โม่คังมองเลยผ่านกองไฟลุกโชน ไปยังร่างสูงที่กำลังหย่อนกายลงนั่งยังอีกด้านของกองไฟ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ
โม่คังเอนหันกลับไปยังหรู่อี้ที่นอนหลับตานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละมุน เขารู้ดีว่านางยังไม่ได้หลับอย่างที่ตาเห็น มือหนาเอื้อมไปขยับผ้าคลุมขนสัตว์ผืนใหญ่จนชิดคอของหญิงสาว
ทุกการกระทำช่างอ่อนโยนต่อสายตาของทุกคนเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มาใหม่อย่างอี้เหมย
หญิงสาวมองการกระทำของชายที่นางหมายปองด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังรถม้าอันเป็นที่พักของนาง ซึ่งเยว่คังเป็นผู้จัดการให้โดยมิยอมให้นางพักรวมกับหญิงสาวอีกคน
“กลับมาแล้วรึ อี้เหมย ลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก ไยทำอะไรตามใจเช่นนี้”
“อย่าบังอาจมาตำหนิข้า จัดการแม่นกน้อยนั่นเสีย ข้ามิอยากเห็นมันอีก”
อี้เหมยขยับเข้าใกล้ชายสูงวัย ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินกันเพียงสองคน แล้วก้าวขึ้นไปภายในรถม้า โดยไม่คิดเหลียวมองว่าคนที่รับคำสั่งจะรู้สึกเช่นไรหรือเต็มใจรึไม่ สำหรับนาง ทุกอย่างห้ามมีคำว่า ‘ไม่!’
ต้วนลี่ทำเพียงมองตามหลังผู้เป็นนายหญิง ก่อนจะหันไปยังทิศทางของเป้าหมาย หญิงสาวผู้มีนามว่าหรู่อี้ถูกล้อมรอบไปด้วยบุรุษทั้งคณะเช่นนี้ เขาจะทำอย่างไร นางถึงจะอยู่เพียงลำพังได้เล่า
‘ไยนางช่างเหมือนมารดาของนางถึงเพียงนี้กันนะ’
ชายสูงวัยทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะก้าวไปยังผ้าที่ปูเอาไว้ข้างรถม้าเพื่อหลับพักผ่อน
โม่คังแสร้งไม่เห็นการกระทำของสองลุงหลาน เขาทำเพียงเอนกายลงข้างหรู่อี้ โดยใช้แขนทั้งสองข้างประสานกันใต้ท้ายทอย ก่อนจะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
สำหรับเขาแล้วมิจำเป็นต้องนั่งถ่างตาเฝ้ายาม เพราะต่อให้เขาหลับตาอยู่เช่นนี้ก็สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวรอบกายได้เป็นอย่างดี
เสียงสัตว์ป่าหรือแม้แต่จิ้งหรีดพลันเงียบเสียงลง
กร๊อบ!
เสียงของใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้ตัวเขาและหญิงสาว ทว่า โม่คังยังคงนอนหลับตานิ่งมิไหวติง เขารู้แล้วว่าคือผู้ใด
“ท่านเยว่ มีการเคลื่อนไหวขอรับ”
“งูออกหากินรึ หรือว่าเป็นพวกหมาในกัน”
“ทั้งสองอย่างขอรับ”
ชายหนุ่มพูดไป มือก็ผูกเชือกกับต้นไม้เพื่อกางผ้าใบกันฝนให้แก่โม่คังและหรู่อี้ เสียงพูดคุยภายใต้ความเงียบ จำต้องควบคุมเอาไว้ให้ดี มิเช่นนั้น ผู้ที่คอยสอดแนมคงจะรู้ความนัยจนหมดสิ้นเป็นแน่
โม่คังดีดตัวลุกขึ้นในสภาพงัวเงีย ก่อนจะไปช่วยผู้ติดตามขึงผ้าใบกันฝน โดยก่อนที่จะลุกขึ้นมา เขาได้เอ่ยกำชับคนที่แสร้งหลับว่าห้ามลุกขึ้นมาเป็นอันขาด ดูจากการเคลื่อนไหวรอบที่พัก ต้องเป็นมืออาชีพอย่างแน่นอน เพราะการที่ไม่บุกเข้ามาแต่พยายามหลอกล่อพวกเขาออกไปแทน นั่นหมายความว่า คนพวกนี้ทำการประเมินฝีมือพวกเขามาแล้วเช่นกัน
“ข้าปวดท้อง ขอออกไปปลดทุกข์สักครู่ก็แล้วกัน ฝากเจ้าเตือนทุกคนให้ระวังฝนเอาไว้ด้วย บรรยากาศเช่นนี้คงมิถึงรุ่งสาง ฝนต้องเทลงมาอย่างหนักเป็นแน่”
“ขอรับท่านเยว่ รอสักครู่ก่อนนะขอรับ”
ชายหนุ่มรีบวิ่งไปคว้าคบไฟจ่อไปยังกองเพลิง ก่อนจะนำกลับมาให้ผู้นำของตนติดตัวไปยังนอกที่พัก เพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างที่ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นนั้น
โม่คังถือคบเพลิงเอาไว้ในมือ ในขณะที่ก้าวผ่านผู้ติดตามไปนั้น ชายหนุ่มได้เอ่ยบอกบางอย่างแก่คนของตน ไม่มีคำพูดใด ๆ ให้มากความสำหรับพวกเขา เพราะเพียงสบตาก็รู้ว่าต้องทำสิ่งใดกันบ้าง
บริเวณน้ำตก
ซ่า!
เสียงน้ำตกไหลกระทบโขดหิน ร่างสูงยืนนิ่งอยู่กับที่ หลังจากได้นำคบไฟปักไว้ยังพื้นดินห่างไปมิไกลนัก การรอคอยของโม่คังดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อมีเสียงของการเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง
รอยยิ้มมุมปากค่อย ๆ คลี่ออกทีละน้อย ฝนก็ใกล้จะตก นักฆ่าที่หมายเอาชีวิตก็ดูเหมือนจะมิยอมเลิกรา เขายังไม่อยากรีบร้อนแหวกหญ้าให้งูตัวอ้วนตื่นจากการจำศีล เขาต้องการเลี้ยงมันไปจนกว่าจะถึงที่หมาย ฉะนั้น บรรดาเหลือบไรพวกนี้ เขาจำต้องกำจัดออกไปให้หมดเสียก่อน
“ใจกล้ายิ่งนักคุณชาย สมกับเป็นที่วางใจของคนสกุลโม่ กล้าที่จะออกมาเพียงลำพัง หึ ๆ”
“ข้าแค่ออกมาสูดอากาศยามดึกเท่านั้น อ๊ะ! ว่าแต่พวกท่านเล่าเป็นใครกันถึงมาพบข้ายามวิกาลเช่นนี้ หากจะปล้นตัวข้า ก็ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะข้ามิได้พกสิ่งของมีค่าติดตัวมาเลย จะมีก็แต่เพียง…เอ่อ…สิ่งสำคัญที่ติดกายข้ามาแต่กำเนิดเท่านั้น แน่นอน สำหรับบุรุษทุกคนแล้วมันมีค่ายิ่งนัก”
โม่คังหันหน้ากับไปยังทิศทางของเสียง พร้อมทั้งแสร้งถามอีกฝ่ายออกไปด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่ทว่ากลับไม่ได้รับเสียงหัวเราะหรือปฏิกิริยาใด ๆ จากคนในเงามืด
