ห้องทำงานของนายหัวไผทเป็นห้องลึกสุดทางเดิน อยู่ชั้นหนึ่งของบ้าน ประตูไม้สักสีเข้มสลักลายเถาวัลย์พันวัวชนอันดูดุดัน
บานประตูปิดอยู่ ราวกับไม่ต้อนรับใครทั้งนั้น วัชรมัยจำได้ดี เวลาไผทจะดุว่าเธอ เขามักเรียกมาที่ห้องนี้
เวลาปรกติยามยังอยู่ด้วยกัน เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ถ้าเจ้าของไม่ต้องการ
มือขาวผอมบางเปิดประตูเข้าไป เจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหลังให้เธอ ตามองออกไปยังสวนเขียวข้างนอก
“ฉันขออยู่กับลูกอีกหน่อยได้ไหม สักประเดี๋ยว”
หญิงสาววอน ตอนนี้เรื่องเดียวที่ไผทจะทำคือไล่วัชรมัยออกไปจากที่นี่
“เพื่ออะไรล่ะ เมื่อห้าปีที่แล้ว เธอเลือกรับเงิน ทิ้งเขาไปเอง ตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไร”
คนบนเก้าอี้หันมา ดวงตาคมลึกส่งแววห้ำหั่น
“หรือเงินหมดแล้ว อยากได้อีก จะใช้ลูกเป็นตัวประกันล่ะสิ เลว!”
แม้คำบริภาษนี้ เธอก็เคยเอ่ยกับตัวเอง แต่ยามได้ฟังจากริมฝีปากหนา มันทำเจ็บกว่า บาดลึกจนรู้สึกราวเลือดอุ่น ๆ ซึมออกจากอก
“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน ฉันต้องการเจอลูก”
วัชรมัยสูดลมหายใจลึกอีกครา กล้ำกลืนเลือดเข้าไว้ในอก
“เธอได้เจอเขาแล้ว ออกไปจากบ้านฉันซะ!”
หญิงสาวพยายามมองหาความปรานีในดวงตาคม แต่มันไม่เหลือเลย มีเพียงความเดือดดาล ไฟโทสะพร้อมพร่าผลาญเธอให้ไหม้เป็นจุณ
“ฉันขอร้องละค่ะ ขออยู่กับลูกอีกหน่อย”
“หึ!” ไผทเหยียดยิ้ม
“เมื่อห้าปีที่แล้ว ฉันก็เคยขอร้องเธออย่างนี้ จำไม่ได้เหรอ แล้วเธอตอบว่ายังไงล่ะ”
ชายหนุ่มรื้อความหลังมาทิ่มแทงคนตรงหน้า
“เธอตอบว่า ไม่! แล้วเก็บข้าวของ ทิ้งลูกไว้กับฉัน”
วัชรมัยบอกตัวเองว่าอย่าร้อง...อย่าร้องไห้
“ขอโทษค่ะพี่ป้อง มิ้งขอโทษ”
สมองสั่งการ แต่ร่างกายไม่เป็นใจ น้ำในตาล้นทะลัก ไหลอาบสองแก้มนวล
“ฉันไม่ใช่พี่ป้องของเธอ!”
หลงเหลือแต่คนแปลกหน้า ที่ทั้งแค้นทั้งเกลียดหญิงสาวนัก
“ฉันแค่อยากอยู่กับลูก”
“เพื่ออะไรล่ะ เพื่อจะจู่ ๆ ก็หายไปจากชีวิตลูกอีกหรือไง”
วัชรมัยก้มหน้าไม่อาจปฏิเสธคำครหา สักวันเธอต้องหายไปจริง ๆ
“เธอจะทำให้ลูกเสียใจอีก”
ไผทยอมไม่ได้ที่จะเห็นสกลกันต์มีน้ำตา เลี้ยงมาอย่างยากลำบากตั้งแต่ตัวแดง ๆ จะให้ผู้หญิงไร้ความรับผิดชอบมาทำร้ายลูกสุดที่รักของเขาได้อย่างไร
“ฉันจะไม่ทำให้ลูกเสียใจ ฉันสาบาน”
เมื่อรู้คำตัดสินในชะตาชีวิต วัชรมัยจะเป็นคนอธิบายกับลูกเอง
“ไม่มีทางที่ลูกจะไม่เสียใจ เธอน่ะเห็นแก่ตัวเสมอนะมิ้ง”
ไผทกัดริมฝีปาก เมื่อเผลอเรียกชื่อที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
“ขอแค่ให้มิ้งได้อยู่กับลูก เงินสักบาทมิ้งก็ไม่เอา พี่ป้องจะให้มิ้งทำงานในสวนก็ได้ มิ้งยอม”
เพื่อลูกวัชรมัยเทหมดหน้าตัก ไม่สนว่าตนเองจะลำบากขนาดไหน ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่ต้องการอะไรแล้ว นอกจากได้อยู่กับลูก
“ฉันไม่เชื่อเธอหรอก ออกไปจากที่นี่ซะ ถ้าไม่ออกฉันจะให้คนงานหิ้วไปโยนไว้หน้าสวน”
ทั้งน้ำเสียง ทั้งหน้าตา บ่งบอกเจ้าตัวพูดจริง แต่กระนั้นเธอยังยืนนิ่ง พร้อมน้ำตาเปื้อนใบหน้า
“ก๊อก...ก๊อก”
“ใคร”
ไผทตะโกนถามคนหน้าห้องอย่างหัวเสีย
“พ่อคุยอะไรกับแม่นานจัง แม่ครับปราบอยากดูหนังสไปเดอร์แมน ไม่อยากดูการ์ตูนแล้ว”
สกลกันต์โต้ตอบจากหน้าห้อง
“ไปรออยู่หน้าทีวีไป เดี๋ยวพ่อไปเปิดให้ดู”
วัชรมัยยกมือเช็ดน้ำตาป้อย ๆ กลั้นอาการสะอึกสะอื้น จนคนตัวโตรำคาญ ยื่นทิชชูให้ทั้งกล่อง
“ไม่เอาอ่ะ ปราบจะรอดูกับแม่ ดูกับพ่อบ่อยแล้ว”
เจ้าตัวเล็กต่อรอง หญิงสาวรีบเช็ดหน้าเช็ดตา เดินออกไปเปิดประตูรับลูกเข้ามา
“ป่ะปราบ...ไปดูหนังกัน”
พร้อมบรรจงส่งยิ้มที่สวยที่สุด
“พ่อทำแม่ร้องไห้อีกแล้ว ลุงเชียรบอกว่าผู้ชายที่ทำผู้หญิงร้องไห้ เป็นผู้ชายนิสัยไม่ดี”
