Share

บทที่ 1 “ปราบไม่กินมะเขือเทศ โตไปไม่หล่อหรอก”

สกลกันต์เล่นก่อกองทรายกับเพื่อนในบ่ออยู่ แม้หลังบ้านจะมีทะเล แต่ใช่ว่าจะได้ไปเล่นบ่อย ๆ ไผทไม่ยอมให้ลูกลงทะเลเด็ดขาดถ้าตนเองไม่ได้ไปด้วย

แล้วนายหัวอย่างเขาก็งานยุ่งเสียด้วย ไม่ค่อยมีเวลาพาลูกไปทะเล สกลกันต์จึงได้แต่เล่นอยู่ภายในบ้านบ้าง ในสวนยาง สวนปาล์มบ้าง

บ่อทรายในโรงเรียนอนุบาลจึงเป็นสถานที่เล่นที่เขาโปรดปรานที่สุด

“เมื่อเช้านี้แม่เราทำเทมปุระบร็อคโคลี่ให้กินด้วยแหละ”

ผู้พูดเป็นเด็กอวบอ้วนตาหยี ข้าง ๆ กันเป็นลูกสมุน อ้วนหนึ่ง ผอมหนึ่ง

“อร่อยมากเลย”

ดีนที่เล่นเอารถตักทรายไม่สนใจ สกลกันต์ได้ยินแต่แกล้งทำเฉย ก่อกองทรายต่อ ขณะเด็กหญิงเกลเลิกคิ้ว

“แล้ว...”

เด็กตาหยียิ้มกว้าง เมื่อสาวที่น่ารักที่สุดในห้องแสดงท่าทีสนใจตน เขากำลังจะกลายเป็นคนเท่ในสายตาเธอแน่ ๆ

“ถ้าวันนี้เกลยอมไปเล่นชิงช้ากับเรา จะให้แม่ทำเทมปุระบร็อคโคลี่ให้ก็ได้”

พ่อบอกว่าจะจีบผู้หญิงต้องมีของล่อใจ เด็กชายได้ยินเกลเล่าเรื่องเจ้าผักเขียวบ่อย แสดงว่าเธอต้องชอบแน่ ๆ

“เราไม่กินของทอดหรอก เดี๋ยวอ้วน”

เกลสะบัดบ๊อบ

“ทำไมล่ะ แม่เราทำอร่อยนะ หรือไม่ชอบบร๊อคโคลี่ทอด จะกินทอดมันกุ้งไหม ขาหมูก็ได้ แม่เราทำอร่อย พ่อกินเยอะทุกวันเลย”

“ยี้! เพราะกินแต่ของแบบนี้ล่ะสิ กัปตันถึงอ้วน”

เด็กชายหน้าแดง เมื่อคนน่ารักหักหน้าเช่นนี้

“อาเราเป็นหมอ บอกว่าอ้วนแล้วโตขึ้นจะไม่หล่อ”

เกลพูดตามประสาเด็ก จำได้แต่อาบอกว่าอ้วนไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าไม่ดียังไง สงสัยจะไม่สวยไม่หล่อละมั้ง

“ไม่จริง พ่อเราหล่อที่สุดในจังหวัด โตขึ้นเราต้องหล่อเหมือนพ่อ”

“พ่อกัปตันหล่อแล้วเหรอ เราว่าพ่อปราบหล่อกว่า”

หวยมาออกที่สกลกันต์ ตาเรียวหยีมองอย่างไม่พอใจ

“ปราบไม่กินมะเขือเทศ โตไปไม่หล่อหรอก”

“เรากินแล้วนะ เมื่อเย็นกินในซุปไก่”

แม้จะกินแค่ครึ่งชิ้นก็ถือว่ากินแล้วละนะ

“โกหก! เมื่อวันก่อนตอนกลางวันมีไข่เจียวมะเขือเทศปราบยังไม่กินเลย”

ลูกคู่อ้วนผอม พยักหน้าเป็นพยาน

“วันก่อนก็วันก่อนสิ ตอนนี้เรากินมะเขือเทศได้แล้วนะ”

สกลกันต์ตาวาว ปกป้องศักดิ์ศรีน้อย ๆ ในวัยสี่ขวบของตน

“โกหก! ขี้โม้! แม่เราบอกว่าเด็กที่ไม่มีแม่ โตไปจะเป็นคนไม่ดี”

แม้ไม่ได้พูดให้ลูกฟังตรง ๆ เป็นเพียงการซุบซิบนินทา แต่เด็กที่เป็นเพียงผ้าขาวก็ไม่อาจกรองคำพูดได้ จึงลากมาฟาดฟันเพื่อนทั้งดุ้น