‘ข้าคิดไปเองใช่หรือไม่ ว่ามันไม่ตลกเอาเสียเลย’
“อย่ามามัวเล่นลิ้นให้เสียเวลาเลยคุณชายเยว่ ข้ามิสนว่าเจ้าจะเป็นใคร และสิ่งล้ำค่าอันใดที่เจ้าหวงแหนนั่นด้วย เพราะมันไม่ได้จำเป็นต่อภารกิจของพวกข้า ซึ่งข้าไม่ชอบที่จะต้องมาเสียเวลาพูดคุยให้มากความกับคนเช่นเจ้า”
“แล้วที่อ้าปากพ่นลมอยู่นี่...เขามิเรียกว่าพูดคุยรึ ข้าเองก็สงสัยอยู่ว่า คนเช่นข้ามันเป็นอย่างไรรึ นี่! ข้าก็ไม่ค่อยรู้ด้วยสิว่าตัวข้าเป็นเช่นไร”
โม่คังยังคงเอ่ยยั่วเย้าแขกผู้มาเยือนอย่างรื่นเริง ในเมื่ออีกฝ่ายทำให้เขาเสียเวลารอ เขาก็จะเมตตาให้พวกมันมีลมหายใจต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป
“จะ…เจ้า ช่างมิรู้จักอะไรเอาเสียเลย กำลังจะตายยังจะมายอกย้อนข้าอยู่อีก”
ชายชุดดำมิรู้จะสรรหาคำใดมากล่าวกับชายหนุ่มตรงหน้าดี ด้วยทุกคำนั้นนอกจากจะยอกย้อนแล้วยังแอบแฝงไปด้วยคำยั่วยุ
“แล้วอย่างไร ก็ข้าพอใจจะพูด หากเจ้ามิพอใจ อยากกลับเมืองหลวงถวายฎีกาต่อฮ่องเต้เลยก็ย่อมได้ ว่าพ่อค้าบ้านนอกเช่นข้าปากดีกับนักฆ่าสวะของแผ่นดินเช่นเจ้า”
โม่คังไม่ได้สนใจคนที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา นอกจากส่งเสียงโต้ตอบกับเขาเท่านั้น ชายหนุ่มยกถุงหอมของหรู่อี้ขึ้นมาสูดดมด้วยพึงพอใจ
เคล้ง!
เสียงดาบกระทบกันจนเกิดประกายไฟแปลบปลาบออกมา เมื่อถูกจู่โจมจากด้านข้าง
“อย่าทำตัวเยี่ยงสุนัขต่อหน้าข้า”
โม่คังเอ่ยออกมาทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มมองของที่อยู่ในมืออีกข้าง ส่วนข้างที่ถือดาบอยู่ชี้ตรงไปยังคนร้ายที่ลอบโจมตีโดยหวังมิให้เขาได้ทันตั้งตัวชายในชุดดำถึงกับผงะถอยหลัง ด้วยเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้‘มิธรรมดาจริง ๆ สมกับเป็นคนของสกุลโม่’ จากชายชุดดำหนึ่งคนบัดนี้ กลับเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน โม่คังถอนหายใจเล็กน้อย ในเมื่อเวลานี้ด้านหน้าคือศัตรู ด้านหลังคือน้ำตก ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือสู้มิอาจถอย และที่สำคัญไปกว่านั้น คือตัวเขากำลังถูกเอาเปรียบจากศัตรูในเรื่องจำนวนคนหากสงครามครั้งนี้เขารอดไปได้ เขาจะพาหรู่อี้ไปอยู่บนเขา ใช้ชีวิตท่ามกลางความเงียบสงบห่างไกลวังหลวง เมื่อมีลูก เขาจะมิยอมให้มาใกล้อำนาจแห่งการนองเลือดแบบนี้เป็นอันขาด‘หวังว่าข้าจะทำได้อย่างที่คิดนะ เฮ้อ!’ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกจากทั้งสองฝ่าย ทว่าต่างพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว โม่คังรู้ตัวดีว่าเขากำลังตกเป็นรอง แต่จะให้ดึงคนพวกนี้เข้าไปในคณะเดินทางนั้น มันไม่เคยมีในหัวสมองของเขาเลยแม้แต่น้อยโม่คังถอยร่นไปอีกฟากของที่พักเพื่อนำพาศัตรูไปยังทุ่งหญ้ากว้างแทน หากต่อสู้ในที่แคบจะเป็นการเพิ่มความเสียเปรียบให้แก่ตัวเขาเองม
