วังหลวง
“ทูลฝ่าบาท เวลานี้ในเมืองหลวงมีผู้คนเข้ามาจนแทบจะไร้ที่พักแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษในชุดมังกรเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แผนการของศัตรูแยบยลนัก ด้วยการปล่อยข่าวเรื่องการจัดเลี้ยงฉลอง เชื้อเชิญให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง ทำให้ยากต่อการป้องกันระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เหล่าขุนนางและคหบดีที่เดินทางเข้ามานั้น มีทั้งตงฉินและกังฉิน การเดิมเกมของศัตรูช่างล้ำลึกนัก ทว่ายังคงมีช่องโหว่อยู่มากพอที่เขาจะแทรกแซงได้เช่นกัน
“ก็ดี จะได้คึกคัก ท่าทางสนมของข้า นางชอบความตื่นเต้น”
ก่อนมือหนาจะหย่อนเบี้ยในกระดานหมากลงไปในถ้วยน้ำชาชั้นดี แล้วเลื่อนไปตรงหน้าขันทีหนุ่มผู้มาทำหน้าที่แทนจิ่วกงกงและกงกงชราผู้อยู่ข้างกาย ซึ่งทั้งคู่เกิดล้มป่วย จำต้องหยุดพักตามพระบัญชาของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
“นำไปให้เต๋อเฟย”
พร้อมทั้งกวักมือเรียกขันทีหนุ่มให้เอียงหูมาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบบางอย่าง
“ฮา ๆ ๆ”
เสียงทรงอำนาจเปล่งออกมาด้วยอารมณ์ที่ดูไร้กังวลเป็นที่สุด ขันทีหนุ่มเอื้อมมือมายกถ้วยชาใส่ในถาดสีทอง ก่อนเดินออกจากสวนส่วนพระองค์ ตรงไปยังตำหนักเต๋อเฟยในเขตวังหลัง โดยมีนางกำนัลรับใช้ถือถาดแพรพรรณงดงามตามไปอีกสองคน
ตำหนักเต๋อเฟยพระสนมวัยแรกแย้มกำลังนั่งอยู่หน้ากระดานหมาก คิ้วงามขมวดเป็นปมเมื่อมองดูบนกระดาน เหมือนมันกำลังขาดสิ่งใดไป
“ทูลพระสนม กงกงจากตำหนักหลวงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
อี้กงกงก้มหัวเล็กน้อย กล่าวรายงานยังห้องชั้นนอกด้วยท่าทีนอบน้อม ริมฝีปากของขันทีหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าประตูตำหนักบิดเล็กน้อยกับภาพการประจบประแจงของอี้กงกงผู้ยิ่งใหญ่ในวังหลัง คู่ปรับของจิ่วกงกงที่มักจะปะทะฝีปากกันอยู่เป็นนิจ ทว่าวันนี้ จิ่วกงกงมิได้เป็นผู้มาด้วยตนเอง จึงทำให้ความผยองของอี้กงกงมีมากกว่าที่เคยหลายเท่านัก
“เวลานี้ ข้าพักผ่อน สมควรให้ขันทีชั้นต่ำมาขอพบได้อย่างนั้นหรือ ข้าควรพบเขาด้วยเหตุผลใดกัน”
น้ำเสียงปนด้วยความหยิ่งผยอง ทำให้ผู้มาเยือนทั้งสามต่างลอบยิ้ม สนมคนใหม่ไม่ธรรมดาจริงๆ นางคงคิดว่าขันทีหนุ่มมาขอพบด้วยบัญชาจากฮองเฮากระมัง เลยต้องอวดเบ่งอำนาจเพื่อข่มคนของฮองเฮา อยากรู้นัก ตอนที่ต้องคุกเข่ารับน้ำชาพระราชทานจากฝ่าบาทจะยังพองขนอยู่อีกหรือไม่
อี้กงกงหันกลับไปหวังจะไล่ขันทีหนุ่มที่มาขอเข้าเฝ้าโดยไม่ได้แจ้งว่าผู้ใดออกคำสั่ง กงกงเฒ่าปรารถนาให้พระสนมทรงกริ้วจนสั่งลงทัณฑ์ขันทีหนุ่มผู้กล้าจ้องหน้าเขาอย่างไร้ความยำเกรง
‘พวกเจ้ามันยโสยิ่งนัก ข้าอยากเห็นตอนเจ้าถูกลงทัณฑ์จากความกำแหงนี้นัก’
“กั๋วเต๋อเฟยรับพระบัญชา ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งประทานน้ำชาชั้นดีแด่พระนางเต๋อเฟย”
ขันทีหนุ่มก้าวข้ามประตูเข้ามายืนกลางห้องชั้นนอกของตำหนักพร้อมเปล่งเสียงดังหนักแน่น ถ้วยชาในมือมันมีค่ากว่าหัวของคนทั้งตำหนัก หากมันถูกทำให้เสียหายหรือถูกปฏิเสธ ย่อมหมายถึงมดตัวน้อยเหล่านี้นำคอไปพาดบนแท่นประหารนั่นเอง
องค์หญิงกั๋วเชียงถึงกับทะลึ่งลุกพรวดขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตกใจ มือบางถึงกับสั่นน้อย ๆ ด้วยความกลัวปนกรุ่นโกรธอี้กงกงที่มิถามเอาความกระจ่างจากขันทีที่มาขอพบนาง
‘คิดจะทำให้ข้าหัวหลุดจากบ่าหรืออย่างไร’
ไยนางจะไม่รู้กฎของวังหลวง ทุกสิ่งของฮ่องเต้มีค่ามากนัก แม้แต่เส้นผมที่หลุดร่วง พระสนมคนใหม่รีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะรีบก้าวออกไปยังห้องชั้นนอก ร่างบางก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าของขันทีหนุ่มที่ยืนถือถาดทองคำอยู่ตรงหน้า ก่อนจะย่อกายหมอบต่ำ