สกลกันต์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสภาพวัชรมัย คิ้วหนอนน้อยขมวดดุใส่ผู้เป็นบิดา
“พ่อไม่ใช่คนนิสัยไม่ดีนะครับปราบ แม่ต่างหากที่ทำเรื่องไม่ดี จนต้องถูกพ่อดุ”
วัชรมัยแก้ความเข้าใจผิด ...เธอไม่อยากให้ลูกมองไผทในแง่ไม่ดี ถึงแม้เขาจะใจร้ายขนาดไหนก็ตาม
“แม่ทำอะไรไม่ดีเหรอครับ บอกปราบสิ เดี๋ยวปราบเคลียร์กับพ่อให้”
ทนายวัยสี่ขวบยืดอก วัชรมัยส่งยิ้มเอ็นดู จูงมือลูกกลับไปยังห้องนั่งเล่น ทิ้งไผทที่ยังคงสีหน้าอึมครึมไว้ในห้องทำงาน
“ยายพุด วันนี้ปราบให้หยุดงานหนึ่งวันนะ แม่จะทำข้าวเย็นให้ปราบกิน”
หลังดูหนังจบ สกลกันต์อ้อนขอกินอาหารฝีมือเธอ
“ตอนบ่ายปราบกินซุปมะเขือเทศยังไม่อิ่ม พ่อก็มารับซะก่อน”
วัชรมัยตอบรับอย่างยินดี เด็กชายจึงจูงมือเธอเดินเตาะแตะไปในครัว
“สวัสดีค่ะ ยายพุด”
เธอยกมือกระพุ่มไหว้แม่ครัวที่เคยคุ้น นางรับไว้พอเป็นพิธี สายตาที่ส่งออกมาบ่งบอกความไม่พอใจ มีเด็กรับใช้อีกสองคนในครัว ต่างมองเธอสลับสกลกันต์
“ไม่รู้ของกินทางใต้จะถูกปากคุณหรือเปล่า ไหนว่าไปอยู่ที่อื่นมาตั้งนาน”
ยายพุดแขวะ จดจำพฤติกรรมวัชรมัยเมื่อห้าปีที่แล้วได้ดี
“ในตู้เย็นมีแต่ของบ้าน ๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันจะหาอะไรที่พอทำกับข้าวให้ลูกกินได้บ้าง”
หญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่สนใจกิริยานั้นเสีย เธอรับมือไผทคนเดียวก็ยากพอแล้ว ไม่อยากถือสาคนอื่นให้ขุ่นอารมณ์
“ปราบอยากกินมะเขือเทศ”
เสียงเล็กทะลุขึ้นกลางครัว
“อุ๊ย! คุณปราบ ไหนว่าไม่ชอบไงคะ”
“แม่มีเวทมนต์ทำให้มะเขือเทศอร่อย ยายพุดรู้ไหม แม่ทำซุปมะเขือเทศให้ปราบกินด้วย”
เจ้าตัวน้อยยืดอกอวดภูมิใจ ยายพุดมองหญิงสาวอย่างไม่เชื่อสายตา
เพราะเมื่อห้าปีก่อนนั้น วัชรมัยไร้ฝีมือในการทำอาหาร ที่เห็นทำได้มีแต่เมนูไข่ พวกไข่เจียว ไข่ทอด ไข่ตุ๋น ยามมาอยู่บ้านนี้ ก็กินแต่อาหารฝีมือนาง
“โอเค ปราบอยากกินมะเขือเทศนะครับ ชอบกินไข่ไหม”
วัชรมัยเปิดตู้เย็นมองหาวัตถุดิบ ทุกอย่างจัดแน่นเป็นระเบียบ
“ชอบครับ แต่ไม่เอามะเขือเทศผัดไข่นะ ยายพุดชอบทำเละ ๆ”
แม่ครัวของบ้านที่ถูกเผากันต่อหน้า ค้อนเด็กชายเสียวงใหญ่
“เดี๋ยว แม่จะบอกยายพุดให้ทำเมนูมะเขือเทศอร่อย ๆ เยอะ ๆ ให้”
ยายพุดเบ้ปากดูถูก วัชรมัยลำเลียงวัตถุดิบมาวางในบนเคาน์เตอร์
เธอจะทำออมเล็ตมะเขือเทศแฮมให้ลูก มีต้มจืดลูกชิ้นกุ้งไว้ให้ซดคล่องคอ ผักเธอเลือกผักกาดขาว แครอต ข้าวโพด เพิ่มความหวานของน้ำแกง
แม่ครัววางยาวัชรมัยโดยการนำคนของตนออกไปจนหมด ผู้ช่วยจำเป็นจึงเหลือเพียงสกลกันต์ ซึ่งออกจะมาป่วนมากกว่า
กับข้าวของผู้ใหญ่ เธอทำคั่วกลิ้งหมูสับ เพราะเห็นมีพริกแกงใต้ในตู้ ทอดปลาใส่ขมิ้น น้ำแกงก็อาศัยกินที่ทำให้ลูก ปอกฝรั่งแช่เย็นไว้เป็นของหวาน เท่านี้มื้อเย็นก็เสร็จเรียบร้อย
“ป่ะ...ไปอาบน้ำกินก่อนกินข้าวครับ”
วัชรมัยจูงมือสกลกันต์ที่แก้มยุ้ยเปื้อนสีเหลืองของขมิ้นเป็นปื้นขึ้นไปชั้นบน ห้องลูกเดาได้ไม่ยากเพราะมีป้ายแปะชื่อพร้อมรูปสไปเดอร์แมนอยู่หน้าประตู
“แม่ดูสิฮะ ลูกเป็ดลอยตามก้นแม่เป็ดเป็นแถวเลย”
ห้องเด็กชายมีอ่างอาบน้ำ เจ้าตัวหลังเปลื้องผ้าเสร็จก็รีบชี้บอกเธอทัน
การได้อาบน้ำให้ลูกชายครั้งแรกในชีวิต ทำเอาใจหญิงสาวพองโต แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“โอ๊ะ...ตัวนี้เกเรแตกแถว”
มือป้อมหยิบเป็ดยางที่เหลืองที่ลอยน้ำเฉออกนอกกลุ่ม
“บางทีน้องเป็ดคงไม่ตั้งใจเกเรหรอกครับ น้องอาจจะหลงทาง”
เหมือนที่วัชรมัยเมื่อห้าปีก่อน เธอทิ้งทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะเป็นความสุข หลงทางอยู่ในโลกแห่งแสงสีใบใหญ่ ก่อนจะพบจุดวิกฤติของชีวิต
จึงได้กลับมาค้นหาความสุขที่แท้จริง นั่นคือเด็กชายตัวน้อยช่างจ้อคนนี้
“น่าสงสารเนอะ”
สกลกันต์ยู่ปาก เธอใช้มือตบตุ๊กตาเป็ดกลับเข้าแถว
