ภายใต้สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างมิขาดสาย จากชายชาวบ้านธรรมดาในคราแรก บัดนี้ ร่างกายกำยำได้เผยให้เห็นเมื่อถูกสายฝนกระทบร่างจนเปียกโชก เชือกที่ผูกรั้งชุดถูกคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนเขามิได้เร่งรีบกับการรับมือต้วนลี่เลยสักนิดเดียว เจี่ยเต๋าทำเพียงคอยหลบหลีกเท่านั้นเองโดยยังไม่คิดที่จะตอบโต้อีกฝ่าย
“เจ้าคิดจะดูถูกข้าเช่นนั้นรึ หึ ๆ เด็กแรกเกิดเช่นเจ้าอย่าหมายจะตีเสมอข้าจะดีกว่า”
“ฮา ๆ ท่านลุง ยังดีที่ข้าเป็นเพียงเด็กแรกเกิด ยังมีโอกาสเติบโต ทว่าช่างต่างกับท่านนัก ที่ใกล้ลงหลุมในเร็ววันแต่มิเจียมสังขาร”
“ปากกล้านัก ตายซะเถอะ”
“ข้าพร้อมส่งท่านลุงลงหลุมแล้วเช่นกัน หึ ๆ”
ขวับ!
เสียงเชือกแหวกสายฝนเข้าปะทะร่างของต้วนลี่
“อึก!”
ร่างสูงของต้วนลี่ที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าที่ทุกคนเห็นถึงกับเซถอยหลังไปไกลหลายก้าว ทั้งที่เขาถูกเพียงปลายเชือกเท่านั้นแท้ ๆ
‘ไยถึงมีพลังมหาศาลได้ถึงเพียงนี้กัน’
ต้วนลี่ทำได้เพียงเก็บงำความคิดเอาไว้ในใจ เขาผ่านการสังหารผู้คนมามิน้อย ฝีมือของเจี่ยเต๋ามิได้ทำให้เขากลายเป็นผู้พ่ายได้แน่นอน
การต่อสู้ท่ามกลางสายฝนเป็นไปอย่างดุเดือด ทว่ากลับมิได้ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังเข้าสู่ห้วงการหลับใหลอย่างอี้เหมยรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด แต่มันกลับเป็นการหลับใหลที่ดูจะมีความสุขมากกว่าทุก ๆ คืนตลอดการเดินทางที่ผ่านมาเสียอีก
รอยยิ้มละมุนคลี่ออกเบา ๆ ก่อนร่างงามจะขยับตัวให้สบายที่สุดภายใต้ผ้าห่ม เพื่อการนอนที่รอเวลาตื่นขึ้นมาพบกับความสำเร็จในตอนเช้า
‘หวังว่าพวกนั้นจะทำให้ท่านเยว่คังสยบแก่ข้าได้สำเร็จ หึ ๆ ต่อให้ท่านเป็นเพียงบุรุษพิการ แต่หากท่านเป็นของข้าแต่ผู้เดียว เรื่องแค่นั้น ข้า อี้เหมยมิถือสา’
ด้านที่พักของหรู่อี้และผู้ติดตาม
เคล้ง!
กระบี่ยาวถูกยกขึ้นกันการจู่โจมได้ทันก่อนจะถึงตัว พร้อมการโต้กลับอย่างรวดเร็วของคนที่ถูกจู่โจม ส่วนคนที่เหลือต่างคว้าอาวุธข้างกายลุกขึ้น ฝ่าสายฝนออกไปประจันหน้ากับผู้บุกรุกยามค่ำคืน ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว
หรู่อี้ยืนนิ่งไร้ความตื่นตกใจ กระบี่คู่กายยังคงอยู่ในฝัก นางกำลังประเมินคู่ต่อสู้ที่กำลังประมืออยู่กับบรรดาผู้ติดตาม
เคล้ง!
