“คำสั่งนายท่านรองขอรับ”
ไม่มีคำใดออกมาจากปากของโม่เหยียนเฉาอีก
เคล้ง! ฮี่ ๆ
เสียงอาวุธกระทบกัน พร้อมทั้งเสียงแตกตื่นของม้าที่แหวกวงล้อมการต่อสู้กลับไปยังทิศทางเดิม การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นก่อนที่จะทันได้หลบหนีอย่างที่ตั้งใจ การปะทะกันบนถนนอันคับแคบสร้างความลำบากให้กับทั้งสองฝ่ายไม่น้อยเพราะต้องระวังหลายด้าน หากใครพลั้งเผลอจุดจบคือความตายอย่างแน่นอน
คณะพ่อค้าต่างถอยร่นติดตามรถม้าไป ฝั่งกลุ่มโจรต่างย่ามใจในความโง่เขลาของคนจากเมืองหลวงที่คิดว่าจะหลอกล่อพวกเขามาติดกับ ทว่าเป็นพวกเขาชำนาญพื้นที่มากกว่าและกำลังจะกำชัยในครั้งนี้ แม้ในใจลึก ๆ แล้วพวกเขาหวั่นว่ารถม้าที่นำไปก่อนจะมิอาจประคองผ่านโค้งของหุบเขาแห่งนี้ไปได้ หากว่าสิ่งที่หมายปองอยู่ในนั้นทั้งหมด เท่ากับพวกเขาเสียแรงเปล่าเมื่อรถม้าหลุดร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่าง
เพียงลับเหลี่ยมผาไปมิถึงเสี้ยวเวลา สิ่งที่หลายคนหวาดหวั่นก็ได้เกิดขึ้นจริง เสียงม้าร้องออกมาด้วยความตกใจกลัวตามมาด้วยเสียงหนัก ๆ ร่วงไถลลงกระทบผาหินทำให้คนทั้งหมดถึงกับหนาวสะท้านไปทั้งอก โม่
เหยียนเฉามัวแต่เหลียวมองไปยังรถม้าซึ่งมีน้องชายและหลานสาวทั้งสองอยู่ภายในฉึก!
ร่างสูงใหญ่เสียหลักลอยลงไปจากขอบผาอันสูงชันโดยผู้ติดตามมิอาจช่วยเอาไว้ได้ทัน เพราะตัวพวกเขาเองก็มิอาจรอดพ้นจากคมอาวุธแล้วเช่นกัน
“พลาดจนได้ หาทางลงเขา เราจะไปเอาสมบัติทั้งหมดในรถม้ามาให้ได้”
ผู้มาดหมายในสมบัติทุกคนจึงหันหลังกลับเพื่อจะออกค้นหารถม้าที่ตกลงไปยังเบื้องล่าง การปล้นครั้งนี้นับว่าล้มเหลวที่สุดสำหรับโจรเช่นพวกเขา
“ช้าก่อนท่านหัวหน้า ข้าเกรงว่าเรายังปล่อยให้มีคนรอดชีวิตอยู่นะขอรับ”
“ใครกัน”
มิถามเปล่า ร่างสูงก้าวตรงไปยังทิศทางตามสายตาของคนสนิทในทันที ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้ายกยิ้มน้อย ๆ เมื่อมองต่ำลงไปยังขอบหน้าผาเห็นร่างของใครบางคนยังห้อยตัวอยู่ ก่อนหันกลับไปเอาคันธนูพร้อมลูกศรจากคนของตน แล้วยกขึ้นเหนี่ยวสายธนูจนสุดแรง ค่อย ๆ เบนหัวลูกศรไปยังเป้าหมาย
ฟึ่บ!
ลูกศรอันใหญ่ถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วและตรงเป้าหมายเสมือนการจับวางก็มิปาน ร่างของคนผู้นั้นร่วงลงไปเปรียบดั่งใบไม้ที่หลุดลอยจากกิ่งก้าน
ห่างออกไปอีกด้านของป่าบนต้นไม้สูงชัน ชายในชุดดำกว่าห้าคนได้มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความสงบ
เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว รวมทั้งกลุ่มโจรได้จากไปจนหมดสิ้น ทั้งห้าจึงได้ก้าวไปยังจุดปะทะกันในทันที ทุกอย่างคือความสูญเสีย ผู้นำทั้งสองของคณะได้สิ้นใจยังก้นผาลึก ทุกอย่างช่างง่ายดาย มิต้องลงมือให้เปลืองแรงแม้แต่น้อย
“ส่งสาร์นให้แก่นายท่าน ว่าเสี้ยนหนามหลักถูกกำจัดแล้ว”
“ขอรับ”
ชายชุดดำทั้งห้าได้หายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วเมื่อภารกิจของพวกเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงร่างไร้ลมหายใจของคณะพ่อค้าจากเมืองหลวง ที่จำต้องสังเวยชีวิตให้แก่ความประมาทของพวกเขาเอง
เมืองหลวง
ภายในตลาดเมืองหลวงดูจะคึกคักกว่าที่เคยเมื่อมีประกาศแต่งตั้งพระสนมจากต่างแดนขึ้นสู่ต่ำแหน่งเฟยอีกคน ทั้งยังมีข่าวว่าจะมีงานเลี้ยงฉลองอันยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับพระนางเต๋อเฟยให้สมพระเกียรติในอีกเร็ววัน จึงทำให้บรรดาขุนนางน้อยใหญ่พากันหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อเตรียมการเข้าร่วมในงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้น
มิเว้นแม้แต่เหล่าคหบดีจากทั้งในและต่างแคว้น ต่างพากันนำสินค้าเข้ามายังเมืองหลวงชีเป่ยเพื่อค้าขายหาผลกำไรจากบรรดาบุตรธิดาของเหล่าผู้มีอันจะกิน