วัชรมัยแอบทำเนียนเป็นผู้ปกครองมารับลูกกับมุกดาที่เป็นแม่ของดีน ได้ฟังถึงกับอ้าปากค้าง เด็กคนนี้ช่างพูดจาไม่น่ารักเลย

สกลกันต์กัดริมฝีปากแน่น ลุกขึ้นจากบ่อทราย

“หนูพูดไม่เพราะกับเพื่อนเลยนะครับ”

วัชรมัยปราดเข้าขวางเด็กชายตาคม เด็กชายสูงถึงขาอ่อนเธอ แถมยังพยายามหลบเพื่อเตรียมบวกกับเพื่อนเต็มที่

“ก็จริงไหมล่ะ ปราบไม่มีแม่จริง ๆ นี่”

เด็กชายตาหยีล้ออย่างเป็นต่อ

“ถามใคร ๆ ดูก็ได้ ไม่มีใครเคยเห็นแม่ปราบเลย ไม่เคยมารับปราบด้วย”

“ใช่ ๆ”

ลูกคู่ช่วยกันซ้ำเติม วัชรมัยรู้สึกได้ถึงร่างเล็กกำลังตัวสั่น

“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การเอาเรื่องคนอื่นมาล้อต่างหากที่นิสัยไม่ดี พ่อแม่ไม่เคยสอนเหรอ” เด็กชะงัก

“ถ้ายังทำอีก ฉันจะฟ้องครูเธอ”

วัชรมัยเลือกวิธีการลงโทษที่คาดว่าเด็กน่าจะกลัว โดยเดาจากประสบการณ์วัยเด็กของตัวเอง

“จะบอกให้ครูเอาบร๊อคโคลี่สด ๆ ให้กิน”

เจ้าตาหยีสะดุ้งเฮือก ทำหน้าสยอง พอดีกับที่ครูประจำชั้นมาบอกว่าพ่อแม่มารับแล้ว สงครามฟันน้ำนมจึงยุติลง

“เป็นยังไงบ้างครับ หือ”

หญิงสาวหันกลับมา ย่อตัวลงคุยกับสกลกันต์ ริมฝีปากแดงช้ำเพราะการกัด ในตามีน้ำเอ่อ เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายที

“โอ๋ ๆ ปราบไม่ร้องไห้นะ”

เกลตบบ่าปลอบแบบแมน ๆ เกินคาด

“เราไม่ได้จะร้องซะหน่อย”

สกลกันต์โดนจี้ประเด็นอ่อนไหว ถึงเรื่องไม่มีแม่ ทั้งเรื่องไม่กินมะเขือเทศ หัวใจน้อย ๆ ในวัยสี่ขวบบอบช้ำอย่างหนัก

“เดี๋ยวเกลจะถามสูตรเวทมนตร์ทำมะเขือเทศอร่อยจากแม่มาให้นะ ปราบจะได้กินได้”

เด็กหญิงเอื้ออารี

“ไม่เป็นไรนะครับปราบ คนเราก็มีของที่ชอบกับไม่ชอบได้ทั้งนั้นแหละ”

วัชรมัยประคองใบหน้าเล็ก ใช้นิ้วโป้งลูบใต้ตาน้อยที่กำลังบวม ในอกบีบรัดไปหมดเมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังจะมีน้ำตา นี่สินะ ความรู้สึกที่เขาว่ากันว่าลูกเจ็บ แม่เจ็บด้วย

“แล้วน้าเป็นใครคะ ทำไมรู้จักปราบด้วย”

เกลจ้องเธอด้วยสายตาฉลาดเฉลียว ยังไม่ทันเอ่ยแก้ตัว เสียงหนึ่งก็ดังช่วยชีวิต

“นี่น้ามิ้ง เพื่อนน้าเก๋น้องแม่เราไง”

เด็กชายดีนผู้ซึ่งวัชรมัยแนะนำตัวแค่ครั้งเดียว เป็นเจ้าของเสียงนั้น

“น้าเก๋ที่เปิดคาเฟ่สวย ๆ หน้าโรงเรียนใช่ไหมคะ

เกลชอบกินสตรอว์เบอร์รีปั่นมากเลยค่ะ”

เล่าพร้อมทำตาเป็นประกาย

“ไว้เกลไปที่ร้านนั้นน้าจะเลี้ยงสตรอว์เบอร์รีปั่นนะคะ บอกน้าเก๋ให้ลงบัญชีน้าไว้ได้เลย”

เกลยิ้มปากจะฉีกถึงใบหู เพราะแม่บอกน้ำปั่นน้ำตาลเยอะ ไม่ดีกับสุขภาพ นาน ๆ จะให้กินที จู่ ๆ มีคนเลี้ยงของโปรดแบบนี้ เกลถูกใจมาก!

