห่างจากลูก“พี่ป้องอยากให้มิ้งทำอะไรให้ละคะ”วัชรมัยสบตาคม ทิ้งยางอายไว้เบื้องหลัง“คิดสิว่าอีตัวต้องทำยังไงกับแขก”เกลียดยิ้มแสยะของเขาเหลือเกิน ไผทเมื่อห้าปีก่อน ไม่เคยทำตัวน่าเกลียดอย่างนี้กับเธอ“มิ้ง...ไม่รู้ มิ้ง ไม่เคยเป็นอีตัว”“ฉันไม่เชื่อ เธอหายไปตั้งห้าปี จะไม่มีคนอื่นได้ยังไง”“มิ้งเอาแต่เรียนกับทำงาน”“เหอะ...อ่อนปวกเปียกอย่างเธอน่ะเหรอจะทำงาน”ไผทหรี่ตามองเธอหัวจรดเท้า วัชรมัยไม่มีท่าทางกระฉับกระเฉงแบบคนทำงานเลย เธอตัวบาง ขาวซีดกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเสียอีก“พี่ป้องปากร้ายขึ้นนะคะ”“ฉันต้องร้ายให้สมกับคนเลวอย่างเธอไง”ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าใกล้ รังสีคุกคามแผ่กระทบจนวัชรมัยถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณระวังภัย“จะสงเคราะห์สอนงานอีตัวฝึกหัดให้ก็แล้ว
วัชรมัยปรือตาขึ้นเพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างยุก ๆ ยิก ๆ เสียดสีหน้าท้อง ทีแรกตกใจเมื่อลืมตาพบกับเพดานไม้สักไม่คุ้นตา ก่อนค่อยระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ไหน และอะไรเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืนเธอเม้มปากเงยมองเจ้าของท่อนแขนซึ่งพาดเอวกิ่วของตัวเองไว้ จมูกโด่งจมอยู่ในเรือนผม ตาแสนดุนั้นหลับพริ้มไผทขนตายาว ลักษณะพิเศษนี้ถ่ายทอดมาจนถึงสกลกันต์ ลูกไม่มีอะไรเหมือนวัชรมัยเลย นอกจากผิวขาว เด็กชายได้ส่วนที่ดีของบิดาไปหมดดีแล้ว วัชรมัยไม่อยากให้ลูกเกิดคำถามเหมือนเธอในวัยเด็กเธอเคยถามวารีว่าทำไมหน้าตนไม่เหมือนพี่ วัชรมัยเหมือนพ่อหรือแม่ เธอที่ไม่รู้ความอยากหาคำตอบตามประสาซื่อ วารีได้แต่ยิ้มยกมือลูบศีรษะก่อนโตมาวัชรมัยจะรับรู้ความจริงอันโหดร้าย เธอกับพี่ถูกพ่อแม่ทิ้งขว้าง ให้อยู่กันเพียงสองคนในโลกวารีกอดเด็กหญิงผู้ตัวสั่นเทาไว้ อ้อมอกอบอุ่นของพี่โอบล้อมเธอไว้ คนคนเดียวที่จะรักเธอตลอดชีวิตความตายของวารีคือการดับแสงดวงอาทิตย์ โลกที่ไม่มีพี่ของวัชรมัยพังทลายไผทจึงเป็นคนเดียวที่ช่วยเยียวยาชีวิตอันแห้งแล้ง จากการสูญเสีย แต่แล้วเขาก็ทำเธอผิดหวัง เจ็บป่วยหัวใจ กระทั่งต้องเลิกร้าง ลากันไป“อืม...”คนตัวโตผิวเข้มคร