“ใช่แล้วครับ เวลาปราบเจอคนหลงทาง อย่าลืมช่วยเขาด้วยนะครับ”
แม้ไม่ได้โอบอุ้มเลี้ยงดูตั้งแต่เกิด แต่นับตั้งแต่นี้วัชรมัยตั้งใจจะอบรมสั่งสอนลูกตามหน้าที่แม่ที่ดี
ไม่ให้เติบโตมาแล้วทำผิดอย่างเธอ
“ทำอะไรกัน”
ไผทก้าวเข้ามาในห้องลูก เห็นแล้วว่าเธอกำลังอาบน้ำให้เจ้าตัวเล็ก แต่ปากดันเอ่ยคำถามงี่เง่าที่เห็นคำตอบกันอยู่แล้ว
“ปราบช่วยแม่ทำกับข้าวตัวเลยเปื้อน พ่อก็รีบอาบน้ำสิ จะได้มากินข้าวเย็นด้วยกัน”
นายหัวหนุ่มมองเธออย่างไม่เชื่อหู คนอย่างวัชรมัยนะหรือจะทำกับข้าว เจ้าตัวส่งยิ้มจืดเจื่อนให้ เขาละสายตา ไม่สนใจเธอ
“รีบ ๆ อาบเข้าปราบ อย่ามัวแต่เล่นน้ำ เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
จากนั้นร่างสูงก็ก้าวออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบเหมือนขามา
วัชรมัยพาสกลกันต์ในชุดนอนลายสไปเดอร์แมนลงมาข้างล่าง บ้านเปิดไฟสว่าง บรรยากาศเงียบเชียบเธอโดนยายพุดเล่นงานอีกแล้ว ไม่มีคนรับใช้คอยช่วยอะไรเลย แต่ไม่อยากเกินจะรับมือ ห้าปีที่ผ่านมาวัชรมัยทำอะไรเองมาตลอด เรื่องงานบ้านแค่นี้จิ๊บ ๆ นัก“ปราบไปตามพ่อมากินข้าวนะครับ”สกลกันต์พยักหน้าอย่างยินดี เธอเข้าครัว ลำเลียงอาหารมาจัดโต๊ะ บีบซอสมะเขือเทศตกแต่งออมเล็ตเป็นรูปหน้ายิ้มข้าวก็ตักใส่ถ้วยคว่ำลงจาน ตกแต่งข้าวขาวด้วยเม็ดข้าวโพดต้มเหลืองอ๋อยเป็นตา ปากเป็นรูปแคร์รอตส้มสดใสหั่นแว่น สภาพจึงเหมือนคนอ้าปากกว้างสิ่งละอันพันละน้อยที่เธอเรียนรู้จากยูทูปบ้าง จากหนังสือบ้าง วัชรมัยอยากทำมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าสกลกันต์“คุณหน้ายิ้ม คุณปากจู๋”เด็กชายเบิกตาโต ห่อปากเมื่อเห็นการตกแต่งในจาน“แม่มีเวทมนตร์จริง ๆ ด้วย”รอยยิ้มจากใบหน้าเล็ก ๆ ช่างมีอานุภาพทำลายล้างสูงนัก วัชรมัยกุมใจที่เต้นแรงแทบเป็นลม“อย่ามัวแต่เล่นสิปราบ กินข้าวได้แล้ว”ไผทยังตีหน้าเข้ม หลังเอ็ดลูก ก็เลื่อนเก้าอี้นั่งประจำหัวโต๊ะ สกลกันต์นั่งทางขวาเขา วัชรมัยนั่งถัดไป“ง่ำ ๆ แม่ทำมะเขือเทศอร่อย ไข่ปราบก็ชอบมาก”คนอายุน้อยสุดตาเป็นประกายทันทีเม
“ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยเถอะค่ะ”วัชรมัยในสภาพผมฟูกระเซิง ใบหน้าแห้งกรังไปด้วยคราบน้ำตากำลังอ้อนวอนคนงานที่ป้อมหน้าสวน“ขอร้องล่ะ หรือต้องการเงิน ฉันก็ให้ได้นะคะ”หญิงสาวล้วงกระเป๋าสตางค์ หยิบธนบัตรใบละพันขึ้นมาชูสามใบ“กลับไปเถอะครับคุณผู้หญิง”คนงานชายที่ลากเธอมาในทีแรกส่ายหน้า ขณะเพื่อนอีกสามสี่คนส่งสายตาวอกแวก ลังเลเมื่อเห็นธนบัตรส่ายยั่วใจอยู่ไหว ๆ“หลอกเอาเงินจากอีนี่ก่อนก็ได้...แล้วแกล้งทำเป็นปล่อยให้เข้ามา ค่อยจับกลับอีกที”หนึ่งในนั้นกระซิบแผนการอันชั่วร้าย“มึงรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”หนุ่มหุ่นสันทัดกระซิบบอกเพื่อน เล่าตัวตนที่ที่แท้จริงของเธอ เมื่อได้ฟังหนุ่ม ๆ ถึงกับหน้าซีดเผือด“ตะ...แต่นายหัวไล่ออกมาเองนะเว้ย”“ยังไงเธอก็เป็นแม่คุณปราบ มึงกล้าเหรอ”หลายคนคอหด ไผทนั้นดุก็จริง แต่สกลกันต์ก็ใช่ย่อย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น วีรกรรมแกล้งปล่อยหมาพิตบลูไล่คนงานในสวน จนต้องวิ่งหนีกันตับแทบแล่บยังตราตรึงใจอยู่มิรู้ลืม“ว่าไง เงินน่ะจะเอาไหม”วัชรมัยเสนอสิ่งที่เธอไม่ขาด ตอนนี้มีมากกว่าสิบล้านด้วยซ้ำ“พวกผมไม่ทรยศนายหัวหรอก เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะ”หญิงสาวหน้าสลด สมองแล่นเร็วจี๋ คิดจ
