“ขอรับนายท่าน อ้อ! ว่าแต่เรื่องหลานชายคนโตของฮองเฮา จ้าว
อวิ๋นเราจะจัดการเลยหรือไม่ขอรับ แต่ข้าไม่คิดว่าคนเช่นจ้าวอวิ๋นจะมีพิษภัยอันใดเลยนะขอรับ”“ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ประมาทกับคนสกุลจ้าว แม้จ้าว
อวิ๋นดูไร้ค่าเพียงใดในสายตาคนทั่วไป แต่เจ้าลองคิดดูว่า คนเช่นนั้นไยถึงเป็นเจ้าเกาะดอกเหมยได้เล่า หากไร้ฝีมือจริง ต่อให้มีบารมีของฮองเฮาหนุนอยู่ เขาก็มิอาจรอดพ้นกลุ่มคนที่ต้องการแย่งชิงเกาะนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จ้าวอวิ๋นคือทายาทสกุลจ้าวรุ่นต่อไป ย่อมต้องมีดีมิน้อย”“นายท่านโปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วย ที่บังอาจมองข้ามความสามารถของศัตรูไปมากเช่นนี้”
“ดำเนินตามแผนการเดิม อย่าได้ทำอันใดนอกเหนือคำสั่งข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูข้าไปด้วย เข้าใจรึไม่”
“ทราบแล้วขอรับ”
ทุกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพากันชูจอกสุราเป็นการเคารพผู้นำหลังม่านของพวกตนซึ่งได้ยกจอกสุราขึ้นสูงเช่นกัน ก่อนจะพากันดื่มด่ำกับสุรารสเลิศกันอย่างสุขใจกับข่าวที่ได้รับจากทางไกล
วังหลวง ตำหนักฮองเฮา
สตรีในชุดสีทองอร่ามกำลังเอนกายพิงหมอน โดยแขนข้างหนึ่งตั้งชันรองศีรษะได้รูป อีกข้างถือตำราอยู่ในมือ สายตาคู่งามมิได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากตัวอักษร สร้างความร้อนใจให้แก่แขกผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก
“ฮองเฮาเพคะ ไยยังทรงนอนพระทัยอยู่เช่นนี้เล่าเพคะ”
“เรื่องอันใดเล่าที่เจ้าว่าข้านอนใจ หืม? เป่าฮูหยิน” ดวงเนตรคู่งามชำเลืองแลคู่สนทนาเพียงน้อย แล้วกลับมาให้ความสนใจในตัวอักษรต่อ
“ก็ทรงเป็นแบบนี้น่ะสิเพคะ ฝ่าบาทถึงทรงมีพระสนมคนใหม่อีกแล้ว”
“อ้อ! เรื่องนี้เองรึที่ทำให้เจ้ารีบมาหาข้าถึงในวัง ตัวข้ารึอุตส่าห์ดีใจคิดว่าเจ้านั้นคิดถึงข้าเสียอีก”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนแกล้งเอ่ยเย้าแหย่เป่าฮูหยินที่นั่งทำหน้างอง้ำอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในตำหนัก โดยที่ดวงตาคู่งามยังคงไล่เลียงตามตัวอักษรมิให้คลาดไปแม้แต่ตัวเดียว
“หม่อมฉันจริงจังมากนะเพคะ นอกจากเป็นห่วงพระนางแล้ว หม่อมฉันก็คิดถึงพระนางมากเช่นกันนะเพคะ อย่าทรงมองความจริงใจของหม่อมฉันเป็นอื่นไปสิเพคะ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดปานเด็กของเป่าฮูหยินเรียกรอยยิ้มพิมพ์ใจจากเจ้าของตำหนักได้เป็นอย่างดี ก่อนที่มือบางจะลดระดับตำราที่บังพระพักตร์อยู่ลงอย่างช้า ๆ เพื่อเผยให้คนที่มาเยี่ยมเยียนได้เห็นรอยยิ้มพึงใจของนาง
“ข้ายังมิได้ว่าอันใดเลย อายุเจ้าก็มิน้อยแล้ว ยังจะทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้ หืม!”
