“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน”
“ขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามตอบรับพลางนึกดูแคลนคนตรงหน้าในใจ คิดว่าเขามองไม่ออกอย่างไรว่าคนผู้นี้เป็นสตรีหาใช่คุณชายที่ใดไม่ อีกทั้งยังร้อนแรงเรียกหาชายงามถึงสามคนเพื่อมาปรนนิบัติ
เมื่อคนของหอออกจากห้องไป นางก็เริ่มครุ่นคิดหาโอกาสไปลอบมองพี่ชายของตน
‘ข้าจะไปยืนที่หน้าห้องนั้นอย่างไรโดยไม่มีคนเห็น’ วิชาตัวเบาก็ไม่มีจะลอบเข้าทางหน้าต่างก็ไม่ได้
‘เหตุใดถึงมาเร็วนักเล่า’ นางคิดเมื่อประตูห้องที่ตนอยู่ถูกเปิดออกอีกครั้ง
“ขออภัยที่ให้รอนานขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามกลับมาพร้อมบุรุษรูปงามพอประมาณจำนวนหกคน แต่ทว่าแต่ละคนจะแหวกคออาภรณ์ให้อ้าออกเพื่อให้เห็นแผงอกที่แน่นขนัด บ่งบอกถึงรูปร่างที่กำยำ หาได้อรชรอ้อนแอ้นแต่อย่างใด
อึก! นางลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าหรือที่พี่ชายนางมาที่นี่จะเป็นเพราะชื่นชอบบุรุษรูปร่างกำยำจริง ๆ
“คุณชายสามารถเลือกได้เลยขอรับ ทุกคนที่ข้าน้อยคัดมาล้วนเดินหมากได้เก่งกาจและเชี่ยวชาญเพลงพิณขอรับ”
“เช่นนั้น เอาคนนั้น คนโน้น และคนนี้” นางชี้มั่ว ๆ ไปสามครั้ง ก่อนจะโยนก้อนเงินสีทองให้คนของหอไป
“ขอบคุณขอรับ แล้วเรื่องอาหาร?”
“เอาสุรามาหนึ่งไห อาหารขึ้นชื่อของที่นี่สักสี่อย่าง และชามข้าวนำมาเผื่อชายงามที่ข้าเลือกด้วย”
“คุณชายช่างใจกว้าง เช่นนั้นข้าน้อยจะรีบไปจัดการให้ขอรับ”
“ขอบคุณขอรับคุณชายที่เลือกพวกเรา” เป็นชายงามผู้หนึ่งกล่าว
“มิเป็นไร วันนี้ข้าอารมณ์ดีมากจึงอยากมีสหายร่ำสุรา”
“เช่นนั้นไว้ใจข้าน้อยได้เลยขอรับคุณชาย”
“ให้ข้าน้อยเริ่มบรรเลงเพลงพิณเลยดีหรือไม่ขอรับ”
“เชิญ” นางตอบรับแต่ในใจกลับครุ่นคิดวิธีจะออกไปจากห้องนี้
‘ใช่แล้ว! หากข้าจำไม่ผิดหน้าห้องทุกห้องมีกระถางต้นไม้ซึ่งมีต้นไม้ขนาดไม่ใหญ่มากปลูกประดับทางเดินอยู่’ นางคิดว่าตัวเองเล็กพอที่จะถูกกระถางและต้นไม้นั้นบดบังได้
ชายงามบรรเลงพิณไปได้เพียงสองบทเพลงอาหารก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ
“พวกท่านมาพักกินข้าวก่อนเถิด ประเดี๋ยวอิ่มค่อยเล่นต่อ”
“ขอบคุณขอรับคุณชาย” ชายงามรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเลยสักครั้งที่จะเมตตายอมให้ชายงามเช่นพวกเขากินข้าวร่วมโต๊ะ
“ลงมือกินสิ รออันใดกันอยู่”
“ขะ ขอรับ”
“คุณชายช่างมีเมตตากับพวกเรายิ่งนัก” แม้จะเป็นคุณหนูปลอมตัวมาก็เถิด
“มิเป็นไร จะเจ้าหรือข้า ก็มีความเป็นคนไม่แตกต่าง พวกเจ้าอาจมีเหตุผลที่ต้องเข้ามาเป็นชายงามที่นี่แตกต่างกันไป แต่แล้วอย่างไร ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตนเอง วันนี้ข้ามาร่ำสุราที่นี่ ถือว่าทุกคนเป็นสหายของข้า มา ๆ ดื่มให้ข้า”
“ขอให้คุณชายปรารถนาสิ่งใดก็จงประสบความสำเร็จนะขอรับ”
“อวยพรดี ดื่ม” นางยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบซ่อนสีหน้าเมื่อความร้อนแรงของสุราไหลลงคอ ช่างบาดคอยิ่งนัก
“ขอให้คุณชายสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาวขอรับ”
“ขอให้คุณชายรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวงนะขอรับ”