อีกทั้งข่าวลือมากมายในทางดีและไม่ดีได้กระจายไปทั่วทุกหัวมุมถนนเลยก็ว่าได้ ข่าวลือเหล่านั้นก็มิอาจหนีพ้นเรื่องของฮองเฮาและหลิวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินทางกลับสู่เมืองหลวงในเวลานี้
เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำสนิทหยุดชะงักในทันใดเพื่อฟังคำพูดที่เหมือนจะไร้ความเกรงกลัวต่ออำนาจแห่งราชวงศ์ เรียวปากหนาคลี่ออกน้อย ๆ พร้อมทั้งถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะก้าวต่อไปช้า ๆ อย่างมิเร่งรีบอันใด โดยมีผู้ติดตามอยู่ด้านหลังเพียงสองคนเท่านั้น
ทั้งสามคนรู้ดีว่านับตั้งแต่ก้าวลงจากเรือก็ได้ถูกจับตาชนิดที่เรียกได้ว่าแทบสิงกายพวกเขาทั้งนายบ่าวเลยก็ว่าได้ แต่ทว่า คนพวกนั้นยังไม่รู้จักเขาดีพอ
‘คนสกุลจ้าวใช่สหายพวกเจ้ารึ ถึงคิดจะหยอกเย้าเสมือนข้าเป็นลูกเจี๊ยบ หึ ๆ แล้วข้าจะแสดงความอ่อนโยนให้ได้เห็นกันถ้วนหน้า’
เสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มทำให้ผู้ติดตามทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ พวกเขารู้นิสัยผู้เป็นนายดี ว่าถ้าลองได้แสดงอาการเช่นนี้แล้วนั้น สิ่งที่ตามมาจะต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน
“ครานี้ ข้าว่าคงต้องมีสกุลใดสักสกุลหายไปเป็นแน่”
“เจ้าน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วมิใช่รึ นับตั้งแต่ก้าวออกจากเกาะ”
“ฮา ๆ”
ชายหนุ่มผู้เดินนำหน้าหยุดเท้าลงอย่างกะทันหัน เมื่ออยู่ ๆ คนของตนได้พากันหัวเราะเสียงดัง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุการณ์ใดตลกขบขันถึงปานนั้น คิ้วหนาย่นเข้าหากันก่อนจะ...
พลั่ก! โครม!
ยังมิทันได้หันกลับไปเอ่ยถามผู้ติดตามทั้งสอง ทว่าบัดนี้ ร่างสูงสง่าเป็นอันต้องล้มคว่ำไปยังร้านขายผลไม้ด้วยแรงกระแทกจากผู้ติดตามทั้งสองที่ชนเขาอย่างแรง ทำให้แตงโมหลายผลถึงกับแตกกระจาย ทั้งยังเปรอะเปื้อนเนื้อตัว จนเวลานี้ความหล่อเหลาก็มิอาจช่วยอันใดเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“นายท่าน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ยังมีหน้ามาถามข้าอีกรึ พวกเจ้าเดินมิมองทางเลยหรืออย่างไรกัน ข้าเป็นสหายพวกเจ้ารึถึงได้กล้าทำเช่นนี้กับข้า”
จ้าวอวิ๋นเสียงเขียวใส่ผู้ติดตามทั้งสองที่กำลังช่วยกันพยุงร่างของผู้เป็นนายขึ้น ชายหนุ่มพยายามใช้ความเคร่งขรึมกลบเกลื่อนอาการขบขันของตนเองเอาไว้อย่างที่สุด
เขาต่างหากที่เป็นผู้ผิด และช่างน่าขบขันนักกับสภาพในตอนนี้ ทว่าหากเขาเห็นมันเป็นเรื่องเล็กน้อยไป คนที่ตามติดพวกเขาอยู่ก็จะรู้ว่าที่ผ่านมานั้น นิสัยคุณชายเจ้าอารมณ์คือสิ่งที่เขาเสแสร้งมันขึ้นมา
“พวกข้ามิได้ตั้งใจขอรับนายท่าน ได้โปรดอภัยให้พวกข้าด้วยเถอะนะขอรับ”
ผู้ติดตามทั้งสองรีบคุกเข่าลงยังพื้นถนน ก่อนจะหมอบตัวสั่นอยู่แทบเท้าของผู้เป็นนาย แต่ใครจะหารู้ไม่ว่า อาการสั่นสะท้านไปทั้งกายของสองผู้ติดตามไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัวผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย แท้จริงแล้ว ทั้งคู่พยายามข่มกลั้นอาการขบขันเสียมากกว่า
“ฮึ! พวกเจ้ายังบังอาจร้องหาคำว่าอภัยจากข้าอยู่อีกรึ”
“เอ่อ! ขะ…คุณชายขอรับ คือว่า…”
“อะไร…”
น้ำเสียงห้วนสั้นของชายหนุ่มทำให้ชายชราผู้เป็นเจ้าของร้านผลไม้ถึงกับสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวั่นเกรง ด้วยฐานะที่แตกต่างทำให้ชายชราเริ่มหวาดหวั่น ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้รับการชดใช้เป็นแน่
“ร้านของข้าน้อย…พะ…พังเสียหายมากนะขอรับ”
“แล้วอย่างไร ข้าต้องชดใช้สินะ”
“ขอรับ”
จ้าวอวิ๋นยังคงทำหน้าตาบึ้งตึง พร้อมทั้งปัดไปตามเสื้อผ้าที่ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษผลไม้ ก่อนจะชำเลืองมองชายชราเจ้าของร้านที่ยืนตัวสั่นอยู่มิห่างมากนัก
