กลางดึก ณ ลานหินข้างริมธาร
คณะของโม่คังได้ตั้งกระโจมพัก ชายหนุ่มร่างสูงยืนคู่อยู่กับผู้ติดตามยังโขดหินข้างลำธาร สองมือไขว้หลัง ใบหน้าแหงนมองไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงดาว
“ฝนกำลังจะตก ท่าทางจะหนักเอาการทีเดียว เจ้าช่วยบอกให้ทุกคนเตรียมข้าวของสำคัญเอาไว้ในรถม้าด้วยล่ะ”
“ขอรับ”
“งูอาจเริ่มออกล่าเหยื่อ ระวังหน่อยก็ดี”
“หึ ๆ งูฝูงนี้คงอยากจบชีวิตกระมัง”
“ไม่แน่เสมอไป ข้าแค่คาดเดา บางทีอาจถึงที่หมายของฝูงอสรพิษเสียก่อน และที่พวกมันจะออกมารัดเหยื่อเพื่อกลืนลงท้อง ตอนนี้อาจรอเวลาให้เราหลับใหลอย่างสุขใจไปก่อนก็เป็นได้”
“เช่นนั้น เราก็หลับให้ยาว ๆ เสียหน่อยนะขอรับ ถึงที่หมายแล้วค่อยเผาดงงูเสียเลยทีเดียว”
ชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยอย่างมีความนัยต่อกัน เพราะเวลานี้ ทั้งคู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่มิน้อย เมื่อถัดไป ณ ชั้นตื้น ๆ ของน้ำตก มีร่างขาวโพลนของสตรีกำลังแหวกว่าย หมุนกายไปมาท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากโคมไฟซึ่งวางอยู่บนโขดหินส่องรำไร นางมิเกรงกลัวสิ่งใดเลยหรืออย่างไรกัน ยามนี้ดึกมากแล้ว ซ้ำยังเป็นเวลาที่สัตว์อันตรายหลายชนิดออกหากิน
“มิธรรมดาจริง ๆ”
“ท่านเยว่คังไปพักก่อนจะดีกว่าขอรับ ป่านนี้ นายหญิงคงรออยู่”
เสียงของผู้ติดตามดูจะดังขึ้นกว่าคราแรกหลายเท่าตัว เมื่อเอ่ยถึงหญิงสาวอีกคนที่ร่วมขบวนมาด้วย ตลอดการเดินทาง มีใครบ้างที่จะดูไม่ออกว่า แม่นางอี้เหมยหมายตาผู้นำขบวนอย่างเยว่คังอยู่ หากปล่อยให้นางอยู่ใกล้หรู่อี้มากไป กลัวว่ามารยาสตรีที่อี้เหมยช่ำชองเป็นอย่างมากนั้นจะมีคำพูดที่ทำให้หรู่อี้คลางแคลงใจต่อผู้นำของพวกตนเอาได้
แม้หรู่อี้จะเฉลียวฉลาดในเชิงการต่อสู้มากเพียงใด ทว่า หญิงสาวกลับอ่อนด้อยในเรื่องที่สตรีพึงมีอยู่มาก คงเพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุร้ายกับองค์รัชทายาทและท่านอ๋องน้อย หรู่อี้จำต้องฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก ควบคู่กับการดูแลท่านหญิงอยู่ลับ ๆ ในฐานะสาวใช้ที่มิค่อยได้รับการสนใจมากนักจากผู้เป็นนาย
“นั่นสินะ...ป่านนี้ อี้เอ๋อร์คงรอข้าอยู่ ฝากเจ้าดูแลความเรียบร้อยบริเวณนี้ด้วยก็แล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบ ร่างสูงรีบหมุนกายจากไปในทันที ก่อนที่จะมีสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้น โดยที่เขามิอยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพวกนั้นมากเท่าใดนัก
“ท่านเยว่โปรดวางใจ”