“อวยพรดี รับไป” เพราะกลัวจะเสียเรื่องนางจึงเปลี่ยนจากการยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางหยิบเงินก้อนสีทองออกมาแจกอย่างมือเติบ
“ขอบคุณขอรับคุณชาย”
“อย่าได้เกรงใจ ข้าอยากปลดทุกข์ สามารถไปที่ใดได้”
“ให้ข้าน้อยไปส่งดีหรือไม่ขอรับ”
“มิต้อง ๆ เจ้าเพียงแค่บอกทาง”
“เมื่อเดินออกจากห้องไป เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือเดินไปจนสุดแล้วเลี้ยวขวาก็จะเห็นห้องปลดทุกข์ขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว นั่งกินข้าวกันตามสบายเถิด” นางกล่าวแล้วลุกยืนขึ้น
“ขอรับคุณชาย” ชายงามทั้งสามตอบรับพลางมองแม่นางน้อยผู้นี้ด้วยสายตาซาบซึ้ง
เมื่อประตูห้องปิดลงแล้ว นางกวาดสายตามองซ้ายขวาก่อนจะแสร้งเดินด้วยท่าทางเช่นคุณชายเจ้าสำราญ เมื่อไม่เห็นใครแล้วนางรีบพุ่งตัวเข้าไปซ่อนข้างกระถางต้นไม้
‘ช่างโชคดียิ่งนักมีรอยแยกอยู่ตรงนี้ด้วย’ นางคิดด้วยความดีใจก่อนจะเอาตาแนบลงบนผนัง
สิ่งที่เห็นอยู่ภายในทำให้ตัวนางค้างแข็ง เมื่อเห็นพี่ชายตนเองกำลังนั่งนิ่งให้ชายงามเอาใบหน้าซุกไซ้ตามลำคอด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข
บรื๋อ! น่าขนลุกยิ่งนัก ‘สรุปแล้วเทพเซียนก็ไม่ช่วยข้าใช่หรือไม่’
หากพี่ใหญ่เป็นต้วนซิ่วเช่นนี้ นางจะหยุดยั้งความรักที่พี่ชายมอบให้สหายเช่นไรเพื่อไม่ให้โทษประหารชีวิตตกใส่หัวตระกูลฟ่าน
‘รักไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่ได้รัก’ ความรักช่างเป็นสิ่งที่น่าปวดหัว
‘ในเมื่อรักไม่ได้ เช่นนั้นหากพี่ใหญ่รักคนอื่นเรื่องราวก็จบใช่หรือไม่’ รอยยิ้มปรากฏบนดวงหน้าหวานล้ำเมื่อคิดหาทางออกได้
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ
......................................
ยุคโบราณก็มีบาร์โฮสต์เด้อ
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ “เจ้า!” เพื่อป้องกันไม่ให้เขาส่งเสียงไปมากกว่านี้ นางจึงรีบกระโจนเข้าหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเขาเอาไว้ มือข้างหนึ่งปิดปาก “ท่านอย่าได้ตกใจ คนที่อยู่ในห้องเป็นพี่ชายของข้า ข้าเพียงมาหาเขา หาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่” “...” บุรุษที่ถูกนางปิดปากอยู่กลอกตาไปมาคล้ายอยากเอ่ยวาจา “ท่านสัญญาได้หรือไม่ หากข้าปล่อยมือท่านจะไม่โวยวาย” “...” เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ‘นั่นใคร!’ เสียงที่ดังจากในห้องทำให้นางตกใจ นางปล่อยมือจากตัวเขาแล้วแสร้งยืนเบียดเขาทำตัวคล้ายชายงามออดอ้อนคุณชายที่มาเที่ยวหอชายงามทำให้บุรุษผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อ เดือดร้อนให้นางต้องจับตัวเขาหันหลังให้ประตู พรึ่บ! เมื่อเสียงประตูด้านหลังเปิดออกนางก็รีบจับมือของเขาให้มาโอบเอวตนเอง “คุณชายขอรับ วันนี้ต้องขอบ
