การต่อสู้ทางด้านรถม้า
เวลานี้ ต้วนลี่กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ดวงตาฉายแววคับแค้นจดจ้องผู้ประมือไม่วาง
‘เจ้านั่นอาศัยอายุยังน้อยฉวยโอกาสกับข้าสินะ’
เรียกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ เขาเสียเปรียบในหลาย ๆ ด้านเกินไปแล้ว มิว่าจะอายุหรือแม้แต่พื้นที่ในการรับมือ เขาไม่อาจปล่อยให้เจี่ยเต๋า เข้าใกล้รถม้าได้เป็นอันขาด จึงทำให้รับมือได้อย่างไม่เต็มที่มากนัก
หากคืนนี้กำจัดชายหนุ่มไม่ได้ ทั้งยังมีใครในคณะรอดไปได้ ตัวเขาและนายหญิงจะต้องมิปลอดภัยเป็นแน่ เขาจำต้องขัดคำสั่งของผู้เป็นนายเรื่องของเยว่คัง ต้องให้ชายผู้นั้นตายเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะเรียกว่าปลอดภัย
ลมที่พัดสายฝนโหมกระกระหน่ำจนรถม้าโยกสั่นไหว ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งเคลิ้มหลับไปเพียงเล็กน้อยถึงกับสะดุ้งตื่น เปลือกตาค่อย ๆ ขยับเปิดขึ้นทีละน้อย ก่อนที่ร่างงามจะลุกขึ้นนั่ง ทั้งยังขยับชิดขอบหน้าต่าง มือบางแง้มม่านที่ถูกตึงเอาไว้อย่างดีออกเล็กน้อยเพื่อดูสถานการณ์ทางด้านนอก
“อ๊ะ! นี่มันอะไรกัน ยังไม่จบอีกรึ อ่อนหัดเสียจริง”
เงาเลือนรางด้านนอกทำให้หญิงสาวรู้สึกขัดใจเป็นอย่างมาก ที่คนของนางยังไม่อาจล้มศัตรูลงได้อย่างที่ต้องการ หลังจากกำจัดทุกคนหมดแล้ว จะมีเหลือเพียงเยว่คังที่นางสั่งให้เขารอดชีวิตเพียงหนึ่ง แผนการเป็นสตรีผู้เคียงข้างของนางจะเป็นอย่างสวยงาม
บุรุษจิตใจดีเช่นเยว่คัง เขาจะไม่มีทางทนเห็นนางถูกคนร้ายรังแกได้เป็นแน่ การช่วยเหลือเยี่ยงวีรบุรุษของเขาจะเข้าสู่แผนการของนางโดยมิต้องออกแรงบังคับ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความสุขล้นในหัวใจของหญิงสาวก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
อี้เหมยกกระชับเสื้อคลุมตัวยาวให้แน่นขึ้น ก่อนจะซัดฝ่ามือไปยังอีกฝั่งของรถม้าด้วยพลังวัตรเพียงสองส่วน ผนังรถม้าก็หลุดเป็นช่องให้นางออกไปได้
‘ข้าจะทำให้ท่านสยบแก่ข้า เยว่คัง’
หญิงสาวก้าวลงจากรถม้ายังฝั่งที่ไม่มีการต่อสู้ แม้ร่างกายเริ่มเปียกโซกไปทั่ว ทว่า หญิงสาวกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องพรรค์นั้นเลยสักนิด เป้าหมายของนางย่อมสำคัญกว่า
ร่างงามก้าวหายไปท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำอย่างมิขาดสาย
ทุ่งหญ้าชายป่า
โม่คังเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เสมือนสายฝนและความมืดมิใช่อุปสรรคสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย ศัตรูมิได้มีเพียงหนึ่ง ทว่ามีถึงห้าคนที่กำลังพยายามล้อมเขาเอาไว้ตรงกลาง การฝึกหนักนับตั้งแต่รอดตายเมื่อครั้งในวัยเด็ก ทำให้มีหลายอย่างมิต่างจากนักฆ่า หรืออาจมีมากกว่าที่คนเหล่านั้นมีเสียด้วยซ้ำไป
‘คงมิใช่แค่ข้าคนเดียวสินะ ที่พวกมันตั้งใจจะเล่นงาน’
โม่คังเชื่อในฝีมือของผู้ติดตามทั้งหมดว่าจะต้องปกป้องหัวใจของเขา และทุกคนในคณะให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอน คงมีแต่ตัวเขาในตอนนี้ที่ดูเหมือนจะหนักมือมิใช่น้อย
ชายชุดดำทั้งห้าพยายามบีบล้อมเป้าหมายให้อยู่ตรงกลาง คำสั่งของนายหญิงคือห้ามให้เยว่คังผู้นี้ถึงตาย ทว่า อีกคำสั่งจากท่านต้วนลี่คือห้ามให้ชายหนุ่มรอด แต่มันมิง่ายอย่างที่คิดในคราแรก เมื่อฝีมือของชายหนุ่มมิธรรมดา พวกเขาก็ขอเลือกคำสั่งสุดท้ายคือ กำจัดซะ
‘อึก! แย่แล้ว จะมากำเริบอะไรกันตอนนี้’
โม่คังถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อเกิดสิ่งผิดปกติกับร่างกายอย่างกะทันหัน ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั้งร่างทำให้โม่คังสั่นสะท้านไปทั้งกาย มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความลับนี้ และมันกำลังทำให้เขาพบจุดจบของชีวิตเลยก็เป็นได้
‘หึ ๆ ข้ายังมิทันได้ทวงสัญญาจากเจ้าเลย หรู่อี้ ข้าอาจต้องจากเจ้าไปอีกครั้งและตลอดกาลก็เป็นได้’
โม่คังรู้ตัวดีว่าเขายากที่จะเอาชนะคนทั้งห้าได้ในสภาพเช่นนี้ แม้แต่จะหนีก็ยากที่จะทำได้
เคล้ง! ขวับ!