“กั๋วเชียงขอให้ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี ๆ เพคะ”
ก่อนจะยกมือขึ้นสูงเพื่อรอรับถาดน้ำชาพระราชทานโดยไม่ได้เงยหน้า อี้กงกงถึงกับหมอบตัวสั่นงันงก รวมทั้งเหล่านางกำนัลในตำหนัก เวลานี้ ทุกคนหมอบต่ำอยู่ที่พื้น มีเพียงผู้มาเยือนทั้งสามเท่านั้นที่ยังคงยืนเด่นอยู่กลางห้องพร้อมสิ่งของพระราชทานในมือ
ขันทีหนุ่มวางถาดลงยังมือบางของเต๋อเฟย ก่อนที่ตัวเขาจะก้าวขาถอยหลังไป แล้วโค้งคำนับค้างไว้เพื่อรอเจ้าของตำหนักลุกขึ้น
พระสนมกั๋วเชียงนำถาดลงมาถือในระดับอก ก่อนจะลุกขึ้นโดยมีนางกำนัลมาช่วยพยุง เมื่อยืนได้แล้ว สายตาได้มองไปยังขันทีที่นำน้ำชามามอบให้ด้วยความขุ่นเคือง
“เจ้ากลับไปได้แล้ว ทูลฝ่าบาทด้วยว่า ข้ามีความยินดีมากที่ทรงมีพระเมตตา ประทานน้ำชามาให้”
“ทูลพระนาง ฝ่าบาทยังทรงมีรับสั่งให้นำแพรพรรณและเครื่อง
ประดับสำหรับงานเลี้ยงมามอบแด่พระนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มหันไปรับถาดจากมือของนางกำนัล ก่อนจะก้าวไปยืนมิห่างจากเจ้าของตำหนัก พระสนมกั๋วได้ให้นางกำนัลเข้าไปรับถาดจากมือของกงกงหนุ่มและนางกำนัลอีกคน“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งถึงพระสนมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทรงรับสั่งว่าอย่างไร รีบบอกมา อย่ายื้อเวลาให้มาก ให้รู้จักว่าข้ามิใช่เพื่อนเล่นของเจ้า และเวลานี้ ข้าก็มีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก”
กั๋วเต๋อเฟยอยากขับไล่อีกฝ่ายให้ไปจากตำหนักของนางยิ่งนัก เวลานี้ นางไม่พร้อมพบหน้าผู้ใด ขันทีหนุ่มยกมือคำนับพระสนมคนงามอีกครั้ง ก่อนจะขยับเข้าใกล้ในระยะที่ไม่เป็นการล่วงเกินมากจนเกินไป
“บนกระดานขาดเบี้ยที่ดีเมื่อใด ย่อมทำเสียสมดุลเอาได้ กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีหนุ่มกล่าวจบจึงได้ขยับถอยหลังออกห่างพระสนมคนใหม่หลายก้าว ก่อนจะพากันทำความเคารพแล้วหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
มือบางสั่นระริกด้วยอารมณ์ที่ปนเปกันหลายแบบ เท้าบางหมุนกายก้าวเข้าไปยังห้องชั้นใน ก่อนที่จะวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะ สายตาจ้องอยู่ที่ฝาถ้วยชาด้วยการหยั่งใจตนเอง ว่าสมควรจะเปิดมันออกหรือปล่อยไว้เช่นนั้น นางมิได้โง่งมจนมิรู้ความในคำพูดของฮ่องเต้แห่งชีเป่ย ชายผู้นี้กำลังเอ่ยท้าทายนางอย่างโจ่งแจ้ง
‘แล้วเราจะได้รู้กันในมิช้า ฝ่าบาท หึ ๆ’
“ทูลพระสนม กระหม่อมไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่าบาททรงประทานของมามอบให้แด่พระนาง”
อี้กงกงโค้งตัวต่ำอยู่นอกม่าน เขาเจ็บใจจนเกินบรรยายที่ทำอะไรขันทีหนุ่มมิได้ ซ้ำตัวเขาอาจถูกลงทัณฑ์จากคนด้านใน ซึ่งตอนนี้ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่า พระนางทรงกำลังกรุ่นโกรธเป็นที่สุดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่นี้
“เอาเถอะ ให้มันจบ ๆ ไปเสีย ข้าไม่อยากฟังคำแก้ตัวจากใครทั้งนั้น พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ข้าอยากอยู่คนเดียว”
หญิงสาวจำต้องเอ่ยตัดบทออกไป เพราะนางยังจำเป็นต้องใช้งาน
อี้กงกงอีกมาก นางจะไม่ทำให้เบี้ยสำคัญหายไปแม้แต่ตัวเดียว เพียงเพราะก้อนหินที่ปามาตกในกระดานหมากของนาง แค่ปัดมันทิ้งไปเสีย เพียงเท่านี้ก็จะมีเพียงหมากที่นางวางไว้เท่านั้นบนกระดาน“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ พระนาง”
เมื่อกล่าวจบ อี้กงกงพร้อมทั้งเหล่านางกำนัลต่างทำความเคารพผู้เป็นนาย ก่อนจะพากันขยับล่าถอยออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และเงียบกริบราวไร้การมีอยู่ของทุกคน
ร่างบางยังคงยืนนิ่งกับที่อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะขยับกายลงนั่งยังที่เดิม
ก่อนออกไปรับน้ำชาพระราชทาน เวลานั้น นางนึกทบทวนถึงคำพูดที่ผู้เป็นใหญ่ฝากมาให้แก่นางอีกครั้ง
