2
ไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนเข้ามานั่งกินอาหารไม่น้อยเนื่องจากราคาไม่สูงมากจนเกินไป แต่เนื่องจากที่นี่ไม่มีห้องส่วนตัวคุณหนูคุณชายส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมนัก
เพราะจะได้มองดูปาหี่ที่สาวใช้คนสนิทแหวกกลุ่มคนเข้าไปดู นางจึงเลือกที่จะนั่งบริเวณชั้นสอง ก่อนจะสั่งอาหารมาสามอย่างเพื่อกินระหว่างรอสาวใช้
‘นั่นมันคุณหนูซิว คนงามจากจวนราชครูไม่ใช่หรือ’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นดึงความสนใจให้นางก้มลงไปมองเบื้องล่างตามพวกเขา
‘งดงามสมคำเล่าลือจริง ๆ’
เมื่อมีโอกาสได้เพ่งพิศเช่นนี้ นางคิดว่าพี่ใหญ่งดงามกว่าสตรีผู้นี้มาก หากไม่ติดว่าเป็นบุรุษคงเป็นที่หมายปองของบุรุษในเมืองหลวง เผลอ ๆ ได้เข้าวังเป็นนางสนมของฮ่องเต้ แต่เอาเถิดหากกวาดสายตามองสตรีทั่วเมืองหลวงคุณหนูจวนราชครูผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
‘งดงามเช่นนี้คงมีคู่หมายแล้วกระมัง’
‘นางยังไม่มีคู่หมายหรอก’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งตอบ
‘เพราะเหตุใดเจ้าถึงทราบ’
‘ก็จงเซ่อชื่นชอบคุณหนูซิวอย่างไรเล่า’
‘ใช่! ข้าเฝ้ามองนางมานานแล้ว นางงดงามและมีจิตใจอ่อนโยน’ น้ำเสียงเคลิบเคลิ้มหลงใหลของบัณฑิตผู้นั้นทำให้นางแทบจะสำลัก
‘จวนราชครูเคยไปทำโรงทานแจกจ่ายอาหารยามที่เมืองจินเซ่อประสบภัยแล้ง จงเซ่อที่เคยได้รับความช่วยเหลือจึงประทับใจคุณหนูผู้นั้น’ เพราะเช่นนี้พวกเขาที่สนิทกับอีกฝ่ายจึงพลอยได้รู้จักคุณหนูผู้จิตใจอ่อนโยนไปด้วย
‘แต่ก็ได้แค่ฝัน’ บัณฑิตที่นิ่งเงียบและมีสีหน้าเย็นชาแปลกแยกจากผู้อื่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่คิดรักษาน้ำใจ
‘คุนต๋า เหตุใดเจ้าถึงได้กล่าววาจาทำร้ายจิตใจสหายเช่นนั้น’ เป็นมู่เฉียงฮุยกล่าว
‘ก็เมื่อครู่ข้าเห็นคุณหนูคนที่พวกเจ้ากล่าวถึงยืนสนทนากับบุรุษรูปงามในตรอกข้างร้านร้างไร้ผู้คนตรงนั้น ดูท่าทางนางจะชื่นชอบบุรุษผู้นั้นมาก’
เอ๋...มีคนเห็นด้วยหรือ เช่นนั้นบัณฑิตผู้นั้นก็เห็นนางที่แอบฟังอยู่น่ะสิ
‘เจ้าโกหก’
‘ข้าจะโกหกให้ได้อันใด’
‘จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ขอตัวลาสหายทุกท่าน’ กล่าวจบบุรุษนามว่าจงเซ่อก็ลุกออกจากโต๊ะไป
‘คุนต๋า เจ้าคนปากเสีย เห็นหรือไม่จงเซ่อเสียใจจนรีบร้อนกลับไปแล้ว’
‘เป็นถึงคุณหนูจวนราชครู อย่างไรวันหนึ่งก็ต้องแต่งไปกับบุรุษที่เหมาะสม ยกเว้นเขาจะกลายเป็นไท่จื่อ[1] หรือแท้จริงมีชาติกำเนิดเป็นถึงองค์ชาย จึงจะมีโอกาสที่สตรีผู้นั้นจะชายตามอง’
ช่างเป็นบุรุษที่ไม่คิดรักษาน้ำใจผู้อื่นเลย ทำลายความหวังและความฝันของผู้อื่นในพริบตา