โม่คังหันไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการเพิ่มความเจ็บร้าวให้แก่ร่างกายของเขาเป็นเท่าทวีคูณ
หมับ!
โม่คังรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม
“ข้าเอง”
เสียงอันคุ้นเคยทำให้ใจของโม่คังอุ่นวาบขึ้นมาในฉับพลัน ชายผู้ที่เขามิคาดฝันว่าจะติดตามมา ที่สำคัญ ไยเขาถึงไม่รับรู้ถึงการติดตามมาของอีกฝ่ายกันเล่า
“เจ้าตามข้ามาตลอดเลยรึ ไยมิอยู่กับอี้เอ๋อร์”
“ยังจะห่วงคนอื่นอีก อี้เอ๋อร์ นางมิได้เป็นแบบท่านนี่ นางปลอดภัยแน่นอน แต่หากท่านกล้าที่จะตาย แล้วปล่อยนางเป็นหม้ายขันหมากอีกครั้ง ข้าจะตามไปสังหารท่านถึงยมโลกเลยคอยดู”
“ไม่มีวันนั้นหรอก เพราะนางเป็นฮูหยินของข้าคนเดียว หึๆ”
“ฮึ! จะตายแล้วยังมาพูดดีอีก เอ้า! รีบกินยาซะ! เร่งปรับลมปราณ ส่วนที่เหลือ ข้าจัดการเอง”
ชายหนุ่มผู้มาใหม่กดร่างของโม่คังให้นั่งลงกับพื้นหญ้าที่เปียกชื้น เขาไม่อาจพาผู้เป็นนายฝ่าวงล้อมออกไปได้ในตอนนี้ พวกเขามีจำนวนคนที่น้อยกว่า อุปสรรคใหญ่หลวงคือสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาจนมิอาจมองฝ่าไปได้เลยแม้แต่น้อย
เสียงกระพรวนดังเป็นระยะให้รู้ว่าคนของเขายังคงมีชีวิตอยู่ เพื่อคอยป้องกันศัตรูให้แก่เขาและผู้เป็นนายอีกชั้น นับว่าคาดการณ์ทุกอย่างได้แม่นยำทีเดียว เรื่องอาการของผู้เป็นนายที่อาจกำเริบขึ้นได้ ซึ่งมักจะกำเริบในทุกช่วงเวลานี้ของทุกสองสามปี เขาจึงเลือกที่จะให้น้องชายปกป้องชายแดนแทนตนเอง เพื่อมุ่งติดตามผู้เป็นนายมาได้ทันการณ์
เคล้ง!
“ข้ายังอยู่ อย่าแม้แต่จะคิด”
ชายหนุ่มคำรามก้องด้วยน้ำเสียงดุดัน ทั้งยังแผ่รังสีแห่งการฆ่าออกมาจนคนรอบกายรู้สึกได้ เขาจะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ได้อีก เหตุการณ์ในอดีตทำให้บรรดาเงาถูกมองว่าไร้ค่า
‘ในอดีตเจ้าป้ายความผิดให้เหล่าองครักษ์เงา ครั้งนี้เป็นทีของข้าที่จะประกาศให้ทั่วทั้งแผ่นดินรู้ถึงความชั่วช้าของพวกเจ้าเช่นกัน’
แม้จะถูกโจมตีอย่างหนัก ชายหนุ่มก็มิคิดที่จะห่างกายผู้เป็นนายเกินสองก้าว
ช่วงเวลาในการเดินลมปราณนั้นสำคัญยิ่งนัก หากพลาดแม้เพียงเสี้ยวนาที ความตายย่อมต้องมาเยือนผู้เป็นนายอย่างแน่นอน
“ฝีมือไม่เบา แต่พวกเจ้ามันก็แค่สุนัขรับใช้สกุลโม่เท่านั้น”
“หึ ๆ สุนัขที่มิคิดแว้งกัดนายตัวเอง ย่อมมีเกียรติกว่าสุนัขบางตัวก็แล้วกัน”
ทั้งสองฝ่ายตะโกนโต้ตอบกันพร้อมการปะทะอันดุเดือด ฝ่ายตั้งรับก็แกร่งจนทำให้คนที่หมายเอาชีวิตหวาดหวั่นอยู่ในใจ
โม่คังรวบรวมสมาธิ เพื่อให้พลังวัตรเร่งนำพายาที่เขากินเข้าไปให้ไหลเวียนตามเส้นเลือด สิ่งที่เขาทำอยู่นับว่าอันตรายมากทีเดียว ทว่าก็มิอาจช้าได้ คนร้ายที่ไม่อาจคาดเดาพลังหรือจำนวนได้นั้น ทำให้พวกเขาตกเป็นรองอยู่มิน้อย ตอนนี้ที่ล้อมรอบเข้ามีห้าคนและทางด้านที่พักเล่า จะมีอีกมากเท่าไหร่กัน
การต่อสู้ดำเนินไปเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วนั้น โม่คังมิอาจรู้ได้ แต่บัดนี้ อาการเจ็บปวดของเขาได้บรรเทาลงมากแล้ว ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป
หรู่จงรับรู้ถึงพลังของคนที่เขาปกป้องอยู่ ทำให้ชายหนุ่มแทบอยากกระโดดเข้า…ให้ล้มคว่ำลงเสียในตอนนี้ เพราะเขาเป็นทั้งสหายและองครักษ์ มีหรือจะไม่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังจะทำสิ่งใด
“อยากตายนักรึไงกัน”
“หลบไปซะ!”