“ขอบพระคุณขอรับคุณหนู เช่นนั้น เรารีบกันเถอะนะขอรับ”“ช้าก่อน นายหญิงให้ข้าไปแทนเถอะนะขอรับ ฝนกำลังลงเม็ดเช่นนี้ ต่อให้มิแรงมากนัก ทว่าอาจทำให้นายหญิงล้มป่วยลงได้ ข้าเป็นชาวไร่ชาวนาที่ผ่านแดดฝนมามาก ร่างกายข้ามิเป็นอันใดง่าย ๆ แน่นอนขอรับ”ชายหนุ่มที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาซึ่งขอติดตามคณะเข้าสู่เมืองหลวงด้วย ได้ก้าวเข้ามาขวางทางคนทั้งคู่เอาไว้ก่อนที่หรู่อี้และต้วนลี่จะก้าวออกจากที่พัก“เรื่องนั้น ข้าไม่เถียงท่านหรอกนะ แต่พี่อี้เหมยเป็นสตรี จะให้บุรุษที่มิใช่สามีเข้าไปพบนาง มันดูจะมิเหมาะเอาได้” หญิงสาวแย้งชายหนุ่มขึ้นอย่างมีเหตุผล“เรื่องนั้น ข้าทราบดีขอรับ แต่ท่านลุงต้วนก็อยู่ด้วยทั้งคน อีกอย่าง ข้ามีความสามารถในการตรวจชีพจรอยู่มากทีเดียว เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะนะขอรับ”“นายหญิงไม่ควรขัดคำสั่งนายท่านนะขอรับ ถึงอย่างไร นายหญิงก็มอบยาให้แก่เขาไปแล้ว ก็ถือว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ข้าว่านายหญิงกลับมานอนต่อเถอะขอรับ ข้าไม่อยากเตือนท่านซ้ำ ๆ นะขอรับ”ผู้ติดตามที่มีอำนาจรองจากเยว่คังเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าจริงจังอยู่ในที ทำให้หรู่อี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่อหน้าชาวบ้านที่ติดต
ภายใต้สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างมิขาดสาย จากชายชาวบ้านธรรมดาในคราแรก บัดนี้ ร่างกายกำยำได้เผยให้เห็นเมื่อถูกสายฝนกระทบร่างจนเปียกโชก เชือกที่ผูกรั้งชุดถูกคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนเขามิได้เร่งรีบกับการรับมือต้วนลี่เลยสักนิดเดียว เจี่ยเต๋าทำเพียงคอยหลบหลีกเท่านั้นเองโดยยังไม่คิดที่จะตอบโต้อีกฝ่าย“เจ้าคิดจะดูถูกข้าเช่นนั้นรึ หึ ๆ เด็กแรกเกิดเช่นเจ้าอย่าหมายจะตีเสมอข้าจะดีกว่า”“ฮา ๆ ท่านลุง ยังดีที่ข้าเป็นเพียงเด็กแรกเกิด ยังมีโอกาสเติบโต ทว่าช่างต่างกับท่านนัก ที่ใกล้ลงหลุมในเร็ววันแต่มิเจียมสังขาร”“ปากกล้านัก ตายซะเถอะ”“ข้าพร้อมส่งท่านลุงลงหลุมแล้วเช่นกัน หึ ๆ”ขวับ! เสียงเชือกแหวกสายฝนเข้าปะทะร่างของต้วนลี่“อึก!”ร่างสูงของต้วนลี่ที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าที่ทุกคนเห็นถึงกับเซถอยหลังไปไกลหลายก้าว ทั้งที่เขาถูกเพียงปลายเชือกเท่านั้นแท้ ๆ‘ไยถึงมีพลังมหาศาลได้ถึงเพียงนี้กัน’ต้วนลี่ทำได้เพียงเก็บงำความคิดเอาไว้ในใจ เขาผ่านการสังหารผู้คนมามิน้อย ฝีมือของเจี่ยเต๋ามิได้ทำให้เขากลายเป็นผู้พ่ายได้แน่นอนการต่อสู้ท่ามกลางสายฝนเป็นไปอย่างดุเดือด ทว่ากลับมิได้ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังเข้าสู่ห้วงการหล