‘ที่เจ้าเอ่ยมามันก็ถูกต้อง แต่เจ้าก็ไม่ควรพูดออกมา’ สิ้นเสียงบัณฑิตอีกสามคนก็ลุกออกไป เหลือเพียงบุรุษที่ปากไม่ค่อยดีกับสหายอีกหนึ่งคน
“ท่านช่างเก่งกาจเรื่องทำร้ายผู้อื่นด้วยวาจาไม่เปลี่ยน”
“เป็นเพียงบัณฑิตหากทะเยอทะยานเกินไปจะนำภัยมาสู่ตัว”
“ตามใจท่านเถิด”
“แต่หากถามข้า ข้าว่าคุณหนูซิวผู้นั้นเป็นสตรีงดงามแต่มองนานไปก็น่าเบื่อหน่าย สู้สตรีที่ยืนแอบฟังอยู่ตรงหน้าร้านร้างก็ไม่ได้” วาจาของบัณฑิตผู้นั้นทำให้นางสะดุ้งไม่น้อย
“เรื่องนี้ข้าตอบท่านไม่ได้เพราะข้าไม่ได้เห็นนางเช่นเดียวกับท่าน”
“คุณหนู! บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ บ่าวได้เครื่องรางมาด้วย” เสียงที่ไม่เบาเลยของซูฉีทำให้นางแทบอยากจะมุดลงไปใต้โต๊ะ เพราะมันทำให้บัณฑิตทั้งสองคนนั้นหันมามองทางนาง เนื่องจากในตอนนี้ชั้นสองเหลือเพียงสองโต๊ะเท่านั้น
“หึ!” บุรุษผู้นั้นเค้นเสียงในลำคอก่อนจะยกชาขึ้นจิบคล้ายกับเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ออกมาจากปากเขา
“...” ส่วนบัณฑิตอีกคนก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ที่นี่ไม่ใช่ในจวนนะซูฉี เจ้าอย่าได้ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นสิ”
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณชาย” สาวใช้คนสนิทของนางหันไปกล่าวกับบุรุษทั้งสองก่อนจะรีบเข้าไปหาคุณหนูของตนเอง
“เจ้ามาก็ดีแล้ว เรารีบกลับกันเถิด ป่านนี้รองเท้าข้าที่ฝากให้เถ้าแก่เนี้ยแก้ให้คงเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“แต่คุณหนูยังกินไปได้เพียงเล็กน้อย” ซูฉีเอ่ยพลางกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ
“ช่างเถิดน่า รีบกลับจวนได้แล้ว” นางเอ่ยก่อนจะรีบลากสาวใช้ให้เดินไปด้วยกัน ยามเดินผ่านโต๊ะของบัณฑิตผู้นั้นนางแสร้งหันไปสนทนากับสาวใช้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน
‘อับอายยิ่งนักที่ถูกจับได้ว่าลอบฟังคุณหนูซิวสนทนากับบุรุษ’ คิดว่าไม่มีใครเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของนางซะอีก
เมื่อชั้นสองของโรงเตี๊ยมเหลือเพียงโต๊ะเดียว ความสงบก็กลับมาเยือนอีกครั้ง
“เห็นหรือไม่สหาย ว่านางงดงามกว่าคุณหนูซิวผู้นั้น” บัณฑิตผู้มีสีหน้าเรียบเฉยกล่าวพลางมองไปที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยม
เพราะเมื่อครู่นางนั่งอยู่ในจุดที่อับสายตา บัณฑิตโง่เขลาพวกนั้นจึงไม่ทันได้เห็นว่าบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังมีสตรีผู้มีใบหน้างามล้ำยิ่งกว่าคุณหนูซิว นั่งอยู่ด้วย
[1] องค์รัชทายาท หรือผู้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัดไป
................................