โม่คังเอ่ยเสียงลอดไรฟัน เขามีเวลาที่จำกัดเหลือเกินกับการใช้พลังนี้ ทว่าหากเขาปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป ไม่มีใครจะบอกได้ว่าจะเกิดการสูญเสียอีกมากแค่ไหนหากยังลังเลอยู่หรู่จงส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามคนอื่นถอยออกไป รวมทั้งเขาที่กันคู่ต่อสู้ให้ออกห่างจากผู้เป็นนายให้ได้มากที่สุดคนร้ายทั้งห้าคนต่างพากันย่ามใจ เมื่ออยู่ ๆ คนที่มาขัดขวางต่างพากันถอยร่น ซ้ำยังทิ้งเป้าหมายของพวกเขาเอาไว้อย่างน่าสมเพชยิ่งนัก“ไม่มีคำว่าตายแทนสำหรับใครในยามนี้ ฮา ๆ เป็นผู้ใดก็รักชีวิตตัวเองทั้งนั้น เช่นเดียวกับคนที่เจ้าหวังพึ่งพา คุณชายเยว่”“ไม่ผิด…และพวกเจ้าเองก็มิควรประเมินผู้อื่นต่ำจนเกินไปเช่นกัน”ชายชุดดำทั้งหมดถึงกับผงะเมื่อสิ้นคำพูดของโม่คัง ทว่า มันช้าไปเสียแล้วสำหรับชายชุดดำทั้งห้าที่มิอาจก้าวเท้าถอยหลังได้อย่างต้องการ เมื่อน้ำฝนที่เจิ่งนองอยู่กลับกลายเป็นน้ำแข็ง ตอกตรึงร่างของชายฉกรรจ์ทั้งหมดจนมิอาจขยับเคลื่อนกายได้“มันคือสิ่งใดกัน”คำถามที่มิอาจได้รับคำตอบเกิดขึ้นกับคนร้ายทั้งหมดรายรอบกายโม่คัง ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเร่งเร้าพลังภายในให้ปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดจำกัดของร่างกาย ทำให้สายฝนที่กระหน่ำล
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทุกอย่างจบลงด้วยกลิ่นคาวเลือดพร้อมการหายไปของหรู่จงและผู้ติดตาม จะมีเพียงชายหนุ่มชาวบ้านที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยความตื่นกลัวจากเหตุการณ์นองเลือดในครั้งนี้โม่คังก้าวยาว ๆ ตรงไปยังหญิงสาวเพียงคนเดียวซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางผู้อารักขาหมับ! มือหนาคว้าร่างบางเขาสู่อ้อมกอด พร้อมทั้งลูบไปตามท่อนแขนกลมกลึง ใจที่หวาดหวั่นค่อย ๆ สงบลงเมื่อเห็นนางยังปลอดภัยอยู่ ความเจ็บปวดที่บีบอัดอยู่ในร่างกายเสมือนว่าสูญหายไปเมื่อร่างงามแนบอยู่กับอกแกร่ง“เจ้าปลอดภัยดีรึไม่ อี้เอ๋อร์ เจ็บที่ใดอีกหรือไม่”“ข้าปลอดภัยเจ้าค่ะ”หญิงสาวตอบเสียงอู้อี้อยู่กับอกของชายหนุ่ม แม้จะพยายามเงยหน้าขึ้นมองคนที่โอบร่างตนอยู่ ทว่ากลับถูกมือหนากดเอาไว้แน่น หรู่อี้ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น แม้จะยังไร้แสงสว่าง ทว่า ความเขินอายก็เริ่มลามเลียไปทั่วทั้งใบหน้าทุกคนต่างรีบจัดการกับเศษซากของการต่อสู้ที่จบลงแล้วให้กลับเข้าสู่สภาพเดิม โดยผู้ที่บาดเจ็บหนักให้ดูแลตนเองไปก่อน หรู่จงในคราบของชายชาวบ้านคอยชำเลืองมองผู้เป็นนายอยู่เป็นระยะ ด้วยอาการของโม่คังยังคงไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง แต่เขายังหาจังหวะเข้าแทรกหนุ่มสาว
“คำสั่งนายท่านรองขอรับ”ไม่มีคำใดออกมาจากปากของโม่เหยียนเฉาอีกเคล้ง! ฮี่ ๆเสียงอาวุธกระทบกัน พร้อมทั้งเสียงแตกตื่นของม้าที่แหวกวงล้อมการต่อสู้กลับไปยังทิศทางเดิม การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นก่อนที่จะทันได้หลบหนีอย่างที่ตั้งใจ การปะทะกันบนถนนอันคับแคบสร้างความลำบากให้กับทั้งสองฝ่ายไม่น้อยเพราะต้องระวังหลายด้าน หากใครพลั้งเผลอจุดจบคือความตายอย่างแน่นอนคณะพ่อค้าต่างถอยร่นติดตามรถม้าไป ฝั่งกลุ่มโจรต่างย่ามใจในความโง่เขลาของคนจากเมืองหลวงที่คิดว่าจะหลอกล่อพวกเขามาติดกับ ทว่าเป็นพวกเขาชำนาญพื้นที่มากกว่าและกำลังจะกำชัยในครั้งนี้ แม้ในใจลึก ๆ แล้วพวกเขาหวั่นว่ารถม้าที่นำไปก่อนจะมิอาจประคองผ่านโค้งของหุบเขาแห่งนี้ไปได้ หากว่าสิ่งที่หมายปองอยู่ในนั้นทั้งหมด เท่ากับพวกเขาเสียแรงเปล่าเมื่อรถม้าหลุดร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างเพียงลับเหลี่ยมผาไปมิถึงเสี้ยวเวลา สิ่งที่หลายคนหวาดหวั่นก็ได้เกิดขึ้นจริง เสียงม้าร้องออกมาด้วยความตกใจกลัวตามมาด้วยเสียงหนัก ๆ ร่วงไถลลงกระทบผาหินทำให้คนทั้งหมดถึงกับหนาวสะท้านไปทั้งอก โม่เหยียนเฉามัวแต่เหลียวมองไปยังรถม้าซึ่งมีน้องชายและหลานสาวทั้งสองอยู่ภายในฉึก! ร่างสูงใหญ่เ
