สกลกันต์เล่นก่อกองทรายกับเพื่อนในบ่ออยู่ แม้หลังบ้านจะมีทะเล แต่ใช่ว่าจะได้ไปเล่นบ่อย ๆ ไผทไม่ยอมให้ลูกลงทะเลเด็ดขาดถ้าตนเองไม่ได้ไปด้วย
แล้วนายหัวอย่างเขาก็งานยุ่งเสียด้วย ไม่ค่อยมีเวลาพาลูกไปทะเล สกลกันต์จึงได้แต่เล่นอยู่ภายในบ้านบ้าง ในสวนยาง สวนปาล์มบ้าง
บ่อทรายในโรงเรียนอนุบาลจึงเป็นสถานที่เล่นที่เขาโปรดปรานที่สุด
“เมื่อเช้านี้แม่เราทำเทมปุระบร็อคโคลี่ให้กินด้วยแหละ”
ผู้พูดเป็นเด็กอวบอ้วนตาหยี ข้าง ๆ กันเป็นลูกสมุน อ้วนหนึ่ง ผอมหนึ่ง
“อร่อยมากเลย”
ดีนที่เล่นเอารถตักทรายไม่สนใจ สกลกันต์ได้ยินแต่แกล้งทำเฉย ก่อกองทรายต่อ ขณะเด็กหญิงเกลเลิกคิ้ว
“แล้ว...”
เด็กตาหยียิ้มกว้าง เมื่อสาวที่น่ารักที่สุดในห้องแสดงท่าทีสนใจตน เขากำลังจะกลายเป็นคนเท่ในสายตาเธอแน่ ๆ
“ถ้าวันนี้เกลยอมไปเล่นชิงช้ากับเรา จะให้แม่ทำเทมปุระบร็อคโคลี่ให้ก็ได้”
พ่อบอกว่าจะจีบผู้หญิงต้องมีของล่อใจ เด็กชายได้ยินเกลเล่าเรื่องเจ้าผักเขียวบ่อย แสดงว่าเธอต้องชอบแน่ ๆ
“เราไม่กินของทอดหรอก เดี๋ยวอ้วน”
เกลสะบัดบ๊อบ
“ทำไมล่ะ แม่เราทำอร่อยนะ หรือไม่ชอบบร๊อคโคลี่ทอด จะกินทอดมันกุ้งไหม ขาหมูก็ได้ แม่เราทำอร่อย พ่อกินเยอะทุกวันเลย”
“ยี้! เพราะกินแต่ของแบบนี้ล่ะสิ กัปตันถึงอ้วน”
เด็กชายหน้าแดง เมื่อคนน่ารักหักหน้าเช่นนี้
“อาเราเป็นหมอ บอกว่าอ้วนแล้วโตขึ้นจะไม่หล่อ”
เกลพูดตามประสาเด็ก จำได้แต่อาบอกว่าอ้วนไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าไม่ดียังไง สงสัยจะไม่สวยไม่หล่อละมั้ง
“ไม่จริง พ่อเราหล่อที่สุดในจังหวัด โตขึ้นเราต้องหล่อเหมือนพ่อ”
“พ่อกัปตันหล่อแล้วเหรอ เราว่าพ่อปราบหล่อกว่า”
หวยมาออกที่สกลกันต์ ตาเรียวหยีมองอย่างไม่พอใจ
“ปราบไม่กินมะเขือเทศ โตไปไม่หล่อหรอก”
“เรากินแล้วนะ เมื่อเย็นกินในซุปไก่”
แม้จะกินแค่ครึ่งชิ้นก็ถือว่ากินแล้วละนะ
“โกหก! เมื่อวันก่อนตอนกลางวันมีไข่เจียวมะเขือเทศปราบยังไม่กินเลย”
ลูกคู่อ้วนผอม พยักหน้าเป็นพยาน
“วันก่อนก็วันก่อนสิ ตอนนี้เรากินมะเขือเทศได้แล้วนะ”
สกลกันต์ตาวาว ปกป้องศักดิ์ศรีน้อย ๆ ในวัยสี่ขวบของตน
“โกหก! ขี้โม้! แม่เราบอกว่าเด็กที่ไม่มีแม่ โตไปจะเป็นคนไม่ดี”
แม้ไม่ได้พูดให้ลูกฟังตรง ๆ เป็นเพียงการซุบซิบนินทา แต่เด็กที่เป็นเพียงผ้าขาวก็ไม่อาจกรองคำพูดได้ จึงลากมาฟาดฟันเพื่อนทั้งดุ้น
วัชรมัยแอบทำเนียนเป็นผู้ปกครองมารับลูกกับมุกดาที่เป็นแม่ของดีน ได้ฟังถึงกับอ้าปากค้าง เด็กคนนี้ช่างพูดจาไม่น่ารักเลย