เจ้าอวิ๋นขยับเข้าใกล้ชายชราด้วยท่าทีคุกคาม ทำให้ทุกสายตาของคนในตลาดกลางเมืองหลวงต่างมองคุณชายรูปงามที่ได้กระทำกริยาไม่ดีต่อชนชั้นล่างเช่นชายชราผู้เป็นเจ้าร้านผลไม้ที่ได้รับความเสียหาย
“ข้าจะรับผิดชอบเองทั้งหมดท่านลุง แต่ตอนนี้ ข้าขอท่านเพียงสิ่งเดียว นั่นคือทำตามบทบาทที่ข้าหยิบยื่นให้เท่านั้นเป็นพอ ข้าให้ห้าเท่าของความเสียหายที่เกิดขึ้น”
จ้าวอวิ๋นไม่พูดเปล่า ทว่า มือหนาที่วางบนสาบเสื้อของชายชรานั้นได้ยัดบางสิ่งเข้าไปด้านในเป็นที่เรียบร้อย โดยไม่มีผู้ใดได้ทันเห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ ด้วยเวลานี้ จ้าวอวิ๋นได้โน้มกายกระซิบเพียงให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเท่านั้นชายชราดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ถูกกระชับสาบเสื้อเอาไว้แน่น จึงดูเหมือนกับชายหนุ่มกำลังตั้งใจคุกคามชายชราอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสองผู้ติดตามพยายามรั้งขาผู้เป็นนายเอาไว้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างผอมแห้งของชายชรากระเด็นไปชนกำแพงก่อนจะรูดลงตามผนังกำแพงด้วยอาการเจ็บปวดเหลือคณานับ น้ำตาของชายชราไหลอาบแก้มด้วยความเสียใจและเจ็บปวด ที่เกิดมาต่ำต้อยจนถูกรังแกมิต่างจากเศษขยะอันไร้ค่าในสายตาของชนชั้นสูงที่อยากจะทำสิ่งใดกับเขาก็ได้ตามแต่ใจต้องการ“ใครมีปัญหาอะไรกับข้ารึไม่ ก้าวออกมาหากอยากจะรู้จักข้าให้มากกว่านี้”“…”ไร้เสียงตอบรับในทันใด รอบกายเงียบดุจไร้ผู้คนก็มิปานเมื่อได้ยินคำท้าของชายหนุ่ม“เกิดมาสูงส่งแล้วอย่างไรกัน ในเมื่อเวลานี้ เท้าของคุณชายยังเหยียบอยู่บนพื้นดินเดียวกับทุกคนมิใช่รึเจ้าคะ”เสียงหวานกังวานเอ่ยออกมา ทั้งยังเรียกทุกสายตาให้หันไปตามทิศทางนั้นในทั
วังหลวง“ทูลฝ่าบาท เวลานี้ในเมืองหลวงมีผู้คนเข้ามาจนแทบจะไร้ที่พักแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”บุรุษในชุดมังกรเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แผนการของศัตรูแยบยลนัก ด้วยการปล่อยข่าวเรื่องการจัดเลี้ยงฉลอง เชื้อเชิญให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง ทำให้ยากต่อการป้องกันระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เหล่าขุนนางและคหบดีที่เดินทางเข้ามานั้น มีทั้งตงฉินและกังฉิน การเดิมเกมของศัตรูช่างล้ำลึกนัก ทว่ายังคงมีช่องโหว่อยู่มากพอที่เขาจะแทรกแซงได้เช่นกัน“ก็ดี จะได้คึกคัก ท่าทางสนมของข้า นางชอบความตื่นเต้น”ก่อนมือหนาจะหย่อนเบี้ยในกระดานหมากลงไปในถ้วยน้ำชาชั้นดี แล้วเลื่อนไปตรงหน้าขันทีหนุ่มผู้มาทำหน้าที่แทนจิ่วกงกงและกงกงชราผู้อยู่ข้างกาย ซึ่งทั้งคู่เกิดล้มป่วย จำต้องหยุดพักตามพระบัญชาของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน“นำไปให้เต๋อเฟย”พร้อมทั้งกวักมือเรียกขันทีหนุ่มให้เอียงหูมาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบบางอย่าง“ฮา ๆ ๆ”เสียงทรงอำนาจเปล่งออกมาด้วยอารมณ์ที่ดูไร้กังวลเป็นที่สุด ขันทีหนุ่มเอื้อมมือมายกถ้วยชาใส่ในถาดสีทอง ก่อนเดินออกจากสวนส่วนพระองค์ ตรงไปยังตำหนักเต๋อเฟยในเขตวังหลัง โดยมีนางกำนัลรับใช้ถือถาดแพรพรรณงดงา