หรู่อี้ไม่ขยับกายแม้แต่น้อยเมื่อถูกจู่โจมจากทางด้านหลัง หญิงสาวยกกระบี่ที่ยังคงอยู่ในฝักขึ้นรับมือ ก่อนที่ร่างงามจะหมุนกายกลับไปเผชิญหน้ากับคนร้ายด้วยสายตาอันเยือกเย็น
“คิดสังหารคนจากด้านหลัง ช่างต่ำช้าเกินไปแล้ว เห็นที ข้าคงให้อภัยเจ้าไม่ได้แล้วจริง ๆ”
“ปากดี!”
“และงดงามอีกด้วย หึ ๆ”
หรู่อี้ต่อคำพูดของชายชุดดำ ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู ทว่า การโจมตีโต้กลับของหญิงสาวกลับแตกต่างจากรอยยิ้มยิ่งนัก แต่สิ่งที่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ชายชุดดำก็คือ หญิงสาวไม่แม้แต่จะชักกระบี่ออกจากฝัก เสมือนการหยามเขาอย่างตั้งใจ
“ชักกระบี่ออกมา”
“ใช้ความสามารถของเจ้าลองดูสิ ว่าจะทำให้ข้าชักกระบี่ออกมาได้รึไม่ คนมิคู่ควร ข้าก็มิจำเป็นต้องให้ค่าแก่มัน เจ้าว่าจริงไหม”
“อ๊ากกก! อย่าอยู่เลย สตรีน่ารังเกียจ”
เมื่อถูกหมิ่นเกียรติด้วยคำพูดของสตรี ทำให้ชายชุดดำถึงกับสติขาดสะบั้นในทันที ทุกกระบวนท่าว่องไวประดุจสายลม ทว่า หญิงสาวเองก็ใช่จะน้อยหน้า ทุกท่วงท่ากลมกลืนไปกับสายฝนที่โปรยปราย
หรู่อี้มิได้ประมาทคู่ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แต่เพราะฝักกระบี่ของนาง ถูกสร้างขึ้นมาด้วยรูปแบบอันพิเศษ ต่อให้นางมิดึงกระบี่ออกมาก็สามารถต้านทานศัตรูได้เป็นอย่างดี ฝักกระบี่นี้ นางซ่อนมันภายใต้คราบอันไร้ความงดงามมานาน จนถึงวันนี้ที่มันถูกเปิดเผยออกสู่สายตาผู้คน
เมื่อมินานมานี้ ผู้เป็นนายของนางก็เคยเอ่ยถึงกระบี่เล่มนี้อยู่เช่นกัน เมื่อนึกตามคำพูดของผู้เป็นนายแล้ว นางมิควรปิดกั้นสิ่งใดอีกต่อไปจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
“หรู่อี้”
“เจ้าค่ะ”
“กระบี่นั่น จะซ่อนมันไว้อีกนานรึไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ แต่ข้าคือน้องสาวขององค์ชาย ข้ามั่นใจว่าเขามอบมันไว้ให้เจ้า เพื่อใช้มันปกป้องตัวข้าและรวมถึงเจ้าด้วย อย่าซ่อนความสวยงามและคุณค่าของมันเอาไว้ภายใต้ความเศร้าของเจ้า เพียงรอยยิ้มเดียวของเจ้า หรู่อี้ พี่ชายข้าจะต้องมีความสุขมากกว่าการที่เจ้าแอบซ่อนเอาไว้อยู่เช่นนี้”
“เจ้าค่ะ หรู่อี้ทราบแล้ว”
และในวันนี้ นางจะใช้มันเป็นครั้งแรก เพื่อปกป้องตัวนางเอง ตามความต้องการของเขาผู้นั้น องค์ชายโม่คัง ผู้เป็นหนึ่งเดียวในใจของนางเสมอมา นางจะใช้กระบี่นี้ตามความตั้งใจของเขามิให้ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
‘ข้าจะมิทำให้ท่านผิดหวัง องค์ชาย’
“อ๊ะ!”
อาการเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นบนกายของชายชุดดำ ทำให้เขาเผลอก้มลงมองยังตำแหน่งนั้น โดยมิพลั้งเผลอเปิดช่องว่างให้แก่หญิงสาว บัดนี้มีเพียงความมืดและสายฝนเท่านั้น การมองเห็นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการต่อสู้
เพราะการปะทะกันอย่างดุเดือด ทำให้หนังสัตว์ที่กางป้องกันสายฝนได้ถูกอาวุธทำลายจนหมดสิ้นแล้ว เมื่อไฟมอดดับ การต่อสู้จึงต้องอาศัยเพียงประสาทสัมผัส กระพรวนผูกข้อมือถูกนำออกมาพันที่ข้อมือกันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แยกฝ่ายของตนเองกับกลุ่มผู้ลอบโจมตี ศัตรูมากด้วยเล่ห์ พวกนางจำต้องมากด้วยกลเช่นกัน ผิดพลาดน้อยที่สุดจึงจะเป็นการดีในสนามรบ
ถึงแม้จะมีเสียงกระพรวนดังขึ้นเป็นระยะ ทว่าก็เกือบจะเกิดการผิดพลาดอยู่หลายหน ด้วยฝนที่เทลงมาประดุจสวรรค์พิโรธ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีฝีมือสูงส่งมิแพ้กัน อุปสรรคคือสายฝน ซึ่งต่างจากความมืดที่ไม่ว่าจะเป็นนักฆ่าหรือยอดฝีมือก็สามารถมองเห็นได้โดยง่าย
เสียงอาวุธกระทบกระแทกกันถูกกลบไปด้วยสายฝน ทว่า การต่อสู้ก็ไม่สามารถที่จะยอมล่าถอยต่อกันได้
หรู่อี้ดึงกระบี่สั้นที่ข้างเอวออกมาถือไว้ในมืออีกข้าง ร่างบางยกอาวุธด้านหน้าสูงระดับสายตา ส่วนมืออีกข้างวาดไปทางด้านหลังในระดับต่ำ เพื่อป้องกันตัวจากทั้งสองด้าน เท้าบางค่อย ๆ เคลื่อนอย่างช้า ๆ และแผ่วเบา หญิงสาวจำต้องเปิดประสาทการรับรู้ให้มากกว่าปกติ
มิใช่เพียงหญิงสาวแต่ฝ่ายเดียวที่ทำ ชายหนุ่มในชุดดำเองก็ทำเช่นเดียวกัน เขาไม่คิดว่าการบุกเข้าจู่โจมในวันนี้จะเกิดฝนตกลงมาได้ ต่อให้อยากที่จะเปลี่ยนแผนการก็มิอาจทำได้ คำสั่งเด็ดขาดจากผู้เป็นนายค้ำคอเขาอยู่ในตอนนี้ หากคนเหล่านี้ไม่ตายก็เป็นพวกเขาก็ต้องตาย
กลางดึก ณ ลานหินข้างริมธารคณะของโม่คังได้ตั้งกระโจมพัก ชายหนุ่มร่างสูงยืนคู่อยู่กับผู้ติดตามยังโขดหินข้างลำธาร สองมือไขว้หลัง ใบหน้าแหงนมองไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงดาว“ฝนกำลังจะตก ท่าทางจะหนักเอาการทีเดียว เจ้าช่วยบอกให้ทุกคนเตรียมข้าวของสำคัญเอาไว้ในรถม้าด้วยล่ะ”“ขอรับ”“งูอาจเริ่มออกล่าเหยื่อ ระวังหน่อยก็ดี”“หึ ๆ งูฝูงนี้คงอยากจบชีวิตกระมัง”“ไม่แน่เสมอไป ข้าแค่คาดเดา บางทีอาจถึงที่หมายของฝูงอสรพิษเสียก่อน และที่พวกมันจะออกมารัดเหยื่อเพื่อกลืนลงท้อง ตอนนี้อาจรอเวลาให้เราหลับใหลอย่างสุขใจไปก่อนก็เป็นได้”“เช่นนั้น เราก็หลับให้ยาว ๆ เสียหน่อยนะขอรับ ถึงที่หมายแล้วค่อยเผาดงงูเสียเลยทีเดียว”ชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยอย่างมีความนัยต่อกัน เพราะเวลานี้ ทั้งคู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่มิน้อย เมื่อถัดไป ณ ชั้นตื้น ๆ ของน้ำตก มีร่างขาวโพลนของสตรีกำลังแหวกว่าย หมุนกายไปมาท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากโคมไฟซึ่งวางอยู่บนโขดหินส่องรำไร นางมิเกรงกลัวสิ่งใดเลยหรืออย่างไรกัน ยามนี้ดึกมากแล้ว ซ้ำยังเป็นเวลาที่สัตว์อันตรายหลายชนิดออกหากิน“มิธรรมดาจริง ๆ”“ท่านเยว่คังไปพักก่อนจะดีกว่าขอรับ ป่านนี้ นาย