สกลกันต์กัดริมฝีปากแน่น ลุกขึ้นจากบ่อทราย
“หนูพูดไม่เพราะกับเพื่อนเลยนะครับ”
วัชรมัยปราดเข้าขวางเด็กชายตาคม เด็กชายสูงถึงขาอ่อนเธอ แถมยังพยายามหลบเพื่อเตรียมบวกกับเพื่อนเต็มที่
“ก็จริงไหมล่ะ ปราบไม่มีแม่จริง ๆ นี่”
เด็กชายตาหยีล้ออย่างเป็นต่อ
“ถามใคร ๆ ดูก็ได้ ไม่มีใครเคยเห็นแม่ปราบเลย ไม่เคยมารับปราบด้วย”
“ใช่ ๆ”
ลูกคู่ช่วยกันซ้ำเติม วัชรมัยรู้สึกได้ถึงร่างเล็กกำลังตัวสั่น
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การเอาเรื่องคนอื่นมาล้อต่างหากที่นิสัยไม่ดี พ่อแม่ไม่เคยสอนเหรอ” เด็กชะงัก
“ถ้ายังทำอีก ฉันจะฟ้องครูเธอ”
วัชรมัยเลือกวิธีการลงโทษที่คาดว่าเด็กน่าจะกลัว โดยเดาจากประสบการณ์วัยเด็กของตัวเอง
“จะบอกให้ครูเอาบร๊อคโคลี่สด ๆ ให้กิน”
เจ้าตาหยีสะดุ้งเฮือก ทำหน้าสยอง พอดีกับที่ครูประจำชั้นมาบอกว่าพ่อแม่มารับแล้ว สงครามฟันน้ำนมจึงยุติลง
“เป็นยังไงบ้างครับ หือ”
หญิงสาวหันกลับมา ย่อตัวลงคุยกับสกลกันต์ ริมฝีปากแดงช้ำเพราะการกัด ในตามีน้ำเอ่อ เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายที
“โอ๋ ๆ ปราบไม่ร้องไห้นะ”
เกลตบบ่าปลอบแบบแมน ๆ เกินคาด
“เราไม่ได้จะร้องซะหน่อย”
สกลกันต์โดนจี้ประเด็นอ่อนไหว ถึงเรื่องไม่มีแม่ ทั้งเรื่องไม่กินมะเขือเทศ หัวใจน้อย ๆ ในวัยสี่ขวบบอบช้ำอย่างหนัก
“เดี๋ยวเกลจะถามสูตรเวทมนตร์ทำมะเขือเทศอร่อยจากแม่มาให้นะ ปราบจะได้กินได้”
เด็กหญิงเอื้ออารี
“ไม่เป็นไรนะครับปราบ คนเราก็มีของที่ชอบกับไม่ชอบได้ทั้งนั้นแหละ”
วัชรมัยประคองใบหน้าเล็ก ใช้นิ้วโป้งลูบใต้ตาน้อยที่กำลังบวม ในอกบีบรัดไปหมดเมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังจะมีน้ำตา นี่สินะ ความรู้สึกที่เขาว่ากันว่าลูกเจ็บ แม่เจ็บด้วย
“แล้วน้าเป็นใครคะ ทำไมรู้จักปราบด้วย”
เกลจ้องเธอด้วยสายตาฉลาดเฉลียว ยังไม่ทันเอ่ยแก้ตัว เสียงหนึ่งก็ดังช่วยชีวิต
“นี่น้ามิ้ง เพื่อนน้าเก๋น้องแม่เราไง”
เด็กชายดีนผู้ซึ่งวัชรมัยแนะนำตัวแค่ครั้งเดียว เป็นเจ้าของเสียงนั้น
“น้าเก๋ที่เปิดคาเฟ่สวย ๆ หน้าโรงเรียนใช่ไหมคะ
เกลชอบกินสตรอว์เบอร์รีปั่นมากเลยค่ะ”
เล่าพร้อมทำตาเป็นประกาย
“ไว้เกลไปที่ร้านนั้นน้าจะเลี้ยงสตรอว์เบอร์รีปั่นนะคะ บอกน้าเก๋ให้ลงบัญชีน้าไว้ได้เลย”
เกลยิ้มปากจะฉีกถึงใบหู เพราะแม่บอกน้ำปั่นน้ำตาลเยอะ ไม่ดีกับสุขภาพ นาน ๆ จะให้กินที จู่ ๆ มีคนเลี้ยงของโปรดแบบนี้ เกลถูกใจมาก!