“ปราบจะไปหาแม่”ล้อรถเอสยูวีคันโตหยุดกึกลงในทันใด“คุณปราบครับ นิ่ง ๆ ไว้อย่าดิ้น”วิเชียรห้ามลูกเจ้านาย นี่คือเรื่องกังวลที่ทำเขาหน้าเสียในเช้านี้ ด้วยเจอพวกคนงานในป้อมเมื่อคืน เล่าว่าวัชรมัยอยู่ที่นั่นตลอด ตากฝนจนเช้า ลากก็ไม่ยอมไปไหน บอกจะรอเจอสกลกันต์“หะ...เอ้ย!”ไผทสบถ จ้องมองร่างบนถนนซึ่งมอมแมมไม่ต่างจากกองขยะเปียก“พ่อ!”เด็กชายสกลกันต์ร้องลั่น นายหัวเหลือบตาดูลูกน้องคู่ใจ วิเชียรเปิดประตูออก ไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยคนข้างหลังทันที ขาสั้นป้อมวิ่งปร๋อมุ่งไปยังถนน“ทำไมแม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่กลับสวรรค์แล้วใช่ไหม ทำไมแม่ตัวเปียก”วัชรมัยปวดหนึบทั่วศีรษะ ความอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทำให้สติรางเลือน กึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอมาทั้งคืน“ปราบ...”ร่างเล็กนิ่มโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึง จิตใจเด็กอันบริสุทธิ์ไม่ได้รังเกียจสภาพอันอเนจอนาถของมารดาเลย“แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”อ้อมกอดนุ่มอันแสนอบอุ่น กลิ่นกรุ่นนมสดที่แสนคิดถึง วัชรมัยดังคนร่อนเร่ในทะเลทราย เมื่อได้พบโอเอซิส ได้ลิ้มรสน้ำบริสุทธิ์ จึงยากจะห้ามใจไม่ให้ดื่มด่ำมันอีกการได้อยู่กับลูก คือความสุขใจที่ไม่อาจ
ศรัญญาขับรถกระบะตอนครึ่งมายังสวนปาล์ม เมื่อจอดลง ณ บ้านหลังใหญ่ ใบหน้าอวบอิ่มเล็ก ๆ ชะโงกออกจากประตูมาดู“น้าเก๋มาแล้ว”สกลกันต์ทักเสียงแจ๋ว ได้รับหน้าที่จากมารดาให้รอรับเพื่อน“ไงครับ ปราบ”ศรัญญาไม่ได้แปลกที่เด็กน้อยรู้จักเธอ วัชรมัยคงบอกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนต้องการสัมฤทธิผล“ปราบช่วยถือกระเป๋าฮะ”หน้าเงยมองกระบะสูง ศรัญญายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาตาคมฉ่ำวาว มารดาไม่ได้โกหก เธอจะกลับมาอยู่กับเขาจริง ๆ คนงานในบ้านเมื่อเห็นหญิงสาวก็รีบกระวีกระวาดช่วย“อ่ะ...น้าเอามาฝาก”ศรัญญายื่นขนมจากร้านถุงใหญ่ให้“ขอบคุณครับ”สกลกันต์หน้าบานดีอกดีใจ กระพุ่มมือไหว้อย่างงดงาม“ขอบใจที่เอาของมาให้นะแก”วัชรมัยออกมาพบเพื่อนด้วยชุดแปลกตา สวมเสื้อยืดนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีสันสดใส“เรื่องมันยาว”เธอหลุบหลบสายตา ศรัญญาเห็นนะ แก้มเพื่อนขึ้นสีแดง“มีเวลาฟังทั้งวัน ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่ มีอิสระในการทำงานนะเผื่อแกลืม”ศรัญญายิ้มล้อ วัชรมัยบอกคนรับใช้ในบ้านให้คอยดูแลสกลกันต์ในห้องนั่งเล่นด้วย ส่วนเธอพาเพื่อนไปคุยกันให้ห้องพักแขก“สรุปแกกลับมาเป็นนายหญิงของที่นี่แล้วงั้นสิ”เชฟสาวเลือกนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแ
ร่างขาวอ้อนแอ้นของวัชมัยเปลือยเปล่า ผิวใสกระจ่างต้องแสงหลอดไฟ เปลือกสีมุกครอบคลุมดวงตา ริมฝีปากเม้มเน้น มือแนบลำตัว กำแล้วก็คลาย สะกดกลั้นอาการหวาดหวั่น“ฉันไม่มีรสนิยมทำตัวเป็นโจรขืนใจใคร”เสียงทุ้มปนห้าวของคนร่วมห้องดังก้อง“ไม่ต้องหลับตาฝืนขนาดนั้น”หูได้ยินเขาหัวเราะหึ“ถ้าไม่เต็มใจทำก็ออกไป”ตาโตลืมขึ้นมาโดยพลัน การออกไปหมายถึงเธอต้องห่างจากลูก“พี่ป้องอยากให้มิ้งทำอะไรให้ละคะ”วัชรมัยสบตาคม ทิ้งยางอายไว้เบื้องหลัง“คิดสิว่าอีตัวต้องทำยังไงกับแขก”เกลียดยิ้มแสยะของเขาเหลือเกิน ไผทเมื่อห้าปีก่อน ไม่เคยทำตัวน่าเกลียดอย่างนี้กับเธอ“มิ้ง...ไม่รู้ มิ้ง ไม่เคยเป็นอีตัว”“ฉันไม่เชื่อ เธอหายไปตั้งห้าปี จะไม่มีคนอื่นได้ยังไง”“มิ้งเอาแต่เรียนกับทำงาน”“เหอะ...อ่อนปวกเปียกอย่างเธอน่ะเหรอจะทำงาน”ไผทหรี่ตามองเธอหัวจรดเท้า วัชรมัยไม่มีท่าทางกระฉับกระเฉงแบบคนทำงานเลย เธอตัวบาง ขาวซีดกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเสียอีก“พี่ป้องปากร้ายขึ้นนะคะ”“ฉันต้องร้ายให้สมกับคนเลวอย่างเธอไง”ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าใกล้ รังสีคุกคามแผ่กระทบจนวัชรมัยถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณระวังภัย“จะสงเคราะห์สอนงานอีตัวฝึกหัดให้ก็แล้ว