3ถูกจับได้เสียแล้ว ผลั่ก! บุรุษที่บอกว่าเป็นสหายของพี่ชายดันประตูให้เปิดออกอย่างแรง ชายงามในห้องทั้งสามคนที่กำลังกินอาหารอยู่พลันสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบวางมือแล้วหันไปยิ้มต้อนรับคุณชายจิตใจดี “คุณชายกลับมาแล้วหรือขอรับ” “บอกลาชายงามของเจ้าซะ” “พวกท่านตามสบายเถิดขอรับ นี่เป็นค่าเสียเวลาของพวกท่าน พี่ชายข้าจะพากลับจวนแล้ว เอาไว้ข้าจะมาหาพวกท่านใหม่นะขอรับ” “เจ้ายังคิดจะมาในที่เช่นนี้อยู่อีกหรือ” สหายของพี่ชายหันมาถลึงตาใส่นาง ‘มันเป็นคำบอกลาที่ไม่ให้ดูเสียมารยาทเจ้าค่ะ บุรุษกักขฬะเช่นท่านคงไม่เข้าใจ’ นางค่อนขอดเขาในใจ “คุณชายอย่าได้เกรงใจพวกเราเลยขอรับ” ชายงามทั้งสามมองคุณชายจิตใจดีด้วยสายตาอาวรณ์อยู่บ้าง “รีบจ่ายตำลึงจะได้รีบกลับ” “ขอรับ ๆ” นางตอบรับพลางนึกในใจ หากรีบก็กลับเองสิจะมาเร่งนางด้วยเหตุใด “รับไปเถิดขอรับ ข้าเรียกพวกท่านมาข้าก็ต้องจ่าย” นางมอบก้อนตำลึงให้พวกเขาพลางน้ำตาตกใน ตำลึงทองที่นางเก็บหอมรอมริบไว้เกือบจะหมดถุงแล้ว หอชายงามช่างเป
“ที่แท้เป็นชินอ๋องซื่อจื่อนี่เอง ขออภัยที่ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่” “คนกันเองทั้งนั้นเจ้าอย่าได้กังวล ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าข้าไม่รู้จักทางไปจวนเผิง รถม้าคันนี้จึงจะไปส่งเจ้าที่จวนฟ่านแทน” “มิรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อขอรับ จอดให้ข้าลงตรงนี้ก็ได้ขอรับ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะหาทางกลับจวนเอง” “แต่บริเวณนี้มันมืดนัก ทางซ้ายก็เป็นจวนร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย เพราะทางขวาคือจวนที่มีคนเล่าลือกันว่ามีผีออกมาทักทายผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่บ่อยครั้ง” “ผะ ผีหรือขอรับ แล้วเหตุใดท่านถึงมาผ่านทางนี้” “ทางนี้มันเงียบสงบ ไม่มีรถม้าคันอื่นมาวิ่งเบียดให้วุ่นวาย แต่หากเจ้ายืนยันจะลงที่นี่ข้าก็จนใจจะเอ่ยปากห้าม” “เช่นนั้นต้องรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อไปส่งข้าใกล้ ๆ จวนตระกูลฟ่านด้วยขอรับ แต่ไม่ต้องส่งหน้าประตูจวนนะขอรับ ดึกดื่นเช่นนี้ข้าเกรงใจพวกเขา” “มิเป็นไร หากพวกเขาจะลงโทษเจ้าที่หนีออกมาเที่ยว บอกพวกเขาไปได้เลยว่าฟ่านซีอิ๋งเป็นคนบอกให้เจ้าออกมาตามดูไห่ถิง” ‘ข้าจะบอกเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อจะเผิงเย่ฟางหรือฟ่านซีอิ๋งก็เป็นข
‘อย่ามาคิดกลั่นแกล้งข้าเพื่อกลบเกลื่อนนะ ข้ายังจำภาพของท่านในหอชายงามได้ขึ้นใจ หน๊อย! กลับมาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้วคงเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องกลับบ้านมาร่วมพิธีปักปิ่นของข้าสินะ’ จึงโผล่หน้ามาเอาวันนี้ “คารวะชินอ๋องซื่อจื่อ” เป็นฟ่านเฉียนและฮูหยินแสดงความเคารพต่อสหายของบุตรชาย อย่างไรอีกฝ่ายก็มีศักดิ์สูงกว่าพวกตนเพราะเป็นถึงซื่อจื่อของอดีตแม่ทัพใหญ่ทั้งยังเป็นหลานชายของฮ่องเต้ “ท่านน้าทั้งสองอย่าได้เกรงใจกันเลย เป็นข้าที่ต้องคารวะท่านทั้งสอง” เขาโค้งตัวคำนับบิดามารดาของสหายด้วยท่าทีนอบน้อม “อย่าได้มากพิธีเลย” เป็นท่านเจ้ากรมยุติธรรมรีบประคองบุรุษที่สูงศักดิ์กว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ช่วงนี้ซืออี้จะขอมาอยู่อาศัยที่จวนของเราเป็นการชั่วคราว” ‘พี่ใหญ่ ท่านหลงใหลสหายจนไม่อยากห่างเชียวหรือถึงได้ให้เขามาค้างอ้างแรมถึงที่จวน’ ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ชายเสียแล้ว มิเช่นนั้นโทษประหารคงได้ตกใส่หัวคนตระกูลฟ่านเช่นในฝันร้ายของนาง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” เป