โม่คังมองเลยผ่านกองไฟลุกโชน ไปยังร่างสูงที่กำลังหย่อนกายลงนั่งยังอีกด้านของกองไฟ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆโม่คังเอนหันกลับไปยังหรู่อี้ที่นอนหลับตานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละมุน เขารู้ดีว่านางยังไม่ได้หลับอย่างที่ตาเห็น มือหนาเอื้อมไปขยับผ้าคลุมขนสัตว์ผืนใหญ่จนชิดคอของหญิงสาวทุกการกระทำช่างอ่อนโยนต่อสายตาของทุกคนเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มาใหม่อย่างอี้เหมยหญิงสาวมองการกระทำของชายที่นางหมายปองด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังรถม้าอันเป็นที่พักของนาง ซึ่งเยว่คังเป็นผู้จัดการให้โดยมิยอมให้นางพักรวมกับหญิงสาวอีกคน“กลับมาแล้วรึ อี้เหมย ลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก ไยทำอะไรตามใจเช่นนี้”“อย่าบังอาจมาตำหนิข้า จัดการแม่นกน้อยนั่นเสีย ข้ามิอยากเห็นมันอีก”อี้เหมยขยับเข้าใกล้ชายสูงวัย ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินกันเพียงสองคน แล้วก้าวขึ้นไปภายในรถม้า โดยไม่คิดเหลียวมองว่าคนที่รับคำสั่งจะรู้สึกเช่นไรหรือเต็มใจรึไม่ สำหรับนาง ทุกอย่างห้ามมีคำว่า ‘ไม่!’ต้วนลี่ทำเพียงมองตามหลังผู้เป็นนายหญิง ก่อนจะหันไปยังทิศทางของเป้าหมาย หญิงสาวผู้มีนามว่าหรู่อี้ถูกล้อมรอบไปด้วยบุรุษทั้งคณะเช่นนี้ เขาจะทำอ
โม่คังเอ่ยออกมาทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มมองของที่อยู่ในมืออีกข้าง ส่วนข้างที่ถือดาบอยู่ชี้ตรงไปยังคนร้ายที่ลอบโจมตีโดยหวังมิให้เขาได้ทันตั้งตัวชายในชุดดำถึงกับผงะถอยหลัง ด้วยเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้‘มิธรรมดาจริง ๆ สมกับเป็นคนของสกุลโม่’ จากชายชุดดำหนึ่งคนบัดนี้ กลับเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน โม่คังถอนหายใจเล็กน้อย ในเมื่อเวลานี้ด้านหน้าคือศัตรู ด้านหลังคือน้ำตก ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือสู้มิอาจถอย และที่สำคัญไปกว่านั้น คือตัวเขากำลังถูกเอาเปรียบจากศัตรูในเรื่องจำนวนคนหากสงครามครั้งนี้เขารอดไปได้ เขาจะพาหรู่อี้ไปอยู่บนเขา ใช้ชีวิตท่ามกลางความเงียบสงบห่างไกลวังหลวง เมื่อมีลูก เขาจะมิยอมให้มาใกล้อำนาจแห่งการนองเลือดแบบนี้เป็นอันขาด‘หวังว่าข้าจะทำได้อย่างที่คิดนะ เฮ้อ!’ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกจากทั้งสองฝ่าย ทว่าต่างพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว โม่คังรู้ตัวดีว่าเขากำลังตกเป็นรอง แต่จะให้ดึงคนพวกนี้เข้าไปในคณะเดินทางนั้น มันไม่เคยมีในหัวสมองของเขาเลยแม้แต่น้อยโม่คังถอยร่นไปอีกฟากของที่พักเพื่อนำพาศัตรูไปยังทุ่งหญ้ากว้างแทน หากต่อสู้ในที่แคบจะเป็นการเพิ่มความเสียเปรียบให้แก่ตัวเขาเองม