“พระนางเองก็ทรงพระทัยกว้างเกินไปนะเพคะ มีที่ไหนที่ยอมให้พระสนมเอกเป็นผู้จัดการงานโดยมิผ่านพระนางเสียก่อน” เป่าฮูหยินเอ่ยแย้ง ทั้งน้ำเสียงยังตัดพ้อต่อว่า
“เจ้าอยากให้ข้าเหนื่อยมากนักหรืออย่างไรกัน การที่ฝ่าบาทให้หลิวกุ้ยเฟยเป็นผู้จัดการทุกอย่างแทนข้าทั้งหมด มันก็ดีอยู่แล้วมิใช่รึ”
“จะดีได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อหลิวกุ้ยเฟยเองก็ต้องการสิ่งที่พระนางครอบครองอยู่เช่นกันนี่เพคะ”
“แล้วนางทำได้หรือไม่เล่า ข้าก็ยังคงอยู่ตรงนี้มิใช่รึ เจ้าลองคิดดูให้ดี ๆ นะ ว่าการที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้หลิวกุ้ยเฟยเป็นคนจัดการงานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งหมด ย่อมส่งผลดีต่อตัวข้าอยู่มากมายหลายอย่าง ข้ามิต้องทนรับการร้องขอที่อาจมากมายเกินจำเป็น เพราะหากข้าปฏิเสธที่จะให้ขึ้นมา ผู้คนก็จะมองว่าข้าริษยาสนมคนใหม่ของสวามี หากข้ายินยอมที่จะให้ตามคำเรียกร้อง ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ถูกหรือไม่”
“หม่อมฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีเพคะ” ผู้เป็นแขกเลิกคิ้วสงสัย
“ก็ถ้าหลิวกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแล เต๋อเฟยจะเรียกร้องเกินอำนาจของหลิวกุ้ยเฟยได้รึไม่เล่า นางมิอาจทำได้ จริงหรือไม่ หลิวกุ้ยเฟยคือคนที่เหมาะสำหรับการรับมือกับสตรีผู้นั้นมากกว่าข้า เรารู้แต่แกล้งโง่งมเสียบ้างก็ได้”
จ้าวเหลียนเอ่ยเนิบช้า อธิบายอย่างใจเย็น เสมือนว่าทุกเรื่องที่ผู้อื่นร้อนใจ นางกลับเฉยเมยกับมันเสียอย่างนั้น มีเพียงขันทีและนางกำนัลข้างกายเท่านั้นที่รู้ดีในความเฉื่อยช้าของผู้เป็นนาย ว่ามันเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
แม้ปากจะบอกว่าเข้าใจ แต่ใบหน้างามของอดีตนางกำนัลข้างกายมิได้เป็นดั่งเช่นคำพูดเลยสักนิดเดียว
“พระนางเพคะ หม่อมฉันได้ยินข่าวมาว่า เมื่อหลายวันก่อน จวนสกุลเชี่ยถูกโจรบุกปล้นเพคะ”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น แต่ข้ายังมิได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเลยยังไม่รู้ความอันแท้จริงเท่าใดนัก อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนัก เลยมิได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นนอกวังหลวงเท่าใด เจ้าเองก็อย่าเอาเรื่องอื่นมาทำให้ความงดงามของเจ้าเศร้าหมองลงไปด้วยเลย”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนเอ่ยเย้าแหย่อดีตนางกำนัลด้วยรอยยิ้มงาม ทำให้เป่าฮูหยินถึงกับพลั้งเผลอแย้มยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว หลายวันมานี้ นางคร่ำเคร่งกับการคิดเป็นห่วงผู้เป็นนายจนไม่เป็นอันทำการงานใด แม้แต่การดูแลตัวเองที่ปกตินางจะไม่มีวันละเลยมันเลยแม้แต่น้อย
“พระนางทรงเย้าหม่อมฉันรึเพคะ”
“เห็นหรือไม่ เพียงเจ้ายิ้มออกมาก็งามหาที่ติมิได้ เรื่องในวังนั้น เจ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นได้แล้ว จงมองหาความสุขของตนเข้าไว้ รู้รึไม่ แม้ตัวข้าเองเหมือนจะสูญเสียอำนาจในมือไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทว่าปัจจุบัน ข้ายังคงเป็นคนที่มีสิทธิ์นั่งเคียงข้างฝ่าบาทเหนือสตรีอื่นใด อย่าได้กังวลกับสิ่งที่ยังมิเกิดขึ้นเลยนะ”
“เพคะ หม่อมฉันต้องขออภัยที่นำเรื่องเช่นนี้มาเป็นประเด็นทำให้พระนางมัวหมองในพระทัยเพคะ”
“แล้วไปเถิด”
มือบางยกขึ้นเป็นเชิงให้ทุกอย่างจบลงแต่เพียงเท่านี้ การสนทนาครั้งนี้มิใช่อยู่ในที่ลับหรือส่วนตัวมากนัก นางมิรู้ว่ามีหนอนที่ชอนไชมากเพียงใดในวังหลวงแห่งนี้ ทางที่ดีต้องหยุดทุกอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดความบาดหมาง ก่อนจะถึงเวลาเก็บกวาดที่เหมาะสม
หมากทุกตัวบนกระดานกำลังถูกวงให้มารวมกันตรงกลาง สิ่งสำคัญ ทุกย่างก้าวต้องรอบคอบให้มากที่สุด จะให้คำพูดเพียงคำเดียวทำลายมิได้ นางคือหงส์ที่สยายปีก แล้วจะให้ลูกนกที่เพิ่งผลัดขนมาโฉบจิกได้หรืออย่างไรกัน
ตำหนักเต๋อเฟย
“เจ้าบอกข้าได้รึยัง ว่านางโจรนั่นคือผู้ใด”
เสียงใสกังวานเอ่ยถามคนที่คุกเข่าก้มต่ำอยู่บนพื้น สายตาคมมองไปยังชายหนุ่มชุดดำที่ยังคงนิ่งเงียบด้วยความขุ่นเคืองในอารมณ์ ด้วยนางถูกสตรีในชุดดำหยามเหยียดโดยตั้งใจ แม้จะไร้คำพูด แต่การกระทำคือสิ่งที่เสมือนมีดที่กรีดแทงใจกว่าหลายเท่านัก
“ทูลองค์หญิง หลังจากคืนนั้น ทุกอย่างเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังเร่งส่งคนออกติดตามหาข่าวทั่วทั้งในและนอกเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้เรื่อง เจ้ามิน่าทำงานเล็กน้อยเพียงนี้ผิดพลาดได้เลย กลุ่มคนมากมายถึงเพียงนั้นจะหายไปได้อย่างไรโดยไร้ผู้คนพบเห็น หรือพ้นสายตาพวกขายข่าวไปได้”
ชายหนุ่มยังคงก้มหน้านิ่งเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ด้วยเขารู้นิสัยของผู้เป็นนายดีว่า เวลาเช่นนี้มิควรต่อคำกับนางเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ลมหายใจของเขาอาจปลิดปลิวไปโดยไม่รู้ตัว
“กระหม่อมไร้สามารถ องค์หญิงโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ! เจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวงมือดีของแคว้นตง ไยถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้ไปได้”
เผียะ!
ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของหญิงสาว เมื่อร่างบางหมุนกายเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมยังมุมปากของตนเอง“ไปได้แล้ว เรื่องนี้ เจ้าต้องหาคำตอบมาให้ข้าเร็วที่สุด ก่อนคนของเจ้าแก่นั่นจะหานางโจรพบก่อนเรา”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แม้ภายในใจเขาอยากรู้ถึงเหตุผลของผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดได้มากไปกว่านี้ ว่าเหตุใดนายหญิงของตนถึงต้องการสืบหานางโจรที่บุกสังหารครอบครัวสกุลเชี่ยกั๋วเชียงมองเลยออกไปยังนอกหน้าต่าง คืนนี้ พระจันทร์ช่างงดงาม ทว่า ใจของนางกลับคลั่งแค้นในสายตาของนางโจรผู้นั้น จนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ สตรีที่มากด้วยฝีมือซ้ำยังเย้ยหยันนางให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ร่วมดูเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับทำเหมือนนางไร้ตัวตน ทว่า สายตาที่เหลียวมองนาง มันมิใช่เช่นการกระทำเอาเสียเลย“ข้าต้องหาเจ้าให้พบ มิว่าอยู่หรือตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอย่ากำแหงมองข้ามคนเช่นข้า”ยามเช้า ณ อุทยานหลวงฮองเฮาเจ้าเหลียน พร้อมด้วยเป่าฮูหยินกำลังเดินเก็บดอกไม้เพื่อไปทำน้ำอบชั้นเลิศ สองร่างงามเดินเคียงกันท่ามกลางหมู่มวลดอก
“กั๋วเชียงมิบังอาจขัดพระประสงค์ของฮองเฮาเพคะ”เมื่อพระสนมคนใหม่ก้าวเข้ามาภายในศาลา เป่าฮูหยินจำต้องขยับกายถอยออกไปยืนยังเบื้องหลังของผู้เป็นนาย ด้วยฐานะของนางมิอาจร่วมโต๊ะได้หากแขกของผู้เป็นนายมิอนุญาตออกมา“เป่าฮูหยิน นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกันเถิด ข้าเป็นเพียงแขกของฮองเฮา มิบังอาจที่จะปฏิเสธร่วมโต๊ะกับสหายของพระนางได้ จริงรึไม่เพคะ ฮองเฮา”“ขอบใจเจ้ามากเต๋อเฟย ที่มิรังเกียจสหายของข้า นั่งลงเถิด สุ่ยอี้ ประเดี๋ยวชาจะเย็นเอาเสียก่อน”จูซือเหนียงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผู้อ่อนอาวุโสกว่าโดยการเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในที เมื่อองค์หญิงผู้เลอโฉมจงใจว่านางโดยใช้เป่าฮูหยินเป็นโล่กำบัง ฮองเฮาที่มาจากสามัญชนนั้นย่อมดูด้อยอำนาจในสายตาของสตรีที่เกิดจากสายเลือดสูงส่ง‘เด็กน้อย อยากก้าวเป็นใหญ่ แต่ไร้เดียงสาไปสักหน่อยกระมัง’“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยเพคะพระนางเต๋อเฟย”เป่าฮูหยินย่อกายงดงาม ก่อนจะขยับกายนั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชา รอยยิ้มของสตรีทั้งสามต่างสดใสราวดอกไม้แรกแย้ม ทว่า ทุกคำพูดกลับเชือดเฉือนกันอยู่ในที จนเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วยาม“ทูลฮองเฮา กั๋วเชียงจำต้องขออำลาก่อนเพคะ หม่อมฉันต้องไปจัดเตรียมเ
เนินเขาห่างจากขบวนเสด็จของหลิวกุ้ยเฟย มีร่างสูงของใครอีกคนนั่งพิงหินก้อนใหญ่อยู่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย ในมือใหญ่มีขวดสุราหยกเนื้อดี ก่อนจะยกขึ้นจรดริมฝีปากหนา หน้าที่ของเขามันช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก แต่จะให้ไปปลอมตัวแทรกซึมในคณะเดินทางก็ช่างไร้อิสระสิ้นดี“พวกมันตั้งใจถ่วงเวลา น่ารำคาญยิ่งนัก ทำให้ข้าล่าช้าไปด้วย”“ท่านเองก็ยังมิหายดีนะขอรับ จะรีบร้อนไปไย มิดีหรือ จะได้ถือโอกาสเช่นนี้รักษาตัวไปพร้อมกันขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งห่างออกไปได้เอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงกว่าเดิม ก่อนจะหันมองไปยังขบวนยาวเหยียดที่ห่างออกไปไกล แต่มิใช่เรื่องลำบากอันใดต่อสายตาของเขา“ข้ามีหมอส่วนตัวที่ฝีมือล้ำเลิศรอรักษาอยู่แล้ว แผลแค่นี้มิอาจทำอันใดข้าได้ ฮึ! มันยังไกลหัวใจข้ามากนัก”น้ำเสียงทะนงตน หรือจะเรียกอีกอย่างว่าความดื้อรั้นจะเหมาะสมมากกว่าในความคิดของผู้ติดตาม ที่จำต้องคอยหาคำพูดมาทำให้ผู้เป็นนายมิรู้สึกเบื่อหน่าย“ขอรับนายท่าน แต่…”“หยุด”มือหนายกขึ้นห้าม เพราะเขาฟังคำนี้มานับตั้งแต่ออกจากเจียงไห่แล้ว ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปยังอีกทิศทาง พร้อมรอยยิ้มกดลึกเมื่อนึกถึงคนที่เขาถวิลหาที่ส