‘ย้ายมาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พี่ใหญ่จะหลงใหลจนยอมลงมือทำร้ายผู้อื่นเพื่อความรักเช่นนั้น’ นางคงต้องรีบมองหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ใหญ่แล้ว ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ครึ่งเค่อ บุรุษสองคนที่นั่งรถม้ากลับจวนฟ่านเพื่อเข้าร่วมพิธีปักปิ่นของคุณหนูฟ่านในวันพรุ่งนี้นั่งสนทนากันถึงเรื่องที่สหายสูงศักดิ์จะขอไปอาศัยที่จวนฟ่านเป็นการชั่วคราว “ตำหนักอ๋องน่ะหรือทรุดโทรมเพราะไร้คนดูแล” โกหกหรือไม่ นั่นตำหนักชินอ๋องเชียวนะ พวกขันทีนางกำนัลก็ยังมีอยู่ไม่ใช่หรือจะไร้คนดูแลได้อย่างไร “ใช่ เพราะเหตุนี้ข้าจึงสั่งปรับปรุงเมื่อวันก่อน ในระหว่างนี้ข้าจึงอยากจะขอไปอยู่ที่จวนของเจ้า” “เหตุใดต้องเป็นจวนของข้า เจ้าน่ะมีท่านลุงเป็นฮ่องเต้ มีท่านย่าเป็นไทเฮาลืมแล้วหรือ เหตุใดไม่เข้าไปอยู่ในวังหลวงเป็นการชั่วคราว” “ในวังหลวงหูตามากมาย ยากจะแยกแยะได้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู อีกอย่างการไปอยู่ร่วมจวนกับเจ้า ย่อมสะดวกในการปรึกษาหารือกัน ทั้งยังไม่เป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุใด ข้าหรือเจ้าไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งเกินไป” วาจาของสหายทำให
4สหายของพี่ชายที่ต้องผูกมิตร ส่วนฟ่านซีอิ๋งก็ถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างประณีต เพราะวันนี้เป็นพิธีปักปิ่นแสนสำคัญที่สตรีทุกคนต้องผ่านพิธีนี้ แน่นอนว่าสหายของพี่ชายที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในจวนก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานนี้อย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากเจ้ากรมยุติธรรมเป็นคนเรียบง่าย งานเลี้ยงจึงไม่ใหญ่มาก มีเพียงคนในตระกูลฟ่านและคนตระกูลเผิงทั้งสายหลักและสายรองมาร่วม “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ไม่คิดว่าน้องซีอิ๋งจะงดงามเช่นนี้” “ข้าเห็นด้วยขอรับพี่เจียงหัว” “แล้วเมื่อก่อนใครกันที่เคยล้อเลียนนางว่าเป็นอีกาในฝูงหงส์” “ก็คราวนั้นนางตัวอ้วนกลม ทั้งยังมีขี้มูกเกรอะกรังดูไม่น่าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย” “ข้าก็เคยล้อเลียนนางไม่รู้นางจะยังโกรธข้าหรือไม่” “เช่นนั้นพวกเราควรไปขอโทษและผูกสัมพันธ์กับนางดีหรือไม่” “ย่อมไม่มีอะไรสายเกินไปหากคิดจะแก้ไข” เป็นฟ่านไห่ถิงที่ได้ยินบทสนทนานั้นจึงเอ่ยปากกับพวกญาติพี่น้อง คนตระกูลฟ่านตระกูลเผิงรักใคร่สามัคคีกันย่อมเป็นเรื่องดี แต่จ
“พวกเราก็ต้องขอโทษเจ้าด้วยเช่นกัน” เมื่อเห็นกลุ่มคุณชายทั้งหลายเอ่ยวาจา กลุ่มสตรีก็ทำเช่นเดียวกัน “พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน อย่าได้ทำเช่นนี้เราเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ” กล่าวจบก็ฉีกยิ้มอ่อนโยนคล้ายไม่ถือสา ทั้งที่แท้จริงอยากสะบัดอาภรณ์ใส่แล้วเดินหนียิ่งนัก “เจ้าช่างจิตใจดีงาม” “พวกเจ้ายกยอจนข้าจะลอยขึ้นไปหาเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว” “เจ้าก็กล่าววาจาเกินไป” “ข้าว่าจะถามเจ้าอยู่ ปิ่นนั่นใครมอบให้เจ้าหรือ งดงามยิ่งนัก” “ปิ่นอันไหนหรือ” ยามนี้นางปักปิ่นอยู่สองอัน คือที่บิดามารดามอบให้ และที่พี่ใหญ่มอบให้ “ปิ่นที่มีไข่มุกสีชาด” “อ๋อ! เป็นพี่ใหญ่น่ะที่มอบให้ข้า” “งดงามยิ่งนัก ลวดลายของปิ่นก็งดงามอ่อนช้อยคล้ายฝีมือของช่างหลวง” “ช่างหลวงหรือเจ้าคะ” เป็นฟ่านเจียงหรูเอ่ยถาม “ช่างหลวงคือช่างที่ทำเครื่องประดับให้เชื้อพระวงศ์น่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นของจากวังหลวงทุกอย่างล้วนประณีตและสูงค่า” ‘ก็คงเป็นพี่ชายที่ขอร้องให้สหายจัดหามาให้สินะ’ ฟ่านซีอิ๋งคิด มุมปากพลางยกยิ้มอย่าง
“ซืออี้ เจ้าจะล่อลวงสตรีที่ใดก็เชิญตามสบาย แต่อย่ามาล่อลวงน้องสาวข้า เข้าใจหรือไม่” “ข้าเคยล่อลวงสตรีที่ใดกัน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เอ๊ะ! นั่นยุเหวียนเซียวนี่ ข้าขอกินด้วยคนสิ” หากเคยทำก็คงเป็นตอนล้วงเอาความลับจากผู้อื่นเพียงเท่านั้น “เจ้าอยากกินก็ขอจากซีซีสิ จะมาแย่งของข้าด้วยเหตุใด” ฟ่านไห่ถิงกล่าวพลางแย่งชามในมือสหายคืนมา “ซีอิ๋ง ยุเหวียนเซียวของพี่เล่า” “ท่านอยากกินหรือเจ้าคะ” “ย่อมอยากกิน ขอยุเหวียนเซียวของเจ้าให้พี่สักถ้วยได้หรือไม่” กล่าวจบก็ส่งสายตาอ้อนวอนให้นาง พรึ่บ! เป็นคุณชายฟ่านที่วางถ้วยขนมแล้วยกมือปิดตาพลางรั้งสหายให้ถอยห่างจากน้องสาว ไอ้ท่าทางออดอ้อนนั้นคืออันใด ช่างน่าขนลุกนัก “ซีซีรีบตักยุเหวียนเซียวใส่ถ้วยให้สหายพี่เถิด” “ปล่อยข้านะ เจ้าคนหวงน้อง” “คิก ๆ” เสียงหัวเราะของสตรีตัวน้อยทำให้ทั้งสองหยุดยื้อแย่งกันก่อนจะหันไปมองดวงหน้าหวานที่ประดับรอยยิ้ม “เจ้าอย่ามองน้องสาวข้า” กล่าวจบก็ใช้มือปิดตาสหายอีกรอบ รอยยิ้มของฟ่านซีอิ๋งงดงามยิ่งกว่ามารดาเสียอีก หากส
“แต่ท่านที่รักและจริงใจกับข้าย่อมเฝ้ารอได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวจบนางก็หยอกเย้าเขาด้วยการจุมพิตที่แก้มสากไปหนึ่งครั้ง จะได้ลุ่มหลงนางยากจะเปลี่ยนใจ บนแผ่นดินนี้มีสตรีใดบ้างไม่อยากให้สามีลุ่มหลงตนเองแต่เพียงผู้เดียว “หากเจ้าต้องการพี่ย่อมตามใจ เช่นนั้นเมื่อผ่านพ้นงานเลี้ยงของไห่ถิงพี่จะส่งแม่สื่อพร้อมสินสอดไปเยือนจวนฟ่านทันที” “ขอบคุณเจ้าค่ะที่ท่านตามใจข้า” “พี่ทำดีเช่นนี้ ขอรางวัลอีกครั้งได้หรือไม่” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มเขินอายก่อนจะถูกคังซืออี้รวบตัวเข้าสู่อ้อมกอด เขาใช้มือข้างที่ว่างยึดคางมนเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปาก ลิ้นร้อนบุกรุกลิ้มรสหวานของโพรงปากนุ่ม การโต้ตอบอย่างไม่ประสาทำให้ความปรารถนาของเขามากล้น “พี่มัดจำเจ้าเอาไว้ก่อน เมื่อถึงคืนเข้าหอพี่จะมาทวงคืนอย่างทบต้นทบดอก” เขากล่าวหลังพยายามตัดใจผละออกห่าง “...” ฟ่านซีอิ๋งไร้วาจาจะเอ่ย ยามนี้นางเขินอายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าเขาแล้ว เพราะเมื่อครู่นางคล้ายจะเผลอส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ จุมพิตของเขาช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว “อยาก