“ขอบพระคุณขอรับคุณหนู เช่นนั้น เรารีบกันเถอะนะขอรับ”“ช้าก่อน นายหญิงให้ข้าไปแทนเถอะนะขอรับ ฝนกำลังลงเม็ดเช่นนี้ ต่อให้มิแรงมากนัก ทว่าอาจทำให้นายหญิงล้มป่วยลงได้ ข้าเป็นชาวไร่ชาวนาที่ผ่านแดดฝนมามาก ร่างกายข้ามิเป็นอันใดง่าย ๆ แน่นอนขอรับ”ชายหนุ่มที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาซึ่งขอติดตามคณะเข้าสู่เมืองหลวงด้วย ได้ก้าวเข้ามาขวางทางคนทั้งคู่เอาไว้ก่อนที่หรู่อี้และต้วนลี่จะก้าวออกจากที่พัก“เรื่องนั้น ข้าไม่เถียงท่านหรอกนะ แต่พี่อี้เหมยเป็นสตรี จะให้บุรุษที่มิใช่สามีเข้าไปพบนาง มันดูจะมิเหมาะเอาได้” หญิงสาวแย้งชายหนุ่มขึ้นอย่างมีเหตุผล“เรื่องนั้น ข้าทราบดีขอรับ แต่ท่านลุงต้วนก็อยู่ด้วยทั้งคน อีกอย่าง ข้ามีความสามารถในการตรวจชีพจรอยู่มากทีเดียว เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะนะขอรับ”“นายหญิงไม่ควรขัดคำสั่งนายท่านนะขอรับ ถึงอย่างไร นายหญิงก็มอบยาให้แก่เขาไปแล้ว ก็ถือว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ข้าว่านายหญิงกลับมานอนต่อเถอะขอรับ ข้าไม่อยากเตือนท่านซ้ำ ๆ นะขอรับ”ผู้ติดตามที่มีอำนาจรองจากเยว่คังเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าจริงจังอยู่ในที ทำให้หรู่อี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่อหน้าชาวบ้านที่ติดต
ภายใต้สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างมิขาดสาย จากชายชาวบ้านธรรมดาในคราแรก บัดนี้ ร่างกายกำยำได้เผยให้เห็นเมื่อถูกสายฝนกระทบร่างจนเปียกโชก เชือกที่ผูกรั้งชุดถูกคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนเขามิได้เร่งรีบกับการรับมือต้วนลี่เลยสักนิดเดียว เจี่ยเต๋าทำเพียงคอยหลบหลีกเท่านั้นเองโดยยังไม่คิดที่จะตอบโต้อีกฝ่าย“เจ้าคิดจะดูถูกข้าเช่นนั้นรึ หึ ๆ เด็กแรกเกิดเช่นเจ้าอย่าหมายจะตีเสมอข้าจะดีกว่า”“ฮา ๆ ท่านลุง ยังดีที่ข้าเป็นเพียงเด็กแรกเกิด ยังมีโอกาสเติบโต ทว่าช่างต่างกับท่านนัก ที่ใกล้ลงหลุมในเร็ววันแต่มิเจียมสังขาร”“ปากกล้านัก ตายซะเถอะ”“ข้าพร้อมส่งท่านลุงลงหลุมแล้วเช่นกัน หึ ๆ”ขวับ! เสียงเชือกแหวกสายฝนเข้าปะทะร่างของต้วนลี่“อึก!”ร่างสูงของต้วนลี่ที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าที่ทุกคนเห็นถึงกับเซถอยหลังไปไกลหลายก้าว ทั้งที่เขาถูกเพียงปลายเชือกเท่านั้นแท้ ๆ‘ไยถึงมีพลังมหาศาลได้ถึงเพียงนี้กัน’ต้วนลี่ทำได้เพียงเก็บงำความคิดเอาไว้ในใจ เขาผ่านการสังหารผู้คนมามิน้อย ฝีมือของเจี่ยเต๋ามิได้ทำให้เขากลายเป็นผู้พ่ายได้แน่นอนการต่อสู้ท่ามกลางสายฝนเป็นไปอย่างดุเดือด ทว่ากลับมิได้ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังเข้าสู่ห้วงการหล