“ปราบละครับ ชอบน้ำปั่นไหม อยากกินอะไรหรือเปล่า มะ...เอ้ย! น้าเลี้ยง”
วัชรมัยแทบกัดลิ้นตัวเอง สัญชาตญาณการเป็นมารดาหรืออย่างไรหนอ ทำให้เธอเกือบเผลอแทนตัวเองว่า...แม่
“ปราบไม่อยากกินน้ำปั่น”
เด็กชายก้มหน้าหงุด บอกเสียงอุบอิบ
“แล้วอยากกินอะไรครับ”
ยิ่งได้อยู่ใกล้ วัชรมัยยิ่งเห็นความน่ารัก แม้ใบหน้าจะเป็นไผทฉบับมินิ แต่แก้มกลมแดงนั้นช่างมันเขี้ยวน่าบีบ ตัวก็หอมกลิ่นนม
“มะเขือเทศ”
“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องฝืนนะครับ”
สกลกันต์นึกชอบเสียงหวานใสของคุณน้าคนสวยของดีน แต่ศักดิ์ศรีสี่ขวบยังค้ำคอ
“ก็...ถ้าแม่ปราบกลับมาจากทำหน้าที่นางฟ้าแล้ว แม่ต้องมีเวทมนตร์เหมือนแม่เกล ทำให้มะเขือเทศอร่อยได้แน่”
กว่าจะได้สติคืนมา ก็ตอนที่มือน้อย ๆ ป้ายน้ำตาที่ไหลพรากอาบแก้มเธอออก
“คุณน้าเป็นอะไรครับ เจ็บเหรอ ปราบโอ๋ ๆ ให้นะ ปราบมีพลาสเตอร์สไปเดอร์แมนด้วย พ่อบอกแปะแล้วความเจ็บจะหายไป”
วัชรมัยกอดเด็กชายจมอกด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา เธอเป็นคนเลวเหลือเกิน ตอนนี้วัชรมัยได้รับผลกรรมแล้ว
เธอจะไม่ทำผิดอีก ขอแค่โอกาส...โอกาสอีกสักครั้ง
“แล้วแกก็เลยมาพังครัวร้านฉัน”
ศรัญญายืนเอียงไหล่พิงวงกบประตู ดูความพังพินาศเละเทะของครัว ขนาดเก็บครัวหลังร้านปิดไปแล้วนะเนี่ย
“ฉันอยากทำมะเขือเทศแบบอร่อย ๆ ให้ลูกกิน ทำตามยูทูปก็แล้วนะแก แต่ออกมาเป็นงี้อ่ะ”
วัชรมัยเอียงหม้อที่มีน้ำสีแดงเละ ๆ ไหม้ติดก้นให้ดู เธอเล่าให้เพื่อนฟังแล้วถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายนี้
“ปรกติถ้าเป็นพวกแซนด์วิชฉันก็ทำกินเองนะ แต่พวกซุปนี่อาศัยกินแบบกระป๋องตลอด คือ...ไม่ค่อยมีเวลาน่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มแหยให้เพื่อน
“แล้วทำไมไม่ทำแซนด์วิชล่ะ ง่ายกว่าเยอะ”
“ฉันว่าเด็กจะชอบกินอะไรที่เป็นน้ำ ๆ มากกว่า อีกอย่างฉันอ่านมามะเขือเทศมีสารไลโคปีน ถ้าถูกทำให้ร้อนมีประโยชน์มากกว่ากินสด”
หลังรับรู้ความต้องการของลูก วัชรมัยรีบไปห้างสรรพสินค้าซื้อหนังสือสูตรอาหารที่เป็นประโยชน์กับเด็กมาหลายเล่ม แวะซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อวัตถุดิบมาลองทำอีก
“โอเค ๆ โจทย์คืออะไรที่เป็นน้ำ ๆ มีมะเขือเทศ มีประโยชน์กับเด็กนะ จะมีวัตถุดิบปริศนาอะไรอีกไหมเนี่ย”
ศรัญญาเปิดดูตู้เย็น สมองวิ่งเร็วจี๋คิดเมนูอาหาร ปานประหนึ่งกำลังแข่งเชฟกระทะเหล็ก
“ต้องสอนทำด้วยนะ ฉันอยากให้ลูกได้กินฝีมือฉัน”
เจ้าของคาเฟ่หยิบวัตถุดิบออกมาสามสี่อย่าง เลือกแบบที่ง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่
“ทำซุปมะเขือเทศใส่ทูน่าก็แล้วกัน”
วัชรมัยคิดถึงตารางสารอาหารขึ้นมาทันใด
“ใส่มักกะโรนีด้วย มีคาร์โบไฮเดรตด้วย จะได้ครบห้าหมู่”
ศรัญญายิ้มขำ เรื่องอาหารห้าหมู่นี่มุกดาพี่สาวเธอมักพูดบ่อย ๆ ตั้งแต่มีลูก หรือแม่ทั้งโลกเป็นกันแบบนี้
“โอเค ! เตรียมใจให้ดี เฮลคิชเช่นจะเริ่มต้น ณ บัดนี้”
เจ้าของคาเฟ่แสร้งทำเสียงทุ้มต่ำ วัชรมัยรับคำด้วยความยินดี
“ได้เลยค่ะเชฟ!”