พรึ่บ! แต่ฟ่านซีอิ๋งกลับทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง คือนางพลิกตัวขึ้นคร่อมบนตัวเขา มือเนียนนุ่มทั้งสองของนางจับมือของเขาเอาไว้ก่อนจะดันขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้คังซืออี้คล้ายกับถูกสตรีตัวน้อยตรึงเอาไว้บนเตียง “ท่านจะให้ข้าจุมพิตตรงนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวจบนางก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้แล้วกดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาข้างหนึ่งก่อนจะผละออก “อืม” “แล้วก็ตรงนี้อีกใช่หรือไม่เจ้าคะ” “อืม” “อีกที่คล้ายจะเป็นตรงนี้” นางกดริมฝีปากลงบนหน้าผากเขาครั้งนี้คล้ายจะเนิ่นนานกว่ายามจุมพิตที่แก้ม “ชื่นใจยิ่งนัก” คังซืออี้กล่าวดวงตาที่จับจ้องสตรีตรงหน้าพราวระยับยิ่งกว่าดวงดาวนับพัน “แต่หวังว่าท่านจะไม่โกรธเคืองหากข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกที่หนึ่ง” กล่าวจบฟ่านซีอิ๋งยิ้มอย่างซุกซนก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากของเขา ลิ้นเรียวเล็กพยายามบดเบียดเพื่อบุกรุกเข้าไปภายในโพรงปากนุ่มซึ่งบุรุษที่ถูกตรึงอยู่ใต้ร่างในคราแรกคล้ายจะตกตะลึงอยู่บ้างแต่สุดท้ายดวงตาก็เปลี่ยนเป็นหวานล้ำแล้วตอบรับการหยอกเย้าของเรียวลิ้นเล็กแต่โดยดี เมื่อรู้
“คราวนี้เราก็ได้อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแล้วนะซีอิ๋ง” คังซืออี้ยิ้มก่อนจะปิดสมุดบัญชีของร้านที่เมื่อครู่แสร้งเปิดอ่านยามสนทนากับสหาย หลังจากฟ่านไห่ถิงกลับไปแล้ว ชินอ๋องซื่อจื่อก็ไม่รอช้าที่จะกลับไปหาน้องน้อย เขากวาดสายตามองหาสตรีตัวเล็กไปทั่วห้องจึงได้เห็นว่านางนอนหลับอยู่บนเตียงของเขา ใช่แล้ว! เตียงที่นางนอน ห้องที่นางอยู่ เป็นห้องที่เขาอยู่ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เรือนที่นางอยู่ก็เป็นเรือนส่วนตัวของเขาเพราะเช่นนี้ นางกำนัล ขันทีและทหารยามในตำหนักอ๋องจึงเอ่ยปากเรียกฟ่านซีอิ๋งว่าพระชายาโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยวาจา “ซีอิ๋ง เจ้ารู้หรือไม่พี่นั้นเป็นคนโลภมากและใจร้อน พอได้เห็นเจ้านอนอยู่บนเตียงของพี่เช่นนี้ พี่ก็ปรารถนาอยากจะรีบส่งแม่สื่อไปที่จวนฟ่านเพื่อแลกเปลี่ยนเทียบชะตาและตบแต่งเจ้าเข้าตำหนัก พี่ไม่อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวเช่นในตอนนี้ แต่อยากให้เจ้านอนหลับบนเตียงเคียงข้างพี่เช่นนี้ตลอดไป” “...” “พี่จะเข้าข้างตนเองแล้วใช้โอกาสที่เจ้ากำลังหลับถือเป็นการตอบรับได้หรือไม่” กล่าวจบก็กดริมฝีปากลงบนแก้มเนียน แต่พอผละออกห่า
สองวันมานี้นางปวดหัวยิ่งนัก กว่าจะได้กินก็ต้องนั่งมองทั้งสองแย่งกันป้อนข้าวนาง ทั้งที่นางบอกแล้วว่าไม่ได้เจ็บที่มือก็ไม่มีใครสนใจเอาแต่แย่งกันคีบอาหารมาจ่อปากนาง ตอนกินยาก็แย่งกันเป่า จนมีอยู่ครั้งหนึ่งทำถ้วยยาร่วงตกแตก ไหนจะตอนนอนกว่าจะลากกันออกจากห้องไปได้ ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วยาม พี่ใหญ่หรือก็หวงแหนน้องสาวยิ่งนัก ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อ ก็ชอบกลั่นแกล้ง จุมพิตแก้ม จุมพิตหน้าผาก กินเต้าหู้นางต่อหน้าพี่ใหญ่คล้ายยั่วยุ “เช่นนั้นเจ้านอนเอนหลังตามสบาย พี่กับซืออี้จะไปนั่งสนทนากันด้านนอกดีหรือไม่” “...” ฟ่านซีอิ๋งเอนหลังนอนบนเตียงคล้ายกับไม่สนใจพี่ชายและสหาย เมื่อบุรุษทั้งสองเห็นท่าทางเมินเฉยของสตรีตัวน้อย จึงรีบลากกันออกไปนอกห้อง สุดท้ายก็ไปนั่งสนทนาหารือกันที่ห้องหนังสือแทน “เห็นหรือไม่ เพราะเจ้า ซีอิ๋งถึงได้โกรธข้า” “ข้าหวงน้องสาวผิดที่ใดกัน” ฟ่านไห่ถิงไม่ยอมให้อีกฝ่ายกล่าวโทษเพียงฝ่ายเดียว “ผิดตรงที่นางปักปิ่นแล้ว นางเป็นสตรีพร้อมออกเรือน ต่อให้เจ้าหวงแหนนางอย่างไรก็ต้องไว้หน้าน้องเข
