“ขอรับนายท่าน อ้อ! ว่าแต่เรื่องหลานชายคนโตของฮองเฮา จ้าว
อวิ๋นเราจะจัดการเลยหรือไม่ขอรับ แต่ข้าไม่คิดว่าคนเช่นจ้าวอวิ๋นจะมีพิษภัยอันใดเลยนะขอรับ”“ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ประมาทกับคนสกุลจ้าว แม้จ้าว
อวิ๋นดูไร้ค่าเพียงใดในสายตาคนทั่วไป แต่เจ้าลองคิดดูว่า คนเช่นนั้นไยถึงเป็นเจ้าเกาะดอกเหมยได้เล่า หากไร้ฝีมือจริง ต่อให้มีบารมีของฮองเฮาหนุนอยู่ เขาก็มิอาจรอดพ้นกลุ่มคนที่ต้องการแย่งชิงเกาะนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จ้าวอวิ๋นคือทายาทสกุลจ้าวรุ่นต่อไป ย่อมต้องมีดีมิน้อย”“นายท่านโปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วย ที่บังอาจมองข้ามความสามารถของศัตรูไปมากเช่นนี้”
“ดำเนินตามแผนการเดิม อย่าได้ทำอันใดนอกเหนือคำสั่งข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูข้าไปด้วย เข้าใจรึไม่”
“ทราบแล้วขอรับ”
ทุกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพากันชูจอกสุราเป็นการเคารพผู้นำหลังม่านของพวกตนซึ่งได้ยกจอกสุราขึ้นสูงเช่นกัน ก่อนจะพากันดื่มด่ำกับสุรารสเลิศกันอย่างสุขใจกับข่าวที่ได้รับจากทางไกล
วังหลวง ตำหนักฮองเฮา
สตรีในชุดสีทองอร่ามกำลังเอนกายพิงหมอน โดยแขนข้างหนึ่งตั้งชันรองศีรษะได้รูป อีกข้างถือตำราอยู่ในมือ สายตาคู่งามมิได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากตัวอักษร สร้างความร้อนใจให้แก่แขกผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก
“ฮองเฮาเพคะ ไยยังทรงนอนพระทัยอยู่เช่นนี้เล่าเพคะ”
“เรื่องอันใดเล่าที่เจ้าว่าข้านอนใจ หืม? เป่าฮูหยิน” ดวงเนตรคู่งามชำเลืองแลคู่สนทนาเพียงน้อย แล้วกลับมาให้ความสนใจในตัวอักษรต่อ
“ก็ทรงเป็นแบบนี้น่ะสิเพคะ ฝ่าบาทถึงทรงมีพระสนมคนใหม่อีกแล้ว”
“อ้อ! เรื่องนี้เองรึที่ทำให้เจ้ารีบมาหาข้าถึงในวัง ตัวข้ารึอุตส่าห์ดีใจคิดว่าเจ้านั้นคิดถึงข้าเสียอีก”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนแกล้งเอ่ยเย้าแหย่เป่าฮูหยินที่นั่งทำหน้างอง้ำอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในตำหนัก โดยที่ดวงตาคู่งามยังคงไล่เลียงตามตัวอักษรมิให้คลาดไปแม้แต่ตัวเดียว
“หม่อมฉันจริงจังมากนะเพคะ นอกจากเป็นห่วงพระนางแล้ว หม่อมฉันก็คิดถึงพระนางมากเช่นกันนะเพคะ อย่าทรงมองความจริงใจของหม่อมฉันเป็นอื่นไปสิเพคะ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดปานเด็กของเป่าฮูหยินเรียกรอยยิ้มพิมพ์ใจจากเจ้าของตำหนักได้เป็นอย่างดี ก่อนที่มือบางจะลดระดับตำราที่บังพระพักตร์อยู่ลงอย่างช้า ๆ เพื่อเผยให้คนที่มาเยี่ยมเยียนได้เห็นรอยยิ้มพึงใจของนาง
“ข้ายังมิได้ว่าอันใดเลย อายุเจ้าก็มิน้อยแล้ว ยังจะทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้ หืม!”