อุตส่าห์ไปแอบดู ยังมีคนเห็นจนได้ น่าอับอายยิ่ง
พอออกมาถึงด้านนอกของโรงเตี๊ยมนางก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “วันนี้ในกลุ่มคนที่มาดูปาหี่พากันชื่นชมความงามของคุณหนูซิวด้วยเจ้าค่ะ” “ข้าเพิ่งทราบว่านางเป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองหลวงมากถึงเพียงนี้” “เพราะคุณหนูซิวมักจะออกมาตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ ชาวบ้านจึงได้ชื่นชอบเจ้าค่ะ” “เพราะเหตุนี้เสียงเล่าลือถึงนางจึงมีแต่เรื่องดี ๆ” ทำตนให้ดีงาม ไม่ด่างพร้อยเช่นนี้ มิใช่ว่าแท้จริงกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าการเป็นพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่อหรือ เพราะแค่ชาติตระกูลนางก็สามารถแต่งกับบุรุษผู้นั้นได้แล้ว ไหนเลยจะต้องแสร้งทำตนเองให้ดีงามเพื่อเอาใจชาวบ้านร้านตลาด “แต่บ่าวว่าคุณหนูของบ่าวงดงามน่ามองกว่าเจ้าค่ะ” “เจ้าก็เยินยอข้าเกินไป” “บ่าวไม่ได้เยินยอนะเจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูงดงาม มองอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่ายมากกว่า” ไหนจะดวงหน้าหวานที่มีเครื่องหน้าประดับอย่างลงตัวนั่นอีก ใครกันที่เคยว่าคุณหนูงดงามไม่เท่าคุณชายใหญ่ คนพวกนั้นตาบอดหรืออย่างไร “เช่นนั้นกลับไปข้าจะสั่งท่านป้าแม่
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน” “ขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามตอบรับพลางนึกดูแคลนคนตรงหน้าในใจ คิดว่าเขามองไม่ออกอย่างไรว่าคนผู้นี้เป็นสตรีหาใช่คุณชายที่ใดไม่ อีกทั้งยังร้อนแรงเรียกหาชายงามถึงสามคนเพื่อมาปรนนิบัติ เมื่อคนของหอออกจากห้องไป นางก็เริ่มครุ่นคิดหาโอกาสไปลอบมองพี่ชายของตน ‘ข้าจะไปยืนที่หน้าห้องนั้นอย่างไรโดยไม่มีคนเห็น’ วิชาตัวเบาก็ไม่มีจะลอบเข้าทางหน้าต่างก็ไม่ได้ ‘เหตุใดถึงมาเร็วนักเล่า’ นางคิดเมื่อประตูห้องที่ตนอยู่ถูกเปิดออกอีกครั้ง “ขออภัยที่ให้รอนานขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามกลับมาพร้อมบุรุษรูปงามพอประมาณจำนวนหกคน แต่ทว่าแต่ละคนจะแหวกคออาภรณ์ให้อ้าออกเพื่อให้เห็นแผงอกที่แน่นขนัด บ่งบอกถึงรูปร่างที่กำยำ หาได้อรชรอ้อนแอ้นแต่อย่างใด อึก! นางลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าหรือที่พี่ชายนางมาที่นี่จะเป็นเพราะชื่นชอบบุรุษรูปร่างกำยำจริง ๆ “คุณชายสามารถเลือกได้เลยขอรับ ทุกคนที่ข้าน้อยคัดมาล้วนเดินหมากได้เก่
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ “เจ้า!” เพื่อป้องกันไม่ให้เขาส่งเสียงไปมากกว่านี้ นางจึงรีบกระโจนเข้าหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเขาเอาไว้ มือข้างหนึ่งปิดปาก “ท่านอย่าได้ตกใจ คนที่อยู่ในห้องเป็นพี่ชายของข้า ข้าเพียงมาหาเขา หาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่” “...” บุรุษที่ถูกนางปิดปากอยู่กลอกตาไปมาคล้ายอยากเอ่ยวาจา “ท่านสัญญาได้หรือไม่ หากข้าปล่อยมือท่านจะไม่โวยวาย” “...” เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ‘นั่นใคร!’ เสียงที่ดังจากในห้องทำให้นางตกใจ นางปล่อยมือจากตัวเขาแล้วแสร้งยืนเบียดเขาทำตัวคล้ายชายงามออดอ้อนคุณชายที่มาเที่ยวหอชายงามทำให้บุรุษผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อ เดือดร้อนให้นางต้องจับตัวเขาหันหลังให้ประตู พรึ่บ! เมื่อเสียงประตูด้านหลังเปิดออกนางก็รีบจับมือของเขาให้มาโอบเอวตนเอง “คุณชายขอรับ วันนี้ต้องขอบ