“ปราบละครับ ชอบน้ำปั่นไหม อยากกินอะไรหรือเปล่า มะ...เอ้ย! น้าเลี้ยง”

วัชรมัยแทบกัดลิ้นตัวเอง สัญชาตญาณการเป็นมารดาหรืออย่างไรหนอ ทำให้เธอเกือบเผลอแทนตัวเองว่า...แม่

“ปราบไม่อยากกินน้ำปั่น”

เด็กชายก้มหน้าหงุด บอกเสียงอุบอิบ

“แล้วอยากกินอะไรครับ”

ยิ่งได้อยู่ใกล้ วัชรมัยยิ่งเห็นความน่ารัก แม้ใบหน้าจะเป็นไผทฉบับมินิ แต่แก้มกลมแดงนั้นช่างมันเขี้ยวน่าบีบ ตัวก็หอมกลิ่นนม

“มะเขือเทศ”

“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องฝืนนะครับ”

สกลกันต์นึกชอบเสียงหวานใสของคุณน้าคนสวยของดีน แต่ศักดิ์ศรีสี่ขวบยังค้ำคอ

“ก็...ถ้าแม่ปราบกลับมาจากทำหน้าที่นางฟ้าแล้ว แม่ต้องมีเวทมนตร์เหมือนแม่เกล ทำให้มะเขือเทศอร่อยได้แน่”

กว่าจะได้สติคืนมา ก็ตอนที่มือน้อย ๆ ป้ายน้ำตาที่ไหลพรากอาบแก้มเธอออก

“คุณน้าเป็นอะไรครับ เจ็บเหรอ ปราบโอ๋ ๆ ให้นะ ปราบมีพลาสเตอร์สไปเดอร์แมนด้วย พ่อบอกแปะแล้วความเจ็บจะหายไป”

วัชรมัยกอดเด็กชายจมอกด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา เธอเป็นคนเลวเหลือเกิน ตอนนี้วัชรมัยได้รับผลกรรมแล้ว

เธอจะไม่ทำผิดอีก ขอแค่โอกาส...โอกาสอีกสักครั้ง

“แล้วแกก็เลยมาพังครัวร้านฉัน”

ศรัญญายืนเอียงไหล่พิงวงกบประตู ดูความพังพินาศเละเทะของครัว ขนาดเก็บครัวหลังร้านปิดไปแล้วนะเนี่ย

“ฉันอยากทำมะเขือเทศแบบอร่อย ๆ ให้ลูกกิน ทำตามยูทูปก็แล้วนะแก แต่ออกมาเป็นงี้อ่ะ”

วัชรมัยเอียงหม้อที่มีน้ำสีแดงเละ ๆ ไหม้ติดก้นให้ดู เธอเล่าให้เพื่อนฟังแล้วถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายนี้

“ปรกติถ้าเป็นพวกแซนด์วิชฉันก็ทำกินเองนะ แต่พวกซุปนี่อาศัยกินแบบกระป๋องตลอด คือ...ไม่ค่อยมีเวลาน่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มแหยให้เพื่อน

“แล้วทำไมไม่ทำแซนด์วิชล่ะ ง่ายกว่าเยอะ”

“ฉันว่าเด็กจะชอบกินอะไรที่เป็นน้ำ ๆ มากกว่า อีกอย่างฉันอ่านมามะเขือเทศมีสารไลโคปีน ถ้าถูกทำให้ร้อนมีประโยชน์มากกว่ากินสด”

หลังรับรู้ความต้องการของลูก วัชรมัยรีบไปห้างสรรพสินค้าซื้อหนังสือสูตรอาหารที่เป็นประโยชน์กับเด็กมาหลายเล่ม แวะซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อวัตถุดิบมาลองทำอีก

“โอเค ๆ โจทย์คืออะไรที่เป็นน้ำ ๆ มีมะเขือเทศ มีประโยชน์กับเด็กนะ จะมีวัตถุดิบปริศนาอะไรอีกไหมเนี่ย”

ศรัญญาเปิดดูตู้เย็น สมองวิ่งเร็วจี๋คิดเมนูอาหาร ปานประหนึ่งกำลังแข่งเชฟกระทะเหล็ก