“พระนางเองก็ทรงพระทัยกว้างเกินไปนะเพคะ มีที่ไหนที่ยอมให้พระสนมเอกเป็นผู้จัดการงานโดยมิผ่านพระนางเสียก่อน” เป่าฮูหยินเอ่ยแย้ง ทั้งน้ำเสียงยังตัดพ้อต่อว่า
“เจ้าอยากให้ข้าเหนื่อยมากนักหรืออย่างไรกัน การที่ฝ่าบาทให้หลิวกุ้ยเฟยเป็นผู้จัดการทุกอย่างแทนข้าทั้งหมด มันก็ดีอยู่แล้วมิใช่รึ”
“จะดีได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อหลิวกุ้ยเฟยเองก็ต้องการสิ่งที่พระนางครอบครองอยู่เช่นกันนี่เพคะ”
“แล้วนางทำได้หรือไม่เล่า ข้าก็ยังคงอยู่ตรงนี้มิใช่รึ เจ้าลองคิดดูให้ดี ๆ นะ ว่าการที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้หลิวกุ้ยเฟยเป็นคนจัดการงานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งหมด ย่อมส่งผลดีต่อตัวข้าอยู่มากมายหลายอย่าง ข้ามิต้องทนรับการร้องขอที่อาจมากมายเกินจำเป็น เพราะหากข้าปฏิเสธที่จะให้ขึ้นมา ผู้คนก็จะมองว่าข้าริษยาสนมคนใหม่ของสวามี หากข้ายินยอมที่จะให้ตามคำเรียกร้อง ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ถูกหรือไม่”
“หม่อมฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีเพคะ” ผู้เป็นแขกเลิกคิ้วสงสัย
“ก็ถ้าหลิวกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแล เต๋อเฟยจะเรียกร้องเกินอำนาจของหลิวกุ้ยเฟยได้รึไม่เล่า นางมิอาจทำได้ จริงหรือไม่ หลิวกุ้ยเฟยคือคนที่เหมาะสำหรับการรับมือกับสตรีผู้นั้นมากกว่าข้า เรารู้แต่แกล้งโง่งมเสียบ้างก็ได้”
จ้าวเหลียนเอ่ยเนิบช้า อธิบายอย่างใจเย็น เสมือนว่าทุกเรื่องที่ผู้อื่นร้อนใจ นางกลับเฉยเมยกับมันเสียอย่างนั้น มีเพียงขันทีและนางกำนัลข้างกายเท่านั้นที่รู้ดีในความเฉื่อยช้าของผู้เป็นนาย ว่ามันเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
แม้ปากจะบอกว่าเข้าใจ แต่ใบหน้างามของอดีตนางกำนัลข้างกายมิได้เป็นดั่งเช่นคำพูดเลยสักนิดเดียว
“พระนางเพคะ หม่อมฉันได้ยินข่าวมาว่า เมื่อหลายวันก่อน จวนสกุลเชี่ยถูกโจรบุกปล้นเพคะ”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น แต่ข้ายังมิได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเลยยังไม่รู้ความอันแท้จริงเท่าใดนัก อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนัก เลยมิได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นนอกวังหลวงเท่าใด เจ้าเองก็อย่าเอาเรื่องอื่นมาทำให้ความงดงามของเจ้าเศร้าหมองลงไปด้วยเลย”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนเอ่ยเย้าแหย่อดีตนางกำนัลด้วยรอยยิ้มงาม ทำให้เป่าฮูหยินถึงกับพลั้งเผลอแย้มยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว หลายวันมานี้ นางคร่ำเคร่งกับการคิดเป็นห่วงผู้เป็นนายจนไม่เป็นอันทำการงานใด แม้แต่การดูแลตัวเองที่ปกตินางจะไม่มีวันละเลยมันเลยแม้แต่น้อย