“อี้เทียน พ่อและสกุลจ้าวช่างเป็นหนี้เจ้ามากนัก พ่ออยาก...”“ท่านพ่อ อย่าใช้จังหวะเช่นนี้กับข้า ข้ายังยืนยันคำเดิม หากพี่ใหญ่และพี่รองมิออกเรือน ข้าก็ไม่คิดเรื่องนี้เช่นกัน”ชายหนุ่มอีกสามคนต่างพากันกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เมื่อผู้เป็นพ่อพยายามให้พี่ชายออกเรือนเพื่อมีทายาทให้แก่สกุลจ้าวเสียที ซึ่งทุกคนเหมือนจะสิ้นหวังกับหลานชายคนโตและคนรองอย่างจ้าวอวิ๋นและจ้าวหมิงเยว่แล้วนั่นเอง ภาระทั้งหมดจึงมาลงที่จ้าวอี้เทียน“พ่อยังมิทันว่าอันใดนี่!”จ้าวหลานเค่อได้แต่ยกชาขึ้นจิบ เมื่อเขาไม่อาจฉวยจังหวะนี้ให้บุตรชายตกลงไปในหลุมพรางที่เขาและคนในบ้านขุดล่อจ้าวอี้เทียนมานานนับปีเลยทีเดียว จนบางครา ทุกคนก็เกรงว่าจ้าวอี้เทียนจะนิยมตัดแขนเสื้อไปเสียแล้ว หากจะวางความหวังไว้กับบุตรชายคนโตและคนรองนั้น ดูเหมือนจะยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียวส่วนแฝดสามของเขาก็ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง ต่างพากันทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่เช่นในตอนนี้ปะไรเล่า‘ข้าจะต้องทำให้พวกเจ้ามีหลานแก่ข้าโดยไวให้จงได้ หึ ๆ’“ท่านพ่ออย่ามัวคิดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นอยู่เลยนะขอรับ เพราะดูเหมือนแขกของเราจะรอนานแล้ว ไยมิเชื้อเชิญ
“พวกเจ้าอย่าทำให้บิดาผู้นี้ผิดหวัง รู้รึไม่”“ขอรับท่านพ่อ”แฝดสามแห่งสกุลจ้าวขานรับผู้เป็นพ่ออย่างพร้อมเพรียง สร้างรอยยิ้มพิมพ์ใจให้แก่จ้าวหลานเค่อยิ่งนัก ชายสูงวัยไม่แม้แต่จะขยับกาย มือหนาเอื้อมหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ทุกอย่างรอบกายเสมือนเป็นเพียงสิ่งบันเทิงใจก็เท่านั้นปึก! ฝ่ามือเรียวของจ้าวจิงเหวิ่นปะทะเข้ายังข้อมือของผู้บุกรุก ทุกการเคลื่อนไหวดูนุ่มนวล ทว่าแรงปะทะของฝ่ามือเรียวนั้นมิใช่เบาดั่งเช่นตาเห็นเลยแม้แต่น้อย ชายชุดดำถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการบาดเจ็บของตน เขาคือนักฆ่าชั้นยอด มิคิดว่าเพียงเด็กหนุ่มชาวป่าจะรับมือเขาได้ในเพียงกระบวนท่าแรก“ขออภัยด้วยพี่ชาย พอดีข้าเกรงเสื้อผ้าของข้าจะมีรอยแปดเปื้อน จำต้องปัดมือท่านออกไปเสีย”คำยั่วยุของจ้าวจิงเหวิ่นดูเหมือนจะยังได้ผลเช่นทุกครั้งเมื่อศัตรูมิได้หยุดนิ่งนานเท่าที่ควร กระบี่ยาวหมุนวนตรงเข้าสู่หัวใจของชายหนุ่มด้วยความดุดันมืออีกข้างที่ไขว้หลังไว้ในคราแรกได้สะบัดออกมาพร้อมพัดที่ยังมิทันกางต้านรับปลายกระบี่ได้อย่างเหนือความคาดหมายของชายชุดดำ รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นช้า ๆ บนใบหน้าของจ้าวเหวิ่น ร่างสู