คณะของอ๋องน้อยโม่หยวนฟางพร้อมสหายทั้งสองได้เดินหลบหายไปยังอีกด้านของทุ่งหญ้า เมื่อลับจากสายตาของคนในคณะแล้ว ร่างสูงของโม่หยวนฟางได้ทรุดลงกับพื้นหญ้า โดยมีถงเหยียนเจี๋ยและหลงเป่า ต่างรีบคว้าพยุงเอาไว้มิให้ใบหน้าหล่อเหลาของอ๋องน้อยกระทบพื้นดิน“ท่านอ๋องน้อย เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“อึก! ข้าไม่เป็นไร อย่างกังวลไป หลงเป่า”“ยังจะปากดีอีกรึ หยวนฟาง เจ้าฝืนตนเองมากเกินไปแล้ว ร่างกายเจ้ามิใช่หินผาที่จะไร้เทียมทาน”“ว่าแต่ตัวข้า เจ้าเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าใดนัก”หลงเป่ามิได้ลดความกังวลเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นนายทั้งสองพูดคุยกัน ณ เวลานี้คงมีแค่เขาเท่านั้นที่มีความพร้อมทางร่างกายมากที่สุด หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนักชายหนุ่มทั้งสองพยุงโม่หยวนฟางไปยังโคนต้นไม้ เพื่อให้ชายหนุ่มได้พักร่างกายที่อ่อนล้าจนแทบเรียกว่าขีดสุดแล้วในตอนนี้ ทว่า โม่หยวนฟางจำต้องฝืนทุกขีดจำกัดของร่างกายตน เพื่อเป็นเสาหลักให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมดในคณะ“อย่าทำหน้าเช่นนั้น หลงเป่า ข้ายังไม่ตายในตอนนี้ แต่หากในหนทางข้างหน้าต่อจากนี้ ข้าคงต้องฝากชีวิตของทุกคนไว้ในมือของเจ้า”“ท่านอ๋องน้อยอย่าได้เป็นกังวลไป หลงเป่ามิ
“ขอรับนายท่าน อ้อ! ว่าแต่เรื่องหลานชายคนโตของฮองเฮา จ้าวอวิ๋นเราจะจัดการเลยหรือไม่ขอรับ แต่ข้าไม่คิดว่าคนเช่นจ้าวอวิ๋นจะมีพิษภัยอันใดเลยนะขอรับ”“ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ประมาทกับคนสกุลจ้าว แม้จ้าวอวิ๋นดูไร้ค่าเพียงใดในสายตาคนทั่วไป แต่เจ้าลองคิดดูว่า คนเช่นนั้นไยถึงเป็นเจ้าเกาะดอกเหมยได้เล่า หากไร้ฝีมือจริง ต่อให้มีบารมีของฮองเฮาหนุนอยู่ เขาก็มิอาจรอดพ้นกลุ่มคนที่ต้องการแย่งชิงเกาะนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จ้าวอวิ๋นคือทายาทสกุลจ้าวรุ่นต่อไป ย่อมต้องมีดีมิน้อย”“นายท่านโปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วย ที่บังอาจมองข้ามความสามารถของศัตรูไปมากเช่นนี้”“ดำเนินตามแผนการเดิม อย่าได้ทำอันใดนอกเหนือคำสั่งข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูข้าไปด้วย เข้าใจรึไม่”“ทราบแล้วขอรับ”ทุกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพากันชูจอกสุราเป็นการเคารพผู้นำหลังม่านของพวกตนซึ่งได้ยกจอกสุราขึ้นสูงเช่นกัน ก่อนจะพากันดื่มด่ำกับสุรารสเลิศกันอย่างสุขใจกับข่าวที่ได้รับจากทางไกลวังหลวง ตำหนักฮองเฮาสตรีในชุดสีทองอร่ามกำลังเอนกายพิงหมอน โดยแขนข้างหนึ่งตั้งชันรองศีรษะได้รูป อีกข้างถือตำราอยู่ในมือ
ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของหญิงสาว เมื่อร่างบางหมุนกายเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมยังมุมปากของตนเอง“ไปได้แล้ว เรื่องนี้ เจ้าต้องหาคำตอบมาให้ข้าเร็วที่สุด ก่อนคนของเจ้าแก่นั่นจะหานางโจรพบก่อนเรา”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แม้ภายในใจเขาอยากรู้ถึงเหตุผลของผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดได้มากไปกว่านี้ ว่าเหตุใดนายหญิงของตนถึงต้องการสืบหานางโจรที่บุกสังหารครอบครัวสกุลเชี่ยกั๋วเชียงมองเลยออกไปยังนอกหน้าต่าง คืนนี้ พระจันทร์ช่างงดงาม ทว่า ใจของนางกลับคลั่งแค้นในสายตาของนางโจรผู้นั้น จนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ สตรีที่มากด้วยฝีมือซ้ำยังเย้ยหยันนางให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ร่วมดูเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับทำเหมือนนางไร้ตัวตน ทว่า สายตาที่เหลียวมองนาง มันมิใช่เช่นการกระทำเอาเสียเลย“ข้าต้องหาเจ้าให้พบ มิว่าอยู่หรือตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอย่ากำแหงมองข้ามคนเช่นข้า”ยามเช้า ณ อุทยานหลวงฮองเฮาเจ้าเหลียน พร้อมด้วยเป่าฮูหยินกำลังเดินเก็บดอกไม้เพื่อไปทำน้ำอบชั้นเลิศ สองร่างงามเดินเคียงกันท่ามกลางหมู่มวลดอก