ในเมื่อมีโอกาสทำเพื่อลูก งานนี้เธอขอสู้ตาย
ซึ่งก็เกือบตายจริง ๆ ศรัญญาเหมือนถูกวิญญาณครูเชฟเข้าสิง สอนวัชรมัยขั้นเบสิคตั้งแต่หั่นหัวหอมใหญ่ หั่นมะเขือเทศ กว่าจะเคี่ยวได้รสที่ต้องการก็เกือบสว่าง
เธอหลับเอาแรงทั้งวันก่อนแพ็คอาหารใส่กล่องไปให้สกลกันต์ในยามบ่าย
“อู๊ว...”
เด็กชายตาโตเมื่อเห็นซุปมะเขือเทศใส่มักกะโรนีสีแดงสวย วัชรมัยทำสลัดปูอัดใส่น้ำสลัดงาญี่ปุ่นมาเพิ่มอานิสงส์จากการเคี่ยวกรำของศรัญญาทั้งนั้น
เธอมีสตรอว์เบอร์รีปั่นมาฝากทั้งเกลและดีนด้วย
“มะเขือเทศอร่อย”
สกลกันต์ตักซุปเข้าปากตุ้ย ๆ ใจคนเป็นแม่พองฟู เมื่อเห็นลูกชายกินอาหารฝีมือตนอย่างเอร็ดอร่อย
“ค่อย ๆ กินนะครับปราบ เดี๋ยวมะ...เอ่อ น้าจะทำมาให้อีก”
มือหยิบทิชชูเช็ดริมฝีปากน้อย ๆ ที่เปื้อนซุป ตั้งใจว่าคืนนี้จะให้ศรัญญาสอนทำอาหารอีก ต่อให้เปิดครัวนรกอีกเป็นสิบคืนเธอก็ไม่หวั่น
“ปราบ”
เสียงทุ้มลึกทำเอาทั้งสกลกันต์และวัชรมัยสะดุ้ง
“พ่อ ปราบเจอมะเขือเทศอร่อยแล้วนะ”
เด็กชายวางช้อนลง ยิ้มแป้นบอกพ่อ
“น้ามิ้งทำให้ปราบกิน”
แม้วัชรมัยจะหันหลังให้เขา เธอยังรู้สึกถึงสายตาอันเย็นเยียบที่ทิ่มแทง หากเป็นมีดของจริง ร่างกายเธอคงพรุน จมกองเลือดตายอนาถ
“มิ้ง...”