“พระนางทรงเย้าหม่อมฉันรึเพคะ”
“เห็นหรือไม่ เพียงเจ้ายิ้มออกมาก็งามหาที่ติมิได้ เรื่องในวังนั้น เจ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นได้แล้ว จงมองหาความสุขของตนเข้าไว้ รู้รึไม่ แม้ตัวข้าเองเหมือนจะสูญเสียอำนาจในมือไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทว่าปัจจุบัน ข้ายังคงเป็นคนที่มีสิทธิ์นั่งเคียงข้างฝ่าบาทเหนือสตรีอื่นใด อย่าได้กังวลกับสิ่งที่ยังมิเกิดขึ้นเลยนะ”
“เพคะ หม่อมฉันต้องขออภัยที่นำเรื่องเช่นนี้มาเป็นประเด็นทำให้พระนางมัวหมองในพระทัยเพคะ”
“แล้วไปเถิด”
มือบางยกขึ้นเป็นเชิงให้ทุกอย่างจบลงแต่เพียงเท่านี้ การสนทนาครั้งนี้มิใช่อยู่ในที่ลับหรือส่วนตัวมากนัก นางมิรู้ว่ามีหนอนที่ชอนไชมากเพียงใดในวังหลวงแห่งนี้ ทางที่ดีต้องหยุดทุกอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดความบาดหมาง ก่อนจะถึงเวลาเก็บกวาดที่เหมาะสม
หมากทุกตัวบนกระดานกำลังถูกวงให้มารวมกันตรงกลาง สิ่งสำคัญ ทุกย่างก้าวต้องรอบคอบให้มากที่สุด จะให้คำพูดเพียงคำเดียวทำลายมิได้ นางคือหงส์ที่สยายปีก แล้วจะให้ลูกนกที่เพิ่งผลัดขนมาโฉบจิกได้หรืออย่างไรกัน
ตำหนักเต๋อเฟย
“เจ้าบอกข้าได้รึยัง ว่านางโจรนั่นคือผู้ใด”
เสียงใสกังวานเอ่ยถามคนที่คุกเข่าก้มต่ำอยู่บนพื้น สายตาคมมองไปยังชายหนุ่มชุดดำที่ยังคงนิ่งเงียบด้วยความขุ่นเคืองในอารมณ์ ด้วยนางถูกสตรีในชุดดำหยามเหยียดโดยตั้งใจ แม้จะไร้คำพูด แต่การกระทำคือสิ่งที่เสมือนมีดที่กรีดแทงใจกว่าหลายเท่านัก
“ทูลองค์หญิง หลังจากคืนนั้น ทุกอย่างเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังเร่งส่งคนออกติดตามหาข่าวทั่วทั้งในและนอกเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้เรื่อง เจ้ามิน่าทำงานเล็กน้อยเพียงนี้ผิดพลาดได้เลย กลุ่มคนมากมายถึงเพียงนั้นจะหายไปได้อย่างไรโดยไร้ผู้คนพบเห็น หรือพ้นสายตาพวกขายข่าวไปได้”
ชายหนุ่มยังคงก้มหน้านิ่งเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ด้วยเขารู้นิสัยของผู้เป็นนายดีว่า เวลาเช่นนี้มิควรต่อคำกับนางเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ลมหายใจของเขาอาจปลิดปลิวไปโดยไม่รู้ตัว
“กระหม่อมไร้สามารถ องค์หญิงโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ! เจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวงมือดีของแคว้นตง ไยถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้ไปได้”
เผียะ!
ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของหญิงสาว เมื่อร่างบางหมุนกายเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมยังมุมปากของตนเอง“ไปได้แล้ว เรื่องนี้ เจ้าต้องหาคำตอบมาให้ข้าเร็วที่สุด ก่อนคนของเจ้าแก่นั่นจะหานางโจรพบก่อนเรา”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แม้ภายในใจเขาอยากรู้ถึงเหตุผลของผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดได้มากไปกว่านี้ ว่าเหตุใดนายหญิงของตนถึงต้องการสืบหานางโจรที่บุกสังหารครอบครัวสกุลเชี่ยกั๋วเชียงมองเลยออกไปยังนอกหน้าต่าง คืนนี้ พระจันทร์ช่างงดงาม ทว่า ใจของนางกลับคลั่งแค้นในสายตาของนางโจรผู้นั้น จนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ สตรีที่มากด้วยฝีมือซ้ำยังเย้ยหยันนางให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ร่วมดูเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับทำเหมือนนางไร้ตัวตน ทว่า สายตาที่เหลียวมองนาง มันมิใช่เช่นการกระทำเอาเสียเลย“ข้าต้องหาเจ้าให้พบ มิว่าอยู่หรือตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอย่ากำแหงมองข้ามคนเช่นข้า”ยามเช้า ณ อุทยานหลวงฮองเฮาเจ้าเหลียน พร้อมด้วยเป่าฮูหยินกำลังเดินเก็บดอกไม้เพื่อไปทำน้ำอบชั้นเลิศ สองร่างงามเดินเคียงกันท่ามกลางหมู่มวลดอก
“กั๋วเชียงมิบังอาจขัดพระประสงค์ของฮองเฮาเพคะ”เมื่อพระสนมคนใหม่ก้าวเข้ามาภายในศาลา เป่าฮูหยินจำต้องขยับกายถอยออกไปยืนยังเบื้องหลังของผู้เป็นนาย ด้วยฐานะของนางมิอาจร่วมโต๊ะได้หากแขกของผู้เป็นนายมิอนุญาตออกมา“เป่าฮูหยิน นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกันเถิด ข้าเป็นเพียงแขกของฮองเฮา มิบังอาจที่จะปฏิเสธร่วมโต๊ะกับสหายของพระนางได้ จริงรึไม่เพคะ ฮองเฮา”“ขอบใจเจ้ามากเต๋อเฟย ที่มิรังเกียจสหายของข้า นั่งลงเถิด สุ่ยอี้ ประเดี๋ยวชาจะเย็นเอาเสียก่อน”จูซือเหนียงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผู้อ่อนอาวุโสกว่าโดยการเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในที เมื่อองค์หญิงผู้เลอโฉมจงใจว่านางโดยใช้เป่าฮูหยินเป็นโล่กำบัง ฮองเฮาที่มาจากสามัญชนนั้นย่อมดูด้อยอำนาจในสายตาของสตรีที่เกิดจากสายเลือดสูงส่ง‘เด็กน้อย อยากก้าวเป็นใหญ่ แต่ไร้เดียงสาไปสักหน่อยกระมัง’“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยเพคะพระนางเต๋อเฟย”เป่าฮูหยินย่อกายงดงาม ก่อนจะขยับกายนั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชา รอยยิ้มของสตรีทั้งสามต่างสดใสราวดอกไม้แรกแย้ม ทว่า ทุกคำพูดกลับเชือดเฉือนกันอยู่ในที จนเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วยาม“ทูลฮองเฮา กั๋วเชียงจำต้องขออำลาก่อนเพคะ หม่อมฉันต้องไปจัดเตรียมเ