“กั๋วเชียงมิบังอาจขัดพระประสงค์ของฮองเฮาเพคะ”เมื่อพระสนมคนใหม่ก้าวเข้ามาภายในศาลา เป่าฮูหยินจำต้องขยับกายถอยออกไปยืนยังเบื้องหลังของผู้เป็นนาย ด้วยฐานะของนางมิอาจร่วมโต๊ะได้หากแขกของผู้เป็นนายมิอนุญาตออกมา“เป่าฮูหยิน นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกันเถิด ข้าเป็นเพียงแขกของฮองเฮา มิบังอาจที่จะปฏิเสธร่วมโต๊ะกับสหายของพระนางได้ จริงรึไม่เพคะ ฮองเฮา”“ขอบใจเจ้ามากเต๋อเฟย ที่มิรังเกียจสหายของข้า นั่งลงเถิด สุ่ยอี้ ประเดี๋ยวชาจะเย็นเอาเสียก่อน”จูซือเหนียงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผู้อ่อนอาวุโสกว่าโดยการเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในที เมื่อองค์หญิงผู้เลอโฉมจงใจว่านางโดยใช้เป่าฮูหยินเป็นโล่กำบัง ฮองเฮาที่มาจากสามัญชนนั้นย่อมดูด้อยอำนาจในสายตาของสตรีที่เกิดจากสายเลือดสูงส่ง‘เด็กน้อย อยากก้าวเป็นใหญ่ แต่ไร้เดียงสาไปสักหน่อยกระมัง’“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยเพคะพระนางเต๋อเฟย”เป่าฮูหยินย่อกายงดงาม ก่อนจะขยับกายนั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชา รอยยิ้มของสตรีทั้งสามต่างสดใสราวดอกไม้แรกแย้ม ทว่า ทุกคำพูดกลับเชือดเฉือนกันอยู่ในที จนเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วยาม“ทูลฮองเฮา กั๋วเชียงจำต้องขออำลาก่อนเพคะ หม่อมฉันต้องไปจัดเตรียมเ
เนินเขาห่างจากขบวนเสด็จของหลิวกุ้ยเฟย มีร่างสูงของใครอีกคนนั่งพิงหินก้อนใหญ่อยู่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย ในมือใหญ่มีขวดสุราหยกเนื้อดี ก่อนจะยกขึ้นจรดริมฝีปากหนา หน้าที่ของเขามันช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก แต่จะให้ไปปลอมตัวแทรกซึมในคณะเดินทางก็ช่างไร้อิสระสิ้นดี“พวกมันตั้งใจถ่วงเวลา น่ารำคาญยิ่งนัก ทำให้ข้าล่าช้าไปด้วย”“ท่านเองก็ยังมิหายดีนะขอรับ จะรีบร้อนไปไย มิดีหรือ จะได้ถือโอกาสเช่นนี้รักษาตัวไปพร้อมกันขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งห่างออกไปได้เอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงกว่าเดิม ก่อนจะหันมองไปยังขบวนยาวเหยียดที่ห่างออกไปไกล แต่มิใช่เรื่องลำบากอันใดต่อสายตาของเขา“ข้ามีหมอส่วนตัวที่ฝีมือล้ำเลิศรอรักษาอยู่แล้ว แผลแค่นี้มิอาจทำอันใดข้าได้ ฮึ! มันยังไกลหัวใจข้ามากนัก”น้ำเสียงทะนงตน หรือจะเรียกอีกอย่างว่าความดื้อรั้นจะเหมาะสมมากกว่าในความคิดของผู้ติดตาม ที่จำต้องคอยหาคำพูดมาทำให้ผู้เป็นนายมิรู้สึกเบื่อหน่าย“ขอรับนายท่าน แต่…”“หยุด”มือหนายกขึ้นห้าม เพราะเขาฟังคำนี้มานับตั้งแต่ออกจากเจียงไห่แล้ว ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปยังอีกทิศทาง พร้อมรอยยิ้มกดลึกเมื่อนึกถึงคนที่เขาถวิลหาที่ส
“อี้เทียน พ่อและสกุลจ้าวช่างเป็นหนี้เจ้ามากนัก พ่ออยาก...”“ท่านพ่อ อย่าใช้จังหวะเช่นนี้กับข้า ข้ายังยืนยันคำเดิม หากพี่ใหญ่และพี่รองมิออกเรือน ข้าก็ไม่คิดเรื่องนี้เช่นกัน”ชายหนุ่มอีกสามคนต่างพากันกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เมื่อผู้เป็นพ่อพยายามให้พี่ชายออกเรือนเพื่อมีทายาทให้แก่สกุลจ้าวเสียที ซึ่งทุกคนเหมือนจะสิ้นหวังกับหลานชายคนโตและคนรองอย่างจ้าวอวิ๋นและจ้าวหมิงเยว่แล้วนั่นเอง ภาระทั้งหมดจึงมาลงที่จ้าวอี้เทียน“พ่อยังมิทันว่าอันใดนี่!”จ้าวหลานเค่อได้แต่ยกชาขึ้นจิบ เมื่อเขาไม่อาจฉวยจังหวะนี้ให้บุตรชายตกลงไปในหลุมพรางที่เขาและคนในบ้านขุดล่อจ้าวอี้เทียนมานานนับปีเลยทีเดียว จนบางครา ทุกคนก็เกรงว่าจ้าวอี้เทียนจะนิยมตัดแขนเสื้อไปเสียแล้ว หากจะวางความหวังไว้กับบุตรชายคนโตและคนรองนั้น ดูเหมือนจะยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียวส่วนแฝดสามของเขาก็ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง ต่างพากันทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่เช่นในตอนนี้ปะไรเล่า‘ข้าจะต้องทำให้พวกเจ้ามีหลานแก่ข้าโดยไวให้จงได้ หึ ๆ’“ท่านพ่ออย่ามัวคิดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นอยู่เลยนะขอรับ เพราะดูเหมือนแขกของเราจะรอนานแล้ว ไยมิเชื้อเชิญ