ไผทเอ่ยชื่อที่เขาไม่เคยเรียกมานานกว่าห้าปี ชื่อที่เขาอยากจะลืม ฝังมันไว้เสียก้นทะเลลึก
วัชรมัยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ บอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัวเขา เธอไม่เหมือนเมื่อห้าปีก่อนแล้ว
“สวัสดีค่ะนายหัวป้อง”
หญิงสาวค่อย ๆ หันกลับมาหาเขาช้า ๆ ส่งยิ้มสุภาพที่สุดให้ ไผทใบหน้าที่ปรกติดุอยู่แล้ว ยิ่งมืดครึ้ม อุณหภูมิเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากเห็นตัวสูง
ขนาดสกลกันต์ยังรู้สึกกลัวพ่อตนเองจนต้องเบียดหน้ากับต้นแขนเธอ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน ตามฉันมาเดี๋ยวนี้”
ไผทไม่ต้องการคุยเรื่องลับในครอบครัวในที่สาธารณะ เขาจึงพาวัชรมัยออกไปข้างนอก พอสกลกันต์เห็นพ่อเดิน ลูกก็ตามมาด้วยวันนี้ไผทมารับคนเดียว ส่วนวิเชียร คอยคุมคนงานขนปุ๋ยที่ร้านในตลาดเพื่อเอากลับไร่ตัวเลือกในการคุยกันจึงเป็นร้านอาหาร และพอดีกับที่เป็นคาเฟ่ของศรัญญาด้วย“ยินดีต้อนระ...”เพื่อนทักทายลูกค้าที่เข้ามาใหม่ยังไม่ทันจบประโยค หน้าเจื่อนลงทันที ส่งสายตาเลิ่กลั่กให้วัชรมัย“ขอใช้ห้องประชุมหน่อย...ค่ะ”เกือบพูดอย่างสนิทสนมไปแล้ว เธอไม่อยากให้จำได้ว่าศรัญญาเป็นเพื่อนกัน มิเช่นนั้นแผนมาตามส่องลูกวันอื่นอาจพัง“ปราบไปอยู่กับพี่เขาก่อนนะครับ อยากกินอะไรสั่งได้เลย” วัชรมัยยิ้มให้เจ้าตัวเล็ก“ท็อฟฟี่ก็กินได้เหรอ”ตาคมคู่เล็กจ้องไปยัง ท็อฟฟี่ห่อยักษ์ที่วางในตะกร้าบนตู้กระจกโชว์ขนมเค้ก“ได้สิครับ ปราบกินแล้วต้องแปรงฟันด้วยนะครับ ไม่งั้นคุณแมงกินฟันจะมาหา แล้วจะปวดฟัน”เด็กชายเอามือขึ้นกุมแก้มพอดี แสดงว่าเคยผ่านประสบการณ์มาแล้วแน่ ๆ“เป็นเด็กดีนะครับ...น้าขอคุยธุระกับพ่อปราบเดี๋ยวเดียว”สกลกันต์พยักหน้า ศรัญญารับช่วงต่อ ยื่นมือแตะไหล่เด็กชาย“ฝากด้วยนะ”ขยับปากไม่ออกเสียง“แกก็ด้วยล่ะ ตั้งสติ
วินาทีที่ได้ยินคำว่าแม่จากปากเล็ก ๆ ราวกับโลกของวัชรมัยหยุดหมุน เธอทรุดกายลง มืออันสั่นเทาโอบประคองแก้มยุ้ยของลูก“แม่กลับมาหาปราบแล้วใช่ไหมครับ แม่ไปอยู่ไหนมา รู้ไหมปราบคิดถึง”เด็กที่ชายที่กินสตอร์วเบอรี่ปั่นจนอิ่ม เห็นทั้งสองหายไปนาน แล้วเป็นช่วงจังหวะที่ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ศรัญญาจึงปล่อยให้เขานั่งอยู่คนเดียวกระจกห้องประชุมนั้นเป็นแบบใส สกลกันต์เห็นข้างในหมด ภาพวัชรมัยร้องไห้ ทำให้นึกถึงคำสอนของบิดา“ลูกต้องไม่รังแกคนอื่น”เด็กชายไม่เคยรังแกใคร แล้วทำไมพ่อถึงทำคุณน้าคนสวยร้องไห้เสียล่ะ เขาไม่ชอบเลยขาสั้นป้อมจึงเดินเตาะแตะไปเปิดประตูห้องประชุม หูได้ยินความจริงอันต้องตกตะลึง“ปราบคิดถึงแม่”สกลกันต์เบะปาก ความรู้สึกตื้อตันตีตื้นขึ้นในอก ในตาร้อนผ่าว“แม่ขอโทษครับปราบ...แม่ขอโทษ”เด็กชายโถมกอดซุกหน้าลงกับไหล่บาง วัชรมัยพร่ำบอกพร้อมกอดเจ้าตัวนุ่มนิ่มไว้แน่น“แม่ไปทำหน้าที่นางฟ้าเสร็จแล้วใช่ไหม จะกลับมาอยู่กับปราบตลอดไปใช่ไหมครับ”เสียงเล็ก ๆ มาพร้อมอาการสะอื้นฮัก หญิงสาวไม่ค่อยเข้าใจคำถามนัก แต่เธออยากอยู่กับลูกตลอดไป“จ้ะ แม่กลับมาแล้ว แม่จะอยู่กับปราบ”ไผทมองภาพการกอดกันของทั้งสองด้