กลางดึก ณ ลานหินข้างริมธารคณะของโม่คังได้ตั้งกระโจมพัก ชายหนุ่มร่างสูงยืนคู่อยู่กับผู้ติดตามยังโขดหินข้างลำธาร สองมือไขว้หลัง ใบหน้าแหงนมองไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงดาว“ฝนกำลังจะตก ท่าทางจะหนักเอาการทีเดียว เจ้าช่วยบอกให้ทุกคนเตรียมข้าวของสำคัญเอาไว้ในรถม้าด้วยล่ะ”“ขอรับ”“งูอาจเริ่มออกล่าเหยื่อ ระวังหน่อยก็ดี”“หึ ๆ งูฝูงนี้คงอยากจบชีวิตกระมัง”“ไม่แน่เสมอไป ข้าแค่คาดเดา บางทีอาจถึงที่หมายของฝูงอสรพิษเสียก่อน และที่พวกมันจะออกมารัดเหยื่อเพื่อกลืนลงท้อง ตอนนี้อาจรอเวลาให้เราหลับใหลอย่างสุขใจไปก่อนก็เป็นได้”“เช่นนั้น เราก็หลับให้ยาว ๆ เสียหน่อยนะขอรับ ถึงที่หมายแล้วค่อยเผาดงงูเสียเลยทีเดียว”ชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยอย่างมีความนัยต่อกัน เพราะเวลานี้ ทั้งคู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่มิน้อย เมื่อถัดไป ณ ชั้นตื้น ๆ ของน้ำตก มีร่างขาวโพลนของสตรีกำลังแหวกว่าย หมุนกายไปมาท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากโคมไฟซึ่งวางอยู่บนโขดหินส่องรำไร นางมิเกรงกลัวสิ่งใดเลยหรืออย่างไรกัน ยามนี้ดึกมากแล้ว ซ้ำยังเป็นเวลาที่สัตว์อันตรายหลายชนิดออกหากิน“มิธรรมดาจริง ๆ”“ท่านเยว่คังไปพักก่อนจะดีกว่าขอรับ ป่านนี้ นาย
ภายใต้สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างมิขาดสาย จากชายชาวบ้านธรรมดาในคราแรก บัดนี้ ร่างกายกำยำได้เผยให้เห็นเมื่อถูกสายฝนกระทบร่างจนเปียกโชก เชือกที่ผูกรั้งชุดถูกคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนเขามิได้เร่งรีบกับการรับมือต้วนลี่เลยสักนิดเดียว เจี่ยเต๋าทำเพียงคอยหลบหลีกเท่านั้นเองโดยยังไม่คิดที่จะตอบโต้อีกฝ่าย“เจ้าคิดจะดูถูกข้าเช่นนั้นรึ หึ ๆ เด็กแรกเกิดเช่นเจ้าอย่าหมายจะตีเสมอข้าจะดีกว่า”“ฮา ๆ ท่านลุง ยังดีที่ข้าเป็นเพียงเด็กแรกเกิด ยังมีโอกาสเติบโต ทว่าช่างต่างกับท่านนัก ที่ใกล้ลงหลุมในเร็ววันแต่มิเจียมสังขาร”“ปากกล้านัก ตายซะเถอะ”“ข้าพร้อมส่งท่านลุงลงหลุมแล้วเช่นกัน หึ ๆ”ขวับ! เสียงเชือกแหวกสายฝนเข้าปะทะร่างของต้วนลี่“อึก!”ร่างสูงของต้วนลี่ที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าที่ทุกคนเห็นถึงกับเซถอยหลังไปไกลหลายก้าว ทั้งที่เขาถูกเพียงปลายเชือกเท่านั้นแท้ ๆ‘ไยถึงมีพลังมหาศาลได้ถึงเพียงนี้กัน’ต้วนลี่ทำได้เพียงเก็บงำความคิดเอาไว้ในใจ เขาผ่านการสังหารผู้คนมามิน้อย ฝีมือของเจี่ยเต๋ามิได้ทำให้เขากลายเป็นผู้พ่ายได้แน่นอนการต่อสู้ท่ามกลางสายฝนเป็นไปอย่างดุเดือด ทว่ากลับมิได้ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังเข้าสู่ห้วงการหล