หญิงสาวได้หยุดแหวกว่ายในลำธารในทันใด เมื่อชายที่นางหมายตาได้ก้าวจากไปโดยที่มิเหลียวแลนางแม้แต่หางตา หญิงสาวทำได้เพียงมองตามร่างสูงที่หายลับไปในความมืด เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแห่งบุรุษเพศที่นางปรารถนา ดวงตาคู่งามฉายแววของความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
‘สิ่งใดที่คนเช่นข้าต้องการ ข้าต้องได้’
กำปั้นคู่งามทุบลงยังพื้นน้ำจนแตกกระเซ็นไปทั่วเวิ้งที่นางยืนอยู่ ความขุ่นเคืองภายในใจทำให้อี้เหมยลืมอาการหนาวสะท้านไปจนหมดสิ้น ไม่เคยมีครั้งใดที่บุรุษจะมองข้ามนางเลยสักครา ทว่า เยว่คังผู้นี้และคนของเขากลับเมินเฉยต่อความงามของนาง แต่กลับพากันใส่ใจกับสตรีจืดชืดเช่น
หรู่อี้มากกว่านางที่ดูเย้ายวนกว่าหลายเท่านัก“แม่นาง ข้ามิใช่บ่าวรับใช้ของเจ้า ถึงจะต้องคอยมาเฝ้าดูแล หากอาบน้ำจนหนำใจแล้ว ได้โปรดกลับขึ้นมาได้แล้วกระมัง”
“เจ้า...”
ชายร่างสูงไม่ได้สนใจว่าหญิงสาวจะพอใจเขาหรือไม่ เขาทำเพียงหมุนกายออกจากจุดที่เคยยืนร่วมกับผู้เป็นนาย ทว่าชะงักเท้าหยุดลงเสียก่อน เมื่อรับรู้ได้ว่าหญิงสาวได้ก้าวขึ้นจากน้ำแล้ว
“แม้ข้าจะเป็นบุรุษเต็มตัว แต่ข้ารู้จักดีว่าสิ่งใดมีค่าคู่ควรที่จะเก็บเอาไว้ข้างกายและทะนุถนอมมัน เจ้าเองก็ด้วยนะแม่นาง ที่ควรรักษาสิ่งมีค่าเพื่อสามีในอนาคต มิใช่เที่ยวแจกจ่ายให้แก่สายตาบุรุษอื่นไปทั่ว มันดูจะไม่งามเท่าใดนัก หรือแม่นางเห็นเป็นเช่นไร โปรดชี้แนะผู้โง่เขลาเช่นข้าก็จะเป็นพระคุณยิ่ง”
ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปโดยมิได้หันกลับไปมองคนด้านหลังว่า เวลานี้ นางอยู่ในสภาพใด ซึ่งมิว่านางจะเปล่าเปลือยหรือสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ไม่มีผลสำหรับเขา ซึ่งมิใช่ว่าเขาไม่สนใจในสตรี แต่เพราะรู้ว่าใครที่ควรยุ่งเกี่ยวหรือสมควรหลีกห่าง
อย่างเช่นในตอนนี้ อี้เหมยผู้นี้คือเผือกร้อนที่เขามิควรรับมาไว้ในอุ้งมือ ไม่เช่นนั้นอาจได้รับความเจ็บปวดอันสาหัสจากนางก็เป็นได้
“บังอาจ เจ้ากล้าดียังไง ถึงได้เอ่ยวาจาจาบจ้วงข้าเช่นนี้ หึ ๆ เจ้ามิกลัวหรือว่าข้าจะเรียกผู้อื่นมาร่วมเป็นพยาน ว่าเจ้าได้เห็นในเรือนร่างของข้าจนหมดสิ้นแล้ว สุดท้ายแล้ว เจ้าอาจจำต้องเก็บของไร้ค่าไปเคียงกาย หากข้าเดาไม่ผิดแล้วละก็ ใจลึก ๆ ของเจ้านั้นก็ปรารถนามันอยู่กระมัง”
อี้เหมยมิพูดเปล่า เท้าบางในเสื้อคลุมบางเบาได้เดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม พร้อมทั้งยิ้มยั่วยวนท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟในมือบางของหญิงสาว มือบางอีกข้างที่ยังว่างอยู่วางทาบบนอกแกร่งหนาแน่น ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงต่ำ
หมับ!