วัชรมัยปรือตาขึ้นเพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างยุก ๆ ยิก ๆ เสียดสีหน้าท้อง ทีแรกตกใจเมื่อลืมตาพบกับเพดานไม้สักไม่คุ้นตา ก่อนค่อยระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ไหน และอะไรเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืนเธอเม้มปากเงยมองเจ้าของท่อนแขนซึ่งพาดเอวกิ่วของตัวเองไว้ จมูกโด่งจมอยู่ในเรือนผม ตาแสนดุนั้นหลับพริ้มไผทขนตายาว ลักษณะพิเศษนี้ถ่ายทอดมาจนถึงสกลกันต์ ลูกไม่มีอะไรเหมือนวัชรมัยเลย นอกจากผิวขาว เด็กชายได้ส่วนที่ดีของบิดาไปหมดดีแล้ว วัชรมัยไม่อยากให้ลูกเกิดคำถามเหมือนเธอในวัยเด็กเธอเคยถามวารีว่าทำไมหน้าตนไม่เหมือนพี่ วัชรมัยเหมือนพ่อหรือแม่ เธอที่ไม่รู้ความอยากหาคำตอบตามประสาซื่อ วารีได้แต่ยิ้มยกมือลูบศีรษะก่อนโตมาวัชรมัยจะรับรู้ความจริงอันโหดร้าย เธอกับพี่ถูกพ่อแม่ทิ้งขว้าง ให้อยู่กันเพียงสองคนในโลกวารีกอดเด็กหญิงผู้ตัวสั่นเทาไว้ อ้อมอกอบอุ่นของพี่โอบล้อมเธอไว้ คนคนเดียวที่จะรักเธอตลอดชีวิตความตายของวารีคือการดับแสงดวงอาทิตย์ โลกที่ไม่มีพี่ของวัชรมัยพังทลายไผทจึงเป็นคนเดียวที่ช่วยเยียวยาชีวิตอันแห้งแล้ง จากการสูญเสีย แต่แล้วเขาก็ทำเธอผิดหวัง เจ็บป่วยหัวใจ กระทั่งต้องเลิกร้าง ลากันไป“อืม...”คนตัวโตผิวเข้มคร
เช้านี้ ณ โรงเรียนอนุบาลชื่อดังของจังหวัด สกลกันต์เดินเข้าอาคารเรียนพร้อมจูงมือสาวหุ่นบอบบางสวมเชิ้ตแขนกุด ท่อนล่างเป็นกางเกงทรงชิโนตัวหลวมปากเล็กเล่าโน่นนี่เจื้อยแจ้ว มือจับกระชับมั่นกับมือแม่ บางจังหวะก็ยิ้มทักทาย ส่งเสียงเรียกเพื่อนดังลั่น ขณะผู้เป็นพ่อเดินหน้าตึงตามทั้งสองมาข้างหลัง“เกล...ดีน นี่แม่เราแหละ”สกลกันต์แนะนำมารดาหน้าชื่นตาบาน สองเพื่อนยกมือไหว้ วัชรมัยทั้งรับไหว้เด็ก และโค้งศีรษะทักทายพ่อแม่เพื่อนลูก“แม่เรากลับจากบนฟ้า จะมาอยู่กับเราตลอดไป”ผู้ใหญ่ที่ได้ยินชะงัก มองหญิงสาวอย่างสนใจ ข่าวนายหัวไผทตกพุ่มม่ายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว สกลกันต์กำพร้า แล้วจู่ ๆ ก็มีแม่ หลายคนเตรียมเก็บข้อมูลเด็ดไปเม้าท์ในวงน้ำชา“กัปตันนี่แม่เรา วันนี้แม่ทำแซนด์วิช ทำคุณไข่พระอาทิตย์กับก้อนเมฆให้ด้วย”เมื่อสบตาคู่อริ สกลกันต์ไม่พลาดอวด เด็กชายกัปตันมองหน้าวัชรมัย ก่อนรีบหลบซุกศีรษะหลังขาแม่ตน กลัวคำขู่ที่เธอจะฟ้องครูเมื่อวันก่อนคู่กรณีโดนเขากลั่นแกล้งมีเยอะ ถ้ารู้ถึงหูครูแม่ต้องรู้ด้วย แม่มักลงโทษให้งดขนม กัปตันไม่ยอมอดของหวานหรอก“แม่คั้นน้ำส้มให้เราด้วยอร้อย...อร่อย”วัชรมัยเลยได้รู้นิสั
“พักก่อนเถอะนายหัว”ลูกน้องคู่ใจบอกเมื่อดวงอาทิตย์ทำองศาตรงกับยอดไม้ บ่งบอกเวลาเที่ยงวัน สองหนุ่มเดินคุมคนทำงานจนถึงท้ายสวน ต้องเร่งให้เสร็จภายในวันนี้ก่อนฝนจะมา“พวกมึงทำตรงนี้อีกหน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”คนงานใจห่อเหี่ยว ท้องประท้วงหิวขึ้นมาไร ๆ ใครจะบ้างานเหมือนนายหัว ปรกติกินข้าวเที่ยงเอาบ่ายสองแม่ครัวต้องเก็บข้าวปิดฝาชีไว้ให้เป็นประจำ ตัวก็โต เหตุไฉนระบบเผาผลาญทำงานช้านัก ไม่หิว ไม่อยาก ตรงตามเวลาเหมือนคนอื่นเขา“ไว้ค่อยให้คนทำต่อช่วงบ่ายนะนายหัว หน้าพวกมันซีดแล้ว เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป ให้พักกินข้าวเที่ยงเถอะ”ไผทยกนาฬิกาเรือนสมบุกสมบันที่ข้อมือขึ้นดู เข็มบ่งบอกเลยเวลาเที่ยงตรงมาสิบเจ็ดนาที“เออ งั้นก็พักกินข้าว แต่เร่งหน่อยนะ กูกลัวไม่ทันฝน เสร็จเร็วก็จะให้เลิกงานเร็วด้วย ถ้าทำเลยเวลาให้คิดเป็นโอที”คนงานค่อยมีรอยยิ้มบ้าง ไม่มีใครอยากได้โอทีหรอก อยากเสร็จงานเร็ว ๆ แล้วไปพักเสียมากกว่า“นายหัวลืมอะไรไปหรือเปล่า”เจ้านายกับลูกน้องเดินเอื่อย ๆ ตามหลังคนงาน ซึ่งไปรวมกันขึ้นรถบรรทุก เตรียมพาไปโรงอาหารเพื่อกินมื้อกลางวัน“หืม...”คิ้วเข้มขมวด ครางลึกในลำคอ วิเชียรส่ายศีรษะอ่อนใจ“จ