เนินเขาห่างจากขบวนเสด็จของหลิวกุ้ยเฟย มีร่างสูงของใครอีกคนนั่งพิงหินก้อนใหญ่อยู่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย ในมือใหญ่มีขวดสุราหยกเนื้อดี ก่อนจะยกขึ้นจรดริมฝีปากหนา หน้าที่ของเขามันช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก แต่จะให้ไปปลอมตัวแทรกซึมในคณะเดินทางก็ช่างไร้อิสระสิ้นดี“พวกมันตั้งใจถ่วงเวลา น่ารำคาญยิ่งนัก ทำให้ข้าล่าช้าไปด้วย”“ท่านเองก็ยังมิหายดีนะขอรับ จะรีบร้อนไปไย มิดีหรือ จะได้ถือโอกาสเช่นนี้รักษาตัวไปพร้อมกันขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งห่างออกไปได้เอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงกว่าเดิม ก่อนจะหันมองไปยังขบวนยาวเหยียดที่ห่างออกไปไกล แต่มิใช่เรื่องลำบากอันใดต่อสายตาของเขา“ข้ามีหมอส่วนตัวที่ฝีมือล้ำเลิศรอรักษาอยู่แล้ว แผลแค่นี้มิอาจทำอันใดข้าได้ ฮึ! มันยังไกลหัวใจข้ามากนัก”น้ำเสียงทะนงตน หรือจะเรียกอีกอย่างว่าความดื้อรั้นจะเหมาะสมมากกว่าในความคิดของผู้ติดตาม ที่จำต้องคอยหาคำพูดมาทำให้ผู้เป็นนายมิรู้สึกเบื่อหน่าย“ขอรับนายท่าน แต่…”“หยุด”มือหนายกขึ้นห้าม เพราะเขาฟังคำนี้มานับตั้งแต่ออกจากเจียงไห่แล้ว ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปยังอีกทิศทาง พร้อมรอยยิ้มกดลึกเมื่อนึกถึงคนที่เขาถวิลหาที่ส
“อี้เทียน พ่อและสกุลจ้าวช่างเป็นหนี้เจ้ามากนัก พ่ออยาก...”“ท่านพ่อ อย่าใช้จังหวะเช่นนี้กับข้า ข้ายังยืนยันคำเดิม หากพี่ใหญ่และพี่รองมิออกเรือน ข้าก็ไม่คิดเรื่องนี้เช่นกัน”ชายหนุ่มอีกสามคนต่างพากันกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เมื่อผู้เป็นพ่อพยายามให้พี่ชายออกเรือนเพื่อมีทายาทให้แก่สกุลจ้าวเสียที ซึ่งทุกคนเหมือนจะสิ้นหวังกับหลานชายคนโตและคนรองอย่างจ้าวอวิ๋นและจ้าวหมิงเยว่แล้วนั่นเอง ภาระทั้งหมดจึงมาลงที่จ้าวอี้เทียน“พ่อยังมิทันว่าอันใดนี่!”จ้าวหลานเค่อได้แต่ยกชาขึ้นจิบ เมื่อเขาไม่อาจฉวยจังหวะนี้ให้บุตรชายตกลงไปในหลุมพรางที่เขาและคนในบ้านขุดล่อจ้าวอี้เทียนมานานนับปีเลยทีเดียว จนบางครา ทุกคนก็เกรงว่าจ้าวอี้เทียนจะนิยมตัดแขนเสื้อไปเสียแล้ว หากจะวางความหวังไว้กับบุตรชายคนโตและคนรองนั้น ดูเหมือนจะยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียวส่วนแฝดสามของเขาก็ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง ต่างพากันทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่เช่นในตอนนี้ปะไรเล่า‘ข้าจะต้องทำให้พวกเจ้ามีหลานแก่ข้าโดยไวให้จงได้ หึ ๆ’“ท่านพ่ออย่ามัวคิดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นอยู่เลยนะขอรับ เพราะดูเหมือนแขกของเราจะรอนานแล้ว ไยมิเชื้อเชิญ