“อ๊ากกก!”มือของคนที่ถือคบไฟถูกตัดขาดกระเด็น เลือดพุ่งออกมาดุจสายน้ำ“จะเผาบ้านข้า พวกเจ้าคงเตรียมใจมาพร้อมแล้วสินะ”ชายหนุ่มหลายคนก้าวออกมาจากตัวบ้านออกสู่ลานกลางของหมู่บ้านด้วยท่าทีสบาย ๆ ดูมิทุกข์ร้อนหรือตื่นตกใจกับผู้บุกรุกซึ่งหมายเอาชีวิตพวกเขาอย่างตั้งใจทุกการแสดงออกของเจ้าบ้าน ทำให้ผู้มาเยือนเพื่อทำลายล้างหมู่บ้านสกุลจ้าวให้สิ้นซากนั้นเสมือนมดปลวกที่ล่วงล้ำเข้ามากัดกินเสาเรือนเพียงเท่านั้น และเหมือนกับว่าเวลานี้ เจ้าบ้านเองก็พร้อมที่จะบดขยี้ผู้รุกล้ำให้หมดสิ้นไปเช่นกัน“ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริงที่ชาวบ้านป่าเช่นพวกเจ้าจะมิรู้จักการเกรงกลัวความตายเอาเสียเลย”“อันความตายนั้นเป็นเรื่องปกติสามัญของผู้มีจิตวิญญาณมิใช่หรือ ไยต้องเกรงกลัวมันด้วยเล่า แต่…หากว่าต้องตายด้วยฝีมือของคนต่ำช้าแล้วละก็ ข้าขอต่อกรด้วยสักคราเพื่อปกป้องเกียรติสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า ท่านว่าจริงรึไม่”“คนเช่นพวกเจ้ามีเกียรติอันใดให้รักษารึ ฮา ๆ”ผู้นำชายชุดดำหัวเราะด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น ทว่า ภายในใจกลับเจ็บร้าวลึกอยู่มิน้อย เมื่อมองไปยังชายหนุ่มหลายคนที่ยืนประจันหน้ากับพวกเขาอย่างองอาจ เพราะทุกถ้อยคำของเจ้าบ้านน
ชายชุดดำรีบดึงสติของตนคืนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตัวเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ด้วยรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้มิใช่เพียงตราตรึงใจ ทั้งยังคุ้นเคยยิ่งนัก เพียงแต่เขาคิดมิออกว่าเคยพบเจอจากที่ใดมาก่อน“ไยใช้น้ำเสียงดุดันถึงเพียงนั้นเล่าพี่ชาย ข้าเพียงเดินชมดาวยามค่ำคืน ก็เพียงเท่านั้นเอง มิเห็นต้องดุข้าเลย”ข้ออ้างช่างไร้ความเป็นจริงนัก ยามนี้มีเพียงพระจันทร์ที่ส่องสว่างทั่วท้องฟ้า แสงดาวถูกกลบให้เห็นเพียงริบหรี่ หากจะบอกว่าเดินชมจันทร์ยังจะดูสมเหตุสมผลมากกว่าหลายเท่านัก“น้องชาย เจ้าช่างมีอารมณ์สุนทรียิ่ง ดวงดาวในค่ำคืนนี้ช่างงดงามริบหรี่เหลือคณานับ เจ้าคงเพลิดเพลินเดินหลงทางมากระนั้นกระมัง”ชายชุดดำเอ่ยเหน็บแหนมอีกฝ่ายไป พร้อมกับขยับก้าวเท้าไปด้านข้างทีละน้อยเพื่อหาจังหวะลงมือ ซึ่งอีกฝ่ายใช่จะอยู่นิ่งเช่นกัน“ข้าชอบความไม่ชัดเจน เช่นนั้น การชมดาวในคืนนี้จึงนับว่างดงามเป็นที่สุดอย่างไรเล่า”“อ้อ! เช่นนั้นรึ ข้าเพิ่งรู้ว่าคนบ้านป่านิยมชมชอบความเสี่ยงที่มิอาจคาดเดาผลลัพธ์ ว่าจะอยู่หรือตาย หึ ๆ”“หมู่วิหคโผบินสู่เวิ้งน้ำอันไพศาล ไฉนเลยจะมิรู้ชะตากรรม ดั่งฝูงปลาแหวกว่าย หมายสู่พื้นดิน พี่ชาย ท่านเข้าใ
จ้าวลี่อิงมองเหนือท้องฟ้ายังทิศทางหลังหมู่บ้าน นางกำลังรอบางสิ่งอยู่ด้วยใจที่เต้นรัวอย่างลุ้นระทึก มือบางกำแล้วคลายออกอยู่หลายหนเพื่อผ่อนคลายความเกรี้ยวกราดภายในใจให้เบาบางลง นางกำลังรอเพียงเวลาปัง! เสียงดังขึ้นจากทิศทางที่รอคอย รอยยิ้มงามจึงปรากฏขึ้นน้อย ๆ‘ได้เวลาแล้วสินะ’ จ้าวลี่อิงมองไปยังคนที่นั่งอยู่ดีดตัวลุกขึ้นอย่างร้อนรน เมื่อเห็นแสงสว่างบนท้องฟ้าในทิศทางเดียวกับนาง“งดงามดีหรือไม่ คุณชายอู๋หลิว”ขวับ! กลุ่มคนที่ยืนอยู่ยังเนินเขาต่างหันตามเสียงด้วยความตกใจ อาวุธถูกยกขึ้นเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันผู้เป็นนายในทันทีอู๋หลิวหรี่ตาลงมองไปยังหญิงสาวที่เขาคุ้นเคย ก่อนจะยิ้มกว้างปนขำขัน หญิงสาวบ้านป่าที่โง่งมหลงมาในกลลวงซึ่งถูกวางไว้อย่างง่ายดาย“ลี่อิงยอดรัก จุ๊ ๆ ดูเจ้าสิ! ไยถึงออกมาวิ่งเล่นไกลถึงเพียงนี้ ยามค่ำคืน เจ้ามิกลัวจะพบเจอสัตว์ป่าที่กำลังออกหากินเอารึอย่างไรกัน หืม!”อู๋หลิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสมือนกำลังเป็นห่วงหญิงสาวยิ่งนัก พร้อมทั้งใช้สายตามองร่างบางในชุดสีดำสนิทที่กลมกลืนไปกับความมืดของยามราตรีคืนนี้ หญิงสาวผู้ร่าเริงสดใสกลับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน แม้จะยังคงรอยยิ้มละมุนนั้