พักนี้มักมีข่าวลือเกี่ยวกับนายหัวไผทกับเมียแปลก ๆ อย่างเช่นเขาเลี้ยงเมียอด ๆ อยาก ๆ ไม่ค่อยยอมให้กินเนื้อสัตว์ ผู้เห็นเหตุการณ์คนที่หนึ่งเล่าว่า“วันก่อนฉันไปซูเปอร์มาร์เก็ต นายหัวอ่ะนะ พอเห็นเมียหยิบไส้กรอกเยอรมันกับแฮมสเปนใส่รถเข็นปุ๊บก็หยิบออกปั๊บ เมียหน้าบึ้งหน้างอบอกว่าอยากกินเท่าไรก็ไม่ให้กิน”ผู้เล่าจีบปากจีบคอทำตาเล็กตาน้อยสมใจ เมื่อในกลุ่มเม้าท์เงียบกัน ท่าทางตั้งใจฟังมาก“แต่พอลูกอ้อนเท่านั้นแหละ รีบหยิบกลับมาใส่ทันที”“ว่าแล้ว...นายหัวยอมรับกลับมาเป็นเมียแค่อยากให้กลับมาเป็นแม่ของลูก อยากแค่ให้ครอบครัวสมบูรณ์”คนตั้งใจฟังตบเข่าฉาด“ใช่ ๆ นายหัวน่ะขี้เหนียว ตอนไปรับลูกฉันเคยได้ยินว่าเมียบอกอยากไปกินข้าวนอกบ้าน แกดุเมียใหญ่ว่าไม่ต้องไป ให้กินที่บ้านน่ะดีแล้ว อยากกินอะไรก็ทำกิน”ผู้ปกครองนักเรียนอนุบาลท่านหนึ่งรีบเสริม“ใช่ ๆ ฉันเคยเจอที่ร้านคาเฟ่น้องเก๋ นายหัวไม่ให้เงินเมียใช้สักบาท อยากกินอะไรก็ต้องแบมือขอผัว”“เมียที่ผัวไม่รักชัด ๆ”เสียงถอดถอนหายใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้ม ตาสั่นระริก“แต่แกก็ไม่มีใครนอกจากเมียนี่”สาวนางหนึ่งรีบใส่ไฟ“ที่ไม่ยอมมีใครเพราะนายหัวเห็นแก่ลูก ทำตั
การประชุมสมาชิกหอการค้าจังหวัด เริ่มต้นอย่างน่าเบื่อ นักการเมืองท้องถิ่นขึ้นมาพล่ามไร้สาระขายฝันเพื่อหาเสียง ก่อนนายกสมาคมจะกลับมาครองไมค์ได้เข้าสู่ช่วงการประชุมที่แท้จริงหลัก ๆ เป็นการพูดถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจของภาคและจังหวัดนายกสมาคมไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่ยังกลัวนักธุรกิจรุ่นเดียวกันตามไม่ทัน จึงมีทั้งคลิปพรีเซนเทชั่น ทั้งกราฟให้ดูไม่ใช่การประชุมที่แย่นักในสายตาไผท ช่วงพักเบรกนักธุรกิจแยกนั่งคุยเป็นกลุ่ม ๆ เขายังเลือกนั่งกับเถ้าแก่ฮงและหนุ่มสถาปนิกเถ้าแก่ฮงวิดีโอคอลกับหลาน ๆ ของลูกอีกคนที่อยู่ในอเมริกา เสียงสองเสียงสามแสดงความเป็นอากงใจดีเรียกรอยยิ้มจากสมาชิกร่วมโต๊ะได้“ลูกเฮียนี่เก่งจริง ๆ ได้เรียนต่อถึงเมืองนอกเมืองนา แถมยังได้เมียฝรั่ง มีหลานลูกครึ่งน่ารัก”ผู้พูดเป็นเจ้าสัวภัตตาคารอาหารจีนขึ้นชื่อของจังหวัด“มันกระตือรือร้นของมันเอง ใครจะไปคิดล่ะว่าแค่เรียนถ่ายรูปก๊อกแก๊ก ๆ เผลอแป๊บเดียวมันได้ทุนเรียนต่อเมืองนอก เรียนจบมันบอกได้ทำงานในฮอลลีวูด ผมก็ไม่รู้อะไรหรอก รู้จักแต่ชอว์บราเธอร์หนังฮ่องกง ฮาร์ตมันพาเข้าโรงไปดูหนังพี่มันถ่ายภาพ ถึงรู้ว่ามันเก่ง ทำงานดี นี่หลานก็บอกพ่อมันไปถ
“แม่คร้าบ...พ่อเหมือนหมีแพนด้าเลย”สกลกันต์ชี้ไปยังใต้ตาบิดาที่สีคล้ำ บ่งบอกอาการอดนอน มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งฝีมือไผท“หรือว่าตาพ่อเลอะร่า ๆ เหมือนแม่เกล”นิ้วป้อมชี้ นึกถึงสภาพหน้าแม่เพื่อนที่เคยเห็นตอนเปียกฝน เกลบอกเปื้อนอะไรสักอย่างชื่อร่า ๆ“มาสคาร่าหรือเปล่าครับ”วัชรมัยรินน้ำส้มผสมน้ำสับปะรด เอาใจลูกและเขาที่ส่งบรรยากาศมาคุอึมครึม“พ่อเขาไม่ได้ใช้มาสคาร่าหรอก”“แต่ตาพ่อดำเหมือนแพนด้า” เจ้าตัวย้ำ ขมวดคิ้วจ้องเขม็ง“กังฟูแพนด้า”สกลกันต์ไม่ได้ชอบเจ้าฮีโร่อ้วนตุ้ยนุ้ยนี่นะ แค่ตอนเด็ก ๆ บิดากับวิเชียรเปิดให้ดูบ่อย แถมฟัดแก้มนุ่มนิ่มจนแดงเขาชอบฮีโร่ตัวสูงปราดเปรียวปีนป่ายเก่งแล้วก็มีชุดเท่ ๆ อย่างสไปเดอร์แมนมากกว่า“กินข้าวไป อย่าพูดมากเดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”บิดาตักกุ้งยัดปากช่างจ้อ เมื่อลิ้นสัมผัสกุ้งเนื้อเด้ง รสหวานกระจายทั่วปาก สกลกันต์กลับมาสนใจการเคี้ยวอาหารทันทีไผทจ้องเขม็งมายังเธอ ส่งสายตาข่มขู่ ขุ่นเคืองอารมณ์ค้างคาเรื่องเมื่อคืน วัชรมัยแกล้งไม่สนใจ ยกน้ำส้มขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์“เตเต้ปราบไปโรงเรียนก่อนนะ เป็นเด็กดีอยู่เฝ้าบ้าน ถ้ามีขโมยมาก็กัดตูดไล่มันลงทะเลเลย”ลูกพ