จ้าวอวิ๋นไม่พูดเปล่า ทว่า มือหนาที่วางบนสาบเสื้อของชายชรานั้นได้ยัดบางสิ่งเข้าไปด้านในเป็นที่เรียบร้อย โดยไม่มีผู้ใดได้ทันเห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ ด้วยเวลานี้ จ้าวอวิ๋นได้โน้มกายกระซิบเพียงให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเท่านั้นชายชราดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ถูกกระชับสาบเสื้อเอาไว้แน่น จึงดูเหมือนกับชายหนุ่มกำลังตั้งใจคุกคามชายชราอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสองผู้ติดตามพยายามรั้งขาผู้เป็นนายเอาไว้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างผอมแห้งของชายชรากระเด็นไปชนกำแพงก่อนจะรูดลงตามผนังกำแพงด้วยอาการเจ็บปวดเหลือคณานับ น้ำตาของชายชราไหลอาบแก้มด้วยความเสียใจและเจ็บปวด ที่เกิดมาต่ำต้อยจนถูกรังแกมิต่างจากเศษขยะอันไร้ค่าในสายตาของชนชั้นสูงที่อยากจะทำสิ่งใดกับเขาก็ได้ตามแต่ใจต้องการ“ใครมีปัญหาอะไรกับข้ารึไม่ ก้าวออกมาหากอยากจะรู้จักข้าให้มากกว่านี้”“…”ไร้เสียงตอบรับในทันใด รอบกายเงียบดุจไร้ผู้คนก็มิปานเมื่อได้ยินคำท้าของชายหนุ่ม“เกิดมาสูงส่งแล้วอย่างไรกัน ในเมื่อเวลานี้ เท้าของคุณชายยังเหยียบอยู่บนพื้นดินเดียวกับทุกคนมิใช่รึเจ้าคะ”เสียงหวานกังวานเอ่ยออกมา ทั้งยังเรียกทุกสายตาให้หันไปตามทิศทางนั้นในทั
วังหลวง“ทูลฝ่าบาท เวลานี้ในเมืองหลวงมีผู้คนเข้ามาจนแทบจะไร้ที่พักแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”บุรุษในชุดมังกรเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แผนการของศัตรูแยบยลนัก ด้วยการปล่อยข่าวเรื่องการจัดเลี้ยงฉลอง เชื้อเชิญให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง ทำให้ยากต่อการป้องกันระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เหล่าขุนนางและคหบดีที่เดินทางเข้ามานั้น มีทั้งตงฉินและกังฉิน การเดิมเกมของศัตรูช่างล้ำลึกนัก ทว่ายังคงมีช่องโหว่อยู่มากพอที่เขาจะแทรกแซงได้เช่นกัน“ก็ดี จะได้คึกคัก ท่าทางสนมของข้า นางชอบความตื่นเต้น”ก่อนมือหนาจะหย่อนเบี้ยในกระดานหมากลงไปในถ้วยน้ำชาชั้นดี แล้วเลื่อนไปตรงหน้าขันทีหนุ่มผู้มาทำหน้าที่แทนจิ่วกงกงและกงกงชราผู้อยู่ข้างกาย ซึ่งทั้งคู่เกิดล้มป่วย จำต้องหยุดพักตามพระบัญชาของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน“นำไปให้เต๋อเฟย”พร้อมทั้งกวักมือเรียกขันทีหนุ่มให้เอียงหูมาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบบางอย่าง“ฮา ๆ ๆ”เสียงทรงอำนาจเปล่งออกมาด้วยอารมณ์ที่ดูไร้กังวลเป็นที่สุด ขันทีหนุ่มเอื้อมมือมายกถ้วยชาใส่ในถาดสีทอง ก่อนเดินออกจากสวนส่วนพระองค์ ตรงไปยังตำหนักเต๋อเฟยในเขตวังหลัง โดยมีนางกำนัลรับใช้ถือถาดแพรพรรณงดงา
คณะของอ๋องน้อยโม่หยวนฟางพร้อมสหายทั้งสองได้เดินหลบหายไปยังอีกด้านของทุ่งหญ้า เมื่อลับจากสายตาของคนในคณะแล้ว ร่างสูงของโม่หยวนฟางได้ทรุดลงกับพื้นหญ้า โดยมีถงเหยียนเจี๋ยและหลงเป่า ต่างรีบคว้าพยุงเอาไว้มิให้ใบหน้าหล่อเหลาของอ๋องน้อยกระทบพื้นดิน“ท่านอ๋องน้อย เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“อึก! ข้าไม่เป็นไร อย่างกังวลไป หลงเป่า”“ยังจะปากดีอีกรึ หยวนฟาง เจ้าฝืนตนเองมากเกินไปแล้ว ร่างกายเจ้ามิใช่หินผาที่จะไร้เทียมทาน”“ว่าแต่ตัวข้า