ห้องทำงานของนายหัวไผทเป็นห้องลึกสุดทางเดิน อยู่ชั้นหนึ่งของบ้าน ประตูไม้สักสีเข้มสลักลายเถาวัลย์พันวัวชนอันดูดุดันบานประตูปิดอยู่ ราวกับไม่ต้อนรับใครทั้งนั้น วัชรมัยจำได้ดี เวลาไผทจะดุว่าเธอ เขามักเรียกมาที่ห้องนี้เวลาปรกติยามยังอยู่ด้วยกัน เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ถ้าเจ้าของไม่ต้องการมือขาวผอมบางเปิดประตูเข้าไป เจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหลังให้เธอ ตามองออกไปยังสวนเขียวข้างนอก“ฉันขออยู่กับลูกอีกหน่อยได้ไหม สักประเดี๋ยว”หญิงสาววอน ตอนนี้เรื่องเดียวที่ไผทจะทำคือไล่วัชรมัยออกไปจากที่นี่“เพื่ออะไรล่ะ เมื่อห้าปีที่แล้ว เธอเลือกรับเงิน ทิ้งเขาไปเอง ตอนนี้จะมาเรียกร้องอะไร”คนบนเก้าอี้หันมา ดวงตาคมลึกส่งแววห้ำหั่น“หรือเงินหมดแล้ว อยากได้อีก จะใช้ลูกเป็นตัวประกันล่ะสิ เลว!”แม้คำบริภาษนี้ เธอก็เคยเอ่ยกับตัวเอง แต่ยามได้ฟังจากริมฝีปากหนา มันทำเจ็บกว่า บาดลึกจนรู้สึกราวเลือดอุ่น ๆ ซึมออกจากอก“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน ฉันต้องการเจอลูก”วัชรมัยสูดลมหายใจลึกอีกครา กล้ำกลืนเลือดเข้าไว้ในอก“เธอได้เจอเขาแล้ว ออกไปจากบ้านฉันซะ!”หญิงสาวพยายามมองหาความปรานีในดวงตาคม แต่มันไม่เหลือเลย มีเพีย
วัชรมัยพาสกลกันต์ในชุดนอนลายสไปเดอร์แมนลงมาข้างล่าง บ้านเปิดไฟสว่าง บรรยากาศเงียบเชียบเธอโดนยายพุดเล่นงานอีกแล้ว ไม่มีคนรับใช้คอยช่วยอะไรเลย แต่ไม่อยากเกินจะรับมือ ห้าปีที่ผ่านมาวัชรมัยทำอะไรเองมาตลอด เรื่องงานบ้านแค่นี้จิ๊บ ๆ นัก“ปราบไปตามพ่อมากินข้าวนะครับ”สกลกันต์พยักหน้าอย่างยินดี เธอเข้าครัว ลำเลียงอาหารมาจัดโต๊ะ บีบซอสมะเขือเทศตกแต่งออมเล็ตเป็นรูปหน้ายิ้มข้าวก็ตักใส่ถ้วยคว่ำลงจาน ตกแต่งข้าวขาวด้วยเม็ดข้าวโพดต้มเหลืองอ๋อยเป็นตา ปากเป็นรูปแคร์รอตส้มสดใสหั่นแว่น สภาพจึงเหมือนคนอ้าปากกว้างสิ่งละอันพันละน้อยที่เธอเรียนรู้จากยูทูปบ้าง จากหนังสือบ้าง วัชรมัยอยากทำมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าสกลกันต์“คุณหน้ายิ้ม คุณปากจู๋”เด็กชายเบิกตาโต ห่อปากเมื่อเห็นการตกแต่งในจาน“แม่มีเวทมนตร์จริง ๆ ด้วย”รอยยิ้มจากใบหน้าเล็ก ๆ ช่างมีอานุภาพทำลายล้างสูงนัก วัชรมัยกุมใจที่เต้นแรงแทบเป็นลม“อย่ามัวแต่เล่นสิปราบ กินข้าวได้แล้ว”ไผทยังตีหน้าเข้ม หลังเอ็ดลูก ก็เลื่อนเก้าอี้นั่งประจำหัวโต๊ะ สกลกันต์นั่งทางขวาเขา วัชรมัยนั่งถัดไป“ง่ำ ๆ แม่ทำมะเขือเทศอร่อย ไข่ปราบก็ชอบมาก”คนอายุน้อยสุดตาเป็นประกายทันทีเม
“ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยเถอะค่ะ”วัชรมัยในสภาพผมฟูกระเซิง ใบหน้าแห้งกรังไปด้วยคราบน้ำตากำลังอ้อนวอนคนงานที่ป้อมหน้าสวน“ขอร้องล่ะ หรือต้องการเงิน ฉันก็ให้ได้นะคะ”หญิงสาวล้วงกระเป๋าสตางค์ หยิบธนบัตรใบละพันขึ้นมาชูสามใบ“กลับไปเถอะครับคุณผู้หญิง”คนงานชายที่ลากเธอมาในทีแรกส่ายหน้า ขณะเพื่อนอีกสามสี่คนส่งสายตาวอกแวก ลังเลเมื่อเห็นธนบัตรส่ายยั่วใจอยู่ไหว ๆ“หลอกเอาเงินจากอีนี่ก่อนก็ได้...แล้วแกล้งทำเป็นปล่อยให้เข้ามา ค่อยจับกลับอีกที”หนึ่งในนั้นกระซิบแผนการอันชั่วร้าย“มึงรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”หนุ่มหุ่นสันทัดกระซิบบอกเพื่อน เล่าตัวตนที่ที่แท้จริงของเธอ เมื่อได้ฟังหนุ่ม ๆ ถึงกับหน้าซีดเผือด“ตะ...แต่นายหัวไล่ออกมาเองนะเว้ย”“ยังไงเธอก็เป็นแม่คุณปราบ มึงกล้าเหรอ”หลายคนคอหด ไผทนั้นดุก็จริง แต่สกลกันต์ก็ใช่ย่อย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น วีรกรรมแกล้งปล่อยหมาพิตบลูไล่คนงานในสวน จนต้องวิ่งหนีกันตับแทบแล่บยังตราตรึงใจอยู่มิรู้ลืม“ว่าไง เงินน่ะจะเอาไหม”วัชรมัยเสนอสิ่งที่เธอไม่ขาด ตอนนี้มีมากกว่าสิบล้านด้วยซ้ำ“พวกผมไม่ทรยศนายหัวหรอก เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะ”หญิงสาวหน้าสลด สมองแล่นเร็วจี๋ คิดจ
“ปราบจะไปหาแม่”ล้อรถเอสยูวีคันโตหยุดกึกลงในทันใด“คุณปราบครับ นิ่ง ๆ ไว้อย่าดิ้น”วิเชียรห้ามลูกเจ้านาย นี่คือเรื่องกังวลที่ทำเขาหน้าเสียในเช้านี้ ด้วยเจอพวกคนงานในป้อมเมื่อคืน เล่าว่าวัชรมัยอยู่ที่นั่นตลอด ตากฝนจนเช้า ลากก็ไม่ยอมไปไหน บอกจะรอเจอสกลกันต์“หะ...เอ้ย!”ไผทสบถ จ้องมองร่างบนถนนซึ่งมอมแมมไม่ต่างจากกองขยะเปียก“พ่อ!”เด็กชายสกลกันต์ร้องลั่น นายหัวเหลือบตาดูลูกน้องคู่ใจ วิเชียรเปิดประตูออก ไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยคนข้างหลังทันที ขาสั้นป้อมวิ่งปร๋อมุ่งไปยังถนน“ทำไมแม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่กลับสวรรค์แล้วใช่ไหม ทำไมแม่ตัวเปียก”วัชรมัยปวดหนึบทั่วศีรษะ ความอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทำให้สติรางเลือน กึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอมาทั้งคืน“ปราบ...”ร่างเล็กนิ่มโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึง จิตใจเด็กอันบริสุทธิ์ไม่ได้รังเกียจสภาพอันอเนจอนาถของมารดาเลย“แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”อ้อมกอดนุ่มอันแสนอบอุ่น กลิ่นกรุ่นนมสดที่แสนคิดถึง วัชรมัยดังคนร่อนเร่ในทะเลทราย เมื่อได้พบโอเอซิส ได้ลิ้มรสน้ำบริสุทธิ์ จึงยากจะห้ามใจไม่ให้ดื่มด่ำมันอีกการได้อยู่กับลูก คือความสุขใจที่ไม่อาจ