เพราะวัชรมัยมัวแต่มุ่งมั่นกับตำมะขาม สามีจึงทำไก่ทอดเกลือ กับต้มกระดูกหมูผักกาดดองให้“ไหนพี่ป้องไม่ให้กินโปรเซสเซ่นฟูดส์ไง”เธอหมายถึงอาหารแปรรูป ที่รวมของหมักดองด้วย“ผักดองมีพรีไบโอติกส์ ดีต่อลำไล้”ไผทซื้อหนังสือเกี่ยวกับการดูแลคนเป็นโรคมะเร็งมาหลายเล่ม เขาอ่านซ้ำจนจำขึ้นใจ ต้องการจะดูแลเธอให้ดีที่สุด“หมูที่ใช้ก็เป็นหมูคุโรบุตะ เจ้าของเลี้ยงแบบปล่อย มันจะไม่เครียด ไม่เพิ่มสารก่อมะเร็ง”เพิ่งรู้ว่ามีการเลี้ยงหมูให้ไม่เครียดด้วย วัชรมัยเคยได้ยินแต่การเลี้ยงวัวทะนุถนอมแบบฟาร์มญี่ปุ่น เปิดเพลงให้ฟัง มีนวดตัว ให้วัวกินเบียร์ สร้างอารมณ์วัวให้ดี เพื่อกลายเป็นเนื้อคุณภาพเยี่ยมกิโลกรัมละเป็นหมื่นไผทไปหาเนื้อหมูพวกนี้มาจากไหน“มิ้งรู้สึกตัวเองเป็นภาระพี่ป้องจัง”เธอรำพึงพลางตักตำมะขามเข้าปาก รสคล้ายกับที่วารีเคยทำ ความเศร้าเพราะคิดว่าตนช่างอ่อนแอเหลือเกินกลับมาเกาะกุมในอกโดยพลัน“พี่เป็นผัวเธอนะ เมียตัวแค่นี้ดูแลได้สบายมาก”มือสีเข้มตักไก่ทอดใส่จานเธอ“กินเยอะ ๆ จะได้มีเนื้อมีหนัง ตอนกอดจะได้นุ่มนิ่ม เต็มไม้เต็มมือ”สายตาคมวับวาวพราว วัชรมัยรู้ได้ทันที นายหัวไม่หยุดแค่กอดอย่างเดียวแน่“ห
ไผทรีบพาเมียออกจากตลาดนัด ก่อนที่เธอจะหาอะไรมาเป็นงานทำมากกว่านี้ วัชรมัยหยิบเครื่องประดับทำจากกะลามะพร้าวมาชื่นชม สมองคิดจะมิกซ์แอนด์แมทกับชุด หรือออกแบบเครื่องประดับแบบไหนดีถ้าผสมกับสตอรี่เรื่องความยั่งยืน เป็นของธรรมชาติผลิตจากชุมชน ไม่มีการใช้ส่วนไหนจากสัตว์ยิ่งน่าสนใจ มันขายได้ในต่างประเทศ หรือจะชิมลางแตกแบรนด์เล็ก ๆ ขายแต่ทางออนไลน์ดีสมองการค้าวัชรมัยคิดไปเรื่อย กระทั่งรถคันโตหยุดที่สวน เธอหันซ้ายหันขวา โน่นก็คนงาน นั่นก็ต้นปาล์ม ภูเขาสีเขียวห่างอยู่ลิบ ๆ มีหมอกยามเช้าคลอเคลียคลุมวิวสวยดีอยู่หรอก แต่เขาเอาเธอมาทำไม“มิ้งขอกลับบ้านได้ไหมคะ”“อยู่นี่แหละ ใกล้ตาฉัน เกิดล้มไปจะยุ่ง ป้านิดลาไปเยี่ยมญาติ ไม่มีใครดูเธอ อยู่นี่ดูแลได้ดีกว่า”ไผทประกาศบอกคนสนิทถึงอาการป่วยของวัชรมัย ไม่ทันไรก็รู้กันทั้งสวน เขาขี้เกียจหาต้นตอว่าใครปูดข่าว ดีเสียอีกจะได้มีคนเพิ่มช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลเธอให้“อยู่ในรถ ฉันจะติดเครื่องไว้ให้”แอร์เย็นก็จริง แต่วัชรมัยนั่งนิ่งนาน ๆ ชักเบื่อ มองออกไปเห็นต้นมะขามแผ่กิ่งก้านแตกใบในสวน มันคงอยู่มานานเพราะมีกิ่งห้อยย้อยจนต้องเอาไม้มาค้ำไม่ไห้ต้นล้มฝักดิบสีน้ำตาลอ
“แม่คร๊าบ มีโฮมเลสมานอนในสนามบ้านเราด้วย”ไผทหยีตาขึ้นเพราะเสียงแจ้ว ๆ นอกเต็นท์มีแสงสว่างลอดเข้ามา“ไม่ใช่โฮมเลสครับ”วัชรมัยปรามเจ้าตัวกลม ที่เดินเข้าไปเกาะเต็นท์สนามสีเขียวเข้ม เมื่อคืนเธอนอนกอดลูกสบายมาก สดชื่นอารมณ์ดีจนลงมาทำมื้อเช้า ปล่อยสกลกันต์นอนต่อแป๊บเดียว ไม่คิดลูกจะตื่นเร็วขนาดนี้“ก็เขาไม่มีบ้านไม่ใช่เหรอ ถึงนอนเต็นท์”ปากเล็กยู่ยืนยันความคิดตัวเอง“เหมือนข่าวโฮมเลสในทีวีที่ปราบเคยดูในโรงอาหาร”“พ่อไม่ใช่โฮมเลส”เต็นท์เปิดมาพร้อมหน้าตึง ๆ ของคนนอนไม่พอ มือสางผมผมสีดำยุ่งตกระหน้าผาก ไผทขมวดคิ้ว เมื่อเห็นแม่กับลูกใส่ชุดนอนหมีน้อยเข้ากัน ...แล้วชุดเขาล่ะแม่งเอ๊ย! ไม่ยุติธรรมสักนิด ปรกติไผทไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ทว่าตั้งแต่มีเมียนี่เขาเหมือนโดนลูกทิ้ง กลายเป็นหมาหัวเน่า เป็นคนนอกโดยสมบูรณ์แบ่งแยกกันชัดเจนก็เสื้อทีมนี่แหละ มีเขาแตกต่างอยู่คนเดียว“ทำไมพ่อมานอนเต็นท์ล่ะ”สกลกันต์เคยไปกางเต็นท์เที่ยวป่าชมธรรมชาติกับบิดาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าสนุกมาก ...หมายถึงขี่หลังบิดาสนุก“อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”เขาสลัดศีรษะไล่ความง่วงงุน“หลับสบายไหมคะพี่ป้อง”ไผทหงุดหงิดกับรอยยิ้