มือหนาคว้าจับข้อมือบอบบางเอาไว้ ก่อนที่มันจะเลื่อนต่ำลงไปยังส่วนที่ไม่สมควร น้ำหนักที่จับข้อมือนางมิหนักหรือเบาไป ชายหนุ่มดันมือของหญิงสาวออกให้ห่างกาย ก่อนจะปล่อยออกเสมือนเป็นของร้อน แต่ถึงกระนั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็ไร้ซึ่งความต้องการเฉกเช่นบุรุษโดยทั่วไป
“หึ ๆ หากเป็นข้าก็ยังดีกว่ามิใช่รึ แต่หากเป็น...”
ชายหนุ่มปรายตาไปยังความมืดอีกด้าน พร้อมยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะก้าวจากจุดที่ยืนในคราแรกเพื่อกลับไปยังที่พัก โดยไม่ได้สนใจหญิงสาวที่ยืนถือโคมไฟอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย
หญิงสาวร่างกายยังเปียกชื้นภายใต้เสื้อคลุมตัวบาง หันไปตามทิศทางที่ชายหนุ่มมองก่อนจากไป ใบหน้าภายใต้แสงสลัวของโคมไฟคลี่ยิ้มเย้ายวนก่อนจะเปลื้องชุดคลุมออก รวมทั้งชุดเอี๊ยมด้านในที่เปียกชื้น เผยให้เห็นผิวขาวนวลเนียน ก่อนที่มือบางจะคว้าจับเสื้อผ้าที่แห้งขึ้นมาสวมใส่อย่างเชื่องช้า
‘เป็นท่านใช่หรือไม่ ท่านเยว่ ในที่สุด ท่านก็อดใจไม่ไหวสินะ ถึงได้แสร้งเดินจากไปแล้วย้อนกลับมาหาข้า กายของข้าพร้อมมอบมันแก่ท่านยิ่งนัก’
อี้เหมยคิดว่าบุรุษในความมืดคือชายที่นางหมายปอง นางรู้ว่ามีบุคคลที่สามนับตั้งแต่ก่อนจะก้าวขึ้นจากน้ำแล้ว แค่เพียงมิรู้ว่าเป็นผู้ใดเท่านั้นเอง ทว่าเมื่อชายหนุ่มที่ต่อคำอยู่กับนางเอ่ยอย่างมีความนัยออกมา ก็เดาได้ว่าต้องเป็นคนที่ชายหนุ่มคุ้นเคย คงเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากเยว่คัง ผู้ที่นางหมายตาเอาไว้เท่านั้น
กร๊อบ!
เสียงกิ่งไม้หักจากทางด้านหลัง ทำให้มือบางที่กำลังผูกสายคาดเอวชะงักเล็กน้อย เมื่อคนที่ซ่อนกายอยู่ได้ก้าวออกมาแล้ว
“แม่นางอี้เหมย”
ขวับ!
ใบหน้าหวานพลันซีดเผือดลงในทันทีเมื่อเห็นคนที่ก้าวออกมา แม้จะมีแสงเพียงแค่สลัว ๆ ทว่า นางก็เห็นชัดว่าคือใคร
“จะ...เจ้า กรี๊ดดดด ไม่จริง!”
เสียงกรีดร้องของอี้เหมยทำให้หรู่อี้ที่เพิ่งเอนกายลงนอนลุกพรวดขึ้นทันที มือบางคว้าอาวุธคู่กายหมายจะออกไปหาสตรีอีกคนของคณะเดินทาง
หมับ!