รอยยิ้มอย่างมีความในได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม ก่อนที่มือบางเอื้อมไปยกถ้วยชาที่ยังคงอุ่นเพียงเล็กน้อย พร้อมกับเปิดฝาออก ขยับถ้วยชาล้ำค่าเข้าชิดใบหน้าเพื่อให้รับรู้ถึงไออุ่นและกลิ่นหอมละมุนของน้ำสีอำพันในถ้วย ทว่า ดวงตากลับต้องเบิกกว้าง ด้วยความตกใจเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายในถ้วย
‘หึ ๆ ข้าเข้าใจถูกสินะ’
หญิงสาวเหยียดยิ้มด้วยความผยองในความหมายที่คาดเดาเอาไว้ก่อนหน้าเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกมอบมาให้ กั๋วเชียงอยากที่จะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ ยิ่งนัก ชายผู้นี้แม้จะเก่งกาจเพียงใดก็ยังเป็นรองนางอยู่ดี แม้จะส่งหมากมาให้เสมือนเป็นการข่มนาม ทว่า นางมิใช่สตรีโง่งมเช่นบรรดาสนมนางในผู้อื่นของชีเป่ย นางคือสตรีผู้จะเป็นใหญ่เหนือใต้หล้า และเป็นผู้กุมชัยในหมากกระดานนี้เท่านั้น
‘หมากของข้าดีเสมอ ฝ่าบาท ส่วนพระองค์จะทรงมีขุนพลมารุกฆาตข้ารึไม่เท่านั้นเอง หึ ๆ’
คณะของอ๋องน้อยโม่หยวนฟางพร้อมสหายทั้งสองได้เดินหลบหายไปยังอีกด้านของทุ่งหญ้า เมื่อลับจากสายตาของคนในคณะแล้ว ร่างสูงของโม่หยวนฟางได้ทรุดลงกับพื้นหญ้า โดยมีถงเหยียนเจี๋ยและหลงเป่า ต่างรีบคว้าพยุงเอาไว้มิให้ใบหน้าหล่อเหลาของอ๋องน้อยกระทบพื้นดิน“ท่านอ๋องน้อย เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“อึก! ข้าไม่เป็นไร อย่างกังวลไป หลงเป่า”“ยังจะปากดีอีกรึ หยวนฟาง เจ้าฝืนตนเองมากเกินไปแล้ว ร่างกายเจ้ามิใช่หินผาที่จะไร้เทียมทาน”“ว่าแต่ตัวข้า เจ้าเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าใดนัก”หลงเป่ามิได้ลดความกังวลเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นนายทั้งสองพูดคุยกัน ณ เวลานี้คงมีแค่เขาเท่านั้นที่มีความพร้อมทางร่างกายมากที่สุด หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนักชายหนุ่มทั้งสองพยุงโม่หยวนฟางไปยังโคนต้นไม้ เพื่อให้ชายหนุ่มได้พักร่างกายที่อ่อนล้าจนแทบเรียกว่าขีดสุดแล้วในตอนนี้ ทว่า โม่หยวนฟางจำต้องฝืนทุกขีดจำกัดของร่างกายตน เพื่อเป็นเสาหลักให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมดในคณะ“อย่าทำหน้าเช่นนั้น หลงเป่า ข้ายังไม่ตายในตอนนี้ แต่หากในหนทางข้างหน้าต่อจากนี้ ข้าคงต้องฝากชีวิตของทุกคนไว้ในมือของเจ้า”“ท่านอ๋องน้อยอย่าได้เป็นกังวลไป หลงเป่ามิ
“ขอรับนายท่าน อ้อ! ว่าแต่เรื่องหลานชายคนโตของฮองเฮา จ้าวอวิ๋นเราจะจัดการเลยหรือไม่ขอรับ แต่ข้าไม่คิดว่าคนเช่นจ้าวอวิ๋นจะมีพิษภัยอันใดเลยนะขอรับ”“ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ประมาทกับคนสกุลจ้าว แม้จ้าวอวิ๋นดูไร้ค่าเพียงใดในสายตาคนทั่วไป แต่เจ้าลองคิดดูว่า คนเช่นนั้นไยถึงเป็นเจ้าเกาะดอกเหมยได้เล่า หากไร้ฝีมือจริง ต่อให้มีบารมีของฮองเฮาหนุนอยู่ เขาก็มิอาจรอดพ้นกลุ่มคนที่ต้องการแย่งชิงเกาะนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จ้าวอวิ๋นคือทายาทสกุลจ้าวรุ่นต่อไป ย่อมต้องมีดีมิน้อย”“นายท่านโปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วย ที่บังอาจมองข้ามความสามารถของศัตรูไปมากเช่นนี้”“ดำเนินตามแผนการเดิม อย่าได้ทำอันใดนอกเหนือคำสั่งข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูข้าไปด้วย เข้าใจรึไม่”“ทราบแล้วขอรับ”ทุกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพากันชูจอกสุราเป็นการเคารพผู้นำหลังม่านของพวกตนซึ่งได้ยกจอกสุราขึ้นสูงเช่นกัน ก่อนจะพากันดื่มด่ำกับสุรารสเลิศกันอย่างสุขใจกับข่าวที่ได้รับจากทางไกลวังหลวง ตำหนักฮองเฮาสตรีในชุดสีทองอร่ามกำลังเอนกายพิงหมอน โดยแขนข้างหนึ่งตั้งชันรองศีรษะได้รูป อีกข้างถือตำราอยู่ในมือ
ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของหญิงสาว เมื่อร่างบางหมุนกายเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมยังมุมปากของตนเอง“ไปได้แล้ว เรื่องนี้ เจ้าต้องหาคำตอบมาให้ข้าเร็วที่สุด ก่อนคนของเจ้าแก่นั่นจะหานางโจรพบก่อนเรา”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แม้ภายในใจเขาอยากรู้ถึงเหตุผลของผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดได้มากไปกว่านี้ ว่าเหตุใดนายหญิงของตนถึงต้องการสืบหานางโจรที่บุกสังหารครอบครัวสกุลเชี่ยกั๋วเชียงมองเลยออกไปยังนอกหน้าต่าง คืนนี้ พระจันทร์ช่างงดงาม ทว่า ใจของนางกลับคลั่งแค้นในสายตาของนางโจรผู้นั้น จนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ สตรีที่มากด้วยฝีมือซ้ำยังเย้ยหยันนางให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ร่วมดูเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับทำเหมือนนางไร้ตัวตน ทว่า สายตาที่เหลียวมองนาง มันมิใช่เช่นการกระทำเอาเสียเลย“ข้าต้องหาเจ้าให้พบ มิว่าอยู่หรือตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอย่ากำแหงมองข้ามคนเช่นข้า”ยามเช้า ณ อุทยานหลวงฮองเฮาเจ้าเหลียน พร้อมด้วยเป่าฮูหยินกำลังเดินเก็บดอกไม้เพื่อไปทำน้ำอบชั้นเลิศ สองร่างงามเดินเคียงกันท่ามกลางหมู่มวลดอก
“กั๋วเชียงมิบังอาจขัดพระประสงค์ของฮองเฮาเพคะ”เมื่อพระสนมคนใหม่ก้าวเข้ามาภายในศาลา เป่าฮูหยินจำต้องขยับกายถอยออกไปยืนยังเบื้องหลังของผู้เป็นนาย ด้วยฐานะของนางมิอาจร่วมโต๊ะได้หากแขกของผู้เป็นนายมิอนุญาตออกมา“เป่าฮูหยิน นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกันเถิด ข้าเป็นเพียงแขกของฮองเฮา มิบังอาจที่จะปฏิเสธร่วมโต๊ะกับสหายของพระนางได้ จริงรึไม่เพคะ ฮองเฮา”“ขอบใจเจ้ามากเต๋อเฟย ที่มิรังเกียจสหายของข้า นั่งลงเถิด สุ่ยอี้ ประเดี๋ยวชาจะเย็นเอาเสียก่อน”จูซือเหนียงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผู้อ่อนอาวุโสกว่าโดยการเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในที เมื่อองค์หญิงผู้เลอโฉมจงใจว่านางโดยใช้เป่าฮูหยินเป็นโล่กำบัง ฮองเฮาที่มาจากสามัญชนนั้นย่อมดูด้อยอำนาจในสายตาของสตรีที่เกิดจากสายเลือดสูงส่ง‘เด็กน้อย อยากก้าวเป็นใหญ่ แต่ไร้เดียงสาไปสักหน่อยกระมัง’“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยเพคะพระนางเต๋อเฟย”เป่าฮูหยินย่อกายงดงาม ก่อนจะขยับกายนั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชา รอยยิ้มของสตรีทั้งสามต่างสดใสราวดอกไม้แรกแย้ม ทว่า ทุกคำพูดกลับเชือดเฉือนกันอยู่ในที จนเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วยาม“ทูลฮองเฮา กั๋วเชียงจำต้องขออำลาก่อนเพคะ หม่อมฉันต้องไปจัดเตรียมเ
เนินเขาห่างจากขบวนเสด็จของหลิวกุ้ยเฟย มีร่างสูงของใครอีกคนนั่งพิงหินก้อนใหญ่อยู่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย ในมือใหญ่มีขวดสุราหยกเนื้อดี ก่อนจะยกขึ้นจรดริมฝีปากหนา หน้าที่ของเขามันช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก แต่จะให้ไปปลอมตัวแทรกซึมในคณะเดินทางก็ช่างไร้อิสระสิ้นดี“พวกมันตั้งใจถ่วงเวลา น่ารำคาญยิ่งนัก ทำให้ข้าล่าช้าไปด้วย”“ท่านเองก็ยังมิหายดีนะขอรับ จะรีบร้อนไปไย มิดีหรือ จะได้ถือโอกาสเช่นนี้รักษาตัวไปพร้อมกันขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งห่างออกไปได้เอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงกว่าเดิม ก่อนจะหันมองไปยังขบวนยาวเหยียดที่ห่างออกไปไกล แต่มิใช่เรื่องลำบากอันใดต่อสายตาของเขา“ข้ามีหมอส่วนตัวที่ฝีมือล้ำเลิศรอรักษาอยู่แล้ว แผลแค่นี้มิอาจทำอันใดข้าได้ ฮึ! มันยังไกลหัวใจข้ามากนัก”น้ำเสียงทะนงตน หรือจะเรียกอีกอย่างว่าความดื้อรั้นจะเหมาะสมมากกว่าในความคิดของผู้ติดตาม ที่จำต้องคอยหาคำพูดมาทำให้ผู้เป็นนายมิรู้สึกเบื่อหน่าย“ขอรับนายท่าน แต่…”“หยุด”มือหนายกขึ้นห้าม เพราะเขาฟังคำนี้มานับตั้งแต่ออกจากเจียงไห่แล้ว ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปยังอีกทิศทาง พร้อมรอยยิ้มกดลึกเมื่อนึกถึงคนที่เขาถวิลหาที่ส