“ขอบพระคุณขอรับคุณหนู เช่นนั้น เรารีบกันเถอะนะขอรับ”“ช้าก่อน นายหญิงให้ข้าไปแทนเถอะนะขอรับ ฝนกำลังลงเม็ดเช่นนี้ ต่อให้มิแรงมากนัก ทว่าอาจทำให้นายหญิงล้มป่วยลงได้ ข้าเป็นชาวไร่ชาวนาที่ผ่านแดดฝนมามาก ร่างกายข้ามิเป็นอันใดง่าย ๆ แน่นอนขอรับ”ชายหนุ่มที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาซึ่งขอติดตามคณะเข้าสู่เมืองหลวงด้วย ได้ก้าวเข้ามาขวางทางคนทั้งคู่เอาไว้ก่อนที่หรู่อี้และต้วนลี่จะก้าวออกจากที่พัก“เรื่องนั้น ข้าไม่เถียงท่านหรอกนะ แต่พี่อี้เหมยเป็นสตรี จะให้บุรุษที่มิใช่สามีเข้าไปพบนาง มันดูจะมิเหมาะเอาได้” หญิงสาวแย้งชายหนุ่มขึ้นอย่างมีเหตุผล“เรื่องนั้น ข้าทราบดีขอรับ แต่ท่านลุงต้วนก็อยู่ด้วยทั้งคน อีกอย่าง ข้ามีความสามารถในการตรวจชีพจรอยู่มากทีเดียว เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะนะขอรับ”“นายหญิงไม่ควรขัดคำสั่งนายท่านนะขอรับ ถึงอย่างไร นายหญิงก็มอบยาให้แก่เขาไปแล้ว ก็ถือว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ข้าว่านายหญิงกลับมานอนต่อเถอะขอรับ ข้าไม่อยากเตือนท่านซ้ำ ๆ นะขอรับ”ผู้ติดตามที่มีอำนาจรองจากเยว่คังเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าจริงจังอยู่ในที ทำให้หรู่อี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่อหน้าชาวบ้านที่ติดต
โม่คังเอ่ยออกมาทั้งที่ใบหน้ายังคงก้มมองของที่อยู่ในมืออีกข้าง ส่วนข้างที่ถือดาบอยู่ชี้ตรงไปยังคนร้ายที่ลอบโจมตีโดยหวังมิให้เขาได้ทันตั้งตัวชายในชุดดำถึงกับผงะถอยหลัง ด้วยเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้‘มิธรรมดาจริง ๆ สมกับเป็นคนของสกุลโม่’ จากชายชุดดำหนึ่งคนบัดนี้ กลับเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน โม่คังถอนหายใจเล็กน้อย ในเมื่อเวลานี้ด้านหน้าคือศัตรู ด้านหลังคือน้ำตก ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือสู้มิอาจถอย และที่สำคัญไปกว่านั้น คือตัวเขากำลังถูกเอาเปรียบจากศัตรูในเรื่องจำนวนคนหากสงครามครั้งนี้เขารอดไปได้ เขาจะพาหรู่อี้ไปอยู่บนเขา ใช้ชีวิตท่ามกลางความเงียบสงบห่างไกลวังหลวง เมื่อมีลูก เขาจะมิยอมให้มาใกล้อำนาจแห่งการนองเลือดแบบนี้เป็นอันขาด‘หวังว่าข้าจะทำได้อย่างที่คิดนะ เฮ้อ!’ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกจากทั้งสองฝ่าย ทว่าต่างพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว โม่คังรู้ตัวดีว่าเขากำลังตกเป็นรอง แต่จะให้ดึงคนพวกนี้เข้าไปในคณะเดินทางนั้น มันไม่เคยมีในหัวสมองของเขาเลยแม้แต่น้อยโม่คังถอยร่นไปอีกฟากของที่พักเพื่อนำพาศัตรูไปยังทุ่งหญ้ากว้างแทน หากต่อสู้ในที่แคบจะเป็นการเพิ่มความเสียเปรียบให้แก่ตัวเขาเองม