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักเก่าฮองเฮาจ้าวเหลียนร่างสูงนอนเหยียดยาวโดยรอบกายนั้นมีหินร้อนวางไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น ไอเย็นของโม่คังแม้จะถูกสกัดเอาไว้โดยผู้เป็นอาจารย์ แต่ยังมิใช่ว่าภายในของเขาจะกลับมาเป็นปกติ จนถึงเวลานี้ โม่คังยังไร้วี่แววจะรู้สึกตัว และสิ่งที่ทุกคนนั้นเป็นกังวลกว่าคือหากโม่คังตื่นขึ้นมาพบว่าหรู่อี้หายไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างตอนนี้ ภายในตำหนักทุกห้องมีคนเจ็บที่ยังไร้ซึ่งสติกันแทบทุกคน ยกเว้นเพียงโม่ฟางเล่อที่ออกติดตามสามีเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย เพื่อส่งร่างของถงม่งเหยาตามคำขอของจ้าวอวิ๋น การสูญเสียของสองพี่น้องสกุลจ้าวทำให้โม่เหยียนเฉาและจ้าวเหลียนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่หลานชายขอมา เขายินดีที่จะมอบให้ทั้งสองสามีภรรยานั่งเฝ้าบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ ผมของโม่คังจากดำสลวยกลับกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายที่เคยมีสีเลือด ตอนนี้ขาวซีดไร้สีสัน จ้าวเหลียนกุมมือของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในตอนนี้นอกจากการตื่นของโม่คัง“อี้เอ๋อร์”โม่เหยียนเฉาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อคำแรกที่บุตรชายของเขาเอ่ยออกมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทนั้นคือชื่อของคู่หมั้
จ้าวอวิ๋นคว้าร่างบางที่ล้มลงต่อหน้าเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะระเบิดพลังออกมาจนถึงขีดสุดด้วยอาการคลุ้มคลั่ง เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของทหารฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหา แตกกระจายออก สิ้นใจในทันที ร่างสูงกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น“ข้ารักท่าน จ้าวอวิ๋น ข้าระ…ระ…อึก!”“ข้ารักเจ้า ถงม่งเหยา ข้ารักเจ้า ได้ยินหรือไม่ เจ้าอย่าได้บังอาจทอดทิ้งข้าไปเช่นนี้ ม่งเอ๋อร์ อย่าทำกับข้าเยี่ยงนี้ อ๊ากกก!”ถงเหยียนเจี๋ยชาไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียว ร่างสูงพุ่งเข้าหาหยางซานซินเสมือนคนเสียสติ เพราะคนเช่นหยางซานซินที่ทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น มันพรากดวงใจของเขาไปเช่นนี้มิได้ น้ำตาของชายหนุ่มไหลเป็นทาง ยิ่งเมื่อนึกถึงอ้อมกอดและรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นน้องสาว ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยเปรียบดั่งพยัคฆ์บาดเจ็บที่สู้จนตัวตายเลยทีเดียวหย่งฉีพุ่งเข้าสังหารทหารที่ยังหลงเหลืออยู่รอบกายของจ้าวอวิ๋นและร่างของหญิงสาวในอ้อมแขน ร่างสูงสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก เขาบกพร่องต่อหน้าที่จนได้ ปกป้องนายหญิงน้อยมิได้ เขาไม่สมควรมีลมหายใจอยู่ต่อไปเลยด้วยซ้ำจ้าวอวิ๋นพยายามโรยยาตามบาดแผลของ
“เจ้าจะยอมแพ้มิได้ โม่คัง เจ้าคือหนึ่งในสายเลือดสกุลจ้าว จงให้หัวใจนำพาพละกำลังในกาย เข้าใจหรือไม่ พี่อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจะต้องปลอดภัยน้องรัก พี่จะมิให้สิ่งใดพรากเจ้าไปจากพวกเราอีกแล้ว”ทุกถ้อยคำที่จ้าวอวิ๋นเอ่ยออกมานั้นเสมือนเสียงกระซิบอันไกลโพ้นสำหรับโม่คัง น้ำตาของบุรุษผู้เป็นนักรบไหลอาบสองแก้ม แม้จะมีลมหายใจกลับมาได้จากสิ่งที่หยางซานซินกระทำต่อเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ก็ใช่ว่าร่างกายที่เห็นนี้จะเป็นปกติสมบรูณ์ไม่ และตอนนี้ มันกำลังส่งผลต่อตัวเขาในยามคับขัน“เพื่อข้า พี่คัง! ทำเพื่ออี้เอ๋อร์สักครั้งเถิด!”