เจ้าเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าใดนัก”หลงเป่ามิได้ลดความกังวลเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นนายทั้งสองพูดคุยกัน ณ เวลานี้คงมีแค่เขาเท่านั้นที่มีความพร้อมทางร่างกายมากที่สุด หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนักชายหนุ่มทั้งสองพยุงโม่หยวนฟางไปยังโคนต้นไม้ เพื่อให้ชายหนุ่มได้พักร่างกายที่อ่อนล้าจนแทบเรียกว่าขีดสุดแล้วในตอนนี้ ทว่า โม่หยวนฟางจำต้องฝืนทุกขีดจำกัดของร่างกายตน เพื่อเป็นเสาหลักให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมดในคณะ“อย่าทำหน้าเช่นนั้น หลงเป่า ข้ายังไม่ตายในตอนนี้ แต่หากในหนทางข้างหน้าต่อจากนี้ ข้าคงต้องฝากชีวิตของทุกคนไว้ในมือของเจ้า”“ท่านอ๋องน้อยอย่าได้เป็นกังวลไป หลงเป่ามิ
“ขอรับนายท่าน อ้อ! ว่าแต่เรื่องหลานชายคนโตของฮองเฮา จ้าวอวิ๋นเราจะจัดการเลยหรือไม่ขอรับ แต่ข้าไม่คิดว่าคนเช่นจ้าวอวิ๋นจะมีพิษภัยอันใดเลยนะขอรับ”“ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ประมาทกับคนสกุลจ้าว แม้จ้าวอวิ๋นดูไร้ค่าเพียงใดในสายตาคนทั่วไป แต่เจ้าลองคิดดูว่า คนเช่นนั้นไยถึงเป็นเจ้าเกาะดอกเหมยได้เล่า หากไร้ฝีมือจริง ต่อให้มีบารมีของฮองเฮาหนุนอยู่ เขาก็มิอาจรอดพ้นกลุ่มคนที่ต้องการแย่งชิงเกาะนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จ้าวอวิ๋นคือทายาทสกุลจ้าวรุ่นต่อไป ย่อมต้องมีดีมิน้อย”“นายท่านโปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วย ที่บังอาจมองข้ามความสามารถของศัตรูไปมากเช่นนี้”“ดำเนินตามแผนการเดิม อย่าได้ทำอันใดนอกเหนือคำสั่งข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูข้าไปด้วย เข้าใจรึไม่”“ทราบแล้วขอรับ”ทุกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพากันชูจอกสุราเป็นการเคารพผู้นำหลังม่านของพวกตนซึ่งได้ยกจอกสุราขึ้นสูงเช่นกัน ก่อนจะพากันดื่มด่ำกับสุรารสเลิศกันอย่างสุขใจกับข่าวที่ได้รับจากทางไกลวังหลวง ตำหนักฮองเฮาสตรีในชุดสีทองอร่ามกำลังเอนกายพิงหมอน โดยแขนข้างหนึ่งตั้งชันรองศีรษะได้รูป อีกข้างถือตำราอยู่ในมือ
ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของหญิงสาว เมื่อร่างบางหมุนกายเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมยังมุมปากของตนเอง“ไปได้แล้ว เรื่องนี้ เจ้าต้องหาคำตอบมาให้ข้าเร็วที่สุด ก่อนคนของเจ้าแก่นั่นจะหานางโจรพบก่อนเรา”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แม้ภายในใจเขาอยากรู้ถึงเหตุผลของผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดได้มากไปกว่านี้ ว่าเหตุใดนายหญิงของตนถึงต้องการสืบหานางโจรที่บุกสังหารครอบครัวสกุลเชี่ยกั๋วเชียงมองเลยออกไปยังนอกหน้าต่าง คืนนี้ พระจันทร์ช่างงดงาม ทว่า ใจของนางกลับคลั่งแค้นในสายตาของนางโจรผู้นั้น จนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ สตรีที่มากด้วยฝีมือซ้ำยังเย้ยหยันนางให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ร่วมดูเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับทำเหมือนนางไร้ตัวตน ทว่า สายตาที่เหลียวมองนาง มันมิใช่เช่นการกระทำเอาเสียเลย“ข้าต้องหาเจ้าให้พบ มิว่าอยู่หรือตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอย่ากำแหงมองข้ามคนเช่นข้า”ยามเช้า ณ อุทยานหลวงฮองเฮาเจ้าเหลียน พร้อมด้วยเป่าฮูหยินกำลังเดินเก็บดอกไม้เพื่อไปทำน้ำอบชั้นเลิศ สองร่างงามเดินเคียงกันท่ามกลางหมู่มวลดอก