โม่คังมองเลยผ่านกองไฟลุกโชน ไปยังร่างสูงที่กำลังหย่อนกายลงนั่งยังอีกด้านของกองไฟ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆโม่คังเอนหันกลับไปยังหรู่อี้ที่นอนหลับตานิ่ง ชายหนุ่มยิ้มละมุน เขารู้ดีว่านางยังไม่ได้หลับอย่างที่ตาเห็น มือหนาเอื้อมไปขยับผ้าคลุมขนสัตว์ผืนใหญ่จนชิดคอของหญิงสาวทุกการกระทำช่างอ่อนโยนต่อสายตาของทุกคนเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มาใหม่อย่างอี้เหมยหญิงสาวมองการกระทำของชายที่นางหมายปองด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังรถม้าอันเป็นที่พักของนาง ซึ่งเยว่คังเป็นผู้จัดการให้โดยมิยอมให้นางพักรวมกับหญิงสาวอีกคน“กลับมาแล้วรึ อี้เหมย ลุงเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก ไยทำอะไรตามใจเช่นนี้”“อย่าบังอาจมาตำหนิข้า จัดการแม่นกน้อยนั่นเสีย ข้ามิอยากเห็นมันอีก”อี้เหมยขยับเข้าใกล้ชายสูงวัย ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาให้ได้ยินกันเพียงสองคน แล้วก้าวขึ้นไปภายในรถม้า โดยไม่คิดเหลียวมองว่าคนที่รับคำสั่งจะรู้สึกเช่นไรหรือเต็มใจรึไม่ สำหรับนาง ทุกอย่างห้ามมีคำว่า ‘ไม่!’ต้วนลี่ทำเพียงมองตามหลังผู้เป็นนายหญิง ก่อนจะหันไปยังทิศทางของเป้าหมาย หญิงสาวผู้มีนามว่าหรู่อี้ถูกล้อมรอบไปด้วยบุรุษทั้งคณะเช่นนี้ เขาจะทำอ
กลางดึก ณ ลานหินข้างริมธารคณะของโม่คังได้ตั้งกระโจมพัก ชายหนุ่มร่างสูงยืนคู่อยู่กับผู้ติดตามยังโขดหินข้างลำธาร สองมือไขว้หลัง ใบหน้าแหงนมองไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงดาว“ฝนกำลังจะตก ท่าทางจะหนักเอาการทีเดียว เจ้าช่วยบอกให้ทุกคนเตรียมข้าวของสำคัญเอาไว้ในรถม้าด้วยล่ะ”“ขอรับ”“งูอาจเริ่มออกล่าเหยื่อ ระวังหน่อยก็ดี”“หึ ๆ งูฝูงนี้คงอยากจบชีวิตกระมัง”“ไม่แน่เสมอไป ข้าแค่คาดเดา บางทีอาจถึงที่หมายของฝูงอสรพิษเสียก่อน และที่พวกมันจะออกมารัดเหยื่อเพื่อกลืนลงท้อง ตอนนี้อาจรอเวลาให้เราหลับใหลอย่างสุขใจไปก่อนก็เป็นได้”“เช่นนั้น เราก็หลับให้ยาว ๆ เสียหน่อยนะขอรับ ถึงที่หมายแล้วค่อยเผาดงงูเสียเลยทีเดียว”ชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยอย่างมีความนัยต่อกัน เพราะเวลานี้ ทั้งคู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่มิน้อย เมื่อถัดไป ณ ชั้นตื้น ๆ ของน้ำตก มีร่างขาวโพลนของสตรีกำลังแหวกว่าย หมุนกายไปมาท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากโคมไฟซึ่งวางอยู่บนโขดหินส่องรำไร นางมิเกรงกลัวสิ่งใดเลยหรืออย่างไรกัน ยามนี้ดึกมากแล้ว ซ้ำยังเป็นเวลาที่สัตว์อันตรายหลายชนิดออกหากิน“มิธรรมดาจริง ๆ”“ท่านเยว่คังไปพักก่อนจะดีกว่าขอรับ ป่านนี้ นาย