หรู่อี้ที่รับมืออยู่กับหยางซานซินตะโกนก้องเรียกสติของชายหนุ่ม จ้าวอวิ๋นขบกรามแน่น เขาทำได้เพียงกวัดแกว่งป้องกันทหารที่พยายามโจมตีเขา ซึ่งมันมิน่าเป็นห่วงเท่าหญิงสาวผู้ที่ปกป้องเขากับน้องชายในตอนนี้เลย ร่างของหรู่อี้โชกไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่นางกลับมิปริปากร้องโอดครวญแม้แต่น้อย ทุกถ้อยคำมีเพียงโม่คังเท่านั้นถงม่งเหยาพยายามอย่างมากที่จะฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าช่วยเหลือหรู่อี้ ทว่า ตัวนางเองยังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรูเช่นกัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดคลอหน่วยตาของใครหลายคน พวกเขาจะเก่ง
อุทยานหลวงโม่คังพร้อมด้วยชูถงยืนนิ่งมองไปยังบุรุษต่างวัยอีกสองคน ซึ่งมิได้มีแค่เท่าที่เห็น ทว่าเขาสองคนตกอยู่กลางวงล้อมของทหารกบฏนับสิบเลยทีเดียว ทั้งคู่ลอบสบตากันเป็นระยะ“เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ชูถง ว่าคนอย่างเจ้ามันภักดีต่อโม่เหยียนเฉา ยากที่จะร่วมมือกับข้าหักหลังนายเจ้าได้”“แล้วอย่างไร…ที่ข้าช่วยเจ้าในวันนั้น ก็เพื่อให้มีวันนี้อย่างไรเล่า หากเจ้าตายไป แล้วใครจะพาข้ากลับเมืองหลวง…”ราชครูหลิวกำหมัดแน่น แต่ยังเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดออกมา เขารู้มาโดยตลอดว่าชูถงมิได้ต้องการที่จะร่วมมือตั้งแต่แรก การที่ยอมให้ร่วมในขบวนการ เพียงเพราะเรื่องของบุตรสาวและหลานชายที่ตายไปแล้วเท่านั้น หากจะกำจัดเสนาบดีผู้นี้เสียก็ย่อมทำได้ แต่ด้วยเจียงไห่เป็นเมืองที่ญาติผู้พี่มีอำนาจ เขาจะลงมืออันใดย่อมมิมีทางรอดพ้นสายตาคนเช่นหลิวไห่เป็นแน่“ฮา ๆ ไหน ๆ วันนี้ ทุกอย่างก็กระจ่างชัดแล้ว หนี้แค้นทั้งหมดก็มาชำระกันให้เสร็จสิ้นเถิด”“กับข้าสินะ”ในที่สุด โม่คังก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบเมื่อคำว่าหนี้แค้นหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย เขาไม่สนว่า ตอนนี้ หยางซานซินจะจดจำได้หรือไม่ว่าแท้จริงเขาคือใคร สนเพียงแค่วันนี้จะชำ
เลือดสีดำคล้ำพุ่งออกจากปากของพี่น้องสกุลโม่ ทำให้จ้าวเหลียนและมู่ตานขยับเข้าประชิดร่างของสามีตนเองด้วยความเป็นห่วง เวลานี้กลับกลายเป็นพวกนางเสียเองที่ตกอยู่สภาวะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เวลาคับขันเช่นนี้ ผู้ทรยศคือองครักษ์และทหารในวัง ย่อมไม่แปลกที่พวกนางจะไร้คนปกป้องฉึก! ฉับ! “อ๊ากก!”เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของศัตรูเรียกสายตาคนทั้งสี่ให้หันมอง ร่างสูงตระหง่านของบุตรเขยสกุลโม่ยืนหน้านิ่งไร้ความรู้สึก ทุกก้าวของชายหนุ่มนั้นดูเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งจากแดนเหนือก็มิปาน อาวุธในมือที่กวัดแกว่งออกไปทุกครานั้นจะต้องได้ดื่มเลือดของศัตรูถงเหยียนเจี๋ยในเวลานี้ยากที่ใครจะคาดเดาว่าเขารู้สึกเช่นไร ด้วยข้างกายของชายหนุ่มนั้นไม่มีภรรยาอยู่เคียง ความเยือกเย็นของเขาน้อยคนที่จะได้เห็น ไอสังหารพวยพุ่งออกมาจนจิ้งอ๋องถึงกับถอยร่นไปด้านหลัง เลือดที่หยดตามปลายอาวุธเสมือนการข่มขวัญศัตรู ชายหนุ่มมิได้หันมองไปยังครอบครัวของพ่อตา แต่ดวงตาเย็นชาจ้องมองอยู่ที่จิ้งอ๋องแต่ผู้เดียว“ผู้ใดที่คิดทำให้ภรรยาของข้าเศร้าหมอง มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”“ฮา ๆ ยามใดกันที่ข้าไปทำภรรยาของเจ้าเศร้าหมอง”จิ้งอ๋อ