“ต้องสอนทำด้วยนะ ฉันอยากให้ลูกได้กินฝีมือฉัน”

เจ้าของคาเฟ่หยิบวัตถุดิบออกมาสามสี่อย่าง เลือกแบบที่ง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่

“ทำซุปมะเขือเทศใส่ทูน่าก็แล้วกัน”

วัชรมัยคิดถึงตารางสารอาหารขึ้นมาทันใด

“ใส่มักกะโรนีด้วย มีคาร์โบไฮเดรตด้วย จะได้ครบห้าหมู่”

ศรัญญายิ้มขำ เรื่องอาหารห้าหมู่นี่มุกดาพี่สาวเธอมักพูดบ่อย ๆ ตั้งแต่มีลูก หรือแม่ทั้งโลกเป็นกันแบบนี้

“โอเค ! เตรียมใจให้ดี เฮลคิชเช่นจะเริ่มต้น ณ บัดนี้”

เจ้าของคาเฟ่แสร้งทำเสียงทุ้มต่ำ วัชรมัยรับคำด้วยความยินดี

“ได้เลยค่ะเชฟ!”

ในเมื่อมีโอกาสทำเพื่อลูก งานนี้เธอขอสู้ตาย

ซึ่งก็เกือบตายจริง ๆ ศรัญญาเหมือนถูกวิญญาณครูเชฟเข้าสิง สอนวัชรมัยขั้นเบสิคตั้งแต่หั่นหัวหอมใหญ่ หั่นมะเขือเทศ กว่าจะเคี่ยวได้รสที่ต้องการก็เกือบสว่าง

เธอหลับเอาแรงทั้งวันก่อนแพ็คอาหารใส่กล่องไปให้สกลกันต์ในยามบ่าย

“อู๊ว...”

เด็กชายตาโตเมื่อเห็นซุปมะเขือเทศใส่มักกะโรนีสีแดงสวย วัชรมัยทำสลัดปูอัดใส่น้ำสลัดงาญี่ปุ่นมาเพิ่มอานิสงส์จากการเคี่ยวกรำของศรัญญาทั้งนั้น

เธอมีสตรอว์เบอร์รีปั่นมาฝากทั้งเกลและดีนด้วย

“มะเขือเทศอร่อย”

สกลกันต์ตักซุปเข้าปากตุ้ย ๆ ใจคนเป็นแม่พองฟู เมื่อเห็นลูกชายกินอาหารฝีมือตนอย่างเอร็ดอร่อย

“ค่อย ๆ กินนะครับปราบ เดี๋ยวมะ...เอ่อ น้าจะทำมาให้อีก”

มือหยิบทิชชูเช็ดริมฝีปากน้อย ๆ ที่เปื้อนซุป ตั้งใจว่าคืนนี้จะให้ศรัญญาสอนทำอาหารอีก ต่อให้เปิดครัวนรกอีกเป็นสิบคืนเธอก็ไม่หวั่น

“ปราบ”

เสียงทุ้มลึกทำเอาทั้งสกลกันต์และวัชรมัยสะดุ้ง

“พ่อ ปราบเจอมะเขือเทศอร่อยแล้วนะ”

เด็กชายวางช้อนลง ยิ้มแป้นบอกพ่อ

“น้ามิ้งทำให้ปราบกิน”

แม้วัชรมัยจะหันหลังให้เขา เธอยังรู้สึกถึงสายตาอันเย็นเยียบที่ทิ่มแทง หากเป็นมีดของจริง ร่างกายเธอคงพรุน จมกองเลือดตายอนาถ

“มิ้ง...”

ไผทเอ่ยชื่อที่เขาไม่เคยเรียกมานานกว่าห้าปี ชื่อที่เขาอยากจะลืม ฝังมันไว้เสียก้นทะเลลึก

วัชรมัยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ บอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัวเขา เธอไม่เหมือนเมื่อห้าปีก่อนแล้ว

“สวัสดีค่ะนายหัวป้อง”

หญิงสาวค่อย ๆ หันกลับมาหาเขาช้า ๆ ส่งยิ้มสุภาพที่สุดให้ ไผทใบหน้าที่ปรกติดุอยู่แล้ว ยิ่งมืดครึ้ม อุณหภูมิเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากเห็นตัวสูง

ขนาดสกลกันต์ยังรู้สึกกลัวพ่อตนเองจนต้องเบียดหน้ากับต้นแขนเธอ

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน ตามฉันมาเดี๋ยวนี้”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status