“อี้เทียน พ่อและสกุลจ้าวช่างเป็นหนี้เจ้ามากนัก พ่ออยาก...”“ท่านพ่อ อย่าใช้จังหวะเช่นนี้กับข้า ข้ายังยืนยันคำเดิม หากพี่ใหญ่และพี่รองมิออกเรือน ข้าก็ไม่คิดเรื่องนี้เช่นกัน”ชายหนุ่มอีกสามคนต่างพากันกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เมื่อผู้เป็นพ่อพยายามให้พี่ชายออกเรือนเพื่อมีทายาทให้แก่สกุลจ้าวเสียที ซึ่งทุกคนเหมือนจะสิ้นหวังกับหลานชายคนโตและคนรองอย่างจ้าวอวิ๋นและจ้าวหมิงเยว่แล้วนั่นเอง ภาระทั้งหมดจึงมาลงที่จ้าวอี้เทียน“พ่อยังมิทันว่าอันใดนี่!”จ้าวหลานเค่อได้แต่ยกชาขึ้นจิบ เมื่อเขาไม่อาจฉวยจังหวะนี้ให้บุตรชายตกลงไปในหลุมพรางที่เขาและคนในบ้านขุดล่อจ้าวอี้เทียนมานานนับปีเลยทีเดียว จนบางครา ทุกคนก็เกรงว่าจ้าวอี้เทียนจะนิยมตัดแขนเสื้อไปเสียแล้ว หากจะวางความหวังไว้กับบุตรชายคนโตและคนรองนั้น ดูเหมือนจะยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียวส่วนแฝดสามของเขาก็ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง ต่างพากันทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่เช่นในตอนนี้ปะไรเล่า‘ข้าจะต้องทำให้พวกเจ้ามีหลานแก่ข้าโดยไวให้จงได้ หึ ๆ’“ท่านพ่ออย่ามัวคิดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นอยู่เลยนะขอรับ เพราะดูเหมือนแขกของเราจะรอนานแล้ว ไยมิเชื้อเชิญ
“พวกเจ้าอย่าทำให้บิดาผู้นี้ผิดหวัง รู้รึไม่”“ขอรับท่านพ่อ”แฝดสามแห่งสกุลจ้าวขานรับผู้เป็นพ่ออย่างพร้อมเพรียง สร้างรอยยิ้มพิมพ์ใจให้แก่จ้าวหลานเค่อยิ่งนัก ชายสูงวัยไม่แม้แต่จะขยับกาย มือหนาเอื้อมหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ทุกอย่างรอบกายเสมือนเป็นเพียงสิ่งบันเทิงใจก็เท่านั้นปึก! ฝ่ามือเรียวของจ้าวจิงเหวิ่นปะทะเข้ายังข้อมือของผู้บุกรุก ทุกการเคลื่อนไหวดูนุ่มนวล ทว่าแรงปะทะของฝ่ามือเรียวนั้นมิใช่เบาดั่งเช่นตาเห็นเลยแม้แต่น้อย ชายชุดดำถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการบาดเจ็บของตน เขาคือนักฆ่าชั้นยอด มิคิดว่าเพียงเด็กหนุ่มชาวป่าจะรับมือเขาได้ในเพียงกระบวนท่าแรก“ขออภัยด้วยพี่ชาย พอดีข้าเกรงเสื้อผ้าของข้าจะมีรอยแปดเปื้อน จำต้องปัดมือท่านออกไปเสีย”คำยั่วยุของจ้าวจิงเหวิ่นดูเหมือนจะยังได้ผลเช่นทุกครั้งเมื่อศัตรูมิได้หยุดนิ่งนานเท่าที่ควร กระบี่ยาวหมุนวนตรงเข้าสู่หัวใจของชายหนุ่มด้วยความดุดันมืออีกข้างที่ไขว้หลังไว้ในคราแรกได้สะบัดออกมาพร้อมพัดที่ยังมิทันกางต้านรับปลายกระบี่ได้อย่างเหนือความคาดหมายของชายชุดดำ รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นช้า ๆ บนใบหน้าของจ้าวเหวิ่น ร่างสู
“อ๊ากกก!”มือของคนที่ถือคบไฟถูกตัดขาดกระเด็น เลือดพุ่งออกมาดุจสายน้ำ“จะเผาบ้านข้า พวกเจ้าคงเตรียมใจมาพร้อมแล้วสินะ”ชายหนุ่มหลายคนก้าวออกมาจากตัวบ้านออกสู่ลานกลางของหมู่บ้านด้วยท่าทีสบาย ๆ ดูมิทุกข์ร้อนหรือตื่นตกใจกับผู้บุกรุกซึ่งหมายเอาชีวิตพวกเขาอย่างตั้งใจทุกการแสดงออกของเจ้าบ้าน ทำให้ผู้มาเยือนเพื่อทำลายล้างหมู่บ้านสกุลจ้าวให้สิ้นซากนั้นเสมือนมดปลวกที่ล่วงล้ำเข้ามากัดกินเสาเรือนเพียงเท่านั้น และเหมือนกับว่าเวลานี้ เจ้าบ้านเองก็พร้อมที่จะบดขยี้ผู้รุกล้ำให้หมดสิ้นไปเช่นกัน“ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริงที่ชาวบ้านป่าเช่นพวกเจ้าจะมิรู้จักการเกรงกลัวความตายเอาเสียเลย”“อันความตายนั้นเป็นเรื่องปกติสามัญของผู้มีจิตวิญญาณมิใช่หรือ ไยต้องเกรงกลัวมันด้วยเล่า แต่…หากว่าต้องตายด้วยฝีมือของคนต่ำช้าแล้วละก็ ข้าขอต่อกรด้วยสักคราเพื่อปกป้องเกียรติสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า ท่านว่าจริงรึไม่”“คนเช่นพวกเจ้ามีเกียรติอันใดให้รักษารึ ฮา ๆ”ผู้นำชายชุดดำหัวเราะด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น ทว่า ภายในใจกลับเจ็บร้าวลึกอยู่มิน้อย เมื่อมองไปยังชายหนุ่มหลายคนที่ยืนประจันหน้ากับพวกเขาอย่างองอาจ เพราะทุกถ้อยคำของเจ้าบ้านน
