คณะของอ๋องน้อย
โม่หยวนฟางพร้อมสหายทั้งสองได้เดินหลบหายไปยังอีกด้านของทุ่งหญ้า เมื่อลับจากสายตาของคนในคณะแล้ว ร่างสูงของโม่หยวนฟางได้ทรุดลงกับพื้นหญ้า โดยมีถงเหยียนเจี๋ยและหลงเป่า ต่างรีบคว้าพยุงเอาไว้มิให้ใบหน้าหล่อเหลาของอ๋องน้อยกระทบพื้นดิน
“ท่านอ๋องน้อย เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“อึก! ข้าไม่เป็นไร อย่างกังวลไป หลงเป่า”
“ยังจะปากดีอีกรึ หยวนฟาง เจ้าฝืนตนเองมากเกินไปแล้ว ร่างกายเจ้ามิใช่หินผาที่จะไร้เทียมทาน”
“ว่าแต่ตัวข้า เจ้าเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าใดนัก”
หลงเป่ามิได้ลดความกังวลเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นนายทั้งสองพูดคุยกัน ณ เวลานี้คงมีแค่เขาเท่านั้นที่มีความพร้อมทางร่างกายมากที่สุด หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก
ชายหนุ่มทั้งสองพยุงโม่หยวนฟางไปยังโคนต้นไม้ เพื่อให้ชายหนุ่มได้พักร่างกายที่อ่อนล้าจนแทบเรียกว่าขีดสุดแล้วในตอนนี้ ทว่า โม่หยวนฟางจำต้องฝืนทุกขีดจำกัดของร่างกายตน เพื่อเป็นเสาหลักให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมดในคณะ
“อย่าทำหน้าเช่นนั้น หลงเป่า ข้ายังไม่ตายในตอนนี้ แต่หากในหนทางข้างหน้าต่อจากนี้ ข้าคงต้องฝากชีวิตของทุกคนไว้ในมือของเจ้า”
“ท่านอ๋องน้อยอย่าได้เป็นกังวลไป หลงเป่ามิเคยทรยศต่อราชวงศ์และท่านอ๋องน้อยเลยสักครั้ง นับจากนี้โปรดวางพระทัย ข้าจะมิให้สิ่งใดมาทำอันตรายต่อนายของข้าได้แม้แต่ผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้ ขอบใจสกุลหลงยิ่งนักที่ภักดีต่อแผ่นดิน ขอบใจเจ้ามาก สหายข้า”
ในสายตาคนทั่วไปนั้น สกุลหลงเป็นเพียงสกุลขุนนางเล็ก ๆ อำนาจมิได้มีมากเช่นเหล่าขุนนางใหญ่ ทว่าแท้จริงนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า สกุลหลงคือหนึ่งในหมากสำคัญที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกเหลือบเพื่อเป็นกองกำลังที่ขาดมิได้ในสงคราม ซึ่งเปรียบดั่งคลื่นใต้น้ำที่คอยเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันมาตลอดหลายปี
“ท่านอ๋องรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถอะขอรับ หากปล่อยไว้นานกว่านี้อาจมิเป็นผลดีเท่าใดนะขอรับ”
“ฮึ! ข้ามีสิทธิ์ล้มในเวลาเช่นนี้รึ”
ในขณะที่โม่หยวนฟางและหลงเป่ากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ถงเหยียนเจี๋ยเองกำลังปรุงยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพี่ชายภรรยาด้วยใบหน้าอันเคร่งเครียด
“เจ้ามีสิทธิ์ล้ม หยวนฟาง แต่ไร้สิทธิ์ที่จะตาย เข้าใจรึไม่”
ถงเหยียนเจี๋ยเปรยอย่างอ่อนอกอ่อนใจในความรั้นของสหายรัก
“ฮา ๆ ข้ายังตายไม่ได้จริง ๆ อย่างว่าสินะ เพราะข้ายังมิได้เห็นหน้าหลาน ๆ ของข้านี่นะ”
“แน่นอน และข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้าผิดหวังเป็นอันขาด สหายรัก ฮา ๆ”