“นอน! อี้เอ๋อร์ อย่าใส่ใจผู้ที่คิดร้ายต่อเจ้าให้มากนัก นางมิใช่สตรีไร้สามารถ”
“ข้ามิได้โง่งมจนมิรู้สิ่งใด ท่านเยว่ แต่นางอาจกำลังลำบากจริงนะเจ้าคะ”
“ฮึ! ลำบากเช่นนั้นรึ เด็กโง่ เจ้ามิรู้จักโตเอาเสียเลย เชื่อข้าเถอะว่านางปลอดภัยดี แค่นางคงกำลังผิดหวังเท่านั้นเอง นอน...นี่คือคำสั่ง เข้าใจรึไม่ หืม!”
มือหนากดไหล่บางให้เอนกายลงบนผ้ารองนอนเช่นเดิม หญิงสาวจำต้องทำตามชายหนุ่ม ด้วยผู้เป็นนายหญิงได้กำชับมาหลายหนว่าให้เชื่อฟังผู้นำคณะเดินทางในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด นางเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ท่านหญิงมอบหมายมาย่อมมีความสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
โม่คังมองเลยผ่านกองไฟลุกโชน ไปยังร่างสูงที่กำลังหย่อนกายลงนั่งยังอีกด้านของกองไฟ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆโม่คังเอนหันกลับไปยังหรู่อี้ที่นอนหลับตานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละมุน เขารู้ดีว่านางยังไม่ได้หลับอย่างที่ตาเห็น มือหนาเอื้อมไปขยับผ้าคลุมขนสัตว์ผืนใหญ่จนชิดคอของหญิงสาวทุกการกระทำช่างอ่อนโยนต่อสายตาของทุกคนเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มาใหม่อย่างอี้เหมยหญิงสาวมองการกระทำของชายที่นางหมายปองด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังรถม้าอันเป็นที่พักของนาง ซึ่งเยว่คังเป็นผู้จัดการให้โดยมิยอมให้นางพักรวมกับหญิงสาวอีกคน“กลับมาแล้วรึ อี้เหมย ลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก ไยทำอะไรตามใจเช่นนี้”“อย่าบังอาจมาตำหนิข้า จัดการแม่นกน้อยนั่นเสีย ข้ามิอยากเห็นมันอีก”อี้เหมยขยับเข้าใกล้ชายสูงวัย ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินกันเพียงสองคน แล้วก้าวขึ้นไปภายในรถม้า โดยไม่คิดเหลียวมองว่าคนที่รับคำสั่งจะรู้สึกเช่นไรหรือเต็มใจรึไม่ สำหรับนาง ทุกอย่างห้ามมีคำว่า ‘ไม่!’ต้วนลี่ทำเพียงมองตามหลังผู้เป็นนายหญิง ก่อนจะหันไปยังทิศทางของเป้าหมาย หญิงสาวผู้มีนามว่าหรู่อี้ถูกล้อมรอบไปด้วยบุรุษทั้งคณะเช่นนี้ เขาจะทำอ
โม่คังเอ่ยออกมาทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มมองของที่อยู่ในมืออีกข้าง ส่วนข้างที่ถือดาบอยู่ชี้ตรงไปยังคนร้ายที่ลอบโจมตีโดยหวังมิให้เขาได้ทันตั้งตัวชายในชุดดำถึงกับผงะถอยหลัง ด้วยเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้‘มิธรรมดาจริง ๆ สมกับเป็นคนของสกุลโม่’ จากชายชุดดำหนึ่งคนบัดนี้ กลับเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน โม่คังถอนหายใจเล็กน้อย ในเมื่อเวลานี้ด้านหน้าคือศัตรู ด้านหลังคือน้ำตก ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือสู้มิอาจถอย และที่สำคัญไปกว่านั้น คือตัวเขากำลังถูกเอาเปรียบจากศัตรูในเรื่องจำนวนคนหากสงครามครั้งนี้เขารอดไปได้ เขาจะพาหรู่อี้ไปอยู่บนเขา ใช้ชีวิตท่ามกลางความเงียบสงบห่างไกลวังหลวง เมื่อมีลูก เขาจะมิยอมให้มาใกล้อำนาจแห่งการนองเลือดแบบนี้เป็นอันขาด‘หวังว่าข้าจะทำได้อย่างที่คิดนะ เฮ้อ!’ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกจากทั้งสองฝ่าย ทว่าต่างพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว โม่คังรู้ตัวดีว่าเขากำลังตกเป็นรอง แต่จะให้ดึงคนพวกนี้เข้าไปในคณะเดินทางนั้น มันไม่เคยมีในหัวสมองของเขาเลยแม้แต่น้อยโม่คังถอยร่นไปอีกฟากของที่พักเพื่อนำพาศัตรูไปยังทุ่งหญ้ากว้างแทน หากต่อสู้ในที่แคบจะเป็นการเพิ่มความเสียเปรียบให้แก่ตัวเขาเองม
“ขอบพระคุณขอรับคุณหนู เช่นนั้น เรารีบกันเถอะนะขอรับ”“ช้าก่อน นายหญิงให้ข้าไปแทนเถอะนะขอรับ ฝนกำลังลงเม็ดเช่นนี้ ต่อให้มิแรงมากนัก ทว่าอาจทำให้นายหญิงล้มป่วยลงได้ ข้าเป็นชาวไร่ชาวนาที่ผ่านแดดฝนมามาก ร่างกายข้ามิเป็นอันใดง่าย ๆ แน่นอนขอรับ”ชายหนุ่มที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาซึ่งขอติดตามคณะเข้าสู่เมืองหลวงด้วย ได้ก้าวเข้ามาขวางทางคนทั้งคู่เอาไว้ก่อนที่หรู่อี้และต้วนลี่จะก้าวออกจากที่พัก“เรื่องนั้น ข้าไม่เถียงท่านหรอกนะ แต่พี่อี้เหมยเป็นสตรี จะให้บุรุษที่มิใช่สามีเข้าไปพบนาง มันดูจะมิเหมาะเอาได้” หญิงสาวแย้งชายหนุ่มขึ้นอย่างมีเหตุผล“เรื่องนั้น ข้าทราบดีขอรับ แต่ท่านลุงต้วนก็อยู่ด้วยทั้งคน อีกอย่าง ข้ามีความสามารถในการตรวจชีพจรอยู่มากทีเดียว เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะนะขอรับ”“นายหญิงไม่ควรขัดคำสั่งนายท่านนะขอรับ ถึงอย่างไร นายหญิงก็มอบยาให้แก่เขาไปแล้ว ก็ถือว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ข้าว่านายหญิงกลับมานอนต่อเถอะขอรับ ข้าไม่อยากเตือนท่านซ้ำ ๆ นะขอรับ”ผู้ติดตามที่มีอำนาจรองจากเยว่คังเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าจริงจังอยู่ในที ทำให้หรู่อี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่อหน้าชาวบ้านที่ติดต