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักเก่าฮองเฮาจ้าวเหลียนร่างสูงนอนเหยียดยาวโดยรอบกายนั้นมีหินร้อนวางไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น ไอเย็นของโม่คังแม้จะถูกสกัดเอาไว้โดยผู้เป็นอาจารย์ แต่ยังมิใช่ว่าภายในของเขาจะกลับมาเป็นปกติ จนถึงเวลานี้ โม่คังยังไร้วี่แววจะรู้สึกตัว และสิ่งที่ทุกคนนั้นเป็นกังวลกว่าคือหากโม่คังตื่นขึ้นมาพบว่าหรู่อี้หายไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างตอนนี้ ภายในตำหนักทุกห้องมีคนเจ็บที่ยังไร้ซึ่งสติกันแทบทุกคน ยกเว้นเพียงโม่ฟางเล่อที่ออกติดตามสามีเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย เพื่อส่งร่างของถงม่งเหยาตามคำขอของจ้าวอวิ๋น การสูญเสียของสองพี่น้องสกุลจ้าวทำให้โม่เหยียนเฉาและจ้าวเหลียนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่หลานชายขอมา เขายินดีที่จะมอบให้ทั้งสองสามีภรรยานั่งเฝ้าบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ ผมของโม่คังจากดำสลวยกลับกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายที่เคยมีสีเลือด ตอนนี้ขาวซีดไร้สีสัน จ้าวเหลียนกุมมือของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในตอนนี้นอกจากการตื่นของโม่คัง“อี้เอ๋อร์”โม่เหยียนเฉาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อคำแรกที่บุตรชายของเขาเอ่ยออกมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทนั้นคือชื่อของคู่หมั้
จ้าวอวิ๋นคว้าร่างบางที่ล้มลงต่อหน้าเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะระเบิดพลังออกมาจนถึงขีดสุดด้วยอาการคลุ้มคลั่ง เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของทหารฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหา แตกกระจายออก สิ้นใจในทันที ร่างสูงกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น“ข้ารักท่าน จ้าวอวิ๋น ข้าระ…ระ…อึก!”“ข้ารักเจ้า ถงม่งเหยา ข้ารักเจ้า ได้ยินหรือไม่ เจ้าอย่าได้บังอาจทอดทิ้งข้าไปเช่นนี้ ม่งเอ๋อร์ อย่าทำกับข้าเยี่ยงนี้ อ๊ากกก!”ถงเหยียนเจี๋ยชาไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียว ร่างสูงพุ่งเข้าหาหยางซานซินเสมือนคนเสียสติ เพราะคนเช่นหยางซานซินที่ทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น มันพรากดวงใจของเขาไปเช่นนี้มิได้ น้ำตาของชายหนุ่มไหลเป็นทาง ยิ่งเมื่อนึกถึงอ้อมกอดและรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นน้องสาว ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยเปรียบดั่งพยัคฆ์บาดเจ็บที่สู้จนตัวตายเลยทีเดียวหย่งฉีพุ่งเข้าสังหารทหารที่ยังหลงเหลืออยู่รอบกายของจ้าวอวิ๋นและร่างของหญิงสาวในอ้อมแขน ร่างสูงสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก เขาบกพร่องต่อหน้าที่จนได้ ปกป้องนายหญิงน้อยมิได้ เขาไม่สมควรมีลมหายใจอยู่ต่อไปเลยด้วยซ้ำจ้าวอวิ๋นพยายามโรยยาตามบาดแผลของ
“เจ้าจะยอมแพ้มิได้ โม่คัง เจ้าคือหนึ่งในสายเลือดสกุลจ้าว จงให้หัวใจนำพาพละกำลังในกาย เข้าใจหรือไม่ พี่อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจะต้องปลอดภัยน้องรัก พี่จะมิให้สิ่งใดพรากเจ้าไปจากพวกเราอีกแล้ว”ทุกถ้อยคำที่จ้าวอวิ๋นเอ่ยออกมานั้นเสมือนเสียงกระซิบอันไกลโพ้นสำหรับโม่คัง น้ำตาของบุรุษผู้เป็นนักรบไหลอาบสองแก้ม แม้จะมีลมหายใจกลับมาได้จากสิ่งที่หยางซานซินกระทำต่อเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ก็ใช่ว่าร่างกายที่เห็นนี้จะเป็นปกติสมบรูณ์ไม่ และตอนนี้ มันกำลังส่งผลต่อตัวเขาในยามคับขัน“เพื่อข้า พี่คัง! ทำเพื่ออี้เอ๋อร์สักครั้งเถิด!”หรู่อี้ที่รับมืออยู่กับหยางซานซินตะโกนก้องเรียกสติของชายหนุ่ม จ้าวอวิ๋นขบกรามแน่น เขาทำได้เพียงกวัดแกว่งป้องกันทหารที่พยายามโจมตีเขา ซึ่งมันมิน่าเป็นห่วงเท่าหญิงสาวผู้ที่ปกป้องเขากับน้องชายในตอนนี้เลย ร่างของหรู่อี้โชกไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่นางกลับมิปริปากร้องโอดครวญแม้แต่น้อย ทุกถ้อยคำมีเพียงโม่คังเท่านั้นถงม่งเหยาพยายามอย่างมากที่จะฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าช่วยเหลือหรู่อี้ ทว่า ตัวนางเองยังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรูเช่นกัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดคลอหน่วยตาของใครหลายคน พวกเขาจะเก่ง