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักเก่าฮองเฮาจ้าวเหลียนร่างสูงนอนเหยียดยาวโดยรอบกายนั้นมีหินร้อนวางไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น ไอเย็นของโม่คังแม้จะถูกสกัดเอาไว้โดยผู้เป็นอาจารย์ แต่ยังมิใช่ว่าภายในของเขาจะกลับมาเป็นปกติ จนถึงเวลานี้ โม่คังยังไร้วี่แววจะรู้สึกตัว และสิ่งที่ทุกคนนั้นเป็นกังวลกว่าคือหากโม่คังตื่นขึ้นมาพบว่าหรู่อี้หายไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างตอนนี้ ภายในตำหนักทุกห้องมีคนเจ็บที่ยังไร้ซึ่งสติกันแทบทุกคน ยกเว้นเพียงโม่ฟางเล่อที่ออกติดตามสามีเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย เพื่อส่งร่างของถงม่งเหยาตามคำขอของจ้าวอวิ๋น การสูญเสียของสองพี่น้องสกุลจ้าวทำให้โม่เหยียนเฉาและจ้าวเหลียนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่หลานชายขอมา เขายินดีที่จะมอบให้ทั้งสองสามีภรรยานั่งเฝ้าบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ ผมของโม่คังจากดำสลวยกลับกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายที่เคยมีสีเลือด ตอนนี้ขาวซีดไร้สีสัน จ้าวเหลียนกุมมือของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในตอนนี้นอกจากการตื่นของโม่คัง“อี้เอ๋อร์”โม่เหยียนเฉาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อคำแรกที่บุตรชายของเขาเอ่ยออกมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทนั้นคือชื่อของคู่หมั้
จ้าวอวิ๋นคว้าร่างบางที่ล้มลงต่อหน้าเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะระเบิดพลังออกมาจนถึงขีดสุดด้วยอาการคลุ้มคลั่ง เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของทหารฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหา แตกกระจายออก สิ้นใจในทันที ร่างสูงกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น“ข้ารักท่าน จ้าวอวิ๋น ข้าระ…ระ…อึก!”“ข้ารักเจ้า ถงม่งเหยา ข้ารักเจ้า ได้ยินหรือไม่ เจ้าอย่าได้บังอาจทอดทิ้งข้าไปเช่นนี้ ม่งเอ๋อร์ อย่าทำกับข้าเยี่ยงนี้ อ๊ากกก!”ถงเหยียนเจี๋ยชาไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียว ร่างสูงพุ่งเข้าหาหยางซานซินเสมือนคนเสียสติ เพราะคนเช่นหยางซานซินที่ทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น มันพรากดวงใจของเขาไปเช่นนี้มิได้ น้ำตาของชายหนุ่มไหลเป็นทาง ยิ่งเมื่อนึกถึงอ้อมกอดและรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นน้องสาว ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยเปรียบดั่งพยัคฆ์บาดเจ็บที่สู้จนตัวตายเลยทีเดียวหย่งฉีพุ่งเข้าสังหารทหารที่ยังหลงเหลืออยู่รอบกายของจ้าวอวิ๋นและร่างของหญิงสาวในอ้อมแขน ร่างสูงสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก เขาบกพร่องต่อหน้าที่จนได้ ปกป้องนายหญิงน้อยมิได้ เขาไม่สมควรมีลมหายใจอยู่ต่อไปเลยด้วยซ้ำจ้าวอวิ๋นพยายามโรยยาตามบาดแผลของ
“เจ้าจะยอมแพ้มิได้ โม่คัง เจ้าคือหนึ่งในสายเลือดสกุลจ้าว จงให้หัวใจนำพาพละกำลังในกาย เข้าใจหรือไม่ พี่อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจะต้องปลอดภัยน้องรัก พี่จะมิให้สิ่งใดพรากเจ้าไปจากพวกเราอีกแล้ว”ทุกถ้อยคำที่จ้าวอวิ๋นเอ่ยออกมานั้นเสมือนเสียงกระซิบอันไกลโพ้นสำหรับโม่คัง น้ำตาของบุรุษผู้เป็นนักรบไหลอาบสองแก้ม แม้จะมีลมหายใจกลับมาได้จากสิ่งที่หยางซานซินกระทำต่อเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ก็ใช่ว่าร่างกายที่เห็นนี้จะเป็นปกติสมบรูณ์ไม่ และตอนนี้ มันกำลังส่งผลต่อตัวเขาในยามคับขัน“เพื่อข้า พี่คัง! ทำเพื่ออี้เอ๋อร์สักครั้งเถิด!”หรู่อี้ที่รับมืออยู่กับหยางซานซินตะโกนก้องเรียกสติของชายหนุ่ม จ้าวอวิ๋นขบกรามแน่น เขาทำได้เพียงกวัดแกว่งป้องกันทหารที่พยายามโจมตีเขา ซึ่งมันมิน่าเป็นห่วงเท่าหญิงสาวผู้ที่ปกป้องเขากับน้องชายในตอนนี้เลย ร่างของหรู่อี้โชกไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่นางกลับมิปริปากร้องโอดครวญแม้แต่น้อย ทุกถ้อยคำมีเพียงโม่คังเท่านั้นถงม่งเหยาพยายามอย่างมากที่จะฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าช่วยเหลือหรู่อี้ ทว่า ตัวนางเองยังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรูเช่นกัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดคลอหน่วยตาของใครหลายคน พวกเขาจะเก่ง