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทั้งสามดังก้องทั่วบริเวณ เสมือนความเจ็บปวดทางร่างกายมิอาจแตะต้องถึงจิตใจของบุรุษทั้งสามได้เลย เสียงพูดคุยกันอย่างออกรส ทำให้คนที่แอบอยู่มิไกลถึงกับมีน้ำใส ๆ คลอหน่วยด้วยความปลื้มปีติยิ่งนัก ก่อนที่ร่างระหงจะค่อย ๆ ก้าวจากไปอย่างแผ่วเบา
‘ข้าจะมิทำให้พวกท่านผิดหวังเช่นกัน’
โม่ฟางเล่อรู้สึกตื้อตันไปทั้งอกเมื่อเห็นภาพพี่ชายล้มลง แม้นางจะมองไม่เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างต่อจากนั้น เพราะจุดที่นางแอบซ่อนอยู่ทำได้เพียงฟังการสนทนาของคนทั้งสาม ทว่าเพียงแค่นี้ มันก็มากพอแล้วสำหรับการตัดสินใจของนาง
เมื่อลับร่างบางไปแล้ว ชายหนุ่มทั้งสามต่างมีสีหน้าอันเปลี่ยนไปในทันใด พวกเขารับรู้ว่ามีคนแอบซุ่มอยู่ ทว่า มันช้าเกินไปเสียแล้วที่จะปิดบังเรื่องอาการบาดเจ็บ พวกเขาจำต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เพราะทุกคำพูดและการกระทำนั้น มันกลั่นออกมาจากใจของพวกเขาเช่นกัน
‘เจ้าเติบโตแล้วน้องพี่ จากนี้ ทุกอย่างอยู่ที่มือของเจ้าจะลิขิตมันขึ้นมา’
โม่หยวนฟางยิ้มด้วยความสุขใจ เพราะหากเวลานี้ เขามิอาจรักษาลมหายใจของตนเองเอาไว้ได้แล้วจริง ๆ น้องสาวเพียงคนเดียวก็จะปลอดภัยภายใต้ปีกของสหายรักและตัวของนางเอง สำหรับเมี่ยวจ้านนั้น แม้เขาจะรักนางมากเพียงใด ทว่าหากโชคชะตานำพาความพลัดพรากมาสู่เขาและนางแล้วนั้น ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็มิอาจฝืน
ถงเหยียนเจี๋ยยังคงนิ่งงัน ดวงตาที่เยือกเย็นจนยากที่ใครจะอ่านออกได้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดสิ่งใดอยู่ในเวลานี้ มือหนายังคงบดยาด้วยความสม่ำเสมอของน้ำหนักที่กดลงไปยังถ้วยใบเล็ก เมื่อครู่ ชายหนุ่มเพิ่งยื่นยารักษาให้โม่หยวนฟางดื่ม ก่อนที่เขาจะหันมาทำการบดสมุนไพรเพื่อสมานแผลภายนอกให้แก่สหายอีกอย่าง มีหรือเขาจะไม่รู้สึกสิ่งใด เมื่อรู้ถึงการมาของภรรยา
‘พี่มิน่าให้เวลาของเราเลยผ่านมานานเช่นนี้เลย เล่อเล่อ’
ถงเหยียนเจี๋ยทำได้เพียงรำพันอยู่ภายในใจ เขาพลาดโอกาสของวันคืนหวานชื่นกับภรรยาไปถึงสองปี หากเขากล้าที่จะบอกกับนางก่อนหน้า ทุกอย่างคงไม่เป็นเช่นตอนนี้
“เจี๋ย ทุกอย่างไม่มีคำว่าสายไปสำหรับการเริ่มต้น” โม่หยวนฟางโพล่งออกมาราวกับนั่งอยู่ในใจสหาย
“เจ้ารู้ใจข้ามากไปแล้ว หยวนฟาง”
ท่านอ๋องน้อยขมวดคิ้ว พานคิดไปว่าสหายรักประชดตน “ข้ามองผิดไปรึ”
“ข้ารักนางมากยิ่งนัก เจ้าเข้าใจถูกแล้ว”
จบคำพูดของถงเหยียนเจี๋ย ชายหนุ่มทั้งสามต่างตกสู่ภวังค์ของตนเองในทันที เพราะพวกเขาทั้งสามต่างมีพันธะที่เก็บซ่อนอยู่ในใจโดยที่มิอาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
ค่ำคืน ณ หุบเขา
แสงคบเพลิงหลายสิบอันถูกจุดขึ้นหลังจากความเงียบเข้าครอบงำทั่วบริเวณ กลุ่มโจรป่าที่ทำการดักปล้นรถม้าของพ่อค้าจากเมืองหลวงได้ย้อนกลับมายังจุดเกิดเหตุ พร้อมกับเร่งรีบในการทำบางอย่างกับร่างที่นอนแน่นิ่งทั้งหมด
“เร็วเข้า เร่งมือก่อนที่จะมิทันการ”
“ขอรับนายท่าน”
จ้าวหมิงเยว่ขบกรามแกร่งแน่น เขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าคนด้านล่างจะเป็นอันใดไปเสียก่อน ด้วยอากาศที่เริ่มเย็นเยียบจนจับขั้วหัวใจทำให้เขาหวาดหวั่นว่าจะมาช้าจนเกินไป