เช้านี้ ณ โรงเรียนอนุบาลชื่อดังของจังหวัด สกลกันต์เดินเข้าอาคารเรียนพร้อมจูงมือสาวหุ่นบอบบางสวมเชิ้ตแขนกุด ท่อนล่างเป็นกางเกงทรงชิโนตัวหลวมปากเล็กเล่าโน่นนี่เจื้อยแจ้ว มือจับกระชับมั่นกับมือแม่ บางจังหวะก็ยิ้มทักทาย ส่งเสียงเรียกเพื่อนดังลั่น ขณะผู้เป็นพ่อเดินหน้าตึงตามทั้งสองมาข้างหลัง“เกล...ดีน นี่แม่เราแหละ”สกลกันต์แนะนำมารดาหน้าชื่นตาบาน สองเพื่อนยกมือไหว้ วัชรมัยทั้งรับไหว้เด็ก และโค้งศีรษะทักทายพ่อแม่เพื่อนลูก“แม่เรากลับจากบนฟ้า จะมาอยู่กับเราตลอดไป”ผู้ใหญ่ที่ได้ยินชะงัก มองหญิงสาวอย่างสนใจ ข่าวนายหัวไผทตกพุ่มม่ายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว สกลกันต์กำพร้า แล้วจู่ ๆ ก็มีแม่ หลายคนเตรียมเก็บข้อมูลเด็ดไปเม้าท์ในวงน้ำชา“กัปตันนี่แม่เรา วันนี้แม่ทำแซนด์วิช ทำคุณไข่พระอาทิตย์กับก้อนเมฆให้ด้วย”เมื่อสบตาคู่อริ สกลกันต์ไม่พลาดอวด เด็กชายกัปตันมองหน้าวัชรมัย ก่อนรีบหลบซุกศีรษะหลังขาแม่ตน กลัวคำขู่ที่เธอจะฟ้องครูเมื่อวันก่อนคู่กรณีโดนเขากลั่นแกล้งมีเยอะ ถ้ารู้ถึงหูครูแม่ต้องรู้ด้วย แม่มักลงโทษให้งดขนม กัปตันไม่ยอมอดของหวานหรอก“แม่คั้นน้ำส้มให้เราด้วยอร้อย...อร่อย”วัชรมัยเลยได้รู้นิสั
“พักก่อนเถอะนายหัว”ลูกน้องคู่ใจบอกเมื่อดวงอาทิตย์ทำองศาตรงกับยอดไม้ บ่งบอกเวลาเที่ยงวัน สองหนุ่มเดินคุมคนทำงานจนถึงท้ายสวน ต้องเร่งให้เสร็จภายในวันนี้ก่อนฝนจะมา“พวกมึงทำตรงนี้อีกหน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”คนงานใจห่อเหี่ยว ท้องประท้วงหิวขึ้นมาไร ๆ ใครจะบ้างานเหมือนนายหัว ปรกติกินข้าวเที่ยงเอาบ่ายสองแม่ครัวต้องเก็บข้าวปิดฝาชีไว้ให้เป็นประจำ ตัวก็โต เหตุไฉนระบบเผาผลาญทำงานช้านัก ไม่หิว ไม่อยาก ตรงตามเวลาเหมือนคนอื่นเขา“ไว้ค่อยให้คนทำต่อช่วงบ่ายนะนายหัว หน้าพวกมันซีดแล้ว เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป ให้พักกินข้าวเที่ยงเถอะ”ไผทยกนาฬิกาเรือนสมบุกสมบันที่ข้อมือขึ้นดู เข็มบ่งบอกเลยเวลาเที่ยงตรงมาสิบเจ็ดนาที“เออ งั้นก็พักกินข้าว แต่เร่งหน่อยนะ กูกลัวไม่ทันฝน เสร็จเร็วก็จะให้เลิกงานเร็วด้วย ถ้าทำเลยเวลาให้คิดเป็นโอที”คนงานค่อยมีรอยยิ้มบ้าง ไม่มีใครอยากได้โอทีหรอก อยากเสร็จงานเร็ว ๆ แล้วไปพักเสียมากกว่า“นายหัวลืมอะไรไปหรือเปล่า”เจ้านายกับลูกน้องเดินเอื่อย ๆ ตามหลังคนงาน ซึ่งไปรวมกันขึ้นรถบรรทุก เตรียมพาไปโรงอาหารเพื่อกินมื้อกลางวัน“หืม...”คิ้วเข้มขมวด ครางลึกในลำคอ วิเชียรส่ายศีรษะอ่อนใจ“จ