ภายใต้สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างมิขาดสาย จากชายชาวบ้านธรรมดาในคราแรก บัดนี้ ร่างกายกำยำได้เผยให้เห็นเมื่อถูกสายฝนกระทบร่างจนเปียกโชก เชือกที่ผูกรั้งชุดถูกคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนเขามิได้เร่งรีบกับการรับมือต้วนลี่เลยสักนิดเดียว เจี่ยเต๋าทำเพียงคอยหลบหลีกเท่านั้นเองโดยยังไม่คิดที่จะตอบโต้อีกฝ่าย“เจ้าคิดจะดูถูกข้าเช่นนั้นรึ หึ ๆ เด็กแรกเกิดเช่นเจ้าอย่าหมายจะตีเสมอข้าจะดีกว่า”“ฮา ๆ ท่านลุง ยังดีที่ข้าเป็นเพียงเด็กแรกเกิด ยังมีโอกาสเติบโต ทว่าช่างต่างกับท่านนัก ที่ใกล้ลงหลุมในเร็ววันแต่มิเจียมสังขาร”“ปากกล้านัก ตายซะเถอะ”“ข้าพร้อมส่งท่านลุงลงหลุมแล้วเช่นกัน หึ ๆ”ขวับ! เสียงเชือกแหวกสายฝนเข้าปะทะร่างของต้วนลี่“อึก!”ร่างสูงของต้วนลี่ที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าที่ทุกคนเห็นถึงกับเซถอยหลังไปไกลหลายก้าว ทั้งที่เขาถูกเพียงปลายเชือกเท่านั้นแท้ ๆ‘ไยถึงมีพลังมหาศาลได้ถึงเพียงนี้กัน’ต้วนลี่ทำได้เพียงเก็บงำความคิดเอาไว้ในใจ เขาผ่านการสังหารผู้คนมามิน้อย ฝีมือของเจี่ยเต๋ามิได้ทำให้เขากลายเป็นผู้พ่ายได้แน่นอนการต่อสู้ท่ามกลางสายฝนเป็นไปอย่างดุเดือด ทว่ากลับมิได้ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังเข้าสู่ห้วงการหล
ภายใต้สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างมิขาดสาย จากชายชาวบ้านธรรมดาในคราแรก บัดนี้ ร่างกายกำยำได้เผยให้เห็นเมื่อถูกสายฝนกระทบร่างจนเปียกโชก เชือกที่ผูกรั้งชุดถูกคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนเขามิได้เร่งรีบกับการรับมือต้วนลี่เลยสักนิดเดียว เจี่ยเต๋าทำเพียงคอยหลบหลีกเท่านั้นเองโดยยังไม่คิดที่จะตอบโต้อีกฝ่าย“เจ้าคิดจะดูถูกข้าเช่นนั้นรึ หึ ๆ เด็กแรกเกิดเช่นเจ้าอย่าหมายจะตีเสมอข้าจะดีกว่า”“ฮา ๆ ท่านลุง ยังดีที่ข้าเป็นเพียงเด็กแรกเกิด ยังมีโอกาสเติบโต ทว่าช่างต่างกับท่านนัก ที่ใกล้ลงหลุมในเร็ววันแต่มิเจียมสังขาร”“ปากกล้านัก ตายซะเถอะ”“ข้าพร้อมส่งท่านลุงลงหลุมแล้วเช่นกัน หึ ๆ”ขวับ! เสียงเชือกแหวกสายฝนเข้าปะทะร่างของต้วนลี่“อึก!”ร่างสูงของต้วนลี่ที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าที่ทุกคนเห็นถึงกับเซถอยหลังไปไกลหลายก้าว ทั้งที่เขาถูกเพียงปลายเชือกเท่านั้นแท้ ๆ‘ไยถึงมีพลังมหาศาลได้ถึงเพียงนี้กัน’ต้วนลี่ทำได้เพียงเก็บงำความคิดเอาไว้ในใจ เขาผ่านการสังหารผู้คนมามิน้อย ฝีมือของเจี่ยเต๋ามิได้ทำให้เขากลายเป็นผู้พ่ายได้แน่นอนการต่อสู้ท่ามกลางสายฝนเป็นไปอย่างดุเดือด ทว่ากลับมิได้ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังเข้าสู่ห้วงการหล