‘ท่านห้ามเป็นอันใดไปนะท่านลุงเขย ข้ายังมิอยากเป็นโจรไปชั่วชีวิต’
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม คนจากด้านล่างได้นำสิ่งที่ค้นหาขึ้นมาได้จนครบ ก่อนคนทั้งหมดจะหายไปในความมืด โดยทั้งหมดได้โยนคบเพลิงลงไปยังเหวลึกเบื้องล่าง
โรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวง ภายในห้องลับชั้นบนสุด
ร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่หลังม่านกำลังก้มมองกระดาษแผ่นเล็กในมือ ก่อนจะยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“ฮา ๆ เมื่อตัวจริงจากไป เราเพียงแค่โยนความผิดให้แก่ตัวปลอม ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น”
“หมายความว่า ฮ่องเต้กับท่านอ๋องเจ็ดตายแล้วอย่างนั้นใช่หรือไม่ขอรับ”
“หึ ๆ ต่อให้พวกมันวางแผนรัดกุมและแยบยลเพียงใด ก็มิอาจเหนือข้าไปได้”
“เราจะลงมือกับตัวปลอมเลยหรือไม่ขอรับ”
“ยังก่อน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ปล่อยพวกมันตายใจ และตามเก็บพวกปลาน้อยที่เราปล่อยว่ายน้ำไปก่อน ยังมีเวลาอีกมากที่จะกำจัดพวกมันทั้งสกุล หากใครรอดเข้าสู่ประตูเมืองหลวง ก็ส่งมันลงนรกไปเสียให้หมด อย่าได้ให้พวกมันทรมานนาน”
“ขอรับนายท่าน อ้อ! ว่าแต่เรื่องหลานชายคนโตของฮองเฮา จ้าวอวิ๋นเราจะจัดการเลยหรือไม่ขอรับ แต่ข้าไม่คิดว่าคนเช่นจ้าวอวิ๋นจะมีพิษภัยอันใดเลยนะขอรับ”“ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ประมาทกับคนสกุลจ้าว แม้จ้าวอวิ๋นดูไร้ค่าเพียงใดในสายตาคนทั่วไป แต่เจ้าลองคิดดูว่า คนเช่นนั้นไยถึงเป็นเจ้าเกาะดอกเหมยได้เล่า หากไร้ฝีมือจริง ต่อให้มีบารมีของฮองเฮาหนุนอยู่ เขาก็มิอาจรอดพ้นกลุ่มคนที่ต้องการแย่งชิงเกาะนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จ้าวอวิ๋นคือทายาทสกุลจ้าวรุ่นต่อไป ย่อมต้องมีดีมิน้อย”“นายท่านโปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วย ที่บังอาจมองข้ามความสามารถของศัตรูไปมากเช่นนี้”“ดำเนินตามแผนการเดิม อย่าได้ทำอันใดนอกเหนือคำสั่งข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูข้าไปด้วย เข้าใจรึไม่”“ทราบแล้วขอรับ”ทุกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพากันชูจอกสุราเป็นการเคารพผู้นำหลังม่านของพวกตนซึ่งได้ยกจอกสุราขึ้นสูงเช่นกัน ก่อนจะพากันดื่มด่ำกับสุรารสเลิศกันอย่างสุขใจกับข่าวที่ได้รับจากทางไกลวังหลวง ตำหนักฮองเฮาสตรีในชุดสีทองอร่ามกำลังเอนกายพิงหมอน โดยแขนข้างหนึ่งตั้งชันรองศีรษะได้รูป อีกข้างถือตำราอยู่ในมือ
ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของหญิงสาว เมื่อร่างบางหมุนกายเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมยังมุมปากของตนเอง“ไปได้แล้ว เรื่องนี้ เจ้าต้องหาคำตอบมาให้ข้าเร็วที่สุด ก่อนคนของเจ้าแก่นั่นจะหานางโจรพบก่อนเรา”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แม้ภายในใจเขาอยากรู้ถึงเหตุผลของผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดได้มากไปกว่านี้ ว่าเหตุใดนายหญิงของตนถึงต้องการสืบหานางโจรที่บุกสังหารครอบครัวสกุลเชี่ยกั๋วเชียงมองเลยออกไปยังนอกหน้าต่าง คืนนี้ พระจันทร์ช่างงดงาม ทว่า ใจของนางกลับคลั่งแค้นในสายตาของนางโจรผู้นั้น จนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ สตรีที่มากด้วยฝีมือซ้ำยังเย้ยหยันนางให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ร่วมดูเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับทำเหมือนนางไร้ตัวตน ทว่า สายตาที่เหลียวมองนาง มันมิใช่เช่นการกระทำเอาเสียเลย“ข้าต้องหาเจ้าให้พบ มิว่าอยู่หรือตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอย่ากำแหงมองข้ามคนเช่นข้า”ยามเช้า ณ อุทยานหลวงฮองเฮาเจ้าเหลียน พร้อมด้วยเป่าฮูหยินกำลังเดินเก็บดอกไม้เพื่อไปทำน้ำอบชั้นเลิศ สองร่างงามเดินเคียงกันท่ามกลางหมู่มวลดอก
“กั๋วเชียงมิบังอาจขัดพระประสงค์ของฮองเฮาเพคะ”เมื่อพระสนมคนใหม่ก้าวเข้ามาภายในศาลา เป่าฮูหยินจำต้องขยับกายถอยออกไปยืนยังเบื้องหลังของผู้เป็นนาย ด้วยฐานะของนางมิอาจร่วมโต๊ะได้หากแขกของผู้เป็นนายมิอนุญาตออกมา“เป่าฮูหยิน นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกันเถิด ข้าเป็นเพียงแขกของฮองเฮา มิบังอาจที่จะปฏิเสธร่วมโต๊ะกับสหายของพระนางได้ จริงรึไม่เพคะ ฮองเฮา”“ขอบใจเจ้ามากเต๋อเฟย ที่มิรังเกียจสหายของข้า นั่งลงเถิด สุ่ยอี้ ประเดี๋ยวชาจะเย็นเอาเสียก่อน”จูซือเหนียงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผู้อ่อนอาวุโสกว่าโดยการเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในที เมื่อองค์หญิงผู้เลอโฉมจงใจว่านางโดยใช้เป่าฮูหยินเป็นโล่กำบัง ฮองเฮาที่มาจากสามัญชนนั้นย่อมดูด้อยอำนาจในสายตาของสตรีที่เกิดจากสายเลือดสูงส่ง‘เด็กน้อย อยากก้าวเป็นใหญ่ แต่ไร้เดียงสาไปสักหน่อยกระมัง’“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยเพคะพระนางเต๋อเฟย”เป่าฮูหยินย่อกายงดงาม ก่อนจะขยับกายนั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชา รอยยิ้มของสตรีทั้งสามต่างสดใสราวดอกไม้แรกแย้ม ทว่า ทุกคำพูดกลับเชือดเฉือนกันอยู่ในที จนเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วยาม“ทูลฮองเฮา กั๋วเชียงจำต้องขออำลาก่อนเพคะ หม่อมฉันต้องไปจัดเตรียมเ
เนินเขาห่างจากขบวนเสด็จของหลิวกุ้ยเฟย มีร่างสูงของใครอีกคนนั่งพิงหินก้อนใหญ่อยู่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย ในมือใหญ่มีขวดสุราหยกเนื้อดี ก่อนจะยกขึ้นจรดริมฝีปากหนา หน้าที่ของเขามันช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก แต่จะให้ไปปลอมตัวแทรกซึมในคณะเดินทางก็ช่างไร้อิสระสิ้นดี“พวกมันตั้งใจถ่วงเวลา น่ารำคาญยิ่งนัก ทำให้ข้าล่าช้าไปด้วย”“ท่านเองก็ยังมิหายดีนะขอรับ จะรีบร้อนไปไย มิดีหรือ จะได้ถือโอกาสเช่นนี้รักษาตัวไปพร้อมกันขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งห่างออกไปได้เอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงกว่าเดิม