“พวกเจ้าอย่าทำให้บิดาผู้นี้ผิดหวัง รู้รึไม่”“ขอรับท่านพ่อ”แฝดสามแห่งสกุลจ้าวขานรับผู้เป็นพ่ออย่างพร้อมเพรียง สร้างรอยยิ้มพิมพ์ใจให้แก่จ้าวหลานเค่อยิ่งนัก ชายสูงวัยไม่แม้แต่จะขยับกาย มือหนาเอื้อมหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ทุกอย่างรอบกายเสมือนเป็นเพียงสิ่งบันเทิงใจก็เท่านั้นปึก! ฝ่ามือเรียวของจ้าวจิงเหวิ่นปะทะเข้ายังข้อมือของผู้บุกรุก ทุกการเคลื่อนไหวดูนุ่มนวล ทว่าแรงปะทะของฝ่ามือเรียวนั้นมิใช่เบาดั่งเช่นตาเห็นเลยแม้แต่น้อย ชายชุดดำถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการบาดเจ็บของตน เขาคือนักฆ่าชั้นยอด มิคิดว่าเพียงเด็กหนุ่มชาวป่าจะรับมือเขาได้ในเพียงกระบวนท่าแรก“ขออภัยด้วยพี่ชาย พอดีข้าเกรงเสื้อผ้าของข้าจะมีรอยแปดเปื้อน จำต้องปัดมือท่านออกไปเสีย”คำยั่วยุของจ้าวจิงเหวิ่นดูเหมือนจะยังได้ผลเช่นทุกครั้งเมื่อศัตรูมิได้หยุดนิ่งนานเท่าที่ควร กระบี่ยาวหมุนวนตรงเข้าสู่หัวใจของชายหนุ่มด้วยความดุดันมืออีกข้างที่ไขว้หลังไว้ในคราแรกได้สะบัดออกมาพร้อมพัดที่ยังมิทันกางต้านรับปลายกระบี่ได้อย่างเหนือความคาดหมายของชายชุดดำ รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นช้า ๆ บนใบหน้าของจ้าวเหวิ่น ร่างสู
“อ๊ากกก!”มือของคนที่ถือคบไฟถูกตัดขาดกระเด็น เลือดพุ่งออกมาดุจสายน้ำ“จะเผาบ้านข้า พวกเจ้าคงเตรียมใจมาพร้อมแล้วสินะ”ชายหนุ่มหลายคนก้าวออกมาจากตัวบ้านออกสู่ลานกลางของหมู่บ้านด้วยท่าทีสบาย ๆ ดูมิทุกข์ร้อนหรือตื่นตกใจกับผู้บุกรุกซึ่งหมายเอาชีวิตพวกเขาอย่างตั้งใจทุกการแสดงออกของเจ้าบ้าน ทำให้ผู้มาเยือนเพื่อทำลายล้างหมู่บ้านสกุลจ้าวให้สิ้นซากนั้นเสมือนมดปลวกที่ล่วงล้ำเข้ามากัดกินเสาเรือนเพียงเท่านั้น และเหมือนกับว่าเวลานี้ เจ้าบ้านเองก็พร้อมที่จะบดขยี้ผู้รุกล้ำให้หมดสิ้นไปเช่นกัน“ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริงที่ชาวบ้านป่าเช่นพวกเจ้าจะมิรู้จักการเกรงกลัวความตายเอาเสียเลย”“อันความตายนั้นเป็นเรื่องปกติสามัญของผู้มีจิตวิญญาณมิใช่หรือ ไยต้องเกรงกลัวมันด้วยเล่า แต่…หากว่าต้องตายด้วยฝีมือของคนต่ำช้าแล้วละก็ ข้าขอต่อกรด้วยสักคราเพื่อปกป้องเกียรติสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า ท่านว่าจริงรึไม่”“คนเช่นพวกเจ้ามีเกียรติอันใดให้รักษารึ ฮา ๆ”ผู้นำชายชุดดำหัวเราะด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น ทว่า ภายในใจกลับเจ็บร้าวลึกอยู่มิน้อย เมื่อมองไปยังชายหนุ่มหลายคนที่ยืนประจันหน้ากับพวกเขาอย่างองอาจ เพราะทุกถ้อยคำของเจ้าบ้านน