“ขอบพระคุณขอรับคุณหนู เช่นนั้น เรารีบกันเถอะนะขอรับ”“ช้าก่อน นายหญิงให้ข้าไปแทนเถอะนะขอรับ ฝนกำลังลงเม็ดเช่นนี้ ต่อให้มิแรงมากนัก ทว่าอาจทำให้นายหญิงล้มป่วยลงได้ ข้าเป็นชาวไร่ชาวนาที่ผ่านแดดฝนมามาก ร่างกายข้ามิเป็นอันใดง่าย ๆ แน่นอนขอรับ”ชายหนุ่มที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาซึ่งขอติดตามคณะเข้าสู่เมืองหลวงด้วย ได้ก้าวเข้ามาขวางทางคนทั้งคู่เอาไว้ก่อนที่หรู่อี้และต้วนลี่จะก้าวออกจากที่พัก“เรื่องนั้น ข้าไม่เถียงท่านหรอกนะ แต่พี่อี้เหมยเป็นสตรี จะให้บุรุษที่มิใช่สามีเข้าไปพบนาง มันดูจะมิเหมาะเอาได้” หญิงสาวแย้งชายหนุ่มขึ้นอย่างมีเหตุผล“เรื่องนั้น ข้าทราบดีขอรับ แต่ท่านลุงต้วนก็อยู่ด้วยทั้งคน อีกอย่าง ข้ามีความสามารถในการตรวจชีพจรอยู่มากทีเดียว เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะนะขอรับ”“นายหญิงไม่ควรขัดคำสั่งนายท่านนะขอรับ ถึงอย่างไร นายหญิงก็มอบยาให้แก่เขาไปแล้ว ก็ถือว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ข้าว่านายหญิงกลับมานอนต่อเถอะขอรับ ข้าไม่อยากเตือนท่านซ้ำ ๆ นะขอรับ”ผู้ติดตามที่มีอำนาจรองจากเยว่คังเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าจริงจังอยู่ในที ทำให้หรู่อี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่อหน้าชาวบ้านที่ติดต
โม่คังเอ่ยออกมาทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มมองของที่อยู่ในมืออีกข้าง ส่วนข้างที่ถือดาบอยู่ชี้ตรงไปยังคนร้ายที่ลอบโจมตีโดยหวังมิให้เขาได้ทันตั้งตัวชายในชุดดำถึงกับผงะถอยหลัง ด้วยเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้‘มิธรรมดาจริง ๆ สมกับเป็นคนของสกุลโม่’ จากชายชุดดำหนึ่งคนบัดนี้ กลับเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน โม่คังถอนหายใจเล็กน้อย ในเมื่อเวลานี้ด้านหน้าคือศัตรู ด้านหลังคือน้ำตก ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือสู้มิอาจถอย และที่สำคัญไปกว่านั้น คือตัวเขากำลังถูกเอาเปรียบจากศัตรูในเรื่องจำนวนคนหากสงครามครั้งนี้เขารอดไปได้ เขาจะพาหรู่อี้ไปอยู่บนเขา ใช้ชีวิตท่ามกลางความเงียบสงบห่างไกลวังหลวง เมื่อมีลูก เขาจะมิยอมให้มาใกล้อำนาจแห่งการนองเลือดแบบนี้เป็นอันขาด‘หวังว่าข้าจะทำได้อย่างที่คิดนะ เฮ้อ!’ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกจากทั้งสองฝ่าย ทว่าต่างพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว โม่คังรู้ตัวดีว่าเขากำลังตกเป็นรอง แต่จะให้ดึงคนพวกนี้เข้าไปในคณะเดินทางนั้น มันไม่เคยมีในหัวสมองของเขาเลยแม้แต่น้อยโม่คังถอยร่นไปอีกฟากของที่พักเพื่อนำพาศัตรูไปยังทุ่งหญ้ากว้างแทน หากต่อสู้ในที่แคบจะเป็นการเพิ่มความเสียเปรียบให้แก่ตัวเขาเองม