อุทยานหลวงโม่คังพร้อมด้วยชูถงยืนนิ่งมองไปยังบุรุษต่างวัยอีกสองคน ซึ่งมิได้มีแค่เท่าที่เห็น ทว่าเขาสองคนตกอยู่กลางวงล้อมของทหารกบฏนับสิบเลยทีเดียว ทั้งคู่ลอบสบตากันเป็นระยะ“เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ชูถง ว่าคนอย่างเจ้ามันภักดีต่อโม่เหยียนเฉา ยากที่จะร่วมมือกับข้าหักหลังนายเจ้าได้”“แล้วอย่างไร…ที่ข้าช่วยเจ้าในวันนั้น ก็เพื่อให้มีวันนี้อย่างไรเล่า หากเจ้าตายไป แล้วใครจะพาข้ากลับเมืองหลวง…”ราชครูหลิวกำหมัดแน่น แต่ยังเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดออกมา เขารู้มาโดยตลอดว่าชูถงมิได้ต้องการที่จะร่วมมือตั้งแต่แรก การที่ยอมให้ร่วมในขบวนการ เพียงเพราะเรื่องของบุตรสาวและหลานชายที่ตายไปแล้วเท่านั้น หากจะกำจัดเสนาบดีผู้นี้เสียก็ย่อมทำได้ แต่ด้วยเจียงไห่เป็นเมืองที่ญาติผู้พี่มีอำนาจ เขาจะลงมืออันใดย่อมมิมีทางรอดพ้นสายตาคนเช่นหลิวไห่เป็นแน่“ฮา ๆ ไหน ๆ วันนี้ ทุกอย่างก็กระจ่างชัดแล้ว หนี้แค้นทั้งหมดก็มาชำระกันให้เสร็จสิ้นเถิด”“กับข้าสินะ”ในที่สุด โม่คังก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบเมื่อคำว่าหนี้แค้นหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย เขาไม่สนว่า ตอนนี้ หยางซานซินจะจดจำได้หรือไม่ว่าแท้จริงเขาคือใคร สนเพียงแค่วันนี้จะชำ
เลือดสีดำคล้ำพุ่งออกจากปากของพี่น้องสกุลโม่ ทำให้จ้าวเหลียนและมู่ตานขยับเข้าประชิดร่างของสามีตนเองด้วยความเป็นห่วง เวลานี้กลับกลายเป็นพวกนางเสียเองที่ตกอยู่สภาวะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เวลาคับขันเช่นนี้ ผู้ทรยศคือองครักษ์และทหารในวัง ย่อมไม่แปลกที่พวกนางจะไร้คนปกป้องฉึก! ฉับ! “อ๊ากก!”เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของศัตรูเรียกสายตาคนทั้งสี่ให้หันมอง ร่างสูงตระหง่านของบุตรเขยสกุลโม่ยืนหน้านิ่งไร้ความรู้สึก ทุกก้าวของชายหนุ่มนั้นดูเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งจากแดนเหนือก็มิปาน อาวุธในมือที่กวัดแกว่งออกไปทุกครานั้นจะต้องได้ดื่มเลือดของศัตรูถงเหยียนเจี๋ยในเวลานี้ยากที่ใครจะคาดเดาว่าเขารู้สึกเช่นไร ด้วยข้างกายของชายหนุ่มนั้นไม่มีภรรยาอยู่เคียง ความเยือกเย็นของเขาน้อยคนที่จะได้เห็น ไอสังหารพวยพุ่งออกมาจนจิ้งอ๋องถึงกับถอยร่นไปด้านหลัง เลือดที่หยดตามปลายอาวุธเสมือนการข่มขวัญศัตรู ชายหนุ่มมิได้หันมองไปยังครอบครัวของพ่อตา แต่ดวงตาเย็นชาจ้องมองอยู่ที่จิ้งอ๋องแต่ผู้เดียว“ผู้ใดที่คิดทำให้ภรรยาของข้าเศร้าหมอง มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”“ฮา ๆ ยามใดกันที่ข้าไปทำภรรยาของเจ้าเศร้าหมอง”จิ้งอ๋อ