ชายชุดดำรีบดึงสติของตนคืนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตัวเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ด้วยรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้มิใช่เพียงตราตรึงใจ ทั้งยังคุ้นเคยยิ่งนัก เพียงแต่เขาคิดมิออกว่าเคยพบเจอจากที่ใดมาก่อน“ไยใช้น้ำเสียงดุดันถึงเพียงนั้นเล่าพี่ชาย ข้าเพียงเดินชมดาวยามค่ำคืน ก็เพียงเท่านั้นเอง มิเห็นต้องดุข้าเลย”ข้ออ้างช่างไร้ความเป็นจริงนัก ยามนี้มีเพียงพระจันทร์ที่ส่องสว่างทั่วท้องฟ้า แสงดาวถูกกลบให้เห็นเพียงริบหรี่ หากจะบอกว่าเดินชมจันทร์ยังจะดูสมเหตุสมผลมากกว่าหลายเท่านัก“น้องชาย เจ้าช่างมีอารมณ์สุนทรียิ่ง ดวงดาวในค่ำคืนนี้ช่างงดงามริบหรี่เหลือคณานับ เจ้าคงเพลิดเพลินเดินหลงทางมากระนั้นกระมัง”ชายชุดดำเอ่ยเหน็บแหนมอีกฝ่ายไป พร้อมกับขยับก้าวเท้าไปด้านข้างทีละน้อยเพื่อหาจังหวะลงมือ ซึ่งอีกฝ่ายใช่จะอยู่นิ่งเช่นกัน“ข้าชอบความไม่ชัดเจน เช่นนั้น การชมดาวในคืนนี้จึงนับว่างดงามเป็นที่สุดอย่างไรเล่า”“อ้อ! เช่นนั้นรึ ข้าเพิ่งรู้ว่าคนบ้านป่านิยมชมชอบความเสี่ยงที่มิอาจคาดเดาผลลัพธ์ ว่าจะอยู่หรือตาย หึ ๆ”“หมู่วิหคโผบินสู่เวิ้งน้ำอันไพศาล ไฉนเลยจะมิรู้ชะตากรรม ดั่งฝูงปลาแหวกว่าย หมายสู่พื้นดิน พี่ชาย ท่านเข้าใ
จ้าวลี่อิงมองเหนือท้องฟ้ายังทิศทางหลังหมู่บ้าน นางกำลังรอบางสิ่งอยู่ด้วยใจที่เต้นรัวอย่างลุ้นระทึก มือบางกำแล้วคลายออกอยู่หลายหนเพื่อผ่อนคลายความเกรี้ยวกราดภายในใจให้เบาบางลง นางกำลังรอเพียงเวลาปัง! เสียงดังขึ้นจากทิศทางที่รอคอย รอยยิ้มงามจึงปรากฏขึ้นน้อย ๆ‘ได้เวลาแล้วสินะ’ จ้าวลี่อิงมองไปยังคนที่นั่งอยู่ดีดตัวลุกขึ้นอย่างร้อนรน เมื่อเห็นแสงสว่างบนท้องฟ้าในทิศทางเดียวกับนาง“งดงามดีหรือไม่ คุณชายอู๋หลิว”ขวับ! กลุ่มคนที่ยืนอยู่ยังเนินเขาต่างหันตามเสียงด้วยความตกใจ อาวุธถูกยกขึ้นเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันผู้เป็นนายในทันทีอู๋หลิวหรี่ตาลงมองไปยังหญิงสาวที่เขาคุ้นเคย ก่อนจะยิ้มกว้างปนขำขัน หญิงสาวบ้านป่าที่โง่งมหลงมาในกลลวงซึ่งถูกวางไว้อย่างง่ายดาย“ลี่อิงยอดรัก จุ๊ ๆ ดูเจ้าสิ! ไยถึงออกมาวิ่งเล่นไกลถึงเพียงนี้ ยามค่ำคืน เจ้ามิกลัวจะพบเจอสัตว์ป่าที่กำลังออกหากินเอารึอย่างไรกัน หืม!”อู๋หลิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสมือนกำลังเป็นห่วงหญิงสาวยิ่งนัก พร้อมทั้งใช้สายตามองร่างบางในชุดสีดำสนิทที่กลมกลืนไปกับความมืดของยามราตรีคืนนี้ หญิงสาวผู้ร่าเริงสดใสกลับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน แม้จะยังคงรอยยิ้มละมุนนั้
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ
“พี่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ถงมู่หลัน ว่าอย่าทำเช่นนี้อีก” เสียงเด็กชายวัยสิบขวบกำลังต่อว่าเด็กหญิงวันหกขวบด้วยท่าทางของผู้ใหญ่“…”แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกโมโหขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยทำเพียงสบตาเขา ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างหรือยอมรับในความผิดหลุดจากปากเล็ก ๆ นั่นสักคำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบิดเบ้พร้อมน้ำใส ๆ เอ่อคลอหน่วยตา ทั้งยังเม้มปากเสมือนเขากำลังทำร้ายนางให้เจ็บปวดแสนสาหัส“เฮ้อ!” ถงเอ่อหลางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ วันนี้ เขาออกมาตกปลายังลำธารห่างจากตัวเมืองเจียงไห่พร้อมด้วยผู้ดูแล แต่ใครจะไปคิดว่าน้องสาวตัวดีจะแอบติดตามออกมาโดยแอบอยู่ใต้รถม้าของเขายิ่งคิดถึงสภาพเวลาผู้เป็นน้องสาวต้องเกาะอยู่ใต้ท้องรถม้า อาการสั่นสะท้านไปทั่วกายก็พลันเกิดขึ้น หากนางเผลอหลับหรือรถม้าวิ่งเร็วจนไปกระแทกกับอะไรเข้า นางอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้“มู่หลัน พี่มีเจ้าแค่คนเดียว รู้หรือไม่ อย่าได้ทำให้ตัวน้องเองเป็นอะไรไป เข้าใจที่พี่พูดรึไม่”ถงเอ่อหลางใช้สองแขนรวบร่างอ้วนกลมของน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาจำต้องทำให้นางยิ้มก่อนกลับบ้าน มิเช่นนั้น เขาจะถูกกักบริเวณเป็นแน่ หากผู
เวลาผ่านไปเพียงขวบปี จิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกจับได้ว่าคิดกบฏ ซ้ำยังฉ้อราชบังหลวง ทำให้ต้องโทษประหาร ส่วนพระชายาและพระธิดาถูกขับออกจากเมืองหลวง ทำให้ชื่อของจิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกลบออกจากราชวงศ์ไปโดยปริยายทว่า ระหว่างทางขบวนส่งตัวอดีตพระชายาและท่านหญิงโม่เหลียนฮัวออกจากเมืองหลวงนั้น เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นฮี้ ๆ เสียงม้าตื่นตกใจและเสียงการต่อสู้จากด้านนอกทำให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ภายในรถม้าหวีดร้องด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งคู่ต่างรีบลงจากรถม้า ก่อนจะวิ่งลึกเข้าไปในป่า ทว่า เสียงการไล่ล่าประชิดเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อม“เจ้าคิดจะทำอะไร มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”“เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงได้มา”“ท่านแม่ เราถูกสั่งฆ่าใช่หรือไม่เพคะ”“ท่านหญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเมตตาต่อท่านทั้งสองยิ่ง ที่จะมอบความตายให้อย่างสงบโดยมิต้องทนมีชีวิตอยู่อับอายชาวเมือง ตายซะเถอะท่านหญิงทั้งสอง ดีกว่าอยู่เป็นแน่” คำพูดคล้ายชี้ชวนอย่างหวังดี ทว่า ความหมายกลับตรงกันข้ามร่างสูงของนักฆ่าในชุดดำที่อำพรางใบหน้าหลงเหลือเพียงดวงตาย่างสามขุมเข้ามาทุกทิศทาง แสงแดดกระทบดาบที่เงื้อง่าขึ้นสูงสะท้อนเข้าดว
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