ศรัญญาขับรถกระบะตอนครึ่งมายังสวนปาล์ม เมื่อจอดลง ณ บ้านหลังใหญ่ ใบหน้าอวบอิ่มเล็ก ๆ ชะโงกออกจากประตูมาดู“น้าเก๋มาแล้ว”สกลกันต์ทักเสียงแจ๋ว ได้รับหน้าที่จากมารดาให้รอรับเพื่อน“ไงครับ ปราบ”ศรัญญาไม่ได้แปลกที่เด็กน้อยรู้จักเธอ วัชรมัยคงบอกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนต้องการสัมฤทธิผล“ปราบช่วยถือกระเป๋าฮะ”หน้าเงยมองกระบะสูง ศรัญญายกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาตาคมฉ่ำวาว มารดาไม่ได้โกหก เธอจะกลับมาอยู่กับเขาจริง ๆ คนงานในบ้านเมื่อเห็นหญิงสาวก็รีบกระวีกระวาดช่วย“อ่ะ...น้าเอามาฝาก”ศรัญญายื่นขนมจากร้านถุงใหญ่ให้“ขอบคุณครับ”สกลกันต์หน้าบานดีอกดีใจ กระพุ่มมือไหว้อย่างงดงาม“ขอบใจที่เอาของมาให้นะแก”วัชรมัยออกมาพบเพื่อนด้วยชุดแปลกตา สวมเสื้อยืดนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีสันสดใส“เรื่องมันยาว”เธอหลุบหลบสายตา ศรัญญาเห็นนะ แก้มเพื่อนขึ้นสีแดง“มีเวลาฟังทั้งวัน ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่ มีอิสระในการทำงานนะเผื่อแกลืม”ศรัญญายิ้มล้อ วัชรมัยบอกคนรับใช้ในบ้านให้คอยดูแลสกลกันต์ในห้องนั่งเล่นด้วย ส่วนเธอพาเพื่อนไปคุยกันให้ห้องพักแขก“สรุปแกกลับมาเป็นนายหญิงของที่นี่แล้วงั้นสิ”เชฟสาวเลือกนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแ
ร่างขาวอ้อนแอ้นของวัชมัยเปลือยเปล่า ผิวใสกระจ่างต้องแสงหลอดไฟ เปลือกสีมุกครอบคลุมดวงตา ริมฝีปากเม้มเน้น มือแนบลำตัว กำแล้วก็คลาย สะกดกลั้นอาการหวาดหวั่น“ฉันไม่มีรสนิยมทำตัวเป็นโจรขืนใจใคร”เสียงทุ้มปนห้าวของคนร่วมห้องดังก้อง“ไม่ต้องหลับตาฝืนขนาดนั้น”หูได้ยินเขาหัวเราะหึ“ถ้าไม่เต็มใจทำก็ออกไป”ตาโตลืมขึ้นมาโดยพลัน การออกไปหมายถึงเธอต้องห่างจากลูก“พี่ป้องอยากให้มิ้งทำอะไรให้ละคะ”วัชรมัยสบตาคม ทิ้งยางอายไว้เบื้องหลัง“คิดสิว่าอีตัวต้องทำยังไงกับแขก”เกลียดยิ้มแสยะของเขาเหลือเกิน ไผทเมื่อห้าปีก่อน ไม่เคยทำตัวน่าเกลียดอย่างนี้กับเธอ“มิ้ง...ไม่รู้ มิ้ง ไม่เคยเป็นอีตัว”“ฉันไม่เชื่อ เธอหายไปตั้งห้าปี จะไม่มีคนอื่นได้ยังไง”“มิ้งเอาแต่เรียนกับทำงาน”“เหอะ...อ่อนปวกเปียกอย่างเธอน่ะเหรอจะทำงาน”ไผทหรี่ตามองเธอหัวจรดเท้า วัชรมัยไม่มีท่าทางกระฉับกระเฉงแบบคนทำงานเลย เธอตัวบาง ขาวซีดกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเสียอีก“พี่ป้องปากร้ายขึ้นนะคะ”“ฉันต้องร้ายให้สมกับคนเลวอย่างเธอไง”ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าใกล้ รังสีคุกคามแผ่กระทบจนวัชรมัยถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณระวังภัย“จะสงเคราะห์สอนงานอีตัวฝึกหัดให้ก็แล้ว