อุทยานหลวงโม่คังพร้อมด้วยชูถงยืนนิ่งมองไปยังบุรุษต่างวัยอีกสองคน ซึ่งมิได้มีแค่เท่าที่เห็น ทว่าเขาสองคนตกอยู่กลางวงล้อมของทหารกบฏนับสิบเลยทีเดียว ทั้งคู่ลอบสบตากันเป็นระยะ“เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ชูถง ว่าคนอย่างเจ้ามันภักดีต่อโม่เหยียนเฉา ยากที่จะร่วมมือกับข้าหักหลังนายเจ้าได้”“แล้วอย่างไร…ที่ข้าช่วยเจ้าในวันนั้น ก็เพื่อให้มีวันนี้อย่างไรเล่า หากเจ้าตายไป แล้วใครจะพาข้ากลับเมืองหลวง…”ราชครูหลิวกำหมัดแน่น แต่ยังเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดออกมา เขารู้มาโดยตลอดว่าชูถงมิได้ต้องการที่จะร่วมมือตั้งแต่แรก การที่ยอมให้ร่วมในขบวนการ เพียงเพราะเรื่องของบุตรสาวและหลานชายที่ตายไปแล้วเท่านั้น หากจะกำจัดเสนาบดีผู้นี้เสียก็ย่อมทำได้ แต่ด้วยเจียงไห่เป็นเมืองที่ญาติผู้พี่มีอำนาจ เขาจะลงมืออันใดย่อมมิมีทางรอดพ้นสายตาคนเช่นหลิวไห่เป็นแน่“ฮา ๆ ไหน ๆ วันนี้ ทุกอย่างก็กระจ่างชัดแล้ว หนี้แค้นทั้งหมดก็มาชำระกันให้เสร็จสิ้นเถิด”“กับข้าสินะ”ในที่สุด โม่คังก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบเมื่อคำว่าหนี้แค้นหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย เขาไม่สนว่า ตอนนี้ หยางซานซินจะจดจำได้หรือไม่ว่าแท้จริงเขาคือใคร สนเพียงแค่วันนี้จะชำ
เลือดสีดำคล้ำพุ่งออกจากปากของพี่น้องสกุลโม่ ทำให้จ้าวเหลียนและมู่ตานขยับเข้าประชิดร่างของสามีตนเองด้วยความเป็นห่วง เวลานี้กลับกลายเป็นพวกนางเสียเองที่ตกอยู่สภาวะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เวลาคับขันเช่นนี้ ผู้ทรยศคือองครักษ์และทหารในวัง ย่อมไม่แปลกที่พวกนางจะไร้คนปกป้องฉึก! ฉับ! “อ๊ากก!”เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของศัตรูเรียกสายตาคนทั้งสี่ให้หันมอง ร่างสูงตระหง่านของบุตรเขยสกุลโม่ยืนหน้านิ่งไร้ความรู้สึก ทุกก้าวของชายหนุ่มนั้นดูเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งจากแดนเหนือก็มิปาน อาวุธในมือที่กวัดแกว่งออกไปทุกครานั้นจะต้องได้ดื่มเลือดของศัตรูถงเหยียนเจี๋ยในเวลานี้ยากที่ใครจะคาดเดาว่าเขารู้สึกเช่นไร ด้วยข้างกายของชายหนุ่มนั้นไม่มีภรรยาอยู่เคียง ความเยือกเย็นของเขาน้อยคนที่จะได้เห็น ไอสังหารพวยพุ่งออกมาจนจิ้งอ๋องถึงกับถอยร่นไปด้านหลัง เลือดที่หยดตามปลายอาวุธเสมือนการข่มขวัญศัตรู ชายหนุ่มมิได้หันมองไปยังครอบครัวของพ่อตา แต่ดวงตาเย็นชาจ้องมองอยู่ที่จิ้งอ๋องแต่ผู้เดียว“ผู้ใดที่คิดทำให้ภรรยาของข้าเศร้าหมอง มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”“ฮา ๆ ยามใดกันที่ข้าไปทำภรรยาของเจ้าเศร้าหมอง”จิ้งอ๋อ