1ฝันร้ายที่ไม่อยากให้เกิด พรึ่บ! สตรีผู้มีดวงหน้าอ่อนหวานผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองไปรอบ ๆ ห้องพลางหอบเหนื่อยอย่างหนัก “นี่ข้าฝันร้ายอีกแล้วหรือ” มันเป็นแค่ฝันที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นจริงใช่หรือไม่ ยิ่งใกล้ปักปิ่นความฝันเหล่านั้นยิ่งชัดแจ้งขึ้นทุกที ความฝันที่ว่าพี่ชายเพียงคนเดียวของนางเป็นต้วนซิ่ว[1]ทั้งยังหลงรักสหายของตนอย่างหัวปักหัวปำ ยามที่สหายยังไม่มีคนรักก็แล้วไป แต่พออีกฝ่ายที่เป็นถึงซื่อจื่อ[2]ของจวนอ๋องตบแต่งพระชายาทั้งยังปักใจรักสตรีผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง พี่ใหญ่ที่คล้ายกับคนผิดหวังในความรักเกิดความคิดชั่วร้ายหวังกำจัดสตรีผู้นั้น แม้ชินอ๋องเป็นถึงอดีตแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้พาพระชายาออกท่องเที่ยวไปแล้ว แต่ทว่าก็ยังมีเสือหมอบมังกรซ่อน[3]ถูกเก็บซ่อนไว้เพื่อปกป้องบุตรชาย ดังนั้นเมื่อพี่ใหญ่ของนางส่งคนไปทำร้ายพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่ออยู่บ่อยครั้ง ความเป็นสหายก็ขาดสะบั้น สุดท้ายโทษหนักอย่างการปองร้ายเชื้อพระวงศ์ก็ตกใส่หัวตระกูลฟ่านของนาง โดนประหารยกตระกูล ส่วนนางที่ตบแต่งเข้าตระกูลซิว ก็ถูกแม่สามีส่งกลับจ
เพราะอารามแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่าเขา จึงมีลมเย็นพัดโชยตลอดทำให้นางต้องกระชับเสื้อคลุมกันหนาวที่สวมไว้ก่อนจะรีบเดินกลับไปที่รถม้าหลังจากที่ได้เครื่องรางที่ต้องการแล้ว “ขากลับจวนจะแวะเดินเล่นในตลาดก่อนหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ ข้าอยากรีบกลับไปนอนบนเตียงอุ่นของตนเอง” เพราะถูกคนอื่นเอ่ยวาจาเสียดสีเรื่องที่นางขี้ริ้วขี้เหร่กว่าพี่ชายที่เป็นบุรุษอยู่บ่อยครั้ง ยามอยู่ในจวนบิดามารดาและพี่ใหญ่จึงแทบประคองนางไว้กลางฝ่ามือ ทุกอย่างในเรือนของนางจึงเป็นของดี แม้แต่เตียงยังเป็นเตียงอุ่น เห็นหรือไม่ว่าตามใจนางมากเพียงใด หากวันหนึ่งเสียคนขึ้นมาก็อย่าได้แปลกใจ “เจ้าค่ะคุณหนู” ซูฉีรับคำก่อนจะประคองคุณหนูขึ้นรถม้า แล้วบอกกล่าวกับคนขับรถม้า ในระหว่างทางรถม้าที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าจู่ ๆ ก็ชะลอลงเล็กน้อยคล้ายกับมีเหตุการณ์บางอย่างอยู่ข้างหน้า “มีอันใดหรือไม่” คุณหนูฟ่านส่งเสียงถามคนขับรถม้า “ข้างหน้าเหมือนจะมีรถม้าจอดเสียอยู่ขอรับ” “รถม้าของเราสามารถผ่านไปได้หรือไม่” “ได้ขอรับ แต่ต้องระวังสักเล็กน้อย”