โม่คังมองเลยผ่านกองไฟลุกโชน ไปยังร่างสูงที่กำลังหย่อนกายลงนั่งยังอีกด้านของกองไฟ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆโม่คังเอนหันกลับไปยังหรู่อี้ที่นอนหลับตานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละมุน เขารู้ดีว่านางยังไม่ได้หลับอย่างที่ตาเห็น มือหนาเอื้อมไปขยับผ้าคลุมขนสัตว์ผืนใหญ่จนชิดคอของหญิงสาวทุกการกระทำช่างอ่อนโยนต่อสายตาของทุกคนเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มาใหม่อย่างอี้เหมยหญิงสาวมองการกระทำของชายที่นางหมายปองด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังรถม้าอันเป็นที่พักของนาง ซึ่งเยว่คังเป็นผู้จัดการให้โดยมิยอมให้นางพักรวมกับหญิงสาวอีกคน“กลับมาแล้วรึ อี้เหมย ลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก ไยทำอะไรตามใจเช่นนี้”“อย่าบังอาจมาตำหนิข้า จัดการแม่นกน้อยนั่นเสีย ข้ามิอยากเห็นมันอีก”อี้เหมยขยับเข้าใกล้ชายสูงวัย ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินกันเพียงสองคน แล้วก้าวขึ้นไปภายในรถม้า โดยไม่คิดเหลียวมองว่าคนที่รับคำสั่งจะรู้สึกเช่นไรหรือเต็มใจรึไม่ สำหรับนาง ทุกอย่างห้ามมีคำว่า ‘ไม่!’ต้วนลี่ทำเพียงมองตามหลังผู้เป็นนายหญิง ก่อนจะหันไปยังทิศทางของเป้าหมาย หญิงสาวผู้มีนามว่าหรู่อี้ถูกล้อมรอบไปด้วยบุรุษทั้งคณะเช่นนี้ เขาจะทำอ
กลางดึก ณ ลานหินข้างริมธารคณะของโม่คังได้ตั้งกระโจมพัก ชายหนุ่มร่างสูงยืนคู่อยู่กับผู้ติดตามยังโขดหินข้างลำธาร สองมือไขว้หลัง ใบหน้าแหงนมองไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงดาว“ฝนกำลังจะตก ท่าทางจะหนักเอาการทีเดียว เจ้าช่วยบอกให้ทุกคนเตรียมข้าวของสำคัญเอาไว้ในรถม้าด้วยล่ะ”“ขอรับ”“งูอาจเริ่มออกล่าเหยื่อ ระวังหน่อยก็ดี”“หึ ๆ งูฝูงนี้คงอยากจบชีวิตกระมัง”“ไม่แน่เสมอไป ข้าแค่คาดเดา บางทีอาจถึงที่หมายของฝูงอสรพิษเสียก่อน และที่พวกมันจะออกมารัดเหยื่อเพื่อกลืนลงท้อง ตอนนี้อาจรอเวลาให้เราหลับใหลอย่างสุขใจไปก่อนก็เป็นได้”“เช่นนั้น เราก็หลับให้ยาว ๆ เสียหน่อยนะขอรับ ถึงที่หมายแล้วค่อยเผาดงงูเสียเลยทีเดียว”ชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยอย่างมีความนัยต่อกัน เพราะเวลานี้ ทั้งคู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่มิน้อย เมื่อถัดไป ณ ชั้นตื้น ๆ ของน้ำตก มีร่างขาวโพลนของสตรีกำลังแหวกว่าย หมุนกายไปมาท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากโคมไฟซึ่งวางอยู่บนโขดหินส่องรำไร นางมิเกรงกลัวสิ่งใดเลยหรืออย่างไรกัน ยามนี้ดึกมากแล้ว ซ้ำยังเป็นเวลาที่สัตว์อันตรายหลายชนิดออกหากิน“มิธรรมดาจริง ๆ”“ท่านเยว่คังไปพักก่อนจะดีกว่าขอรับ ป่านนี้ นาย