สกลกันต์ยิ้มอารมณ์ดีตลอดเช้า แม้มื้อกลางวันกับข้าวเป็นไข่เจียวมะเขือเทศก็ไม่หน้ามุ่ย ตักเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับ“ปราบเก่งแล้ว กินมะเขือเทศหมดด้วย”เกลชอบมะเขือเทศ แม่บอกกินแล้วจะสวย แก้มแดงเต่งตึงเหมือนผิวมัน เกลจึงชอบมาก ผิดกับเพื่อนคนนี้ เห็นปรกติเขี่ยทิ้งทุกที“วันนี้เราจะได้มีเรื่องเล่าแม่ ว่าเรากินมะเขือเทศที่โรงเรียนได้ แม่จะได้ชมเรา”สกลกันต์ชอบช่วงเวลาถูกชม วัชรมัยทั้งยิ้ม ทั้งลูบแก้มเขา ตัวมารดาอุ่น ผิวก็นุ่ม มีกลิ่นหอม ต่างกับตัวไผทที่มีแต่เนื้อแข็ง ๆ หนวดสาก ๆ“งั้นเราแบ่งมะเขือเทศให้ แลกกับแคร์รอตได้ไหม”ดีนเสนอ หนุ่มน้อยไม่รังเกียจมะเขือเทศ แต่ถ้าให้เลือก เขาชอบผักสีส้มมากกว่า อยากกินเหมือนน้องกระต่ายขนฟูสีขาวที่ศรัญญาผู้เป็นน้าเลี้ยงไว้“โอเค แลกกัน”มือป้อมแบ่งแคร์รอตในแกงจืดใส่จานเพื่อน คิดลิงโลดในใจมีเรื่องอวดมารดาเพิ่ม เขากินมะเขือเทศได้ดับเบิ้ลล่ะ...วัชรมัยต้องภูมิใจ ชมเขาเยอะ ๆดีนตักมะเขือเทศแลกเช่นกัน บรรยากาศมื้อกลางวันโรงเรียนอนุบาลห้องดอกทานตะวัน เป็นไปอย่างมุ้งมิ้งชื่นมื่น ทว่ามีใครบางคนหงุดหงิด“พูดถึงแต่แม่อยู่นั่นแหละ ปราบเป็นเด็กขี้แยติดแม่หรือไง”กัปตันนั่
“มิ้ง”วัชรมัยสะดุ้งเฮือก โทรศัพท์ในมือแทบหล่น หันมองคนเรียก ร่างสูงยืนจังก้าเท้าสะเอว หน้าดุเป็นยักษ์ปักหลั่น“พะ...พี่ป้องมีอะไรเหรอคะ”เธอกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เหลือบดูเวลาบนหน้าจอมือถือ แค่บ่ายโมงนิด ๆ เอง ยังไม่ถึงเวลาไปรับลูกเสียหน่อยไผทบีบนิ้วเกร็งแน่นกับเอวสอบของตน หักห้ามใจกับใบหน้าใสซื่อ ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเขาต้องขับรถลุยสวนลำบากขนาดไหนที่วัชรมัยเดินมาไม่ใช่มีถนนรถใหญ่ผ่านได้ เป็นเพียงทางลัดเล็ก ๆ เข้าสู่สวนผลไม้ ซึ่งปลูกไว้พอให้ได้กินระหว่างขับรถมาด้วยเจอดินตะปุ่มตะป่ำ ตัวเขากระเด้งกระดอนจนปวดก้นไปหมด เดี๋ยวเถอะ ต้องให้คนงานตัดหญ้าให้เหี้ยน ปรับพื้นที่ให้เรียบ“ครูที่โรงเรียนปราบเรียกผู้ปกครองไปพบ”ใจวัชรมัยกระตุกวาบ“เกิดอะไรขึ้นกับลูกเหรอ”“ปราบต่อยเพื่อน”หญิงสาวไม่อยากเชื่อ ลูกชายที่ทั้งว่าง่าย อารมณ์ดีขนาดนั้น เหตุใดจึงทำร้ายเพื่อน“ไปค่ะ พี่ป้อง ไปหาลูกกัน”ร่างเล็กเป็นฝ่ายวิ่งเสียเอง ไปยังรถที่จอดอยู่กลางดงหญ้า“ครูบอกไหมคะ ทำไมปราบถึงต่อยเพื่อน”รถคันโตวิ่งฉิวกลับสู่ถนนเส้นหลัก ใจทั้งสองลอยไปโรงเรียนอนุบาลเรียบร้อยแล้ว“ครูยังไม่บอกรายละเอียดเลย”วัชรมัยปร