นอกวังหลวง ณ หมู่บ้านอี้ฟึ่บ! ร่างในชุดดำเหินกายลงยังลานดินหน้ากระท่อมที่อยู่ห่างจากบ้านเรือนหลังอื่น ก่อนจะเร่งสาวเท้าเข้าไปด้านในด้วยอาการร้อนรน ทว่า คนด้านในกระท่อมกลับยังคงนิ่งเฉย“นายหญิง ข่าวจากองค์หญิงนั้นเงียบหายไปขอรับ ส่วนกองทัพของนางก็พ่ายแพ้หมดสิ้นแล้วขอรับ”มือบางกำแน่นวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา ฟังการรายงานข่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้คนที่ร่วมห้องอยู่ด้วยรับรู้ได้ถึงไอสังหารที่กำลังพวยพุ่งออกจากร่างบอบบางของผู้เป็นนาย แต่เขายังจำต้องรายงานเรื่องทั้งหมดต่อไป มิอาจหยุดได้หากไม่ได้รับอนุญาต และจนกว่าเขาจะรายงานทุกอย่างให้หมดสิ้น“ต่อให้นางตาย เจ้าก็ต้องได้ศพนางกลับมา ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่”เอ่ยจบ ผู้เป็นนายก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายชุดดำทำเพียงโค้งคำนับก่อนจะหมุนกายจากไปภายในห้อง ร่างระหงก้าวตรงไปนั่งยังเตียง มือบางขยุ้มผ้าปูที่นอนด้วยความเจ็บร้าวอยู่ในอก สามีอันเป็นที่รักทำร้ายนางเพียงคนเดียวนั้นก็นับว่าร้ายกาจแล้ว นี่ยังทำกับบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางเพียงเพื่ออำนาจของตนอีก เขาไม่เคยสนใจเลยว่ากั๋วเชียงจะเจ็บปวดเพียงไรนางยอมเป็นพระชายาที่ตายแล้วในควา
ครั้งนี้มันกลับระเบิดเสียงดัง ทำให้มีบ้างที่ทหารอีกกลุ่มภายในโล่อื่นแตกกระจายกันออก มีทั้งบาดเจ็บมากน้อยตามแรงระเบิดที่ได้รับ จะมีเพียงโล่ที่ใช้ป้องกันผู้นำเท่านั้นที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ส่วนทหารที่มิได้ยกโล่ทำการเตรียมลูกศรเพื่อยิงเปิดทางให้แก่กองทัพของตนเอง เสียงโล่หนากระแทกพื้นเป็นจังหวะเพื่อให้ทหารที่อยู่ในเกราะกำบังแต่ละคนทำตามอย่างพร้อมเพรียงหลิวเจินเจินไม่อยากที่จะเสียเวลานานไปกว่านี้ และสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำนั้นนางเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี คนของตงกำลังตกเป็นรอง นางไม่อยากที่จะให้เกิดการพลิกหมากกระดานนี้ มือบางยกขึ้นส่งสัญญาณให้ทำตามแผนการขั้นต่อไป‘เจ้าคงลืมไปว่าบิดาข้า สามีข้า แม้แต่บุตรชายหญิงของข้าคือแม่ทัพ’ แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก แต่คงมีฝีมือเฉพาะตนอยู่มิน้อย ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้ตงคงมิคิดกำจัดโดยการส่งมาเช่นนี้เป็นแน่ หรือไม่ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเกิดในสกุลที่เป็นปรปักษ์ต่อบัลลังก์สินะหลิวเจินเจินทำเพียงยืนมองเหล่าทหารต่างแคว้นที่ต้องเอาชีวิตมาสังเวยความต้องการของผู้เป็นนาย นางจะไม่ยอมยืนรอให้อีกฝ่ายตอบโต้ได้เป็นอันขาด หากจะว่านางโหดร้ายก็ไม่ผิด เพื่อปก
ชายชุดดำได้ส่งสัญญาณจากกำแพงเมืองให้กับกองทัพฝั่งตนรับรู้ ซึ่งดูเหมือนจะฉวยโอกาสในช่วงก่อนมีงานพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ครั้งนี้ไม่กี่วันคอยส่งทหารมือดีที่สุดของแคว้น มิว่าจะเป็นแม่ทัพนายกอง แฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านและเมืองรอบ ๆ เพื่อรอจังหวะเหมาะสมบุกยึดเมืองหลวง โดยมีคนในของชีเป่ยคอยปูทางเอาไว้ให้กองทัพจากแคว้นตงเคลื่อนพลในทันทีเมื่อได้รับสัญญาณจากคนด้านใน ประตูเมืองทั้งสี่ด้านตอนนี้มีกำลังในการป้องน้อยนิด เพราะถูกเกณฑ์เข้าไปช่วยปกป้องประตูวังหลวง ทั้งยังเป็นทหารฝั่งกบฏมากกว่าครึ่งทำให้ง่ายต่อการบุกโจมตี“คุณหนูพวกมันเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”“อืม…ลงมือได้ จำไว้ว่าให้พวกมันเข้าไปให้หมด ค่อยจัดการ”ร่างระหงในชุดเกราะยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางกองทัพสกุลหลิวและกองกำลังจากสกุลหลง โดยมีหลงเป่าร่วมเป็นผู้นำในครั้งนี้ด้วย เมื่อแมวน้อยพากันหมายจะมาขโมยปลาถึงในบ้าน ก็จำต้องจับแมวตัวอ้วนมาลงทัณฑ์“ท่านน้า ลำบากท่านแล้ว”“เป่าเอ๋อร์ เพื่อพี่น้องของเรา คำว่าลำบากนั้นมิใช่สิ่งที่มีอยู่ในใจของข้า”“ขอรับ”เมื่อกองทัพจากต่างแคว้นเข้าสู่ประตูเมืองทั้งสี่ด้านจนหมดทุกคนแล้ว ซึ่งดูจะง่ายดายเสียเหลือเกินในสายตาของผ