ก่อนจะหันมองไปยังขบวนยาวเหยียดที่ห่างออกไปไกล แต่มิใช่เรื่องลำบากอันใดต่อสายตาของเขา“ข้ามีหมอส่วนตัวที่ฝีมือล้ำเลิศรอรักษาอยู่แล้ว แผลแค่นี้มิอาจทำอันใดข้าได้ ฮึ! มันยังไกลหัวใจข้ามากนัก”น้ำเสียงทะนงตน หรือจะเรียกอีกอย่างว่าความดื้อรั้นจะเหมาะสมมากกว่าในความคิดของผู้ติดตาม ที่จำต้องคอยหาคำพูดมาทำให้ผู้เป็นนายมิรู้สึกเบื่อหน่าย“ขอรับนายท่าน แต่…”“หยุด”มือหนายกขึ้นห้าม เพราะเขาฟังคำนี้มานับตั้งแต่ออกจากเจียงไห่แล้ว ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปยังอีกทิศทาง พร้อมรอยยิ้มกดลึกเมื่อนึกถึงคนที่เขาถวิลหาที่ส
“อี้เทียน พ่อและสกุลจ้าวช่างเป็นหนี้เจ้ามากนัก พ่ออยาก...”“ท่านพ่อ อย่าใช้จังหวะเช่นนี้กับข้า ข้ายังยืนยันคำเดิม หากพี่ใหญ่และพี่รองมิออกเรือน ข้าก็ไม่คิดเรื่องนี้เช่นกัน”ชายหนุ่มอีกสามคนต่างพากันกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เมื่อผู้เป็นพ่อพยายามให้พี่ชายออกเรือนเพื่อมีทายาทให้แก่สกุลจ้าวเสียที ซึ่งทุกคนเหมือนจะสิ้นหวังกับหลานชายคนโตและคนรองอย่างจ้าวอวิ๋นและจ้าวหมิงเยว่แล้วนั่นเอง ภาระทั้งหมดจึงมาลงที่จ้าวอี้เทียน“พ่อยังมิทันว่าอันใดนี่!”จ้าวหลานเค่อได้แต่ยกชาขึ้นจิบ เมื่อเขาไม่อาจฉวยจังหวะนี้ให้บุตรชายตกลงไปในหลุมพรางที่เขาและคนในบ้านขุดล่อจ้าวอี้เทียนมานานนับปีเลยทีเดียว จนบางครา ทุกคนก็เกรงว่าจ้าวอี้เทียนจะนิยมตัดแขนเสื้อไปเสียแล้ว หากจะวางความหวังไว้กับบุตรชายคนโตและคนรองนั้น ดูเหมือนจะยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียวส่วนแฝดสามของเขาก็ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง ต่างพากันทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่เช่นในตอนนี้ปะไรเล่า‘ข้าจะต้องทำให้พวกเจ้ามีหลานแก่ข้าโดยไวให้จงได้ หึ ๆ’“ท่านพ่ออย่ามัวคิดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นอยู่เลยนะขอรับ เพราะดูเหมือนแขกของเราจะรอนานแล้ว ไยมิเชื้อเชิญ
“พวกเจ้าอย่าทำให้บิดาผู้นี้ผิดหวัง รู้รึไม่”“ขอรับท่านพ่อ”แฝดสามแห่งสกุลจ้าวขานรับผู้เป็นพ่ออย่างพร้อมเพรียง สร้างรอยยิ้มพิมพ์ใจให้แก่จ้าวหลานเค่อยิ่งนัก ชายสูงวัยไม่แม้แต่จะขยับกาย มือหนาเอื้อมหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ทุกอย่างรอบกายเสมือนเป็นเพียงสิ่งบันเทิงใจก็เท่านั้นปึก! ฝ่ามือเรียวของจ้าวจิงเหวิ่นปะทะเข้ายังข้อมือของผู้บุกรุก ทุกการเคลื่อนไหวดูนุ่มนวล ทว่าแรงปะทะของฝ่ามือเรียวนั้นมิใช่เบาดั่งเช่นตาเห็นเลยแม้แต่น้อย ชายชุดดำถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการบาดเจ็บของตน เขาคือนักฆ่าชั้นยอด มิคิดว่าเพียงเด็กหนุ่มชาวป่าจะรับมือเขาได้ในเพียงกระบวนท่าแรก“ขออภัยด้วยพี่ชาย พอดีข้าเกรงเสื้อผ้าของข้าจะมีรอยแปดเปื้อน จำต้องปัดมือท่านออกไปเสีย”คำยั่วยุของจ้าวจิงเหวิ่นดูเหมือนจะยังได้ผลเช่นทุกครั้งเมื่อศัตรูมิได้หยุดนิ่งนานเท่าที่ควร กระบี่ยาวหมุนวนตรงเข้าสู่หัวใจของชายหนุ่มด้วยความดุดันมืออีกข้างที่ไขว้หลังไว้ในคราแรกได้สะบัดออกมาพร้อมพัดที่ยังมิทันกางต้านรับปลายกระบี่ได้อย่างเหนือความคาดหมายของชายชุดดำ รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นช้า ๆ บนใบหน้าของจ้าวเหวิ่น ร่างสู