“ขอบพระคุณขอรับคุณหนู เช่นนั้น เรารีบกันเถอะนะขอรับ”“ช้าก่อน นายหญิงให้ข้าไปแทนเถอะนะขอรับ ฝนกำลังลงเม็ดเช่นนี้ ต่อให้มิแรงมากนัก ทว่าอาจทำให้นายหญิงล้มป่วยลงได้ ข้าเป็นชาวไร่ชาวนาที่ผ่านแดดฝนมามาก ร่างกายข้ามิเป็นอันใดง่าย ๆ แน่นอนขอรับ”ชายหนุ่มที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาซึ่งขอติดตามคณะเข้าสู่เมืองหลวงด้วย ได้ก้าวเข้ามาขวางทางคนทั้งคู่เอาไว้ก่อนที่หรู่อี้และต้วนลี่จะก้าวออกจากที่พัก“เรื่องนั้น ข้าไม่เถียงท่านหรอกนะ แต่พี่อี้เหมยเป็นสตรี จะให้บุรุษที่มิใช่สามีเข้าไปพบนาง มันดูจะมิเหมาะเอาได้” หญิงสาวแย้งชายหนุ่มขึ้นอย่างมีเหตุผล“เรื่องนั้น ข้าทราบดีขอรับ แต่ท่านลุงต้วนก็อยู่ด้วยทั้งคน อีกอย่าง ข้ามีความสามารถในการตรวจชีพจรอยู่มากทีเดียว เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะนะขอรับ”“นายหญิงไม่ควรขัดคำสั่งนายท่านนะขอรับ ถึงอย่างไร นายหญิงก็มอบยาให้แก่เขาไปแล้ว ก็ถือว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ข้าว่านายหญิงกลับมานอนต่อเถอะขอรับ ข้าไม่อยากเตือนท่านซ้ำ ๆ นะขอรับ”ผู้ติดตามที่มีอำนาจรองจากเยว่คังเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าจริงจังอยู่ในที ทำให้หรู่อี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่อหน้าชาวบ้านที่ติดต
โม่คังเอ่ยออกมาทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มมองของที่อยู่ในมืออีกข้าง ส่วนข้างที่ถือดาบอยู่ชี้ตรงไปยังคนร้ายที่ลอบโจมตีโดยหวังมิให้เขาได้ทันตั้งตัวชายในชุดดำถึงกับผงะถอยหลัง ด้วยเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้‘มิธรรมดาจริง ๆ สมกับเป็นคนของสกุลโม่’ จากชายชุดดำหนึ่งคนบัดนี้ กลับเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน โม่คังถอนหายใจเล็กน้อย ในเมื่อเวลานี้ด้านหน้าคือศัตรู ด้านหลังคือน้ำตก ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือสู้มิอาจถอย และที่สำคัญไปกว่านั้น คือตัวเขากำลังถูกเอาเปรียบจากศัตรูในเรื่องจำนวนคนหากสงครามครั้งนี้เขารอดไปได้ เขาจะพาหรู่อี้ไปอยู่บนเขา ใช้ชีวิตท่ามกลางความเงียบสงบห่างไกลวังหลวง เมื่อมีลูก เขาจะมิยอมให้มาใกล้อำนาจแห่งการนองเลือดแบบนี้เป็นอันขาด‘หวังว่าข้าจะทำได้อย่างที่คิดนะ เฮ้อ!’ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกจากทั้งสองฝ่าย ทว่าต่างพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว โม่คังรู้ตัวดีว่าเขากำลังตกเป็นรอง แต่จะให้ดึงคนพวกนี้เข้าไปในคณะเดินทางนั้น มันไม่เคยมีในหัวสมองของเขาเลยแม้แต่น้อยโม่คังถอยร่นไปอีกฟากของที่พักเพื่อนำพาศัตรูไปยังทุ่งหญ้ากว้างแทน หากต่อสู้ในที่แคบจะเป็นการเพิ่มความเสียเปรียบให้แก่ตัวเขาเองม