นอกวังหลวง ณ หมู่บ้านอี้ฟึ่บ! ร่างในชุดดำเหินกายลงยังลานดินหน้ากระท่อมที่อยู่ห่างจากบ้านเรือนหลังอื่น ก่อนจะเร่งสาวเท้าเข้าไปด้านในด้วยอาการร้อนรน ทว่า คนด้านในกระท่อมกลับยังคงนิ่งเฉย“นายหญิง ข่าวจากองค์หญิงนั้นเงียบหายไปขอรับ ส่วนกองทัพของนางก็พ่ายแพ้หมดสิ้นแล้วขอรับ”มือบางกำแน่นวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา ฟังการรายงานข่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้คนที่ร่วมห้องอยู่ด้วยรับรู้ได้ถึงไอสังหารที่กำลังพวยพุ่งออกจากร่างบอบบางของผู้เป็นนาย แต่เขายังจำต้องรายงานเรื่องทั้งหมดต่อไป มิอาจหยุดได้หากไม่ได้รับอนุญาต และจนกว่าเขาจะรายงานทุกอย่างให้หมดสิ้น“ต่อให้นางตาย เจ้าก็ต้องได้ศพนางกลับมา ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่”เอ่ยจบ ผู้เป็นนายก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายชุดดำทำเพียงโค้งคำนับก่อนจะหมุนกายจากไปภายในห้อง ร่างระหงก้าวตรงไปนั่งยังเตียง มือบางขยุ้มผ้าปูที่นอนด้วยความเจ็บร้าวอยู่ในอก สามีอันเป็นที่รักทำร้ายนางเพียงคนเดียวนั้นก็นับว่าร้ายกาจแล้ว นี่ยังทำกับบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางเพียงเพื่ออำนาจของตนอีก เขาไม่เคยสนใจเลยว่ากั๋วเชียงจะเจ็บปวดเพียงไรนางยอมเป็นพระชายาที่ตายแล้วในควา
ครั้งนี้มันกลับระเบิดเสียงดัง ทำให้มีบ้างที่ทหารอีกกลุ่มภายในโล่อื่นแตกกระจายกันออก มีทั้งบาดเจ็บมากน้อยตามแรงระเบิดที่ได้รับ จะมีเพียงโล่ที่ใช้ป้องกันผู้นำเท่านั้นที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ส่วนทหารที่มิได้ยกโล่ทำการเตรียมลูกศรเพื่อยิงเปิดทางให้แก่กองทัพของตนเอง เสียงโล่หนากระแทกพื้นเป็นจังหวะเพื่อให้ทหารที่อยู่ในเกราะกำบังแต่ละคนทำตามอย่างพร้อมเพรียงหลิวเจินเจินไม่อยากที่จะเสียเวลานานไปกว่านี้ และสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำนั้นนางเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี คนของตงกำลังตกเป็นรอง นางไม่อยากที่จะให้เกิดการพลิกหมากกระดานนี้ มือบางยกขึ้นส่งสัญญาณให้ทำตามแผนการขั้นต่อไป‘เจ้าคงลืมไปว่าบิดาข้า สามีข้า แม้แต่บุตรชายหญิงของข้าคือแม่ทัพ’ แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก แต่คงมีฝีมือเฉพาะตนอยู่มิน้อย ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้ตงคงมิคิดกำจัดโดยการส่งมาเช่นนี้เป็นแน่ หรือไม่ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเกิดในสกุลที่เป็นปรปักษ์ต่อบัลลังก์สินะหลิวเจินเจินทำเพียงยืนมองเหล่าทหารต่างแคว้นที่ต้องเอาชีวิตมาสังเวยความต้องการของผู้เป็นนาย นางจะไม่ยอมยืนรอให้อีกฝ่ายตอบโต้ได้เป็นอันขาด หากจะว่านางโหดร้ายก็ไม่ผิด เพื่อปก
ชายชุดดำได้ส่งสัญญาณจากกำแพงเมืองให้กับกองทัพฝั่งตนรับรู้ ซึ่งดูเหมือนจะฉวยโอกาสในช่วงก่อนมีงานพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ครั้งนี้ไม่กี่วันคอยส่งทหารมือดีที่สุดของแคว้น มิว่าจะเป็นแม่ทัพนายกอง แฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านและเมืองรอบ ๆ เพื่อรอจังหวะเหมาะสมบุกยึดเมืองหลวง โดยมีคนในของชีเป่ยคอยปูทางเอาไว้ให้กองทัพจากแคว้นตงเคลื่อนพลในทันทีเมื่อได้รับสัญญาณจากคนด้านใน ประตูเมืองทั้งสี่ด้านตอนนี้มีกำลังในการป้องน้อยนิด เพราะถูกเกณฑ์เข้าไปช่วยปกป้องประตูวังหลวง ทั้งยังเป็นทหารฝั่งกบฏมากกว่าครึ่งทำให้ง่ายต่อการบุกโจมตี“คุณหนูพวกมันเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”“อืม…ลงมือได้ จำไว้ว่าให้พวกมันเข้าไปให้หมด ค่อยจัดการ”ร่างระหงในชุดเกราะยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางกองทัพสกุลหลิวและกองกำลังจากสกุลหลง โดยมีหลงเป่าร่วมเป็นผู้นำในครั้งนี้ด้วย เมื่อแมวน้อยพากันหมายจะมาขโมยปลาถึงในบ้าน ก็จำต้องจับแมวตัวอ้วนมาลงทัณฑ์“ท่านน้า ลำบากท่านแล้ว”“เป่าเอ๋อร์ เพื่อพี่น้องของเรา คำว่าลำบากนั้นมิใช่สิ่งที่มีอยู่ในใจของข้า”“ขอรับ”เมื่อกองทัพจากต่างแคว้นเข้าสู่ประตูเมืองทั้งสี่ด้านจนหมดทุกคนแล้ว ซึ่งดูจะง่ายดายเสียเหลือเกินในสายตาของผ