“อ๊ากกก!”มือของคนที่ถือคบไฟถูกตัดขาดกระเด็น เลือดพุ่งออกมาดุจสายน้ำ“จะเผาบ้านข้า พวกเจ้าคงเตรียมใจมาพร้อมแล้วสินะ”ชายหนุ่มหลายคนก้าวออกมาจากตัวบ้านออกสู่ลานกลางของหมู่บ้านด้วยท่าทีสบาย ๆ ดูมิทุกข์ร้อนหรือตื่นตกใจกับผู้บุกรุกซึ่งหมายเอาชีวิตพวกเขาอย่างตั้งใจทุกการแสดงออกของเจ้าบ้าน ทำให้ผู้มาเยือนเพื่อทำลายล้างหมู่บ้านสกุลจ้าวให้สิ้นซากนั้นเสมือนมดปลวกที่ล่วงล้ำเข้ามากัดกินเสาเรือนเพียงเท่านั้น และเหมือนกับว่าเวลานี้ เจ้าบ้านเองก็พร้อมที่จะบดขยี้ผู้รุกล้ำให้หมดสิ้นไปเช่นกัน“ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริงที่ชาวบ้านป่าเช่นพวกเจ้าจะมิรู้จักการเกรงกลัวความตายเอาเสียเลย”“อันความตายนั้นเป็นเรื่องปกติสามัญของผู้มีจิตวิญญาณมิใช่หรือ ไยต้องเกรงกลัวมันด้วยเล่า แต่…หากว่าต้องตายด้วยฝีมือของคนต่ำช้าแล้วละก็ ข้าขอต่อกรด้วยสักคราเพื่อปกป้องเกียรติสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า ท่านว่าจริงรึไม่”“คนเช่นพวกเจ้ามีเกียรติอันใดให้รักษารึ ฮา ๆ”ผู้นำชายชุดดำหัวเราะด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น ทว่า ภายในใจกลับเจ็บร้าวลึกอยู่มิน้อย เมื่อมองไปยังชายหนุ่มหลายคนที่ยืนประจันหน้ากับพวกเขาอย่างองอาจ เพราะทุกถ้อยคำของเจ้าบ้านน
ชายชุดดำรีบดึงสติของตนคืนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตัวเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ด้วยรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้มิใช่เพียงตราตรึงใจ ทั้งยังคุ้นเคยยิ่งนัก เพียงแต่เขาคิดมิออกว่าเคยพบเจอจากที่ใดมาก่อน“ไยใช้น้ำเสียงดุดันถึงเพียงนั้นเล่าพี่ชาย ข้าเพียงเดินชมดาวยามค่ำคืน ก็เพียงเท่านั้นเอง มิเห็นต้องดุข้าเลย”ข้ออ้างช่างไร้ความเป็นจริงนัก ยามนี้มีเพียงพระจันทร์ที่ส่องสว่างทั่วท้องฟ้า แสงดาวถูกกลบให้เห็นเพียงริบหรี่ หากจะบอกว่าเดินชมจันทร์ยังจะดูสมเหตุสมผลมากกว่าหลายเท่านัก“น้องชาย เจ้าช่างมีอารมณ์สุนทรียิ่ง ดวงดาวในค่ำคืนนี้ช่างงดงามริบหรี่เหลือคณานับ เจ้าคงเพลิดเพลินเดินหลงทางมากระนั้นกระมัง”ชายชุดดำเอ่ยเหน็บแหนมอีกฝ่ายไป พร้อมกับขยับก้าวเท้าไปด้านข้างทีละน้อยเพื่อหาจังหวะลงมือ ซึ่งอีกฝ่ายใช่จะอยู่นิ่งเช่นกัน“ข้าชอบความไม่ชัดเจน เช่นนั้น การชมดาวในคืนนี้จึงนับว่างดงามเป็นที่สุดอย่างไรเล่า”“อ้อ! เช่นนั้นรึ ข้าเพิ่งรู้ว่าคนบ้านป่านิยมชมชอบความเสี่ยงที่มิอาจคาดเดาผลลัพธ์ ว่าจะอยู่หรือตาย หึ ๆ”“หมู่วิหคโผบินสู่เวิ้งน้ำอันไพศาล ไฉนเลยจะมิรู้ชะตากรรม ดั่งฝูงปลาแหวกว่าย หมายสู่พื้นดิน พี่ชาย ท่านเข้าใ
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ
“พี่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ถงมู่หลัน ว่าอย่าทำเช่นนี้อีก” เสียงเด็กชายวัยสิบขวบกำลังต่อว่าเด็กหญิงวันหกขวบด้วยท่าทางของผู้ใหญ่“…”แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกโมโหขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยทำเพียงสบตาเขา ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างหรือยอมรับในความผิดหลุดจากปากเล็ก ๆ นั่นสักคำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบิดเบ้พร้อมน้ำใส ๆ เอ่อคลอหน่วยตา ทั้งยังเม้มปากเสมือนเขากำลังทำร้ายนางให้เจ็บปวดแสนสาหัส“เฮ้อ!” ถงเอ่อหลางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ วันนี้ เขาออกมาตกปลายังลำธารห่างจากตัวเมืองเจียงไห่พร้อมด้วยผู้ดูแล แต่ใครจะไปคิดว่าน้องสาวตัวดีจะแอบติดตามออกมาโดยแอบอยู่ใต้รถม้าของเขายิ่งคิดถึงสภาพเวลาผู้เป็นน้องสาวต้องเกาะอยู่ใต้ท้องรถม้า อาการสั่นสะท้านไปทั่วกายก็พลันเกิดขึ้น หากนางเผลอหลับหรือรถม้าวิ่งเร็วจนไปกระแทกกับอะไรเข้า นางอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้“มู่หลัน พี่มีเจ้าแค่คนเดียว รู้หรือไม่ อย่าได้ทำให้ตัวน้องเองเป็นอะไรไป เข้าใจที่พี่พูดรึไม่”ถงเอ่อหลางใช้สองแขนรวบร่างอ้วนกลมของน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาจำต้องทำให้นางยิ้มก่อนกลับบ้าน มิเช่นนั้น เขาจะถูกกักบริเวณเป็นแน่ หากผู
เวลาผ่านไปเพียงขวบปี จิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกจับได้ว่าคิดกบฏ ซ้ำยังฉ้อราชบังหลวง ทำให้ต้องโทษประหาร ส่วนพระชายาและพระธิดาถูกขับออกจากเมืองหลวง ทำให้ชื่อของจิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกลบออกจากราชวงศ์ไปโดยปริยายทว่า ระหว่างทางขบวนส่งตัวอดีตพระชายาและท่านหญิงโม่เหลียนฮัวออกจากเมืองหลวงนั้น เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นฮี้ ๆ เสียงม้าตื่นตกใจและเสียงการต่อสู้จากด้านนอกทำให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ภายในรถม้าหวีดร้องด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งคู่ต่างรีบลงจากรถม้า ก่อนจะวิ่งลึกเข้าไปในป่า ทว่า เสียงการไล่ล่าประชิดเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อม“เจ้าคิดจะทำอะไร มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”“เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงได้มา”“ท่านแม่ เราถูกสั่งฆ่าใช่หรือไม่เพคะ”“ท่านหญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเมตตาต่อท่านทั้งสองยิ่ง ที่จะมอบความตายให้อย่างสงบโดยมิต้องทนมีชีวิตอยู่อับอายชาวเมือง ตายซะเถอะท่านหญิงทั้งสอง ดีกว่าอยู่เป็นแน่” คำพูดคล้ายชี้ชวนอย่างหวังดี ทว่า ความหมายกลับตรงกันข้ามร่างสูงของนักฆ่าในชุดดำที่อำพรางใบหน้าหลงเหลือเพียงดวงตาย่างสามขุมเข้ามาทุกทิศทาง แสงแดดกระทบดาบที่เงื้อง่าขึ้นสูงสะท้อนเข้าดว
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