‘มีอันใดก็รีบเอ่ยมา’ แม้ไม่ได้เห็นสีหน้า แต่คนลอบฟังเช่นนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าบุรุษผู้นั้นกำลังรู้สึกรำคาญ ‘ข้าเพียงแต่อยากจะเอ่ยวาจาขอบคุณท่านที่ได้ยื่นมือช่วยเหลือข้าในวันนั้นเจ้าค่ะ’ ‘ข้าน่ะหรือ ช่วยเหลือเจ้า’ นี่แหละนะบุรุษรูปงามมักไม่จดจำว่าตนเองได้ล่อลวงสตรีใดไปบ้าง ‘เจ้าค่ะ เป็นท่านที่ช่วยเหลือข้ายามที่ม้าเหล่านั้นกำลังพยศ’ ‘อ๋อ! ในตอนนั้นข้าเพียงไม่อยากให้รถม้าของตระกูลนั้นต้องจ่ายค่าเสียหายมากมาย’ แท้จริงที่ช่วยก็เพียงมีใจอยากช่วยไม่ให้จวนท่านตาต้องชดเชยค่าเสียหายจำนวนมากก็เท่านั้น บุรุษผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก สตรีงดงามรู้สึกซาบซึ้งแทนที่จะรับคำขอบคุณไว้กลับบอกไปเช่นนั้นไม่รู้คนงามจะหน้าชาเพียงใด ‘อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นข้าคงเจ็บหนัก’ ‘ที่เจ้ามาขวางทางข้าเพราะอยากเอ่ยวาจาเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่’ ‘ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนท่าน ข้าสามารถทำเช่นไรได้บ้างเจ้าคะ’ ก็ต้องพลีกายตบแต่งเป็นฮูหยินให้อย่างไรเล่า นี่เป็นการตอบแทนที่
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ “เจ้า!” เพื่อป้องกันไม่ให้เขาส่งเสียงไปมากกว่านี้ นางจึงรีบกระโจนเข้าหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเขาเอาไว้ มือข้างหนึ่งปิดปาก “ท่านอย่าได้ตกใจ คนที่อยู่ในห้องเป็นพี่ชายของข้า ข้าเพียงมาหาเขา หาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่” “...” บุรุษที่ถูกนางปิดปากอยู่กลอกตาไปมาคล้ายอยากเอ่ยวาจา “ท่านสัญญาได้หรือไม่ หากข้าปล่อยมือท่านจะไม่โวยวาย” “...” เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ‘นั่นใคร!’ เสียงที่ดังจากในห้องทำให้นางตกใจ นางปล่อยมือจากตัวเขาแล้วแสร้งยืนเบียดเขาทำตัวคล้ายชายงามออดอ้อนคุณชายที่มาเที่ยวหอชายงามทำให้บุรุษผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อ เดือดร้อนให้นางต้องจับตัวเขาหันหลังให้ประตู พรึ่บ! เมื่อเสียงประตูด้านหลังเปิดออกนางก็รีบจับมือของเขาให้มาโอบเอวตนเอง “คุณชายขอรับ วันนี้ต้องขอบ
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน” “ขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามตอบรับพลางนึกดูแคลนคนตรงหน้าในใจ คิดว่าเขามองไม่ออกอย่างไรว่าคนผู้นี้เป็นสตรีหาใช่คุณชายที่ใดไม่ อีกทั้งยังร้อนแรงเรียกหาชายงามถึงสามคนเพื่อมาปรนนิบัติ เมื่อคนของหอออกจากห้องไป นางก็เริ่มครุ่นคิดหาโอกาสไปลอบมองพี่ชายของตน ‘ข้าจะไปยืนที่หน้าห้องนั้นอย่างไรโดยไม่มีคนเห็น’ วิชาตัวเบาก็ไม่มีจะลอบเข้าทางหน้าต่างก็ไม่ได้ ‘เหตุใดถึงมาเร็วนักเล่า’ นางคิดเมื่อประตูห้องที่ตนอยู่ถูกเปิดออกอีกครั้ง “ขออภัยที่ให้รอนานขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามกลับมาพร้อมบุรุษรูปงามพอประมาณจำนวนหกคน แต่ทว่าแต่ละคนจะแหวกคออาภรณ์ให้อ้าออกเพื่อให้เห็นแผงอกที่แน่นขนัด บ่งบอกถึงรูปร่างที่กำยำ หาได้อรชรอ้อนแอ้นแต่อย่างใด อึก! นางลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าหรือที่พี่ชายนางมาที่นี่จะเป็นเพราะชื่นชอบบุรุษรูปร่างกำยำจริง ๆ “คุณชายสามารถเลือกได้เลยขอรับ ทุกคนที่ข้าน้อยคัดมาล้วนเดินหมากได้เก่