นอกวังหลวง ณ หมู่บ้านอี้ฟึ่บ! ร่างในชุดดำเหินกายลงยังลานดินหน้ากระท่อมที่อยู่ห่างจากบ้านเรือนหลังอื่น ก่อนจะเร่งสาวเท้าเข้าไปด้านในด้วยอาการร้อนรน ทว่า คนด้านในกระท่อมกลับยังคงนิ่งเฉย“นายหญิง ข่าวจากองค์หญิงนั้นเงียบหายไปขอรับ ส่วนกองทัพของนางก็พ่ายแพ้หมดสิ้นแล้วขอรับ”มือบางกำแน่นวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา ฟังการรายงานข่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้คนที่ร่วมห้องอยู่ด้วยรับรู้ได้ถึงไอสังหารที่กำลังพวยพุ่งออกจากร่างบอบบางของผู้เป็นนาย แต่เขายังจำต้องรายงานเรื่องทั้งหมดต่อไป มิอาจหยุดได้หากไม่ได้รับอนุญาต และจนกว่าเขาจะรายงานทุกอย่างให้หมดสิ้น“ต่อให้นางตาย เจ้าก็ต้องได้ศพนางกลับมา ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่”เอ่ยจบ ผู้เป็นนายก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายชุดดำทำเพียงโค้งคำนับก่อนจะหมุนกายจากไปภายในห้อง ร่างระหงก้าวตรงไปนั่งยังเตียง มือบางขยุ้มผ้าปูที่นอนด้วยความเจ็บร้าวอยู่ในอก สามีอันเป็นที่รักทำร้ายนางเพียงคนเดียวนั้นก็นับว่าร้ายกาจแล้ว นี่ยังทำกับบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางเพียงเพื่ออำนาจของตนอีก เขาไม่เคยสนใจเลยว่ากั๋วเชียงจะเจ็บปวดเพียงไรนางยอมเป็นพระชายาที่ตายแล้วในควา
ครั้งนี้มันกลับระเบิดเสียงดัง ทำให้มีบ้างที่ทหารอีกกลุ่มภายในโล่อื่นแตกกระจายกันออก มีทั้งบาดเจ็บมากน้อยตามแรงระเบิดที่ได้รับ จะมีเพียงโล่ที่ใช้ป้องกันผู้นำเท่านั้นที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ส่วนทหารที่มิได้ยกโล่ทำการเตรียมลูกศรเพื่อยิงเปิดทางให้แก่กองทัพของตนเอง เสียงโล่หนากระแทกพื้นเป็นจังหวะเพื่อให้ทหารที่อยู่ในเกราะกำบังแต่ละคนทำตามอย่างพร้อมเพรียงหลิวเจินเจินไม่อยากที่จะเสียเวลานานไปกว่านี้ และสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำนั้นนางเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี คนของตงกำลังตกเป็นรอง นางไม่อยากที่จะให้เกิดการพลิกหมากกระดานนี้ มือบางยกขึ้นส่งสัญญาณให้ทำตามแผนการขั้นต่อไป‘เจ้าคงลืมไปว่าบิดาข้า สามีข้า แม้แต่บุตรชายหญิงของข้าคือแม่ทัพ’ แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก แต่คงมีฝีมือเฉพาะตนอยู่มิน้อย ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้ตงคงมิคิดกำจัดโดยการส่งมาเช่นนี้เป็นแน่ หรือไม่ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเกิดในสกุลที่เป็นปรปักษ์ต่อบัลลังก์สินะหลิวเจินเจินทำเพียงยืนมองเหล่าทหารต่างแคว้นที่ต้องเอาชีวิตมาสังเวยความต้องการของผู้เป็นนาย นางจะไม่ยอมยืนรอให้อีกฝ่ายตอบโต้ได้เป็นอันขาด หากจะว่านางโหดร้ายก็ไม่ผิด เพื่อปก
ชายชุดดำได้ส่งสัญญาณจากกำแพงเมืองให้กับกองทัพฝั่งตนรับรู้ ซึ่งดูเหมือนจะฉวยโอกาสในช่วงก่อนมีงานพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ครั้งนี้ไม่กี่วันคอยส่งทหารมือดีที่สุดของแคว้น มิว่าจะเป็นแม่ทัพนายกอง แฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านและเมืองรอบ ๆ เพื่อรอจังหวะเหมาะสมบุกยึดเมืองหลวง โดยมีคนในของชีเป่ยคอยปูทางเอาไว้ให้กองทัพจากแคว้นตงเคลื่อนพลในทันทีเมื่อได้รับสัญญาณจากคนด้านใน ประตูเมืองทั้งสี่ด้านตอนนี้มีกำลังในการป้องน้อยนิด เพราะถูกเกณฑ์เข้าไปช่วยปกป้องประตูวังหลวง ทั้งยังเป็นทหารฝั่งกบฏมากกว่าครึ่งทำให้ง่ายต่อการบุกโจมตี“คุณหนูพวกมันเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”“อืม…ลงมือได้ จำไว้ว่าให้พวกมันเข้าไปให้หมด ค่อยจัดการ”ร่างระหงในชุดเกราะยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางกองทัพสกุลหลิวและกองกำลังจากสกุลหลง โดยมีหลงเป่าร่วมเป็นผู้นำในครั้งนี้ด้วย เมื่อแมวน้อยพากันหมายจะมาขโมยปลาถึงในบ้าน ก็จำต้องจับแมวตัวอ้วนมาลงทัณฑ์“ท่านน้า ลำบากท่านแล้ว”“เป่าเอ๋อร์ เพื่อพี่น้องของเรา คำว่าลำบากนั้นมิใช่สิ่งที่มีอยู่ในใจของข้า”“ขอรับ”เมื่อกองทัพจากต่างแคว้นเข้าสู่ประตูเมืองทั้งสี่ด้านจนหมดทุกคนแล้ว ซึ่งดูจะง่ายดายเสียเหลือเกินในสายตาของผ