กฎสองข้อที่ไผทจำขึ้นใจหนึ่ง ห้ามทำให้สกลกันต์โกรธ มิเช่นนั้นเขาอาจเสียทรัพย์ง้อ ต้องซื้อทั้งขนมและของเล่น เจ้าลูกชายแก้มป่องเรียกร้องเอากับพ่ออย่างเขาไม่เกรงใจบางทีถึงขนาดไผทคิด ถ้าสกลกันต์ไม่เกิดเป็นลูกเขา คนที่จะเลี้ยงเจ้าตัวแสบได้คงต้องมีเงินถุงเงินถังระดับชีคเจ้าของบ่อน้ำมันสอง ข้อนี้สำคัญกว่าข้อแรก อย่าทำให้วัชรมัยโกรธ มิเช่นนั้นเขาจะทรมานทั้งกายและใจ ชนิดจำขึ้นใจไม่มีวันลืมตัวอย่างคือเหตุการณ์ย้อนไปยังวันลงจากเครื่องบิน เขาและเธอไปรับลูก โดยมีวิเชียรเป็นสารถีวัชรมัยซื้อของฝากมากมาย ทั้งที่หิ้วมาเองได้ ทั้งต้องรอส่งมาจากกรุงเทพฯ ไหนจะรอโหลดจากท้องเครื่องบินอีกพ่อแม่ที่เป็นคนงานในสวนเห็นเด็ก ๆ ได้ของฝากก็ยิ้มกันแก้มปริ พอรู้ว่ามาจากวัชรมัยก็สรรเสริญกันใหญ่ตอนเย็นยังมีกินเลี้ยงงานวันเกิดเตเต้ สกลกันต์ส่งสายตาเว้าวอนเมื่อเห็นเค้กวาดรูปหน้าสัตว์เลี้ยงตัวโปรด“เตเต้เป็นหมากินเค้กไม่ได้หรอก เดี๋ยวฟันผุ หมาแปรงฟันไม่ได้”เด็กชายเกิดอาหารหวงของกิน ส่วนเจ้าของวันเกิดร้องหงิง ๆ เหมือนรู้กำลังจะโดนขโมยเค้ก“กินได้สิครับ แม่ถามร้านที่ทำแล้ว”วัชรมัยไม่ได้ถามเอง ให้นิคกี้เป็นถาม เธอคิด
การกลับมาอยู่สวนปาล์มอีกครั้ง ทำให้วัชรมัยรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ ผู้คนเป็นมิตรขึ้น มีลูกชายน่ารัก และที่สำคัญสามี...“ตื่นมาทำไม นอนต่ออีกก็ได้ เพิ่งตีห้าครึ่งเอง”ไผทผินหลังมองเธอ เขาผมยุ่งปรกหน้าผาก เปลือยท่อนบนอวดผิวสีทองแดงแน่น ๆ คาดผ้ากันเปื้อนลายช้างสีน้ำเงินที่เธอซื้อให้จากสนามบิน“เมื่อคืนมิ้งหลับคาอกพี่เลยนะ”วัชรมัยแก้มแดง เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ไผทไม่ได้มอบบทรักที่ดุดัน แต่การย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ แสดงความคลั่งไคล้ในเรือนกายก็ทำเธอเพลีย ชัทดาวน์สติตัวเองกลางอากาศตื่นมาพร้อมอาการเมื่อยตัว และรอยตราสีกุหลาบบนผิวนวล“มิ้งอยากตื่นมาทำข้าวเช้าให้สามีกับลูกกินบ้างสิคะ”ร่างผอมบางเคลื่อนมาใกล้ พยายามลบภาพนายหัวผู้โซฮอตปรอทแตกเมื่อคืน มือขาวจับท่อนแขนสีทองแดง เมียงมองอาหารในกระทะ“ออมเล็ตเหรอคะ”ที่เห็นคือไข่สีเหลืองนวลรูปพระจันทร์ครึ่งป่องกลาง กลิ่นเนยถูกความร้อนทำเอาน้ำลายสอ“ไม่ได้กินนานแล้ว”ตั้งแต่กลับมาสวน อาหารสำเร็จรูปประเภทไส้กรอก แฮม เบคอน รวมถึงอาหารแช่แข็ง กลายเป็นของที่ไผทห้ามไม่ให้มีในครัวนี้เด็ดขาด ให้เหตุผลว่าต้องดูแลสุขภาพเธออย่างเคร่งครัดเขาเลือกแต่อาหารดีมีประโยชน์ใ
“แกร่ก...”บุรินทร์มองลอดแว่น เมื่อเห็นคนเข้ามาในห้องตรวจไม่ใช่คนไข้อย่างที่เคย“มิ้ง...จะหายไหม”ผู้ยืนอยู่คือหนุ่มล่ำบึ้กตัวสูงผิวสีทองแดง แพทย์หนุ่มเห็นความหวาดหวั่นในดวงตาคม แม้จะดำล้ำลึกราวกับทะเลในคืนเดือนมืด แต่เจือไปด้วยความแปรปรวน เหมือนความหวาดหวั่นของเจ้าตัวในยามนี้“ผมอยากได้ความมั่นใจ เธอสำคัญกับผมมาก”สองหนุ่มประเมินกัน สมองแต่ละฝ่ายต่างเต็มไปด้วยความคิดวุ่นวาย“ในฐานะหมอ ผมมองว่ามะเร็งเป็นการทำงานผิดปรกติของเซลล์ร่างกาย เกิดจากความแปรปรวนในการใช้ชีวิตประจำวัน แบบใช้มากไปหรือน้อยไป”“เอาสรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ไหมหมอ ผมแค่ชาวสวน ไม่ได้มีความรู้อะไรมาก”บุรินทร์อมยิ้ม ถ่อมตัวว่าเป็นแค่ชาวสวน แต่คนตรงหน้าเขานี่มาดบ่งบอกเป็นเจ้าของสวนชัด ๆ บารมีเจ้านายคนแผ่ข่มเข้มจัด“มิ้งสำคัญกับผม...กับลูก” เสียงห้าวเริ่มเครือ บ่งบอกความห่วงหาสุดหัวใจ“มิ้งเป็นมะเร็งระยะที่สอง ถึงจะลุกลาม แต่ถ้าจากข้อมูลงานวิจัยเมืองนอกรายงานว่ามีสิทธิ์จะหาย แต่ต้องดูแลตัวเองดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะกลับมาเป็นอีก”แพทย์ยอมการันตีการรักษา เพราะเห็นวัชรมัยเป็นรุ่นน้องผู้น่ารัก ไม่ได้หวังสินบนจากชุดสูทที่เธอจะตัดให้แ