พอออกมาถึงด้านนอกของโรงเตี๊ยมนางก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “วันนี้ในกลุ่มคนที่มาดูปาหี่พากันชื่นชมความงามของคุณหนูซิวด้วยเจ้าค่ะ” “ข้าเพิ่งทราบว่านางเป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองหลวงมากถึงเพียงนี้” “เพราะคุณหนูซิวมักจะออกมาตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ ชาวบ้านจึงได้ชื่นชอบเจ้าค่ะ” “เพราะเหตุนี้เสียงเล่าลือถึงนางจึงมีแต่เรื่องดี ๆ” ทำตนให้ดีงาม ไม่ด่างพร้อยเช่นนี้ มิใช่ว่าแท้จริงกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าการเป็นพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่อหรือ เพราะแค่ชาติตระกูลนางก็สามารถแต่งกับบุรุษผู้นั้นได้แล้ว ไหนเลยจะต้องแสร้งทำตนเองให้ดีงามเพื่อเอาใจชาวบ้านร้านตลาด “แต่บ่าวว่าคุณหนูของบ่าวงดงามน่ามองกว่าเจ้าค่ะ” “เจ้าก็เยินยอข้าเกินไป” “บ่าวไม่ได้เยินยอนะเจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูงดงาม มองอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่ายมากกว่า” ไหนจะดวงหน้าหวานที่มีเครื่องหน้าประดับอย่างลงตัวนั่นอีก ใครกันที่เคยว่าคุณหนูงดงามไม่เท่าคุณชายใหญ่ คนพวกนั้นตาบอดหรืออย่างไร “เช่นนั้นกลับไปข้าจะสั่งท่านป้าแม่
2ไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่ ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนเข้ามานั่งกินอาหารไม่น้อยเนื่องจากราคาไม่สูงมากจนเกินไป แต่เนื่องจากที่นี่ไม่มีห้องส่วนตัวคุณหนูคุณชายส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมนัก เพราะจะได้มองดูปาหี่ที่สาวใช้คนสนิทแหวกกลุ่มคนเข้าไปดู นางจึงเลือกที่จะนั่งบริเวณชั้นสอง ก่อนจะสั่งอาหารมาสามอย่างเพื่อกินระหว่างรอสาวใช้ ‘นั่นมันคุณหนูซิว คนงามจากจวนราชครูไม่ใช่หรือ’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นดึงความสนใจให้นางก้มลงไปมองเบื้องล่างตามพวกเขา ‘งดงามสมคำเล่าลือจริง ๆ’ เมื่อมีโอกาสได้เพ่งพิศเช่นนี้ นางคิดว่าพี่ใหญ่งดงามกว่าสตรีผู้นี้มาก หากไม่ติดว่าเป็นบุรุษคงเป็นที่หมายปองของบุรุษในเมืองหลวง เผลอ ๆ ได้เข้าวังเป็นนางสนมของฮ่องเต้ แต่เอาเถิดหากกวาดสายตามองสตรีทั่วเมืองหลวงคุณหนูจวนราชครูผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ‘งดงามเช่นนี้คงมีคู่หมายแล้วกระมัง’ ‘นางยังไม่มีคู่หมายหรอก’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งตอบ ‘เพราะเหตุใดเจ้าถึงทราบ’ ‘ก็จงเซ่อชื่นชอบคุณหนูซิวอย่างไรเล่า’ ‘ใช่! ข้าเฝ้ามอง
‘มีอันใดก็รีบเอ่ยมา’ แม้ไม่ได้เห็นสีหน้า แต่คนลอบฟังเช่นนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าบุรุษผู้นั้นกำลังรู้สึกรำคาญ ‘ข้าเพียงแต่อยากจะเอ่ยวาจาขอบคุณท่านที่ได้ยื่นมือช่วยเหลือข้าในวันนั้นเจ้าค่ะ’ ‘ข้าน่ะหรือ ช่วยเหลือเจ้า’ นี่แหละนะบุรุษรูปงามมักไม่จดจำว่าตนเองได้ล่อลวงสตรีใดไปบ้าง ‘เจ้าค่ะ เป็นท่านที่ช่วยเหลือข้ายามที่ม้าเหล่านั้นกำลังพยศ’ ‘อ๋อ! ในตอนนั้นข้าเพียงไม่อยากให้รถม้าของตระกูลนั้นต้องจ่ายค่าเสียหายมากมาย’ แท้จริงที่ช่วยก็เพียงมีใจอยากช่วยไม่ให้จวนท่านตาต้องชดเชยค่าเสียหายจำนวนมากก็เท่านั้น บุรุษผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก สตรีงดงามรู้สึกซาบซึ้งแทนที่จะรับคำขอบคุณไว้กลับบอกไปเช่นนั้นไม่รู้คนงามจะหน้าชาเพียงใด ‘อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นข้าคงเจ็บหนัก’ ‘ที่เจ้ามาขวางทางข้าเพราะอยากเอ่ยวาจาเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่’ ‘ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนท่าน ข้าสามารถทำเช่นไรได้บ้างเจ้าคะ’ ก็ต้องพลีกายตบแต่งเป็นฮูหยินให้อย่างไรเล่า นี่เป็นการตอบแทนที่
เพราะอารามแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่าเขา จึงมีลมเย็นพัดโชยตลอดทำให้นางต้องกระชับเสื้อคลุมกันหนาวที่สวมไว้ก่อนจะรีบเดินกลับไปที่รถม้าหลังจากที่ได้เครื่องรางที่ต้องการแล้ว “ขากลับจวนจะแวะเดินเล่นในตลาดก่อนหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ ข้าอยากรีบกลับไปนอนบนเตียงอุ่นของตนเอง” เพราะถูกคนอื่นเอ่ยวาจาเสียดสีเรื่องที่นางขี้ริ้วขี้เหร่กว่าพี่ชายที่เป็นบุรุษอยู่บ่อยครั้ง ยามอยู่ในจวนบิดามารดาและพี่ใหญ่จึงแทบประคองนางไว้กลางฝ่ามือ ทุกอย่างในเรือนของนางจึงเป็นของดี แม้แต่เตียงยังเป็นเตียงอุ่น เห็นหรือไม่ว่าตามใจนางมากเพียงใด หากวันหนึ่งเสียคนขึ้นมาก็อย่าได้แปลกใจ “เจ้าค่ะคุณหนู” ซูฉีรับคำก่อนจะประคองคุณหนูขึ้นรถม้า แล้วบอกกล่าวกับคนขับรถม้า ในระหว่างทางรถม้าที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าจู่ ๆ ก็ชะลอลงเล็กน้อยคล้ายกับมีเหตุการณ์บางอย่างอยู่ข้างหน้า “มีอันใดหรือไม่” คุณหนูฟ่านส่งเสียงถามคนขับรถม้า “ข้างหน้าเหมือนจะมีรถม้าจอดเสียอยู่ขอรับ” “รถม้าของเราสามารถผ่านไปได้หรือไม่” “ได้ขอรับ แต่ต้องระวังสักเล็กน้อย”
1ฝันร้ายที่ไม่อยากให้เกิด พรึ่บ! สตรีผู้มีดวงหน้าอ่อนหวานผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองไปรอบ ๆ ห้องพลางหอบเหนื่อยอย่างหนัก “นี่ข้าฝันร้ายอีกแล้วหรือ” มันเป็นแค่ฝันที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นจริงใช่หรือไม่ ยิ่งใกล้ปักปิ่นความฝันเหล่านั้นยิ่งชัดแจ้งขึ้นทุกที ความฝันที่ว่าพี่ชายเพียงคนเดียวของนางเป็นต้วนซิ่ว[1]ทั้งยังหลงรักสหายของตนอย่างหัวปักหัวปำ ยามที่สหายยังไม่มีคนรักก็แล้วไป แต่พออีกฝ่ายที่เป็นถึงซื่อจื่อ[2]ของจวนอ๋องตบแต่งพระชายาทั้งยังปักใจรักสตรีผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง พี่ใหญ่ที่คล้ายกับคนผิดหวังในความรักเกิดความคิดชั่วร้ายหวังกำจัดสตรีผู้นั้น แม้ชินอ๋องเป็นถึงอดีตแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้พาพระชายาออกท่องเที่ยวไปแล้ว แต่ทว่าก็ยังมีเสือหมอบมังกรซ่อน[3]ถูกเก็บซ่อนไว้เพื่อปกป้องบุตรชาย ดังนั้นเมื่อพี่ใหญ่ของนางส่งคนไปทำร้ายพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่ออยู่บ่อยครั้ง ความเป็นสหายก็ขาดสะบั้น สุดท้ายโทษหนักอย่างการปองร้ายเชื้อพระวงศ์ก็ตกใส่หัวตระกูลฟ่านของนาง โดนประหารยกตระกูล ส่วนนางที่ตบแต่งเข้าตระกูลซิว ก็ถูกแม่สามีส่งกลับจ