18การแย่งชิงความโปรดปรานของบุรุษ หลังจากงานเลี้ยงของจวนราชครูซิวผ่านไปได้สามวันเรื่องราวเสื่อมเสียของซิวซือเย่และซิวลู่หลินก็ถูกเล่าลือแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง แม้จะมีราชโองการสมรสพระราชทานแต่งคุณหนูซิวผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงดีงามเข้าเป็นชายารองขององค์ชายรอง แต่คนทั่วไปก็ยังคิดว่าคงเป็นท่านราชครูซิวใช้ความเป็นราชครูของฮ่องเต้ ทูลขอให้ฮ่องเต้ออกราชโองการเพื่อเป็นการรับผิดชอบบุตรสาว ส่วนซิวซือเย่ผู้สุภาพอ่อนโยนก็จำใจต้องรับสาวใช้คนสนิทของน้องสาวเป็นอนุฯ แต่ทว่าเป็นหลังจากที่แต่งคุณหนูจ้าวเป็นฮูหยินเอกแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ได้ยินมาว่าเจ้ากรมโยธาจ้าวถึงขั้นเอ่ยวาจาตัดขาดกับบุตรสาวที่ดื้อรั้นจะแต่งกับบุรุษที่ทำเรื่องเสื่อมเสีย “จงเซ่อ เจ้าเสียใจไปแล้วได้อันใด อย่างไรบัณฑิตต่ำต้อยเช่นพวกเราก็ไม่มีวันอาจเอื้อมดอกฟ้าเช่นคุณหนูซิวได้” “หากข้าสอบจอหงวนได้ ข้าก็คงไม่ได้แต่มองสตรีในดวงใจแต่งไปกับผู้อื่นเช่นนี้” “ต่อให้เจ้าได้เป็นจอหงวน ฐานะของเจ้าก็สู้องค์ชายรองไม่ได้ เจ้าควรตาสว่างได้แล้ว” “พวกเจ้าคงสมน้ำหน้าข้า ที่หมาย
“ให้เวลาข้าได้ไตร่ตรองก่อน แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดซีซีของข้าถึงเป็นเช่นนั้น” ก่อนหน้านี้เพราะเป็นการสนทนาที่จริงจัง เขาจึงเรียกขานนามแท้จริงของน้องสาวมากกว่านามที่เขาใช้เรียกขาน “ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของเจ้า ข้าอยากให้เจ้าเลิกเรียกนางว่าซีอิ๋งของเจ้า เพราะนางเป็นของข้าเข้าใจหรือไม่” “โอ๊ะ! หวงแหนนางแม้กระทั่งกับพี่ชายเช่นข้า” “ข้ารักนางมาก ข้าย่อมหวงแหนมาก” “อย่างไรข้าก็เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของนาง ละเว้นข้าไว้สักคนเถิด” “เรียกนางว่าซีซีก็พอ” “ชิชะ อีกหน่อยเจ้าจะไม่หวงซีซีจนไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้เลยหรือ” “ข้ารักของข้า” “เอาล่ะรีบเล่าเรื่องมาได้แล้วว่ามันเกิดอันใดขึ้น” “ซิวลู่หลินคิดวางยาปลุกกำหนัดซีอิ๋ง แต่เพราะน้องสาวเจ้าไม่ยอมหยิบจับสิ่งใดมากินสตรีผู้นั้นจึงแสร้งให้สาวใช้ทำชาร้อนหกรดนางเพื่อหวังดึงนางออกจากงานเลี้ยง โดยในห้องที่ให้ซีอิ๋งไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์มีกำยานปลุกกำหนัดจุดอยู่หวังจะส่งตัวนางให้ซิวเมิ่งหยวน” “ชั่วช้า เจ้าซิวเมิ่งหยวนน่าตายนัก น้องส
“ซีอิ๋งนางกำลังพักผ่อน มีอันใดไปสนทนากันด้านนอก” คังซืออี้กล่าวก่อนจะผายมือคล้ายเชื้อเชิญสหายให้ออกจากห้องของตน คุณชายฟ่านเดินตามสหายออกมาด้านนอกโดยไม่เอ่ยวาจาทั้งที่ภายในใจมีคำพูดมากมายอยากจะเอ่ยถาม “เชิญนั่ง เจ้าอยากถามอันใดก็เอ่ยวาจามา” ชินอ๋องซื่อจื่อทรุดตัวนั่งที่ศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของตนมากนัก “เจ้ากับซีอิ๋ง มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด” เหตุใดถึงได้ลอบคบกันภายใต้จมูกโดยที่เขาไม่ทราบ “หากจะถามว่าน้องสาวเจ้ามีใจให้ข้าตั้งแต่เมื่อใด ข้าไม่ทราบ แต่หากถามข้า ข้าย่อมกล่าวว่าข้ามีใจให้น้องเจ้าตั้งแต่ก่อนมอบปิ่นให้เจ้ายืม” “เช่นนั้นที่ปิ่นข้าหายก็เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่” “เจ้าลองหาปิ่นที่เจ้าเตรียมไว้ก่อนเถิด ข้าเพียงแต่ไหลไปตามน้ำ” อย่างไรอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นพี่ชายพระชายาของเขาในภายหน้าจึงไม่อยากสร้างศัตรูเอาไว้มาก ประเดี๋ยวไปเป่าหูพระชายาของเขา ดังนั้นบางเรื่องก็ไม่ควรรู้จะดีกว่า ประเดี๋ยวจะหาว่าเขามากเล่ห์... “เจ้ากล่าวว่าพึงใจซีอิ๋งตั้งแต่ก่อนปักปิ่นแล้วเจ้าไปเจอนางที่ใ
ท่าทางอ่อนโยนและเอาใจใส่สตรีของท่านอ๋องน้อยทำให้บรรดานางกำนัลและขันทีต่างลอบยิ้ม ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อคุณหนูฟ่านก็วางตะเกียบลงพร้อมกับข้าวที่พร่องไปเกือบครึ่งชาม “ไปยกยามา” “เรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่ พี่ใหญ่กับท่านแม่ทราบแล้วหรือไม่เจ้าคะ” “อืม พี่ส่งคนไปแจ้งที่จวนฟ่านแล้ว” “ไม่รู้เรื่องที่จวนซิวเป็นอย่างไรต่อนะเจ้าคะ” นางชวนเขาสนทนาพลางจ้องมองบุรุษที่กำลังเป่ายาเพื่อคลายความร้อน “กินยาให้หมดก่อนแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง” เขากล่าวก่อนจะยื่นถ้วยยาในมือให้ “เจ้าค่ะ” นางกลั้นใจก่อนจะยกยาถ้วยนั้นขึ้นดื่มในคราวเดียว “เก่งมาก ซีอิ๋งของพี่เก่งที่สุด” เขากล่าวก่อนจะป้อนก้อนน้ำตาลปั้นใส่ปากนาง “พี่ซืออี้ก็กล่อมเหมือนข้าเป็นเด็ก” “กินยาเสร็จแล้วไปนั่งตรงนั้นกันเถิด พี่จะเล่าเรื่องหลังจากเราออกจากจวนซิวให้เจ้าฟัง หากเจ้าง่วงเจ้าจะได้นอนได้เลย” เขากล่าวพลางโบกมือให้นางกำนัลเก็บสำรับออกไป “เจ้าค่ะ” เมื่อนางตอบรับเขาก็ลุกขึ้นแล้วอุ้มนางที่กำลังจะลุกยืนเช่นกัน
“ไม่จริง ข้าว่าต้องเป็นมัน...” เพียะ! ซิวลู่หลินยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบ ฝ่ามือของพี่ชายก็ฟาดลงบนหน้า “หยุดโยนความผิดให้ผู้อื่นได้แล้ว แม้ที่ผ่านมาท่านพ่อจะไม่ทุบตีเจ้าแต่ใช่ว่าท่านพ่อจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป” หากไม่เพราะน้องสาวผู้นี้มีใบหน้างดงามเหนือพี่น้องต่างมารดา นางก็คงไม่ได้รับการเหลียวแลจากบิดา และการกระทำสิ้นคิดในครั้งนี้ของน้องสาวได้ทำลายแผนการของบิดาที่หวังจะเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้ด้วยเหตุนี้จึงต้องเปลี่ยนฝั่งปรับแผนการใหม่เพื่อการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า “พี่ใหญ่ท่านตบข้า” “คุณหนูซิวหากเจ้ายังไม่ปรับปรุงตน อีกหน่อยเกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งชายารองก็คงไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้” กล่าวจบซิวเมิ่งหยวนหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากแต่งกับองค์ชายรอง เขาเป็นต้วนซิ่วจะแต่งชายาได้อย่างไร” ซิวลู่หลินทรุดตัวลงไปกอดเข่าพี่ชาย หวังทำให้อีกฝ่ายใจอ่อน “สมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ แม้แต่องค์ชายรองก็ไม่อาจขัดได้” สิ้นเสียงเขาสะบัดขาเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมก่อนจะเดินออกจากเรือนไปโดยไม่คิดสนใจน