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักเก่าฮองเฮาจ้าวเหลียนร่างสูงนอนเหยียดยาวโดยรอบกายนั้นมีหินร้อนวางไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น ไอเย็นของโม่คังแม้จะถูกสกัดเอาไว้โดยผู้เป็นอาจารย์ แต่ยังมิใช่ว่าภายในของเขาจะกลับมาเป็นปกติ จนถึงเวลานี้ โม่คังยังไร้วี่แววจะรู้สึกตัว และสิ่งที่ทุกคนนั้นเป็นกังวลกว่าคือหากโม่คังตื่นขึ้นมาพบว่าหรู่อี้หายไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างตอนนี้ ภายในตำหนักทุกห้องมีคนเจ็บที่ยังไร้ซึ่งสติกันแทบทุกคน ยกเว้นเพียงโม่ฟางเล่อที่ออกติดตามสามีเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย เพื่อส่งร่างของถงม่งเหยาตามคำขอของจ้าวอวิ๋น การสูญเสียของสองพี่น้องสกุลจ้าวทำให้โม่เหยียนเฉาและจ้าวเหลียนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่หลานชายขอมา เขายินดีที่จะมอบให้ทั้งสองสามีภรรยานั่งเฝ้าบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ ผมของโม่คังจากดำสลวยกลับกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายที่เคยมีสีเลือด ตอนนี้ขาวซีดไร้สีสัน จ้าวเหลียนกุมมือของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในตอนนี้นอกจากการตื่นของโม่คัง“อี้เอ๋อร์”โม่เหยียนเฉาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อคำแรกที่บุตรชายของเขาเอ่ยออกมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทนั้นคือชื่อของคู่หมั้
จ้าวอวิ๋นคว้าร่างบางที่ล้มลงต่อหน้าเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะระเบิดพลังออกมาจนถึงขีดสุดด้วยอาการคลุ้มคลั่ง เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของทหารฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหา แตกกระจายออก สิ้นใจในทันที ร่างสูงกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น“ข้ารักท่าน จ้าวอวิ๋น ข้าระ…ระ…อึก!”“ข้ารักเจ้า ถงม่งเหยา ข้ารักเจ้า ได้ยินหรือไม่ เจ้าอย่าได้บังอาจทอดทิ้งข้าไปเช่นนี้ ม่งเอ๋อร์ อย่าทำกับข้าเยี่ยงนี้ อ๊ากกก!”ถงเหยียนเจี๋ยชาไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียว ร่างสูงพุ่งเข้าหาหยางซานซินเสมือนคนเสียสติ เพราะคนเช่นหยางซานซินที่ทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น มันพรากดวงใจของเขาไปเช่นนี้มิได้ น้ำตาของชายหนุ่มไหลเป็นทาง ยิ่งเมื่อนึกถึงอ้อมกอดและรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นน้องสาว ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยเปรียบดั่งพยัคฆ์บาดเจ็บที่สู้จนตัวตายเลยทีเดียวหย่งฉีพุ่งเข้าสังหารทหารที่ยังหลงเหลืออยู่รอบกายของจ้าวอวิ๋นและร่างของหญิงสาวในอ้อมแขน ร่างสูงสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก เขาบกพร่องต่อหน้าที่จนได้ ปกป้องนายหญิงน้อยมิได้ เขาไม่สมควรมีลมหายใจอยู่ต่อไปเลยด้วยซ้ำจ้าวอวิ๋นพยายามโรยยาตามบาดแผลของ