โม่คังมองเลยผ่านกองไฟลุกโชน ไปยังร่างสูงที่กำลังหย่อนกายลงนั่งยังอีกด้านของกองไฟ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆโม่คังเอนหันกลับไปยังหรู่อี้ที่นอนหลับตานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละมุน เขารู้ดีว่านางยังไม่ได้หลับอย่างที่ตาเห็น มือหนาเอื้อมไปขยับผ้าคลุมขนสัตว์ผืนใหญ่จนชิดคอของหญิงสาวทุกการกระทำช่างอ่อนโยนต่อสายตาของทุกคนเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มาใหม่อย่างอี้เหมยหญิงสาวมองการกระทำของชายที่นางหมายปองด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังรถม้าอันเป็นที่พักของนาง ซึ่งเยว่คังเป็นผู้จัดการให้โดยมิยอมให้นางพักรวมกับหญิงสาวอีกคน“กลับมาแล้วรึ อี้เหมย ลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก ไยทำอะไรตามใจเช่นนี้”“อย่าบังอาจมาตำหนิข้า จัดการแม่นกน้อยนั่นเสีย ข้ามิอยากเห็นมันอีก”อี้เหมยขยับเข้าใกล้ชายสูงวัย ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินกันเพียงสองคน แล้วก้าวขึ้นไปภายในรถม้า โดยไม่คิดเหลียวมองว่าคนที่รับคำสั่งจะรู้สึกเช่นไรหรือเต็มใจรึไม่ สำหรับนาง ทุกอย่างห้ามมีคำว่า ‘ไม่!’ต้วนลี่ทำเพียงมองตามหลังผู้เป็นนายหญิง ก่อนจะหันไปยังทิศทางของเป้าหมาย หญิงสาวผู้มีนามว่าหรู่อี้ถูกล้อมรอบไปด้วยบุรุษทั้งคณะเช่นนี้ เขาจะทำอ
กลางดึก ณ ลานหินข้างริมธารคณะของโม่คังได้ตั้งกระโจมพัก ชายหนุ่มร่างสูงยืนคู่อยู่กับผู้ติดตามยังโขดหินข้างลำธาร สองมือไขว้หลัง ใบหน้าแหงนมองไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงดาว“ฝนกำลังจะตก ท่าทางจะหนักเอาการทีเดียว เจ้าช่วยบอกให้ทุกคนเตรียมข้าวของสำคัญเอาไว้ในรถม้าด้วยล่ะ”“ขอรับ”“งูอาจเริ่มออกล่าเหยื่อ ระวังหน่อยก็ดี”“หึ ๆ งูฝูงนี้คงอยากจบชีวิตกระมัง”“ไม่แน่เสมอไป ข้าแค่คาดเดา บางทีอาจถึงที่หมายของฝูงอสรพิษเสียก่อน และที่พวกมันจะออกมารัดเหยื่อเพื่อกลืนลงท้อง ตอนนี้อาจรอเวลาให้เราหลับใหลอย่างสุขใจไปก่อนก็เป็นได้”“เช่นนั้น เราก็หลับให้ยาว ๆ เสียหน่อยนะขอรับ ถึงที่หมายแล้วค่อยเผาดงงูเสียเลยทีเดียว”ชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยอย่างมีความนัยต่อกัน เพราะเวลานี้ ทั้งคู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่มิน้อย เมื่อถัดไป ณ ชั้นตื้น ๆ ของน้ำตก มีร่างขาวโพลนของสตรีกำลังแหวกว่าย หมุนกายไปมาท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากโคมไฟซึ่งวางอยู่บนโขดหินส่องรำไร นางมิเกรงกลัวสิ่งใดเลยหรืออย่างไรกัน ยามนี้ดึกมากแล้ว ซ้ำยังเป็นเวลาที่สัตว์อันตรายหลายชนิดออกหากิน“มิธรรมดาจริง ๆ”“ท่านเยว่คังไปพักก่อนจะดีกว่าขอรับ ป่านนี้ นาย