“เจ้าจะยอมแพ้มิได้ โม่คัง เจ้าคือหนึ่งในสายเลือดสกุลจ้าว จงให้หัวใจนำพาพละกำลังในกาย เข้าใจหรือไม่ พี่อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจะต้องปลอดภัยน้องรัก พี่จะมิให้สิ่งใดพรากเจ้าไปจากพวกเราอีกแล้ว”ทุกถ้อยคำที่จ้าวอวิ๋นเอ่ยออกมานั้นเสมือนเสียงกระซิบอันไกลโพ้นสำหรับโม่คัง น้ำตาของบุรุษผู้เป็นนักรบไหลอาบสองแก้ม แม้จะมีลมหายใจกลับมาได้จากสิ่งที่หยางซานซินกระทำต่อเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ก็ใช่ว่าร่างกายที่เห็นนี้จะเป็นปกติสมบรูณ์ไม่ และตอนนี้ มันกำลังส่งผลต่อตัวเขาในยามคับขัน“เพื่อข้า พี่คัง! ทำเพื่ออี้เอ๋อร์สักครั้งเถิด!”หรู่อี้ที่รับมืออยู่กับหยางซานซินตะโกนก้องเรียกสติของชายหนุ่ม จ้าวอวิ๋นขบกรามแน่น เขาทำได้เพียงกวัดแกว่งป้องกันทหารที่พยายามโจมตีเขา ซึ่งมันมิน่าเป็นห่วงเท่าหญิงสาวผู้ที่ปกป้องเขากับน้องชายในตอนนี้เลย ร่างของหรู่อี้โชกไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่นางกลับมิปริปากร้องโอดครวญแม้แต่น้อย ทุกถ้อยคำมีเพียงโม่คังเท่านั้นถงม่งเหยาพยายามอย่างมากที่จะฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าช่วยเหลือหรู่อี้ ทว่า ตัวนางเองยังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรูเช่นกัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดคลอหน่วยตาของใครหลายคน พวกเขาจะเก่ง
อุทยานหลวงโม่คังพร้อมด้วยชูถงยืนนิ่งมองไปยังบุรุษต่างวัยอีกสองคน ซึ่งมิได้มีแค่เท่าที่เห็น ทว่าเขาสองคนตกอยู่กลางวงล้อมของทหารกบฏนับสิบเลยทีเดียว ทั้งคู่ลอบสบตากันเป็นระยะ“เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ชูถง ว่าคนอย่างเจ้ามันภักดีต่อโม่เหยียนเฉา ยากที่จะร่วมมือกับข้าหักหลังนายเจ้าได้”“แล้วอย่างไร…ที่ข้าช่วยเจ้าในวันนั้น ก็เพื่อให้มีวันนี้อย่างไรเล่า หากเจ้าตายไป แล้วใครจะพาข้ากลับเมืองหลวง…”ราชครูหลิวกำหมัดแน่น แต่ยังเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดออกมา เขารู้มาโดยตลอดว่าชูถงมิได้ต้องการที่จะร่วมมือตั้งแต่แรก การที่ยอมให้ร่วมในขบวนการ เพียงเพราะเรื่องของบุตรสาวและหลานชายที่ตายไปแล้วเท่านั้น หากจะกำจัดเสนาบดีผู้นี้เสียก็ย่อมทำได้ แต่ด้วยเจียงไห่เป็นเมืองที่ญาติผู้พี่มีอำนาจ เขาจะลงมืออันใดย่อมมิมีทางรอดพ้นสายตาคนเช่นหลิวไห่เป็นแน่“ฮา ๆ ไหน ๆ วันนี้ ทุกอย่างก็กระจ่างชัดแล้ว หนี้แค้นทั้งหมดก็มาชำระกันให้เสร็จสิ้นเถิด”“กับข้าสินะ”ในที่สุด โม่คังก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบเมื่อคำว่าหนี้แค้นหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย เขาไม่สนว่า ตอนนี้ หยางซานซินจะจดจำได้หรือไม่ว่าแท้จริงเขาคือใคร สนเพียงแค่วันนี้จะชำ
เลือดสีดำคล้ำพุ่งออกจากปากของพี่น้องสกุลโม่ ทำให้จ้าวเหลียนและมู่ตานขยับเข้าประชิดร่างของสามีตนเองด้วยความเป็นห่วง เวลานี้กลับกลายเป็นพวกนางเสียเองที่ตกอยู่สภาวะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เวลาคับขันเช่นนี้ ผู้ทรยศคือองครักษ์และทหารในวัง ย่อมไม่แปลกที่พวกนางจะไร้คนปกป้องฉึก! ฉับ! “อ๊ากก!”เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของศัตรูเรียกสายตาคนทั้งสี่ให้หันมอง ร่างสูงตระหง่านของบุตรเขยสกุลโม่ยืนหน้านิ่งไร้ความรู้สึก ทุกก้าวของชายหนุ่มนั้นดูเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งจากแดนเหนือก็มิปาน อาวุธในมือที่กวัดแกว่งออกไปทุกครานั้นจะต้องได้ดื่มเลือดของศัตรูถงเหยียนเจี๋ยในเวลานี้ยากที่ใครจะคาดเดาว่าเขารู้สึกเช่นไร ด้วยข้างกายของชายหนุ่มนั้นไม่มีภรรยาอยู่เคียง ความเยือกเย็นของเขาน้อยคนที่จะได้เห็น ไอสังหารพวยพุ่งออกมาจนจิ้งอ๋องถึงกับถอยร่นไปด้านหลัง เลือดที่หยดตามปลายอาวุธเสมือนการข่มขวัญศัตรู ชายหนุ่มมิได้หันมองไปยังครอบครัวของพ่อตา แต่ดวงตาเย็นชาจ้องมองอยู่ที่จิ้งอ๋องแต่ผู้เดียว“ผู้ใดที่คิดทำให้ภรรยาของข้าเศร้าหมอง มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”“ฮา ๆ ยามใดกันที่ข้าไปทำภรรยาของเจ้าเศร้าหมอง”จิ้งอ๋อ
นอกวังหลวง ณ หมู่บ้านอี้ฟึ่บ! ร่างในชุดดำเหินกายลงยังลานดินหน้ากระท่อมที่อยู่ห่างจากบ้านเรือนหลังอื่น ก่อนจะเร่งสาวเท้าเข้าไปด้านในด้วยอาการร้อนรน ทว่า คนด้านในกระท่อมกลับยังคงนิ่งเฉย“นายหญิง ข่าวจากองค์หญิงนั้นเงียบหายไปขอรับ ส่วนกองทัพของนางก็พ่ายแพ้หมดสิ้นแล้วขอรับ”มือบางกำแน่นวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา ฟังการรายงานข่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้คนที่ร่วมห้องอยู่ด้วยรับรู้ได้ถึงไอสังหารที่กำลังพวยพุ่งออกจากร่างบอบบางของผู้เป็นนาย แต่เขายังจำต้องรายงานเรื่องทั้งหมดต่อไป มิอาจหยุดได้หากไม่ได้รับอนุญาต และจนกว่าเขาจะรายงานทุกอย่างให้หมดสิ้น“ต่อให้นางตาย เจ้าก็ต้องได้ศพนางกลับมา ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่”เอ่ยจบ ผู้เป็นนายก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายชุดดำทำเพียงโค้งคำนับก่อนจะหมุนกายจากไปภายในห้อง ร่างระหงก้าวตรงไปนั่งยังเตียง มือบางขยุ้มผ้าปูที่นอนด้วยความเจ็บร้าวอยู่ในอก สามีอันเป็นที่รักทำร้ายนางเพียงคนเดียวนั้นก็นับว่าร้ายกาจแล้ว นี่ยังทำกับบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางเพียงเพื่ออำนาจของตนอีก เขาไม่เคยสนใจเลยว่ากั๋วเชียงจะเจ็บปวดเพียงไรนางยอมเป็นพระชายาที่ตายแล้วในควา
ครั้งนี้มันกลับระเบิดเสียงดัง ทำให้มีบ้างที่ทหารอีกกลุ่มภายในโล่อื่นแตกกระจายกันออก มีทั้งบาดเจ็บมากน้อยตามแรงระเบิดที่ได้รับ จะมีเพียงโล่ที่ใช้ป้องกันผู้นำเท่านั้นที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ส่วนทหารที่มิได้ยกโล่ทำการเตรียมลูกศรเพื่อยิงเปิดทางให้แก่กองทัพของตนเอง เสียงโล่หนากระแทกพื้นเป็นจังหวะเพื่อให้ทหารที่อยู่ในเกราะกำบังแต่ละคนทำตามอย่างพร้อมเพรียงหลิวเจินเจินไม่อยากที่จะเสียเวลานานไปกว่านี้ และสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำนั้นนางเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี คนของตงกำลังตกเป็นรอง นางไม่อยากที่จะให้เกิดการพลิกหมากกระดานนี้ มือบางยกขึ้นส่งสัญญาณให้ทำตามแผนการขั้นต่อไป‘เจ้าคงลืมไปว่าบิดาข้า สามีข้า แม้แต่บุตรชายหญิงของข้าคือแม่ทัพ’ แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก แต่คงมีฝีมือเฉพาะตนอยู่มิน้อย ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้ตงคงมิคิดกำจัดโดยการส่งมาเช่นนี้เป็นแน่ หรือไม่ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเกิดในสกุลที่เป็นปรปักษ์ต่อบัลลังก์สินะหลิวเจินเจินทำเพียงยืนมองเหล่าทหารต่างแคว้นที่ต้องเอาชีวิตมาสังเวยความต้องการของผู้เป็นนาย นางจะไม่ยอมยืนรอให้อีกฝ่ายตอบโต้ได้เป็นอันขาด หากจะว่านางโหดร้ายก็ไม่ผิด เพื่อปก
ชายชุดดำได้ส่งสัญญาณจากกำแพงเมืองให้กับกองทัพฝั่งตนรับรู้ ซึ่งดูเหมือนจะฉวยโอกาสในช่วงก่อนมีงานพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ครั้งนี้ไม่กี่วันคอยส่งทหารมือดีที่สุดของแคว้น มิว่าจะเป็นแม่ทัพนายกอง แฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านและเมืองรอบ ๆ เพื่อรอจังหวะเหมาะสมบุกยึดเมืองหลวง โดยมีคนในของชีเป่ยคอยปูทางเอาไว้ให้กองทัพจากแคว้นตงเคลื่อนพลในทันทีเมื่อได้รับสัญญาณจากคนด้านใน ประตูเมืองทั้งสี่ด้านตอนนี้มีกำลังในการป้องน้อยนิด เพราะถูกเกณฑ์เข้าไปช่วยปกป้องประตูวังหลวง ทั้งยังเป็นทหารฝั่งกบฏมากกว่าครึ่งทำให้ง่ายต่อการบุกโจมตี“คุณหนูพวกมันเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”“อืม…ลงมือได้ จำไว้ว่าให้พวกมันเข้าไปให้หมด ค่อยจัดการ”ร่างระหงในชุดเกราะยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางกองทัพสกุลหลิวและกองกำลังจากสกุลหลง โดยมีหลงเป่าร่วมเป็นผู้นำในครั้งนี้ด้วย เมื่อแมวน้อยพากันหมายจะมาขโมยปลาถึงในบ้าน ก็จำต้องจับแมวตัวอ้วนมาลงทัณฑ์“ท่านน้า ลำบากท่านแล้ว”“เป่าเอ๋อร์ เพื่อพี่น้องของเรา คำว่าลำบากนั้นมิใช่สิ่งที่มีอยู่ในใจของข้า”“ขอรับ”เมื่อกองทัพจากต่างแคว้นเข้าสู่ประตูเมืองทั้งสี่ด้านจนหมดทุกคนแล้ว ซึ่งดูจะง่ายดายเสียเหลือเกินในสายตาของผ